Skip to main content

จากเมืองไลและเมืองซอมา ผมกับเพื่อนร่วมทางมุ่งหน้าไปจุดหมายต่อไปคือไปพักที่เมืองถาน (Than Uyên) เมืองสำคัญของชาวไตดำอีกเมืองหนึ่ง เพื่อที่วันรุ่งขึ้นจะได้เดินทางต่อไปยังเมืองลอ (Nghĩa Lộ) โดยผ่านนาขั้นบันไดในถิ่นของชาวม้งที่อำเภอ หมู่ กัง จ่าย (Mù Căng Chải) และถิ่นฐานชาวเย้าที่ทำนา ณ เมืองลุง (Tú Lệ) แล้วพักค้างคืนที่เอียน บ๋าย (Yên Bái) ก่อนมุ่งหน้าสู่ฮานอยในอีกวันหนึ่ง ตลอดเส้นทางนี้ผมใจหายกับความเปลี่ยนแปลงหลายอย่าง

เมื่อออกจากเมืองซอแล้วผ่านมายังที่ตั้งตัวจังหวัดลายเจิวแห่งใหม่ ผมแทบจำไม่ได้ว่าเมืองลายเจิวใหม่เป็นอย่างไร เพราะถนนขนาดใหญ่สายใหม่ที่ตัดผ่านด้านหลังของเมืองเป็นถนนเลี่ยงเมืองนั้น ตัดผ่านหลังหมู่บ้านที่เคยมาอาศัยนอนและอาศัยอาหารกินในยามจำเป็นที่ผ่านมาแล้วหาที่พักไม่ได้ ในครั้งนั้นเมื่อสัก 12 ปีก่อน ยังแถมได้พบนักวิชาการท้องถิ่นกับได้ไปสังเกตการณ์พิธีศพ มาปีนี้ไม่มีโอกาสได้แวะเยี่ยมเยียนพวกเขา

เมื่อออกจากตัวจังหวัดลายเจิวใหม่ ผมจำได้ว่าจะต้องถึงตาม เดื่อง (Tam Đường) ซึ่งเป็นบริเวณที่ชาวเย้าอาศัยอยู่ ผมเที่ยวจดจ้องมองหามุมงาม ๆ ของถนนคดเคี้ยวที่เคยลงไปถ่ายรูป แต่มองหาเท่าไหร่ก็ไม่พบ เพราะถนนใหม่ตัดจากอีกทางหนึ่ง ก็เลยอดทบทวนมุมที่ชื่นชอบไปหนึ่งมุม แต่ระหว่างทางจากนั้น เมื่อผ่านมาแล้วก็ให้รู้สึกเสียดายเหมือนกันที่ไม่ได้จอดรถทักทายชาวเย้าที่นั่งอยู่ริมทาง แต่ความเปลี่ยนแปลงอย่างหนึ่งคือ ชาวเย้ามานั่งขายของริมถนนน้อยลง และที่นาชาวเย้าแถวนั้นก็ดูรกร้าง อาจจะเพราะผลกระทบจากความหนาวเย็นของฤดูหนาวปีที่ผ่านมา ที่คงหนาวและแล้งจนทำให้ต้องรอเวลานานกว่าพื้นดินและแหล่งน้ำจะฟื้นฟู

ผ่านตามเดื่องมาอย่างรวดเร็ว ผมมองหาตลาดที่เคยพบเห็นชาวลื้อจำนวนมากเดินไปมาจับจ่ายซื้อของ เมื่อพบว่าเส้นทางเปลี่ยนมาอยู่หลังตลาดอีกแล้ว ผมก็เริ่มกังวลใจ ให้คนขับรถถามหาตลาดเก่า พบว่าเราเพิ่งเลยมาแต่เป็นเส้นทางด้านใน เมื่อวกกลับไปก็ไม่เจอชาวลื้อสักคน ก็เลยถามชาวเวียดแถวตลาดว่าเข้าไปบ้านชาวลื้อไปอย่างไร ผมสังเกตเห็นอย่างหนึ่งว่า ชาวเวียดแถบนี้ดูต้อนรับขับสู้นักท่องเที่ยวมากขึ้น เปิดเผยพื้นที่ต่าง ๆ มากขึ้น

วกไปวนมาสักพักก็เจอกับชาวลื้อและหมู่บ้านลื้อเข้าจนได้ แถมยังได้ทักทายพูดคุยกับพวกเขา เพื่อนร่วมทางผมซึ่งเป็นชาวเชียงใหม่พบว่าภาษาลื้อสื่อสารกับภาษาเชียงใหม่ด้วยคำศัพท์ได้ค่อนข้างดีแต่เสียงวรรณยุกต์ต่างกัน ส่วนผมพบว่าภาษาไตดำต่างจากภาษาลื้อที่คำศัพท์ แต่เสียงวรรณยุกต์คล้ายกัน อย่างไรเสีย ก็ช่วยให้สบายใจขึ้นบ้างว่าชาวลื้อยังคงอยู่ที่บ้านชาวลื้อย่านบิ่งญ์ ลือ (Bình Lư) ดังเดิม เพียงแต่ผมอาจมาถึงถิ่นเขาในเวลาที่เขาไม่ได้มาปรากฏตัวในตลาด อย่างไรก็ตาม พวกเขาแต่งตัวเปลี่ยนไปบ้างเช่นกัน

จากนั้นผมก็แค่ลุ้นว่า ก่อนเข้าเมืองถาน จะมองเห็นภูสามเส้าหรือเปล่า แต่แล้วก็ต้องตกใจอีกครั้งเมื่อถนนตัดใหม่พารถขึ้นมาอยู่เหนือภูสามเส้า ส่วนหมู่บ้านด้านล่าง มีการยักย้ายเปลี่ยนที่ทาง การจัดสรรพื้นที่เกิดขึ้นพร้อมกับโรงแปลงไฟฟ้าขนาดย่อม

เช้าวันรุ่งขึ้น ผมไม่ทันได้ไปสำรวจตลาดเมืองถาน เพราะสาละวนอยู่กับการเขียนบันทึกของวันก่อนหน้า แล้วก็ต้องรีบมาหาของกิน ก่อนออกเดินทางต่อไป ความจริงเมื่อคืนก่อนนอน แทนที่ผมจะใช้เวลาเขียน แต่ก็กลับหมดเวาส่วนหนึ่งไปกับการดื่มเบียร์ แต่นั่นก็ดีเหมือนกันเพราะทำให้ได้พูดคุยกับลูกจ้างของร้านอาหารของโรงแรมที่ก็อยากรู้เรื่องราวของพวกเราเช่นกัน ทำให้ได้เรียนรู้ชีวิตส่วนหนึ่งของพวกเด็ก ๆ ที่มารับจ้าง ส่วนหนึ่งมาจากต่างเมือง และส่วนหนึ่งก็เป็นเด็กชาวไตทั้งจากต่างถิ่นและจากในเมืองถานเอง

เด็กคนหนึ่งเล่าว่า ระยะทางที่ผมจะไปข้างหน้าจะได้เจอเขื่อนอีกหลายแห่ง เมื่อหัวค่ำ ก็มีคนขับรถบรรทุกวัสดุก่อสร้างขนาดใหญ่มาพักกินข้าว ถามคนรถดูเขาบอกว่าขนวัสดุก่อสร้างเขื่อน กำลังจะขึ้นไปห่า ซาง (Hà Giang) จังหวัดชายแดนเวียดนาม-จีนทางตะวันออกเฉียงเหนือ ผมแปลกใจที่รถขนวัสดุก่อสร้างวิ่งขึ้นมาทางนี้ เพราะเขาจะต้องไปผ่านเมืองซาปา (Sa Pa) ผมสงสัยว่าทำไมเขาไม่ขึ้นจากฮานอยแล้วเลียบสำน้ำโลขนานน้ำแดงขึ้นไปห่าซาง หรือเป็นเพราะว่าพวกเขาไม่ได้มาจากฮานอย แต่ก็ทำให้ได้รู้ว่า กำลังมีการสร้างเขื่อนในจังหวัดห่าซางเช่นกัน

