2.การรณรงค์
<
p>การรณรงค์เพื่อที่จะเผยแพร่ข้อมูลไปยังกลุ่มเป้าหมายที่จะสามารถนำข้อมูลที่ได้ไปเผยแพร่และนำไปปรับใช้ในชีวิตประจำวัน
<
p>การรณรงค์เพื่อที่จะเผยแพร่ข้อมูลไปยังกลุ่มเป้าหมายที่จะสามารถนำข้อมูลที่ได้ไปเผยแพร่และนำไปปรับใช้ในชีวิตประจำวัน
เป็นคลิปวีดีโอที่สะท้อนถึงการมีเพศสัมพันธ์ก่อนการแต่งงานโดยใช้ถุงยางอนามัย เพื่อป้องกันตนเองก่อนที่จะพบกับคู่ชีวิตที่ดี
ความหมายของเอดส์
คำว่า เอดส์ มาจากภาษาอังกฤษว่า AIDS ซึ่งย่อมาจากคำเต็มว่า Acquired Immuno Deficiency Syndrome ซึ่งแต่ละคำมีความหมายดังนี้
A = Acquired หมายถึง เกิดขึ้นภายหลัง ไม่ได้เป็นมาแต่กำเนิดหรือสืบทอดทางกรรมพันธุ์
I = Immuno หมายถึง ระบบภูมิต้านทานหรือระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย
D = Deficiency หมายถึง ความบกพร่อง การขาดไปหรือเสื่อม
S = Syndrome หมายถึง กลุ่มอาการคือมีอาการหลาย ๆ อย่างไม่เฉพาะที่ระบบใดระบบหนึ่ง
รวมแปลว่า "กลุ่มอาการภูมิคุ้มกันบกพร่อง" เป็นกลุ่มอาการของโรคที่เกิดจากเชื้อไวรัสเอชไอวี เมื่อเข้าสู่ร่างกายจะเข้าไปทำลายเม็ดเลือดขาว ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันในร่างกาย เสื่อมหรือบกพร่องลง เป็นผลทำให้เป็นโรคติดเชื้อหรือเป็นมะเร็งบางชนิดไดง่ายกว่าคนปกติ อาการมักจะรุนแรง เรื้อรัง และเสียชีวิตในที่สุด
อาการ
เชื้อเอชไอวีไม่ได้ทำร้ายผู้ป่วยโดยตรง แต่เกิดจากทำลายเม็ดเลือดขาวชนิดลิมโฟซัยท์ ที่มีชื่อว่า CD4 เมื่อเม็ดเลือดขาวชนิดนี้ต่ำลง จะทำให้ร่างกายขาดภูมิคุ้มกัน และเกิดอาการของโรคติดเชื้อฉวยโอกาสแทรกซ้อนในที่สุด
ภายหลังการได้รับเชื้อ ร่างกายต้องใช้เวลาในการสร้างปฏิกิริยาตอบสนองต่อเชื้อ ในปัจจุบันในการวินิจฉัยว่าติดเชื้อหรือไม่ เราไม่ได้ตรวจหาเชื้อโดยตรง แต่เป็นการตรวจว่าร่างกายเรามีปฏิกิริยาต่อเชื้อหรือไม่ โดยการตรวจหาแอนติบอดีต่อเชื้อเอชไอวี (Anti-HIV antibody) ซึ่งการตรวจดังกล่าวอาจให้ผลลบได้ในกรณีที่ได้รับเชื้อมาใหม่ ๆ เนื่องจากร่างกายยังไม่ได้สร้างปฏิกิริยาตอบสนอง ภายหลังการรับเชื้อบางรายอาจไม่มีอาการใด ๆ เลย บางรายอาจมีอาการเหมือนการติดเชื้อไวรัสทั่ว ๆ ไป เช่น มีไข้ ผื่นตามตัว ต่อมน้ำเหลืองโต เจ็บคอ อาการมักกินเวลาสั้น ๆ และหายไปได้เอง หลังจากนั้นผู้ป่วยจะไม่มีอาการใด ๆ เลย เชื้อไวรัสจะส่งผลให้ระดับเม็ดเลืดขาวที่เรียกว่าซีดีโฟร์ลดลงอย่างช้า ๆ จนผู้ป่วยเริ่มเกิดอาการของเอชไอวีเกิดขึ้น เช่นฝ้าในปาก ผึ่นคันตามตัว น้ำหนักลด โดยส่วนใหญ่มักเกิดอาการเมื่อระดับซีดีโฟร์ต่ำกว่า 200 cell/mm3 อัตราเฉลี่ยของประเทศไทยตั้งแต่รับเชื้อจนเริ่มป่วยใช้เวลา 7-10 ปี ในช่วงที่เรามีเชื้อเอชไอวีอยู่ในร่างกายแต่ไม่ป่วยเพราะเรายังมีภูมิคุ้มกันที่ยังควบคุม หรือจัดการกับเชื้อโรคที่เข้าสู่ร่างกายได้ เรียกว่า เป็นผู้ติดเชื้อ และเมื่อภูมิคุ้มกันถูกทำลายเหลือจำนวนน้อย จนไม่สามารถควบคุม หรือจัดการกับเชื้อโรคบางอย่างได้ทำให้เราป่วยด้วยเชื้อโรคนั้น ๆ เรียกว่าเราเริ่มมี ภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง เป็นผู้ป่วยเอดส์ โรคที่เราป่วยเนื่องจากภาวะภูมิบกพร่อง เรียกว่า โรคฉวยโอกาส
แนวทางการดูแลผู้ติดเชื้อผู้ป่วยเอดส์ที่สำคัญในปัจจุบัน
มีอยู่สองแนวทาง ที่ต้องให้การดูแลควบคู่กันไปคือ การป้องกันและรักษาโรคฉวยโอกาส ในกรณีที่ผู้ป่วยมีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง หรือป่วยด้วยโรคฉวยโอกาส (ที่สำคัญคือ หลายโรคป้องกันได้ และทุกโรครักษาได้) การรักษาด้วยยาต้านไวรัสเอชไอวี เพื่อลดปริมาณไวรัสในเลือดให้น้อยที่สุดและควบคุมปริมาณไวรัสให้อยู่ในระดับต่ำนานที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ซึ่งจะส่งผลให้ระดับภูมิคุ้มกันสูงขึ้น ลดโอกาสที่จะป่วยเป็นโรคฉวยโอกาส
สาเหตุการติดเชื้อ
เชื้อไวรัสเอชไอวีพบในเลือดและสารคัดหลั่งหลายชนิดของร่างกาย ได้แก่ น้ำอสุจิ เมือกในช่องคลอดสตรี น้ำนม น้ำลาย (ในปัจจุบันเริ่มมีคนร่วมเพศกันมากขึ้น) และอาจพบได้ในปริมาณน้อย ๆ ใน น้ำตาและปัสสาวะ เมื่อพิจารณาจาก แหล่งเชื้อแล้วจะพบว่าเชื้อไวรัสเอชไอวีติดต่อได้ หลายวิธีคือ การมีเพศสัมพันธ์ เกิดขึ้นได้ทั้งในรักร่วมเพศ และรักต่างเพศ การรับเลือดและองค์ประกอบของเลือด การปลูกถ่ายอวัยวะรวมทั้งไขกระดูกและน้ำอสุจิที่ใช้ผสมเทียมซึ่งมีเชื้อ แต่ในปัจจุบันปัญหานี้ได้ลดลงไปจนเกือบหมด เนื่องจากมีการตรวจเลือดหาการติดเชื้อเอชไอวีในผู้บริจาคเหล่านี้ รวมทั้งคัดเลือกกลุ่มผู้บริจาคซึ่งไม่มีพฤติกรรมเสี่ยงต่อการติดเชื้อ เช่น ไม่รับบริจาคเลือดจากผู้ติดยาเสพติดชนิดฉีดเข้าเส้น เป็นต้น การใช้เข็มหรือกระบอกฉีดยาเสพติดร่วมกันและของมีคมที่สัมผัสเลือด จากมารดาสู่ทารก ทารกมีโอกาสรับเชื้อได้หลายระยะ ได้แก่ เชื้อไวรัสแพร่มาตามเลือดสายสะดือสู่ทารกในครรภ์ ติดเชื้อขณะคลอด จากเลือดและเมือกในช่องคลอด ติดเชื้อในระยะเลี้ยงดูโดยได้รับเชื้อจากน้ำนม จะเห็นได้ว่าวิธีการติดต่อเหล่านี้เหมือนกับไวรัสตับอักเสบบีทุกประการ ดังนั้นถ้าไม่มีพฤติกรรมเสี่ยงต่อการติดเชื้อไวรัสเอชไอวี ก็จะไม่เสี่ยงต่อการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ บี ด้วย
สถานการณ์เอดส์ในประเทศไทย
ศูนย์ข้อมูลทางระบาดวิทยา สำนักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค รายงานว่า กลุ่มอายุ 30 - 34 ปี มีผู้ป่วยสูงสุด (ร้อยละ 25.86) รองลงมาได้แก่ อายุ 25 - 29 ปี โดยพบว่า กลุ่มอายุต่ำสุด คือ กลุ่มอายุเพียง 10-14 ปี (ร้อยละ 0.29) เมื่อจำแนกตามอาชีพ พบว่า อาชีพรับจ้าง เป็นกลุ่มที่เป็นเอดส์มากที่สุด รองลงมา คือ เกษตรกรรม, ว่างงาน, ค้าขาย และแม่บ้าน
ส่วนสาเหตุของการติดเชื้อเอดส์นั้น พบว่า ร้อยละ 83.97 ติดเชื้อเอดส์จากการมีเพศสัมพันธ์ รองลงมา คือ การฉีดยาเสพติดเข้าเส้น และติดเชื้อจากมารดา อย่างไรก็ตาม ยังมีผู้ป่วยที่ไม่ทราบถึงสาเหตุ ถึงร้อยละ 7.30 ส่วนเชื้อฉวยโอกาส ที่สามารถตรวจพบในผู้ป่วยเอดส์มากที่สุด ได้แก่ เชื้อ Mycobacterium tuberculosis ซึ่งเป็นเชื้อที่ก่อให้เกิดวัณโรค นั่นเอง
ข้อมูลจาก http://th.wikipedia.org
ไม่ทราบว่าในโลกใบนี้มีคนเหมื่อนเราหรือเปล่า เพราะว่าการที่จะเราตั้งใจจะทำอะไรสักอย่าง แต่ก็มีอุปสรรค์เกิดขึ้นตลอด อย่างเช่นเรื่องบล็อก ทำอยู่สองวันแล้ว ไม่มีเครืองมือก็พยายามโหลดขึ้น พอมีแล้วอัพไม่ได้อีก บ้างทีก็ตลกตัวเอง บางที่ก็เศร้าเวลาโหลด พอเราคลิกไปดูผล ผลออกมามันยังไม่ขึ้นให้สักที่
ขนมไทย...เชื่อว่าเด็กวันรุ่นไทยสมัยนี้คงแทบไม่รู้จักชื่อและหน้าตาของขนมไทยโบร่ำ โบราณ ที่พอดีว่าได้ไปเจอมาจากเวบ WWW.TEENEE.COM เห็นว่าน่าสนใจเลยนำมาฝากันที่นี่
ขอบคุณเวบ WWW.TEENEE.COM มา ณ ที่นี้ด้วยจ้า
............................................... ........................................................
