แสงดาว ศรัทธามั่น
* @ " ปุ๋ ย ... นั น ท โ ช ติ ชั ย รั ต น์ "เพื่อนแจ่มชัด สู้เพื่อโลก - ประชาชนได้สุขสันต์พริ้มบทเพลงกล่อมเห่เป็นนิรันดร์พลิ้วเพลงฝันกล่อมโลก กล่อมชีวี- - - ชั่วชีวาแห่งเธอแกร่งกล้างามเสมอนั้นเหลือที่คุณค่า คงมั่น หยัดยืน ณ ปฐพีร่วม " ลุ ก ขึ้ น สู้ " เพื่อพี่น้องผู้ถูกกดขี่ ... ประชาชน... เ ธ อ มี จิ ตวิ ญ ญา ณ สะอาดสดใสงา ม ด ว ง ใ จ เ จิ ด จ้าแจ่มเหลือล้นแห่งเพื่อนพี่น้อง " ส มั ช ชา ค น จ น "เพื่อ ผู้ทุกข์ทน ทุกข์ยาก ได้กำ ชั ย !!!... พริ้ มตาหลับลงเถิด เพื่อนแก้วเอ๋ยสายลมโชยพัดรำเพย อวยพรให้ผีเสื้อ แมลงปอ แล ดอกไม้โ ล ก เ อ กภ พ จั ก ร วาล ฉ่ำไล้ โอบกอด เ ธ อ** จิ ต วิ ญญา ณ- เ ธ อ - ฉัน - นั้นคงอยู่นามนักสู้คงมั่นแกร่งเสมอแม้ พรากจากหัวใจ ยังเจอะเจอพบกันเน้อ ชาติใหม่ ... I L O V E Y O U ! ! !คารวะอาลัยแด่ .."ปุ๋ ย + ลูก ลำ น้ำ"* อ้าย "แ ส ง ดา ว ศ รั ท ธา มั่ น"** อ้าย "ไ พ ฑู ร ย์ พ ร ห ม วิ จิ ต ร"คิมหันตฤดู , "สุดสะแนน" , 2 พ.ค. 51 , ล้านนาอิสระ , เจียงใหม่
พันธกุมภา
มีนาถึง พันธกุมภาอายุ...วัย หากเราเพียงแบ่งแค่ผู้ใหญ่กับเด็กเหมือนกับสังคมทั่วๆ ไปเขามองกัน เราอาจจะมองเห็นคนแค่ 3 กลุ่มในช่วงชีวิต คือเด็ก วัยทำงาน และผู้ใหญ่ ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริงของชีวิต ทั้งการเข้าสู่การเรียน การทำงาน และการใช้ชีวิตทั่วไป เราต้องเคารพคนที่อายุมากกว่าเราหรืออาจจะต้องนับถือคนที่อายุน้อยกว่าเราแต่มีคุณสมบัติมากกว่าคุณสมบัติทั้งการศึกษา การใช้ภาษาอังกฤษ ครอบครัวมีฐานะดี พ่อแม่เลี้ยงดูมาอย่างดี ฯลฯ สิ่งเหล่านี้ พี่ขอเรียกว่าเป็น “คุณสมบัติทางโลก” ซึ่งอาจจะไม่ใช่ “ความดี” ที่เมื่อก่อนได้รับการให้คุณค่าอย่างสูง ไม่ว่าเราจะอยู่ในวัยใด ความดีไม่มีอายุ หากแบ่งแยกกับความไม่ดี/ความชั่ว เท่านั้น“ธรรม” แห่งพระพุทธองค์ไม่ได้เลือกว่า คนๆ นั้นจะสนใจอะไรในการทำความดี คำว่า “กระแส” สำหรับพี่จึงเท่ากับ “ฮิต” อย่างเช่น กระแสสังคมที่มองว่าวัยรุ่น “เปราะบาง” ป้อนสิ่งใดเข้าไปก็รับง่ายๆ โดยเฉพาะเรื่องไม่ดี ที่ทำให้ผู้ใหญ่ตกใจและตื่นเต้นมากมาย สิ่งเหล่านี้เห็นอยู่ในหน้าข่าวบ่อยๆข้อสังเกตอย่างหนึ่งก็คือ ข่าวดีของเด็กมักไม่เป็นที่สนใจและกล่าวถึง ทั้งๆ ที่มีข่าวดีๆ อยู่มาก อย่างเช่น การสอบเข้าเรียนต่อ การได้รับทุนการศึกษา เด็กที่ช่วยเหลือพ่อแม่ทำงาน ฯลฯ แต่ข่าวที่ได้รับความสนใจกลับเป็นเรื่องเด็กวัยรุ่นกระทำความรุนแรง หรือตกเป็นเหยื่อของการถูกกระทำความรุนแรง กลับได้รับความสนใจอย่างมากมาย เช่น เด็กติดเกม เด็กตบตีกันแล้วถ่ายเป็นคลิปมือถือ...