เรื่องราวของการสร้างเขื่อนจึงกลายเป็นประสบการณ์ใหม่บนเส้นทางนี้ของผม ผมจำได้ว่า เมื่อสิบกว่าปีก่อน เมื่อผ่านมาเส้นนี้เป็นครั้งแรก ถนนเลวร้ายมาก หลายแห่งกำลังสร้าง ทำให้รถต้องหยุดรอเป็นชั่วโมงหลายครั้ง เมื่อผ่านมาอีกครั้งก็รู้สึกว่าหมอกจะลงหนา มองแทบไม่เห็นอะไร เพราะหมู่กังจ่ายสูงมาก ฤดูหนาวจะหนาวและหมอกจัดไม่แพ้ซาปา มีเพียงครั้งเดียวที่ผ่านแล้วประทับใจกับเส้นทางนี้เป็นเดือนที่ฟ้าเปิดยิ่งกว่าที่มาคราวนี้เสียอีก คราวนั้นเมื่อได้เห็นนาขั้นบันไดอย่างเต็มตาแล้วก็คิดว่า จะต้องกลับมาเห็นอีกให้ได้

เช้าวันต่อมา ผมตระเตรียมเวลาเพื่อว่าจะให้พอดีกับการผ่านเส้นทางแสนงดงามนี้ แต่แล้วสิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น คือแทนที่จะตื่นตะลึงกับนาขั้นบันได ผมกลับต้องตื่นตะลึงกับ “เขื่อนขั้นบันได” แทน ระหว่างทางเลียบถนนจากเมืองถานขึ้นไปหมู่กังจ่ายจนเลยหมู่กังจ่ายไปสัก 10 กิโลเมตร มีเขื่อนผลิตไฟฟ้ากั้นลำห้วยเป็นระยะ ๆ ถึง 6 เขื่อนด้วยกัน แรกทีเดียวผมสังเกตเห็นว่าน้ำลดลงเป็นระยะ ๆ ตั้งแต่ออกจากเมืองถาน จนเมื่อมาพบกับเขื่อนแรกที่เมืองกิม

จากนั้นเมื่อรถไต่ระดับขึ้นไปสูงอีก ก็พบว่าน้ำค่อย ๆ แห้งลงอีกช่วงหนึ่ง แล้วเราก็พบกับเขื่อนอีกแห่ง จากนั้นเป็นต้นไป สมาชิกที่ร่วมเดินทางมาก็ตั้งข้อสังเกตว่า หากมีน้ำลดระดับอีกก็คงจะมีเขื่อนอีก แล้วเมื่อรถวิ่งไปอีกราว 20 กิโลเมตร น้ำก็เริ่มแห้งลง ๆ แล้วก็พบกับเขื่อนแห่งที่สาม ถึงตอนนั้นผมเริ่มหวั่นใจแล้วว่า นาขั้นบันไดกำลังจะถูกแทนที่ด้วยเขื่อนที่สร้างในระดับที่สูงขึ้นเรื่อย ๆ ของลำน้ำ

 

เขื่อนเว้นช่วงไปอีกไกลทีเดียว ปล่อยให้พื้นที่นาขั้นบันไดที่ยังคงความงามเหนือจริงรักษาตัวรอดมาได้อีกระยะหนึ่ง พวกเราหยุดที่หนึ่งที่ผมเองเผอิญมองลอดบ้านเรือนริมทางผ่านไปยังนาขั้นบันไดในพื้นที่ขนาดใหญ่ทอดตัวจากถนนพาดผ่านไหล่เขาทั้งลูกลงไปยังลำธารด้านล่าง พวกเราถือวิสาสะเดินผ่านเรือนชาวม้งเข้าไปชื่นชมความงาม

 

 

ผมทักชาวม้งคนหนึ่งที่กำลังทำงานอยู่ด้วยภาษาเวียดแปลว่า “นาสวยมากเลยครับ” เพื่อนบ้านของเรือนที่พวกเราถือวิสาสะเข้าไปขอพื้นที่ชมนาตอบกลับมาว่า “สวยแน่นอนอยู่แล้ว” พี่เหี่ยนคนขับรถบอกผมว่า “คุณนี่ช่างรู้จริง ๆ ว่าอะไรดี ๆ ของเวียดนามอยู่ที่ไหน ผมเองคนเวียดแท้ ๆ ยังไม่รู้เลย” แล้วพี่เหี่ยนก็ระดมถ่ายภาพด้วยกล้องของแก แกกลายเป็นนักท่องเที่ยวไปพร้อม ๆ กับพวกเรา

 