กนิษฐ์ พงษ์นาวิน
2/07/51
สวัสดีblogazine prachatai
ดีใจที่ได้เข้ามาเป็นสมาชิกของบ้านหลังนี้ หวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะได้รับการต้อนรับที่อบอุ่น ข้อมูล ข้อเท็จจริงจากพื้นที่มาบตาพุด ระยอง และฝั่งทะเลตะวันออก คงได้หลั่งไหลสู่พี่น้องที่นี่ให้ได้รับรู้ และร่วมกันปกป้องทรัพยากรไว้ให้ลูกหลานเราในอนาคต
24 มิถุนายน 2551
กนิษฐ์ พงษ์นาวิน
มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์พัทยา
อวัยวะที่แสดงเพศหญิงและส่งผลต่อความสามารถสืบทอดเผ่าพันธุ์คืออวัยวะที่เกี่ยวข้องกับการเจริญพันธุ์ ทำให้ต้องมีการพูดถึงการอนามัย [1] เจริญพันธุ์ คือการไม่มีโรค มีสุขภาพดีของอวัยวะสืบพันธุ์
ในเพศหญิงมีมากกว่าหนึ่งอวัยวะ นั่นคือตั้งแต่ปากช่องคลอด ช่องคลอด ปากมดลูก มดลูก รังไข่ ปีกรังไข่ เต้านม รวมถึงการหลั่งฮอร์โมนเพศ การมีประจำเดือน การเจริญพันธุ์จะเกิดได้ก็เมื่อมีเพศสัมพันธ์ แต่เพศสัมพันธ์ไม่ได้มีไว้เพื่อการเจริญพันธุ์ล้วนๆ มีเพศสัมพันธุ์เพื่อความรัก เพื่อครอบครัว เพื่อความรื่นรมย์ เพื่อเศรษฐกิจ เพื่อแสดงอำนาจ เพื่อการควบคุม และอื่นๆ การมีเพศสัมพันธุ์จึงเกิดขึ้นได้ในหลายสถานการณ์รวมถึงเมื่ออยู่ในวัยรุ่น จนเลยวัยเจริญพันธุ์ได้ สำหรับเพศหญิง การดูแลอวัยวะสืบพันธุ์เป็นเรื่องยุ่งยาก เนื่องจากมีหลายอวัยวะ และการไม่สามารถควบคุมการมีเพศสัมพันธ์ของตนได้ ทำให้มีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคจากการมีเพศสัมพันธ์ ได้ตลอดเวลา เช่น มะเร็งปากมดลูก มะเร็งรังไข่ ปีกรังไข่ การได้รับผลข้างเคียงจากการใช้ยาคุมกำเนิด เอดส์ หูด หนองใน ผลข้างเคียงจากการตั้งครรภ์ การแท้ง การทำแท้ง เหล่านี้เป็นต้น
โดยการติดเชื้อโรคนั้นมาจากการมีคู่เพศสัมพันธ์ที่ติดเชื้อด้วย เช่น มะเร็งปากมดลูก มาจากการติดเชื้อไวรัสเอชพีวี (HPV:Human Papillomaviruses) ซึ่งเป็นไวรัสที่ผู้ชายมีหรือได้รับมาจากการมีเพศสัมพันธ์เช่นกัน แต่ไม่ทำอันตรายให้เพศชาย ความเสี่ยงของเพศหญิงคือ การมีเพศสัมพันธ์กับชายที่มีเพศสัมพันธ์กับคู่ที่หลากหลายมากมายมาก่อน การมีเพศสัมพันธ์กับคู่นอนหลายคน การมีเพศสัมพันธ์เมื่ออายุน้อย เนื่องจากปากมดลูกในระยะนี้ไวต่อการติดเชื้อ เอชพีวี การสูบบุหรี่หรือการขาดสารอาหารบางอย่างทำให้ร่างกายมีความบกพร่องของกลไกป้องกันไวรัสเอชพีวี ( pooyingnaka.com.htm ) และโอกาสรับเชื้อก็สูงมากนั่นคือมีเพศสัมพันธ์ครั้งเดียวก็มีโอกาสได้รับเชื้อ
ภาพันธ์ รักษ์ศรีทอง
"ไปตายให้หนอนแดกเถอะ..ไป๊"