แล้วคนรุ่นก่อนหน้านี้ ไม่เคยกระทำความรุนแรงต่อกันเลยหรืออย่างไร ทำไมจึงกล่าวร้ายเฉพาะเด็กวัยรุ่นสมัยนี้เท่านั้น
รวิวาร
สีแดงมาจากไหน ล่องหนอยู่ในน่านฟ้าหรือ?... เริ่มละเลงลงบนใบหูกวาง ชมพูแซมแทรกด้วยแดง ระบายจุดสีคล้ำตามใบ ก่อนเคลือบด้วยน้ำตาล ฤดูกาลคืบคลานมาช้า ๆ อากาศอุ่นขึ้นเรื่อย ๆ จนกระทั่งถึงขีดสุดกลางเดือนเมษาฯเหยี่ยวดำคู่ผัวเมียแห่งเชิงผาหายไปไม่รู้เนื้อรู้ตัว ดุเหว่าร่อนร้องทั้งยามเช้าและเวลาเย็น ...กาเว๊า ๆ เหยี่ยวทุ่งสีขาวเทาเยี่ยมหน้า โฉบร่อนตามแนวถนน บนกิ่งไม้และเหนือทุ่ง ผืนดินเริ่มแห้ง ต้นหญ้าสลดเฉาดุจเดียวกับพืชผล มะเขือเทศข้างร่องน้ำผลิลูกเล็ก ๆ สีอ่อน ไม่ทันไรก็สุกแดง แห้งเหี่ยวหมดทั้งต้น ฟักทองลูกสุดท้ายสุกเหลืองก่อนโตเต็มขนาดไล่เลี่ยกับแคแสดดอกบานเบ้อเริ่มตามขอบทุ่ง กัลปพฤกษ์ในดวงใจชมพูสะพรั่งที่โน่นที่นี่ ดอกไม้อะไรอย่างนี้ ตลอดปีมีเพียงใบเขียว ๆ กับฝักเก่าๆ แขวนระย้า เมื่อมีนาคมปรบมือเรียกฤดูร้อนย่างกรายมา รากและลำต้นก็ไหวตัว กระซิบบอกเนื้อเยื่อ สั่ง ‘ชีวิต’ ที่อยู่ภายใน...ได้เวลาผลิดอกแล้ว สีชมพูถูกส่งมาแล้ว แล้วเมื่อดอกสีชมพูบานพราวออกมาพร้อมกัน คุณเคยเห็นไหม? ภาพพีชบล็อสซัมในชุดสวนผลไม้เบ่งบานของแวนโกะห์ ต้นไม้สีชมพูที่ส่องสว่างไปทั่วบริเวณ สีสันของมันส่งความรู้สึกมายังเรา เลยไปถึงฟากฟ้า พื้นถนน และแมกไม้ใกล้ ๆ บนภูเขามีดอกเสี้ยวขาว ขณะใบไม้มากมายถูกบ่มด้วยแสงแดดและความร้อน จนกระทั่งผืนป่าเขียวสดเปลี่ยนเป็นสีแดงอ่อนแก่ และน้ำตาล ไม้ป่าที่ออกดอกหน้าร้อนทยอยผลิช่อ เป็นดอกไม้ขาวหรือเหลืองละออ รวมทั้งเถาช่อชมพูฝาดเลื้อยพัน
อิทธิฤทธิ์ ประคำทอง
เด็กสาวทำงานแต่งกายในชุดส่าหรีสีสดเทินกิ่งไม้ไว้บนศีรษะกำลังเดินกลับบ้าน ลูกลิงแสนซนที่ปีนป่ายลูกกรง หญิงชราผู้ค่อยๆ ต่อยก้อนหินให้แตกออกจนเป็นกรวดด้วยมือเปล่า รถสามล้อเก่าผุพังในสีขาวดำ สวามีผู้เร้นกายขึ้นไปปลีกวิเวกอยู่ในถ้ำเล็กๆ เหนือบันไดเจ็ดร้อยขั้น หนุ่มช้ำรักผู้ทำท่าเบื่อโลกนั่งอยู่หน้าโรงหนัง...
