Skip to main content

รัฐบาลทหารไม่อยากให้ถูกเรียกว่าตนเองเป็นเผด็จการ เพราะยอมรับความจริงไม่ได้ว่า ที่ตนเป็นอยู่นั้นเป็นเผด็จการ เหมือนโจรที่ไม่อยากถูกเรียกว่าโจร เพราะไม่อยากรับความจริงว่าตนเองเป็นโจร รัฐบาลทหารอยากให้ประชาชนรักใคร่ ทั้งๆ ที่ยึดอำนาจ พรากสิทธิเสรีภาพไปจากประชาชน เหมือนโจรที่ปล้นของเขาไปแล้วจะให้เจ้าของเขามารักตนเองได้อย่างไร 

ทุกวันนี้ รัฐบาลทหารไม่ได้รับการยอมรับจากประชาชนจำนวนมาก รัฐบาลทหารพยายามแยกตัวเองออกจากการเป็นคู่ขัดแย้งทางการเมือง แต่กาลได้เผยให้เห็นแล้วว่า รัฐบาลทหารกำลังผลักให้ตนเองกลายไปเป็นคู่ขัดแย้งทางการเมืองกับกลุ่มคนสำคัญ 4 กลุ่ม 

หนึ่ง กลุ่มประชาชนคนยากคนจน คนเหล่านี้มีทั้งผู้ที่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากการดำเนินนโยบายของรัฐบาลทหาร โดยเฉพาะเรื่องสิทธิที่ทำกิน และผู้ที่มีความเดือดร้อนในการประกอบอาชีพดำเนินชีวิตผู้ต้องการให้รัฐบาลรับฟังปัญหา ไม่ว่าจะเรื่องปากท้อง เรื่องผลกระทบจากนโยบายรัฐบาลก่อนหน้า เช่น กลุ่มที่ได้รับผลกระทบจากเขื่อนปากมูล 

สอง กลุ่มเอ็นจีโอ คนกลุ่มนี้ต่อสู้เพื่อปกป้องสิทธิของประชาชนมาตลอด เอ็นจีโอจำนวนมากไม่เห็นด้วยกับการรัฐประหารตั้งแต่ต้น ในขณะนี้พวกเขายิ่งได้เห็นถึงปัญหาของการรัฐประหารจากการร่วมแก้ปัญหากับประชาชนผู้เดือดร้อนมาโดยตลอด พวกเขาจำนวนมากอยู่แนวหน้าของการต่อสู้เพื่อสิทธิของประชาชนเสียยิ่งกว่าองค์กรด้านสิทธิที่ได้รับเงินเดือนเป็นแสนจากภาษีของประชาชน   

สาม กลุ่มประชาชนทั่วไปผู้รักสิทธิเสรีภาพ คนเหล่านี้ไม่ได้จำเป็นต้องเป็นผู้สนับสนุนพรรคเพื่อไทย ไม่จำเป็นต้องเป็นคนเสื้อแดง แต่พวกเขาคือประชาชนทั่วไปที่ต้องการให้ประเทศกลับเข้าสู่ระบอบการปกครองอย่างปกติ พวกเขาเพียงต้องการมีสิทธิแสดงอำนาจแสดงความเห็นทางการเมืองผ่านการเลือกตั้งและการแสดงออกทางการเมืองโดยสันติ  

สี่ กลุ่มนักศึกษาผู้รักประชาธิปไตย นักศึกษาเหล่านี้เรียนรู้อุดมการณ์ประชาธิปไตยโดยไม่จำเป็นที่จะต้องถูกปลูกฝังหว่านล้อมโดยใคร พวกเขามีความคิดเป็นของตนเอง พวกเขาทำกิจกรรมอย่างต่อเนื่องในระหว่างที่ศึกษาอยู่ และเมื่อวันนี้ที่พวกเขารับรู้ถึงการถูกกักขังทางความคิด พวกเขาจึงลุกขึ้นมาเรียกร้องขออำนาจคืน 