จากนั้นผม ผมเริ่มระแวงว่านาขั้นบันไดตรงเหลี่ยมมุมที่ผมเคยเห็นจะยังอยู่หรือเปล่า หรือถูกเขื่อนขั้นบันไดลบเลือนไปหมดแล้ว ในบริเวณน้ำเหนือเขื่อนที่ผ่านมา ผมเห็นร่องรอยของนาขั้นบันไดที่ถูกน้ำท่วม ที่นาหลายแห่งในที่สุ่มก็เหมือนเคยถูกน้ำท่วมแล้วขณะนี้ถูกทิ้งร้างไป จากนั้นก่อนเข้าเมืองเล็กน้อย เราพบกับเขื่อนแห่งที่สี่ แล้วหลังจากเขตเมือง ก็มีเขื่อนอีกเขื่อนเป็นเขื่อนที่ห้า ซึ่งมีอ่างเก็บน้ำเหนือเขื่อนขนาดใหญ่ที่สุดในบรรดาเขื่อนทั้งหมดที่เพิ่งผ่านมา เขื่อนแห่งที่ห้านี้ทำให้กริ่งเกรงใจที่สุดว่า นาขั้นบันไดจะหายไปเกือบหมดในที่สุดหรือไม่

 

เมื่อพ้นจากเขื่อนที่ห้านี้ น้ำก็ค่อย ๆ แห้งอีกจนพบว่ากำลังมีการก่อสร้างเขื่อนอีกแห่งเป็นจุดที่หก แต่จากนั้นก็ยังได้เห็นนาขั้นบันไดที่เคยเห็นอีกช่วงเป็นช่วงสุดท้ายก่อนที่เส้นทางจะไต่ระดับขึ้นสูงจนกลายเป็นพื้นที่ของสนสามใบและมองไม่เห็นลำห้วยอีกต่อไป

 

 

ว่ากันว่าเขื่อนไฟฟ้าพลังน้ำเป็นพลังงานที่ถูกที่สุด แล้วถ้าไม่มีเขื่อน ก็ไม่มีไฟฟ้าพอสำหรับการลงทุน แต่เขื่อนที่กั้นลำน้ำในหุบเขาที่คนยากจนจำนวนหนึ่งอาศัยทำกินอยู่นี้เป็นการลงทุนที่คุ้มค่าหรือไม่ ผมก็ไม่รู้คำตอบ คำถามหนึ่งที่เพื่อนร่วมทางตั้งอย่างน่าสนใจคือ เขื่อนเหล่านี้ใครเป็นคนลงทุน ถ้าที่คนขับรถรู้มาไม่ผิด คำตอบที่ได้จากพี่เหี่ยนคือเขื่อนเหล่านี้ลงทุนโดยเอกชน แล้วส่งกระแสไฟให้รัฐจัดการ อย่างน้อยเท่าที่เราเห็น เพื่อนร่วมทางตั้งข้อสังเกตว่า นี่เป็นวิธีจัดการที่แตกต่างคนละขั้วกับการผูกขาดการผลิตไฟฟ้าในประเทศไทย นอกจากนั้นบ้านเรือนบริเวณเขื่อนก็มีกระแสไฟฟ้าใช้ ไม่เหมือนประเทศไทยที่เคยมีบ้านเรือนบริเวณเขื่อนที่ไม่มีไฟฟ้าใช้

 

เขื่อนที่ห้าบนเส้นทางจากเมืองถานถึงหมู่กังจ่าย

 

ผมเก็บคำถามและข้อสงสัยเหล่านั้นมาเป็นการบ้านที่ต้องศึกษาเรื่องนโยบายและการจัดการพลังงานในประเทศเวียดนามเพิ่มเติม และก็ได้รู้เห็นกับตา พร้อมมองผ่านไปในอดีตว่า เส้นทางนี้เกิดความเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวงอย่างไร

 

