"เธอว่าเราจะไปไหน ?"
ฉันถาม แล้วก็ก้าวขึ้นซ้อนมอเตอร์ไซค์ โดยไม่รอคำตอบมาถึง เสียงติดเครื่องของรถคันเก่าดั่งกระหึ่ม ยามบ่ายๆ ของวันหยุดที่เราควรจะได้เดินทางบ้าง แม้จะเป็นระยะทางสั้นๆ หรือยามว่างอันน้อยนิด ฉันอยากออกไปสูดอากาศ ส่วนเธออยากขี่รถเล่น
เงยหน้ามองท้องฟ้า วันนี้ไม่มีฝน แม้จะไม่มีแดด แต่ก้อนเมฆยามบ่ายขับเคลื่อนราวว่า อีกนานกว่าพายุจะคลุมเมืองไว้อีกครั้ง
"นั่นสิ จุดหมายอาจจะรออยู่ข้างหน้าก็ได้"
เธอพูดชวนคิด ฉันเออออพยักหน้า จากนั้น เราลัดเลาะไปตามเส้นทางหลังหมู่บ้าน ข้ามสะพานแม่น้ำปิงของเมืองเรา เพื่อไปยังน้ำปิงของเมืองเพื่อนบ้าน เราเลียบไปทางทิศใต้ ไม่นานนักก็เข้าเขตเทศบาลตำบลริมปิงของลำพูน
บ้านเรือนและชีวิตรอบๆ ริมน้ำปิงเส้นเล็กๆ ของที่นี่ ยังคงใช้ชีวิตร่วมกันกับแม่น้ำได้อย่างกลมกลืน ตลิ่งสองฝั่งน้ำเต็มไปด้วยต้นไม้ใบหญ้า พืชน้ำ และการปลูกพืชผักสวนครัวที่งอกงามออกดอกออกผล ชาวบ้านริมสองฝั่งน้ำ ทำสะพานไม้เล็กๆ ข้ามฝั่งไปหากัน บ้านบางหลังทำซุ้มนั่งเล่นอยู่ริมน้ำ มีทั้งเด็กและคนแก่มานั่งพูดคุยสนทนากันยามเย็น บางคนลงไปจับปลา มีกองเชียร์ยืนรออยู่บนฝั่ง
ฉันได้ยินเสียงตะโกนผสมเสียงหัวเราะดังแว่วมาเป็นระยะๆ จนไม่อยากคิดเลย แค่ 15 นาทีที่ออกจากเชียงใหม่มา เหมือนกับได้ย้อนชีวิตไปเมื่อหลายปีก่อน
ฉันอดจินตนาการไม่ได้ว่า นี่เป็นเหมือนภาพชีวิตของเชียงใหม่ในอดีตหรือเปล่า
“เธอว่าเขาจะไปไหน?”
ฉันถามเพื่อน เมื่อเห็นลุงคนหนึ่งถือไม้ลักษณะเหมือนมีดกึ่งเคียวด้ามยาวๆ พาดอยู่บนบ่า ในขณะที่เขาขี่มอเตอร์ไซค์ไปด้วย
เราค่อยๆ แซงลุงไป แอบกดภาพเอาไว้อย่างเห็นขำ ลุงคงขับรถเก่งมาก ถึงสามารถแบกมีดไปไหนมาไหนบนท้องถนนได้อย่างสบายใจ เราเสียอีก ที่เว้นระยะออกห่างจากลุงเสียไกล ด้วยเกรงกลัวความคมของมีดยาวๆ อันนั้น
“เดาว่าน่าจะไปสอยอะไรสักอย่างแถวบ้านเพื่อน”
คนข้างหน้าตอบ จุดหมายของลุงคงอยู่ไม่ไกลนัก และเครื่องมือชนิดนี้ก็คงไม่ได้มีอยู่ทุกหลังคาบ้าน
“แล้วป้าคนนี้ล่ะ เธอว่าเขาจะไปไหน”
ฉันเริ่มสนุกกับการถามเล่นๆ ถึงเพื่อนร่วมทาง ป้าคนนี้คงไปไกลกว่าลุงคนตะกี้เป็นแน่แท้ เพราะเธอมีหมวกติดรถมาด้วย หมวกที่เห็นแว่บๆ ว่าทำมาจากไม้ไผ่ กันแดดและฝนได้นิดหน่อย เพียงพอที่จะให้อุ่นใจกับการเดินทางแถวบ้าน จากนั้นฉันก็เหลือบสายตาไปดูพี่สาวอีกคน ที่เดินทางพร้อมหมวกชนิดเดียวกัน แต่ใบของเธอดูใหม่กว่าและแข็งแรงกว่า คนขับของฉันชะลอรถให้แล่นตามหลังเขาอย่างช้าๆ แล้วก็พบว่า พี่สาวเดินทางมาเก็บผลผลิตที่เพาะปลูกไว้บนที่สาธารณะริมน้ำ ใจกลางหมู่บ้านนั่นเอง
ชื่นชมแทนเธอนัก กับต้นถั่วฝักยาวที่กำลังออกผล ตะไคร้พุ่มใหญ่ๆ ต้นหอม ผักชี แม้จะไม่มากพอให้เอาไปขายที่ตลาด แต่ก็มากพอสำหรับอาหารหลายๆ มื้อ