คนสี่กลุ่มนี้ไม่ได้มีโยงใยกับพรรคการเมือง คนสี่กลุ่มนี้รักประเทศชาติ รักประชาชน รักชีวิต รักสังคมที่พวกเขาอาศัยอยู่ไม่ได้น้อยไปกว่าทหาร คนเหล่านี้เป็นพลเมืองผู้เสียภาษีให้ทหาร พวกเขาแสดงตนออกมาในวันนี้ก็เพื่อทวงคืนสิทธิในการปกครองตนเองของพวกเขา เนื่องจากพวกเขาเห็นว่าอำนาจที่ทหารยึดไปนั้น เอาไปใช้อย่างสูญเปล่า ไม่ได้เป็นประโยชน์อะไรกับประเทศชาติอีกต่อไป 

นี่ยังไม่นับว่ารัฐบาลทหารกำลังสร้างความร้าวฉานในสังคมไทยอย่างกว้างขวาง ด้วยการคุกคามคนเสื้อแดง และผู้สนับสนุนพรรคเพื่อไทย คุกคามนักการเมืองพรรคเพื่อไทย แต่กลับอวยอำนาจให้กับกลุ่มคนที่สนับสนุนให้โค่นล้มพรรคเพื่อไทย พร้อมๆ กับทำลายศักดิ์ศรีของสื่อมวลชนภาคสนามอย่างรุนแรงแบบที่ไม่เคยมีมาก่อนในรอบหลายสิบปี รวมทั้งยังใช้กฎหมาย ม. 112 อย่างบิดเบือนและก่อผลร้ายแรงต่อชีวิตประชาชนจำนวนมาก แถมยังพยายามคงอำนาจในการละเมิดสิทธิเสรีภาพของประชาชนด้วยพรบ.ดิจิทัล และการขยายอำนาจของศาลทหาร 

ยอมรับความจริงกันได้หรือยังว่า รัฐบาลทหารไม่ได้กำลังสู้อยู่กับนักการเมืองคอร์รัปชั่น รัฐบาลทหารล้มเหลวในการแก้ปัญหาทางการเมือง รัฐบาลทหารไม่ได้มีความเป็นกลางทางการเมือง รัฐบาลทหารไม่สามารถซื้อใจให้คนอีกจำนวนมากหันมารักได้ รัฐบาลทหารเป็นส่วนหนึ่งของความขัดแย้งทางการเมือง  

รัฐบาลทหารกำลังสู้อยู่กับความรักชาติ รักประชาชน รักประชาธิปไตยของผู้คนอีกจำนวนมาก และวิธีจัดการกับคนรักชาติ รักประชาธิปไตย รักประชาชนด้วยการใช้กำลังรุนแรงแบบที่ใช้อยู่ทุกวันนี้ ก็กำลังยิ่งผลักให้รัฐบาลทหารเป็นศัตรูของประชาชนมากยิ่งขึ้นเรื่อยๆ