ผมเคยคิดว่า รัฐบาลเวียดนามไม่น่าลงทุนสร้างเส้นทางนี้เลย เพื่อว่าความทุรกันดารจะได้เก็บธรรมชาติ ผู้คนและวิถีชีวิตแบบนี้ไว้ แล้วยังเคยหวังว่า รัฐบาลเวียดนามคงสร้างเส้นทางนี้ให้กลายเป็นเส้นทางท่องเที่ยวเพื่อยกระดับเส้นทางนี้เป็นมรดกของชาติและมรดกโลกต่อไป ความคิดเพ้อฝันของผมมันไร้สาระจริง ๆ เมื่อได้มาเห็นว่า เขาพัฒนาเส้นทางนี้เพื่อนำไปสู่การสร้างเขื่อนลดหลั่นเป็นขั้นบันได การก่อสร้างขนาดใหญ่นี้ต้องการเส้นทางคมนาคมที่ดี

 

 

เมื่อเข้าใจดังนี้และมองย้อนกลับไปยังเส้นทางเลียบลำน้ำหนาก่อนเข้าเมืองซอแล้ว ผมก็เริ่มนึกขึ้นมาได้ทันทีว่า ยังมีถนนเลียบล้ำนำ้ในหุบเขาภาคเหนืออีกจำนวนมากในเส้นทางที่ผมเคยเดินทางไป ขณะนี้ลำน้ำเหล่านั้นคงกำลังแบกรับเขื่อนอยู่เช่นเดียวกันกับลำน้ำในหุมเขาภาคตะวันตกเฉียงเหนืออย่างแน่นอน