เมื่อรถของเราแล่นออกไปอีกครั้ง เรามีเพื่อนร่วมทางอีกคนเป็นคุณลุงกับรถที่เก่ากว่าเรา เสียงของมันดังมาแต่ไกลตั้งแต่ยังไม่เห็นตัวของลุงด้วยซ้ำ
คิดว่าเขาจะไปไหน ? คำนี้แล่นเข้ามาอีกแล้วในห้วงคิด รถของลุงไม่มีป้ายทะเบียน แต่ผูกไว้ด้วยแผ่นซีดีเพื่อให้สะท้อนแสง รวมถึงใส่หมวกกันน็อคอย่างปลอดภัย
“ลุงคงเดินทางไกล” ฉันคิด ขณะที่รถของเราแล่นเข้าใกล้ลุงเรื่อยๆ ลุงมีน้ำใจให้รถคันอื่นแล่นแซงไปหมด ด้วยการหลบไปชิดขอบในให้มากที่สุด และแม้ว่าเราจะขับรถช้าเพียงใด เราก็ต้องแซงลุงไปอยู่ดี วูบนั้นฉันหันหลังกลับมา พบว่าลุงยิ้มให้พลางขยับถุงกับข้าวหน้ารถที่พลาสติกปลิวตามแรงลม เขาพยักหน้าน้อยๆ เป็นการทักทายแบบมีไมตรีสำหรับคนแปลกหน้าให้กับฉัน
เลยเขตริมแม่น้ำมาแล้ว ถนนสายนั้นยังคงร่มรื่นด้วยต้นไม้ใหญ่ริมทาง ถนนที่เรียบลื่นชวนให้คนอยากขับรถเร็ว แต่แล้วก็พบเพื่อนร่วมทางบนจักรยานสีชมพูสดใส
พี่สาวคนนี้สวมหมวกผ้าน่ารัก มีลายดอกไม้เล็กๆ นอกนั้นยังมีถุงผ้าสะพายเอาไว้อย่างมั่นคง จุดหมายของเขาคงไม่ไกลนัก และคงไม่มีอะไรต้องเร่งด่วน ฉันยิ้มอย่างดีใจ ที่ถนนเส้นนี้มีรถจักรยานผ่านไปมาหลายคัน บางคนจอดทิ้งไว้เดินไปทักทายเพื่อนบ้าน โดยที่ไม่ต้องกลัวรถจักรยานจะหาย
ตะวันบอกเวลาใกล้ค่ำแล้ว พี่ผู้หญิงผู้ชายหลายคนแซงเราไปด้วยความเร็ว บางคนที่ต้องทำงานในวันหยุด คงคิดถึงบ้านเหลือเกินแล้ว สุนัขหลายๆ ตัว นอนเล่นริมถนนเมื่อเราเริ่มเข้าสู่เขตเมือง มันหันซ้ายมองไปมา ไม่อาจรู้ได้ว่ามันมีจุดหมายที่จะไปบ้างไหม ฉันและเพื่อนเลี้ยวรถแยกเข้าไปในย่านตลาด
“หาอะไรกินไหม?”
คนข้างกายถาม ฉันหัวเราะเบาๆ
“ตกลงนี่เป็นจุดหมายของเราหรอกหรือ”
เขาตอบว่าไม่ใช่ เราไม่ได้มาเพื่อกินหรอก ก็แค่เป็นเวลาของมื้ออาหารเท่านั้นเอง ฉันจึงอิดออดด้วยการชวนขับรถรอบเมืองดูก่อน แต่แล้วไม่ทันที่เราจะได้แวะจอดอีกสักครั้ง บนท้องฟ้านั้น เมฆฝนก็เคลื่อนตัวมาอย่างรวดเร็ว
คนขับทำหน้านิ่งๆ คำนวณทิศทางลมและฝน
“ถ้าแวะมีหวังติดอยู่นานแน่ ฝนแบบนี้มาหนักและยาวนาน ทางที่ดีรีบกลับกันดีกว่า”
ฉันเคารพในน้ำเสียงนั้น จึงรีบพยักหน้า เก็บกล้องใส่กระเป๋าแล้วกอดไว้กับตัว คิดถึงถุงพสาสติกที่เหน็บไว้ใต้เบาะ ยามฉุกเฉินก็คงช่วยป้องกันสิ่งของของเราได้
แล้ววันนั้น จุดหมายปลายทางของเราก็คือการกลับที่เดิมให้เร็วที่สุดนั่นเอง
“สรุปว่าไปมาแบบไม่มีจุดหมายไงล่ะ” อีกคนแซวเล่นแล้วหัวเราะ ส่วนฉันยิ้มแป้น แล้วตอบด้วยรอยยิ้มขณะที่ฝนเทลงมาอย่างพอดิบพอดีว่า
“การไม่มีจุดหมายของเรานั่นแหละ อาจเป็นจุดหมายอย่างหนึ่ง”
ฉันตอบไปอย่างนั้นจริงๆ เหมือนที่ใครเคยว่าไว้ว่าระหว่างทางบางครั้งสำคัญกว่าที่จะไปถึง ขณะที่ยังคิดถึงผู้คนมากมายกับจุดหมายของพวกเขาบนถนนเส้นนั้น
ที่ซึ่งเราไม่อาจรู้ได้ ว่าจะมีใครที่มีจุดหมาย คล้ายกันบ้างหรือเปล่า.