ชนกลุ่มน้อย
แม่บอกว่า ล้างข้าวสารหลายน้ำหน่อย ผมรับหม้อข้าวจากมือแม่ ด้วยอยากช่วยแม่หุงข้าว แม่กรอกหม้อมาเรียบร้อยแล้ว เหลือเพียงนำไปใส่น้ำ ผมพูดกับแม่ทันที ไม่ล้างจะดีกว่ามั้ย เพราะข้าวขาวเหลือแต่แกน เมล็ดผอม ขัดสีผิวจนเมล็ดขาวนวล ตามความเข้าใจที่ว่า วิตามินในข้าวจะหายไป แต่แม่ตอบกลับมาว่า ข้าวสารสมัยนี้ ไม่ใช่ข้าวสารสมัยก่อน แม่ชี้ให้ดูกระสอบข้าวสาร หนึ่งกระสอบปุ๋ยราคาหลายร้อยบาท ผมดูตัวหนังสือข้างถุง บอกวันเดือนปีที่ผลิต ชื่อพันธุ์ข้าว จังหวัดที่ผลิต เป็นจังหวัดหนึ่งในภาคกลางตอนล่าง เรากำลังกินข้าวสารจากภาคกลางจริงๆ มันเดินทางมาไกลเหลือเกิน กว่าจะถึงเรือนชานบ้านแม่ผมจะดม แม่ไม่ให้ดมนานๆผมแปลกใจ เราวางใจเมล็ดข้าวได้น้อยถึงเพียงนี้เชียวหรือ เราเคยแต่กรอกข้าวสารเข้าปากเคี้ยวหมับๆ ดิบๆ จนเป็นแป้งหวานๆ มันๆ ก็บ่อย แต่ต้องไม่ใช่ข้าวที่มากับกระสอบ
แสงพูไช อินทะวีคำ
รักเผ่าพันธุ์ รักเพื่อนผอง ต้องรักป่ารักอาป้า พนาไพรเหมือนหัวใจตนรักพี่น้องทุกแห่งหน บนด่านด้าวประคองเอาพนาไพร ไม่ทำลายรักแม่น้ำ แมกไม้และเขาเขียวยามท่องเที่ยว บนภูเขาอย่าละเลยที้งของเสียให้รกร้างดั่งที่เคยความสวยงามก่อนนี้เอ๋ย ให้เสื่อมโทรมให้รักป่าเท่าชีวิต คิดให้ใกลบ่อนเรไรร่ำร้อง พงพนาถิ่นภูเขาเลากา และสัตว์ป่าบนผืนแผนสนธยา น่าอยู่กินหน้าที่เราทุกเผ่าพันธุ์ขันอาสาป้องผืนป่าให้พ้นภัยอันตรายทุกผืนที่ในแดนลาวมิวอดวายคนและป่าอยู่ร่วมกันไป นานเท่านานหากคนเรารักป่าอย่างจริงจังแม้กระทั้งพลีชีพชีวาวายเพื่อผืนดินและผืนป่าคู่คนไปแม้ตัวตาย ขอผืนป่าและสายน้ำค้ำจุนโลกดงดานบ่อนเรไรร่ำร้อง ที่ก่อเกิดถิ่นกำเนิดของแม่น้ำ พงพนาเราหากผลาญผืนป่า น่าใจหายไม่มีน้ำ ทุกชีวิต คงวอดวาย เลื่อนลางหายจากโลกไปไม่กลับมาไม่มีน้ำ ไม่มีป่า นานๆ ไปทะเลทรายกายก่อเกิดให้พบเห็นไม่ใช่ใครสร้างก่อทำกรรมเวรเรานั้นเอง ทำกรรมทำลายตัวนั้นแหละจริงกล่าวเตือน เพื่อนพวกพ้องให้พี่น้องคิดคำนึงถึงชีวีมีผืนป่า จริงมีน้ำล่องไหลอยู่แรมปีคน สัตว์ป่าเปรมปรีย์ มีสุขเอย
มูน