บล็อกของ ยุกติ มุกดาวิจิตร

ยุกติ มุกดาวิจิตร
เมื่อวาน (4 ตุลาคม 2560) นิสิตมหาวิทยาลัยหนึ่งโทรศัพท์มาสัมภาษณ์เรื่องการพิมพ์คำ "คะ" "ค่ะ" ผิดๆ ในโซเชียลมีเดียและการส่งข้อความต่างๆ บอกว่าจะเอาไปลงวารสารของคณะเธอ เธอถามว่าการใช้คำผิดแบบนี้มีนัยทางสังคมอย่างไร
ยุกติ มุกดาวิจิตร
เมื่อคืนวาน (30 กันยายน 2560) นักศึกษาปริญญาโทชั้นเรียนมานุษยวิยาคนหนึ่ง ซึ่งเป็นผู้เขียนบทละครเรื่อง "The Dark Fairy Tales นิทานเรื่องนี้ไม่เคยเล่า" ชวนไปดูและร่วมแลกเปลี่ยนความเห็นหลังละครจบ ช่วยให้คิดอะไรเกี่ยวกับการอ่านนิทานได้อีกมากทีเดียวจึงอยากบันทึกไว้
ยุกติ มุกดาวิจิตร
การสนทนาอย่างออกรสไม่ได้จะต้องอยู่ในบรรยากาศเคร่งขรึมในห้องเรียน ห้องสัมมนาเสมอไป ด้วยเหตุนี้ผมจึงเชื่อว่า การใช้เวลานอกห้องเรียน นอกห้องสัมมนาวิชาการ สำคัญไม่น้อยไปกว่าการใช้เวลาในห้องสี่เหลี่ยมที่มีระเบียบต่างๆ ควบคุมการสนทนาอย่างเคร่งครัดเกินไป
ยุกติ มุกดาวิจิตร
จากเหตุการณ์เข้ามาคุกคามพื้นที่ทางวิชาการของคณะทหารในการประชุมไทยศึกษานานาชาติครั้งที่ 13 ที่เชียงใหม่ จนทำให้นักวิชาการที่มาร่วมประชุมกลุ่มหนึ่งแสดงออกด้วยการชูป้าย "เวทีวิชาการไม่ใช่ค่ายทหาร" แล้วท้ายสุดมีนักวิชาการ 5 คนถูกตั้งข้อหาว่าเป็นคนนอกเข้ามายุยงให้ต่อต้านรัฐบาล
ยุกติ มุกดาวิจิตร
วันแม่นำความกระอักกระอ่วนใจมาให้ผมตั้งแต่ยังเด็ก เพราะแม่ในเพลง "ค่าน้ำนม" ที่เด็กในกรุงเทพฯ รุ่นผมถูกให้หัดร้องตามจนแทบจะจำเนื้อได้ทั้งเพลงมาตั้งแต่จำความได้ ไม่ตรงกับแม่ในชีวิตจริงของผม
ยุกติ มุกดาวิจิตร
ในฐานะอาจารย์มหาวิทยาลัยคนหนึ่ง ผมไม่อาจยอมรับการกระทำของอาจารย์ต่อนิสิตด้วยความรุนแรงดังที่เกิดขึ้นที่มหาวิทยาลัยอันทรงเกียรติแห่งหนึ่งได้ 
ยุกติ มุกดาวิจิตร
วันนี้เกิดความผิดพลาดบางอย่างทำให้บทแนะนำอาจารย์แคทเธอรีน บาววี องค์ปาฐกคนหนึ่งของงานประชุมไทยศึกษาปีนี้ที่จังหวัดเชียงใหม่ ไม่ได้ถูกนำเสนอในงานประชุม ในเมื่อผมเตรียมไปพูดแล้วแต่ไม่ได้พูด ก็ขอนำบันทึกที่ร่างไว้นี้มาเผยแพร่ในที่นี้แทนก็แล้วกัน 
ยุกติ มุกดาวิจิตร
"ฟ้าข้างในนี้กว้างกว่าข้างนอก ฟ้าในนี้กว้างจนแทบจะเห็นขอบฟ้า"
ยุกติ มุกดาวิจิตร
ช่วงนี้คงเป็นช่วงเขียนรายงาน เขียนวิทยานิพนธ์ของหลายๆ คน ผมเองช่วงนี้เป็นช่วงต้องอ่านงานนักศึกษามากมาย ที่สาหัสที่สุดคืองานวิทยานิพนธ์ของนักศึกษาปริญญาโทและเอก 
ยุกติ มุกดาวิจิตร
ผมอ่านงานจิตรครั้งแรกๆ ก็ตอนที่เรียนมหาวิทยาลัยระดับปริญญาตรี ตอนนั้นเมื่อออกจากโลกโรงเรียนก็รู้สึกว่า โลกหนังสือของห้องสมุดธรรมศาสตร์ช่างกว้างใหญ่มาก กว้างใหญ่กว่าห้องสมุดแห่งชาติที่สมัยเรียนมัธยมผมชอบไปสิงอยู่มากนัก นี่กล่าวเฉพาะหนังสือที่น่าอ่านเกี่ยวกับสังคม วัฒนธรรม ปรัชญา และศาสนา
ยุกติ มุกดาวิจิตร
วันนี้ (3 พค. 60) ผมไปวิจารณ์งานนักศึกษาที่มหาวิทยาลัยซึ่งคณะราษฎรมีส่วนก่อตั้งเช่นกัน แต่สำคัญผิดกันไปว่าผู้อื่นมีบุญคุณมากกว่า
ยุกติ มุกดาวิจิตร
บางทีนามสกุลกับบทบาทความเป็นครูของครูฉลบชลัยย์ พลางกูร คงไม่ทำให้คนสนใจครูฉลบเกินบทบาทไปกว่าการเป็นภรรยาของนายจำกัด พลางกูร และเป็นผู้ให้กำเนิดโรงเรียนดรุโณทยาน