ไม่น่าเชื่อว่า ขี้มัน จะเกี่ยวกับพร้าวห้าว คนถิ่นอื่นให้ความหมายของพร้าวห้าวกับขี้มันอย่างไร?
พร้าวห้าวต้องเป็นพร้าวแก่เท่านั้น
ขี้มัน เป็นเรื่องใหญ่ ไม่ใช่เรื่องเล็ก แต่ไม่ใช่เรื่องยาก เพียงแต่ต้องนั่งเฝ้ากะทิกันนาน
กะทิหรือพัทลุงขนานแท้เรียก หน่ามเถ่ เอามาจากพร้าวห้าว พร้าวแก่ ต้องใช้หลายลูก แค่ลูกสองลูกไม่มีใครทำ ไม่มีใครอยากเฝ้าพร้าวห้าวสองลูกเพื่อจะกินขี้มัน
เป็นขี้มันขึ้นมา หมายถึงได้น้ำมันพร้าวหอมน่าซด กวนกะทิครั้งหนึ่ง ใช้พร้าวนับครึ่งรถรุนทีเดียว หรืออย่างน้อยก็เจ็ดแปดลูก เก้าลูกสิบลูก หลังขูดเสร็จก็บีบคั้นเอากะทิ(หน่ามเถ่) ใส่กะทะใบบัว หรือกะทะใหญ่หนาหนัก ใช้ไม้พายขนาดเอาไปใช้พายเรือได้สบาย
จุดหมายของพร้าวห้าว คือน้ำมันพร้าวใสหอมสด ส่วนขี้มัน เป็นผลพลอยได้ด้วยซ้ำ
ตามมาเรื่อยๆนะครับ ว่าขี้มันออกมาจากส่วนไหนของพร้าวห้าว และลงเอยกันเช่นไร
ที่บอกว่าขี้มันเป็นเรื่องใหญ่ เพราะว่า อยู่ดีๆน้อยคนจะนึกถึงการดั้นด้นไปหาพร้าวห้าวมาลอกเปลือกแห้ง ตีออกสองซีกเอาน้ำออก
น้ำพร้าวห้าวออกจะจืด หวานแบบแก่ๆ ไม่หวานเลี่ยนแต่หวานจืดๆ ยังไงกันนะ หวานจืด .. คือมีทั้งหวาน มีทั้งจืดอยู่ในตัว
เด็กๆคอยอย่างเดียว คอยว่าพร้าวห้าวจะมีหน่อหรือไม่ หากมีหน่อก็แสดงว่าน้ำพร้าวจะน้อย ที่สำคัญจะมีพวม นั่นสิ พวมคืออะไร ลองจับพร้าวงอกหน่อสักคืบสองคืบ แกะเอาเปลือกแห้งออกไป ผ่าออกดู จะพบตุ่มงอกออกมาสีออกเหลือง ดูราวกหัวใจหมูย่อมๆ ติดแน่นอยู่กับกะลา(พรก)
เด็กชอบนักแล นุ่มๆ หวานๆ เปราะๆ กัดกิน(ครด)อย่างหรอย จนปากเยิ้มมอมแมม น้ำลายอาจไหลย้อยลงมาด้วย
พวมคู่กับพร้าวห้าวเท่านั้น ไม่มีพวมในพร้าวหนุ่มหรือพร้าวสาว
(อีกที) ที่บอกว่าขี้มันเป็นเรื่องใหญ่ เพราะจะเคี่ยวหน่ามเถ่จำนวนมากก็ต่อเมื่อมีงานการในบ้าน งานบวชงานแต่ง .... หรืองานบุญสำคัญๆ เช่น งานเดือนสิบ(ชิงเปรต) งานชักพระ(ลากพระ) งานสงกรานต์(วันว่าง) ฯลฯ
หมายถึงต้องใช้น้ำมันพร้าวมาทอด มาทำขนม จิปาถะที่ต้องใช้น้ำมันพร้าวจำนวนมาก เพราะน้ำพืชเมื่อก่อนยังไม่แพร่หลายเหมือนปัจจุบัน
จะใช้น้ำมันพร้าว ก็ต้องเคี่ยวน้ำกะทิกันเอง