“ขอบคุณมากนะที่มาเจอกัน วันนี้ช่างเป็นวันดีจริงๆ” ชิว สู เฟิน พูดด้วยรอยยิ้มแจ่มใส เอื้อมมือมาบีบแขนฉันเบาๆเธอเป็นคนไต้หวันที่มาอาศัยอยู่ในเมืองไทย และพูดไทยเก่งมาก“ฉันเป็นคนไทเป” เธอเล่าให้ฟัง “คุณเชื่อไหม เมื่อก่อนฉันคิดว่าฉันสวยนะ”ใบหน้าไร้เครื่องสำอางนั้นขาวผ่องสดใส ฉันนึกแปลกใจในถ้อยคำของเธอ ชิว สู เฟิน หัวเราะเมื่อเล่าต่อว่า“เสื้อผ้าฉันต้องซื้อที่ฮ่องกง กระเป๋าต้องซื้อที่ฝรั่งเศส เวลาใส่ชุดสวยๆ ออกจากบ้าน โอ มีความสุขมากเลย แต่สุขได้สามวัน มีคนใส่ชุดสวยกว่าฉันอีก ฉันมีความทุกข์แล้ว วันๆ ฉันก็นั่งอยู่ในตลาดหุ้น ขยันหาเงินเพื่อแข่งกับคนอื่นๆ”เธอยกมือขาวๆ ที่ว่างเปล่าขึ้นมา“ฉันชอบใส่เพชร วันนี้ฉันซื้อเพชรมาใส่หนึ่งกะรัต ภูมิใจมาก วันรุ่งขึ้นเห็นเพื่อนใส่สองกะรัต โอ กลุ้มใจ ต้องรีบหาเงินมาซื้อเพชรสามกะรัต วันไหนฉันดีกว่าเขาฉันก็สุข วันไหนแย่กว่าเขาฉันก็ทุกข์ จิตใจฉันขึ้นๆ ลงๆ อย่างนี้”……………..ชิว สู เฟิน หยิบภาพถ่ายใบหนึ่งให้ฉันดู “คุณเชื่อไหม มีบ้านแบบนี้อยู่ใกล้ๆ สนามบินสุวรรณภูมิ”
รวิวาร
นับแต่วันแรกจนถึงวันนี้ที่เรารู้จัก ฉันรู้สึกเหมือนปาฏิหาริย์ คนบางคนเหมือนสิ่งไม่คาดฝัน อยู่ตรงหน้า พบเห็นเจนตา ทว่า เมื่อคลี่เผยตัวตนออกมากลับงดงามยิ่ง................................................................พี่ดีใจที่ได้รู้จักและสนิทสนมกับน้อง แม้ว่าสายตาหลายคู่ที่มองผ่านอาจเห็นเพียงหญิงสาวกะโปโลเริงร่า ทว่า พี่ได้พบหลายสิ่งหลายอย่างไม่ธรรมดาในตัวน้อง
พันธกุมภา
พันธกุมภาถึง มีนาช่วงปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา มีรุ่นพี่คนหนึ่งมาหาผมที่บ้าน เราสองคนไม่ได้เจอกันมานานหลายปี พอมาเจอกันอีกหนจึงเป็นเรื่องที่ตื่นเต้นไม่น้อยที่ได้พบเจอกัน รุ่นพี่คนนี้ชื่อ “นนท์” พี่นนท์ เป็นรุ่นพี่ที่เคยสอนผมเต้นเชียลีดเดอร์ เมื่อตอนเรียนมัธยมต้น อายุของพี่นนท์ห่างจากผม 2 ปี พี่นนท์เป็นคนต่างหมู่บ้าน แต่เราอยู่ในตำบลเดียวกัน ผมค่อนข้างแปลกใจที่พี่นนท์เปลี่ยนแปลงไป ทั้งการพูด ท่าที การแสดงออก จากเมื่อก่อนที่ค่อนข้างกรี๊ดกร๊าด พูดไม่หยุด และชอบนินทาคนอื่นอยู่บ่อยๆ มาคราวนี้พี่นนท์ไม่เหมือนเดิม