บล็อกของ ยุกติ มุกดาวิจิตร

ยุกติ มุกดาวิจิตร
เพ่ิงกินอาหารเย็นเสร็จ วันนี้ลงมือทำสเต็กเนื้อ เนื้อโคขุนไทยๆ นี่แหละ ต้องชิ้นหนาๆ หน่อย ย่างบนกะทะเหล็กหนาๆ ที่หอบหิ้วมาจากอเมริกา เป็นกะทะเทพมากๆ เพราะความร้อนแรงดีมาก ใช้เวลาไม่ถึงสิบนาที เกรียมได้ที่ทั้งสองด้าน
ยุกติ มุกดาวิจิตร
"การศึกษา" ต้องการพื้นที่ลักษณะใดลักษณะหนึ่ง เมื่อความรู้เปลี่ยนแปลงไป เมื่อการเรียนรู้ไม่ได้อยู่ในอำนาจของสถาบันการศึกษาเพียงเท่านั้น พื้นที่การเรียนรู้ก็ย่อมจะต้องเปลี่ยนไปด้วย แต่ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงของโลกการเรียนรู้ ยังมีคนบางกลุ่มดื้อรั้นขัดขวางการเปลี่ยนแปลง
ยุกติ มุกดาวิจิตร
 แน่นอนว่าโฆษณาโปรแกรมเรียนภาษาไทย (บางคนบอกเป็นแค่ตลกล้อเลียน?) ที่เป็นข่าว 2-3 วันที่ผ่านมานั้น ตั้งอยู่บนอคติทางเพศ ดูถูกเพศหญิงว่าเป็นวัตถุทางเพศ ดูถูกเพศชายว่าจ้องเสพสุขทางเพศท่าเดียว (หรือหลายท่า?) สร้างภาพเหมารวมให้คนไทยและสังคมไทยไร้ศีลธรรม (ดูสิ เราออกจะเมืองพุทธ เมืองพระ) แต่ที่ยังน่าจะต้องทำความเข้าใจคือ ปฏิกิริยาที่คนไทยมีต่อวิดีโอล้อเลียนนี้ 
ยุกติ มุกดาวิจิตร
ข้อเขียนนี้พยายามทำความเข้าใจตรรกะของพระเจ้าอยู่หัว ที่ทรงแสดงไว้ในวันที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2548 ว่าพระองค์มีทัศนะต่อแนวคิด The King Can Do No Wrong อย่างไร และมาตรา 112 ควรแก้ไขเพราะเหตุใด
ยุกติ มุกดาวิจิตร
การตัดสินคดีของสมยศ พฤกษาเกษมสุขและอีกหลายๆ คดีก่อนหน้านี้ด้วยประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 (ม.112) ชี้ให้เห็นยิ่งขึ้นทุกวันว่า รัฐไทยกำลังสร้างความรักด้วยการใช้กำลังข่มเหงให้ประชาชนรักประมุขของประเทศ หาใช่การส่งเสริมให้เกิดความรักประมุขจากใจจริงของประชาชนไม่
ยุกติ มุกดาวิจิตร
งานวิจัยทางสังคมศาสตร์ที่ดี โดยเฉพาะงานทางมานุษยวิทยา มักมีแรงขับจากอารมณ์ใคร่บางอย่าง
ยุกติ มุกดาวิจิตร
หากเรียกร้องเรื่องทรงผม ก็ต้องเรียกร้องเรื่องชุดนักเรียนนักศึกษาด้วย จะได้เป็นก้าวแรกของการอภิวัฒน์การศึกษาไทยอย่างจริงจังเสียที พวกผู้ใหญ่ที่คอยเรียกร้องนักเรียนกับครูอาจารย์ ให้สอนให้เด็กรู้จักคิดน่ะ พวกท่านเคยคิดบ้างหรือเปล่าว่า ชุดนักเรียนนักศึกษาเป็นปราการปิดกั้นเสรีภาพการคิดอย่างไร และเด็กๆ เองก็ควรเข้าใจด้วยว่า การควบคุมเรือนร่างเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างสังคมแบบอำนาจนิยมอย่างไร
ยุกติ มุกดาวิจิตร
ข่าวการเสียชีวิตของอาจารย์พัฒนา กิติอาษาเมื่อเช้าตรู่วานนี้ (10 มกราคม 2556) คงไม่เป็นที่สนใจของใครต่อใครนอกแวดวงวิชาการสังคมศาสตร์มากนัก แต่นี่นับเป็นความสูญเสียครั้งสำคัญของแวดวงสังคมศาสตร์ไทยและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ยุกติ มุกดาวิจิตร
หากพวกคุณวิจัยสำรวจอย่างตรงไปตรงมาจริงๆ พวกคุณก็ย่อมรู้อยู่แก่ใจดีว่า ชัยชนะจากคะแนนเสียงที่ "ไม่่่ท่วมท้นนัก" ในการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา มาจากกลุ่มคนที่มีความหวังว่าเพื่อไทยจะเป็นเดินหน้าพัฒนาประชาธิปไตยในประเทศไทยอย่างจริงจังเสียที
ยุกติ มุกดาวิจิตร
สังคมไทยมีสังคมแบบหนึ่งที่แทรกซ้อนอยู่ในสังคมขนาดใหญ่ คือสังคมดัดจริต สังคมดัดจริตไม่ได้มีขนาดใหญ่โต แต่เป็นสังคมของคนชั้นกลางและคนใหญ่คนโตที่กำลังเสื่อมอำนาจ สังคมดัดจริตคอยผลิตวัฒนธรรมดัดจริตเพื่อทำให้ตนเองดูดีมีหลักการ เพื่อให้ตนเองอยู่เหนือคนส่วนใหญ่ที่ไม่มีจริตจะดัด และเหนืออื่นใดคือเพื่อปกป้องฐานะอำนาจของตนเอง 
ยุกติ มุกดาวิจิตร
ตื่นเช้าขึ้นมาวันนี้ คือวันที่ 1 มกราคม 2556 ผมลองคิดบวกดูบ้าง คือคิดแบบเข้าข้างตนเองทบทวนดูว่า หนึ่งปีที่ผ่านมาได้ทำอะไรใหม่ๆ ให้ตนเองบ้าง คำถามแรกที่ผุดขึ้นมาในสมองผมคือ ได้อ่านหนังสืออะไรที่นับว่าตัวเองได้เรียนรู้อะไรใหม่ๆ บ้าง แล้วก็คิดไปเรื่อยว่า ได้ทำอะไรที่ให้การเรียนรู้ใหม่ๆ ประสบการณ์ใหม่ คิดอะไรใหม่ๆ บ้าง
ยุกติ มุกดาวิจิตร
ยามปีใหม่ ยากที่จะหาของขวัญที่ไม่กลายเป็นขยะในชั่วข้ามคืนได้ เพื่อนชาวอเมริกันที่ผมรู้จักหลายคน ซึ่งดูท่าจะทั้งเป็นนักช้อปและเป็นคนช่างมีเหตุผล ก็เลยใช้วิธีให้เด็กๆ เขียนลิสต์รายการสิ่งของที่อยากได้ยามสิ้นปี เพื่อเป็นหลักประกันว่าของที่ซื้อมาให้จะถูกใจผู้รับสักชิ้นหนึ่ง