น้ำมันพร้าวจึงเป็นวัฒนธรรม เป็นงานร่วมมือในครัวเรือน เริ่มตั้งแต่ปีนต้นพร้าว ลอกเปลือก ขูด ตั้งไฟ คน เฝ้าอย่างใจจดใจจ่อ จะปล่อยให้ก้นกะทะไหม้ไม่ได้อย่างเด็ดขาด
ใช้เวลานานสามสี่ชั่วโมงทีเดียว กว่าจะได้น้ำมันพร้าว ต้องนั่งอบร่ำรมควันไฟ นั่งทนร้อน คอยใส่ฟืน นั่งเหงื่อแตกพลั่กๆอย่างอดทนนาน กว่ากะทิจะคายขี้ออกมา
เป็นขี้มัน ขี้ของมันพร้าวก็ว่าได้ หอมน่ากิน (ชวนรับประทาน)
ขั้นตอนสุดท้ายของกะทิ ดูที่ก้นกะทะว่าหลามแดงแล้วยัง หากจับตัวแค่วุ้นสีขุ่นออกขาว ก็ยังไม่ถึงเวลาน้ำมันจะขี้ออกมา รอให้วุ้นขุ่นขาวๆเปลี่ยนเป็นสีแดงๆเป็นเม็ดๆ
นั่นแหละ ได้ทั้งน้ำมัน ได้ทั้งขี้มัน
กรองแยกน้ำมันพร้าวออกไป ส่วนที่เหลือนั่น ขี้มันขนานแท้ครับ
ผมร่วมพายกะทิในกะทะด้วย
นั่นสิ ถึงเกิดสำนวนพายเรือในอ่าง น่าจะมาจากพายกะทิในกะทะเป็นแน่ ..(อย่าเอาไปอ้างอิงนะครับ เป็นความสามารถคน เฉพาะตัว เฉพาะที่เท่านั้น)
หอมกลิ่นขี้มัน กลิ่นหอมเหมือนลูกผึ้งป่า จริงๆ
คลุกซาวข้าว ใส่น้ำเกลือนิดๆ เป็นมื้อเลิศรสยากเอาเมนูใดๆมาเทียบเคียง
ข้าวคลุกขี้ (ขี้มันครับ) แค่ชื่อก็รู้ว่าชวนดมขนาดไหน ผมได้อยู่ร่วมเคี่ยวน้ำมันพร้าว แล้วก็เอาข้าวซาวคลุกขี้มันด้วย อะไรๆนับจากนั้น ดูลื่นไหลดีไปหมด
พ่อบอกว่า ในสวนมีพร้าวเหลืออยู่ไม่กี่ต้น มันแก่ตายหมด ไม่ได้ปลูกใหม่ทดแทน เพราะโอกาสกินสารอาหารที่ชื่อขี้มัน ยิ่งลดน้อยลง ต่างคนต่างเข้าไปหาความสะดวกสบาย ใช้น้ำมันพืชก็แค่ออกไปซื้อในร้านค้า ไม่ต้องออกแรง(ให้เหนื่อยกระดูก)เหมือนเมื่อก่อนแล้ว
ขี้มันจึงกลายเป็นเรื่องไกลตัว ไม่มีใครนึกอยากกินขี้(มัน)จากพร้าวห้าวอีกแล้ว
เอาเวลานั่งเฝ้ากะทะกะทิเป็นขี้มันไปคุยโม้โอ้โห..เรื่องยี่ห้อรถยนต์กันดีกว่า รุ่นไหนของใคร กินน้ำมันกี่มากน้อย วิ่งได้เร็วนุ่มนวลเพียงใด ห่มเสื้อไว้ในบ้านหรือนอนตากแดด กี่แรงม้า กี่สูบ กินน้ำมันหรือไม่ กี่บาท ซื้อถูกซื้อแพง อย่างกับเป็นเรื่องสำคัญที่สุดในชีวิต..
ขี้มันตกยุคสมัยไปแล้ว เหมือนต้นพร้าวที่ล้มลงหายไปทีละต้น
ขี้โม้เข้ามาแทนที่ขี้มัน บ้านเกิดของคุณเป็นเช่นนั้นหรือไม่ หากไม่ -- ขอโทษ เป็นเรื่องน่ายินดีครับ พึงรักษาขี้มันอย่าให้เปลี่ยนเป็นขี้โม้เร็วเกินไป ..