คือ นิ่งขึ้น ท่าทีสุขุมเยือกเย็น ไม่ทำท่ารุกรี้รุกรนตอนคุยกันเหมือนเมื่อก่อน แถมยังไม่นินทาใคร ให้ได้ยินเลย“ตอนนี้เป็นยังไงบ้างจ๊ะลูก” พี่นนท์ถามผม หลังจากที่ผมยกมือไหว้ และผมค่อนข้างแปลกใจที่พี่เค้าเรียกผมว่าลูก ผมไม่ได้ถามกลับว่าทำไมถึงเรียกผมว่า ‘ลูก’ ผมเพียงแต่พยักหน้า ตอบและบอกว่า “สบายดีครับ ไม่ได้เจอกันนานเลย พี่สบายดีนะครับ แหม เดี๋ยวนี้เปลี่ยนแปลงเยอะเลยนะ” “ใช่” พี่นนท์ตอบด้วยความมั่นใจ แล้วก็เล่าชีวิตของเขาที่ผ่านมา เขาบอกว่า หลังจากเรียนจบมัธยมปลายก็ไปเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในภาคอีสาน ตอนนั้นเป็นช่วงที่เข้าสู่วัยรุ่น และออกไปอยู่ห่างบ้านเป็นครั้งแรก ช่วงที่เรียนปี 1 ปี 2 ก็ต้องใจเรียน และโทรกลับบ้าน คุยกับคนที่บ้านบ่อยๆ แต่พอขึ้น ปี 3 ปี 4 ก็เริ่มเที่ยวกับเพื่อนๆ แล้วก็ใช้จ่ายของฟุ่มเฟือย จนต้องยืมเงินคนอื่นมา แล้วติดหนี้ในที่สุด
ชนกลุ่มน้อย
ไม่น่าเชื่อว่า ขี้มัน จะเกี่ยวกับพร้าวห้าว คนถิ่นอื่นให้ความหมายของพร้าวห้าวกับขี้มันอย่างไร?
อิทธิฤทธิ์ ประคำทอง
...โอ๊ตเกิดที่ฉะเชิงเทรา จังหวัดหนึ่งในไทย ได้บวชเป็นพระสามอาทิตย์ในปี 2548 ที่วัดสามกอ นอกจากมีงานประจำแล้ว โอ๊ตยังทำงาน อาสาหน่วยแพทย์กู้ชีวิตวชิระพยาบาลในกรุงเทพฯ และย่านแหล่งท่องเที่ยว เป็นอาสาสายตรวจตำรวจจักรยานที่อยุธยาเพื่อดูแลความปลอดภัยให้นักท่องเที่ยวด้วย ที่ ‘สปินน์ คาเฟ่’ มีค็อกเทลให้เลือกมากมาย นอกจากเขาทำค็อกเทล พิงค์เลดี้ หรือพุซซีแค็ทแล้ว เขายังสามารถบอกแนะนำข้อมูลเกี่ยวกับจักรยานได้อีกด้วย สามารถสอนคุณนานกว่าชั่วโมงก็ยังได้ และตอนนี้เขากำลังเรียนภาษาจีนอยู่ แต่เขาพูดตลก เก่งมาก… ข้างความข้างต้นปรากฏอยู่ในหน้า About Us ของเว็บไซต์ www.spinn.cn ซึ่งทำให้เรารู้จักและสนใจ “โอ๊ต” หรือกิตติพงษ์ กองแก้ว หนุ่มไทยนักปั่นวัยยี่สิบเจ็ดย่างยี่สิบแปด หนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้งร้าน Spinn Cafe ร้านอาหารและร้านกาแฟที่มีข้อมูลการท่องเที่ยวทิเบตและบริการซ่อมบำรุงจักรยานขึ้นในกรุงลาซา (Lhasa-เมืองหลวงของทิเบต) ทิเบต