ผมกำลังหาคำพูดที่ถ่ายทอดความคิดของคนบางคนที่มีอำนาจในบ้านเมืองนี้ แม้อำนาจของเขาจะยึดโยงจากการเลือกตั้งด้วยการกากบาทของเรา กระนั้นก็เถอะ..เท่าที่รู้สึกได้ เขาอาจกำลังอยากบอกกับคุณด้วยถ้อยคำแบบนี้ อาจเป็นการบอกกล่าวที่ซ่อนถ้อยความหิวกระหายมาช้านานแล้ว ตั้งแต่อำนาจถูกกระชากไปจากมือ และที่เขาบอกแบบนี้ได้ อาจเป็นเพราะเขากำลังมองคุณเป็นเพียง ‘มดปลวก' อันอ่อนแอ ไม่มีประโยชน์
โดยเฉพาะถ้าคุณป่วยหรือไม่สบาย มันจะยิ่งสะท้อนความอ่อนแอไร้ประโยชน์เสียยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด มากไปกว่านั้น หากโชคร้าย อาการป่วยขยายตัวไปสู่ความเรื้อรังจนไม่มีทางรักษาให้หายขาดหรืออาจต้องใช้ค่ารักษาที่แพงแสนแพง คนพวกนี้อาจมองชีวิตของคุณเป็น ‘ความไร้ค่า' ไปเลย
หากโลกนี้ใช้เฉพาะความคิดด้วยตรรกะและสมองอันชาญฉลาดทางทุนนิยมแล้ว คนป่วยเรื้อรังก็คือผู้สร้างรายจ่ายมากมายมหาศาล แต่ไม่ได้สร้างรายได้อะไรคืนกลับเลย
สำหรับคนที่ ‘ป่วยเรื้อรัง' แล้ว ชีวิตที่เหลือจะได้ถูกสังคมแบบนี้ ‘ตีตรา' ว่าคงทำได้แค่การนอนซมอยู่เตียง หรืออย่างมากก็เดินกระโดกกระเดกไปมาได้สัก 2-3 เมตร พูดง่ายๆ คือชีวิตก็แค่หายใจทิ้งไปวันๆ
ดังนั้น ในโลกแบบนี้อาจมีคำตอบแบบหนึ่งไว้แล้ว การอยู่ไปโดยไม่นำเงินเข้ามา พวกนักสิทธิมนุษยชนหรือพวกองค์กรพัฒนาเอกชนจะไปเรียกร้องให้ดูแลทำไม ที่มาบอกให้ทำ ‘ซีแอล' (สิทธิเหนือสิทธิบัตรยา หรือ Compulsory Licensing) เพื่อให้ยามีราคาถูกลง แล้วเม็ดเงินการลงทุนหลายๆ ล้านของบรรษัทยาที่จะเข้ามาในประเทศล่ะ มันจะหายไป คิดบ้างหรือไม่ ??
แน่นอน ประเทศไทยในระบบการเลือกตั้งคือรัฐที่ฉลาดและคิดได้ถึงเงื่อนไขในโลกแบบนี้ งานสำคัญในวันแรกของรัฐบาลใหม่ที่มี ‘ไชยา สะสมทรัพย์' นั่งบัลลังก์รัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุขจึงหนีไม่พ้นเรื่องทบทวนการทำซีแอลนั่นเอง ถ้าสำเร็จทุกอย่างก็จะดำเนินต่อไปตามกลไกทางตลาด
เรื่องจริงที่มองข้ามไม่ได้ การทำซีแอลอาจเป็นเรื่องที่ต้องมองกันในหลายมิติ การทบทวนอาจเป็นเรื่องที่ดีและมีประเด็นที่ต้องถกเถียงกันอย่างจริงจังจากหลายๆ ฝ่ายเพื่อให้ได้ข้อสรุปที่ดีและลงตัว แต่สิ่งที่สะท้อนแนวโน้มว่ามันคงไม่เป็นไปอย่างนั้นหรอก การพูดคุยกันด้วย ‘เหตุผล' คงไม่สามารถเกิดขึ้นได้ บนทัศนคติที่ค่อนข้างลบมาตั้งแต่ต้น เรื่องของความเจ็บไข้ได้ป่วยนั้น ปากของคนบางคนอาจจะพูดส่งเดชไปได้ด้วยความคะนองปากว่าถ้าเป็นหนักเรื้อรังแบบนี้ก็ "น่าจะตายเสียดีกว่า"
แต่ถ้าเป็นปากของคนระดับรัฐมนตรีล่ะ..ผลที่ตามมามันต่างกันมากมาย
อย่างไรก็ตาม ภายใน 2 วัน ของการทำงานของรัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุขคนใหม่ มีคำพูดที่หลุดปากพูดในลักษณะคล้ายกันหรือสื่อความไปในทางนั้นจากผู้ใหญ่ระดับสูงในกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งทั้งสื่อและภาคประชาชนที่เข้าไปติดตามและท้วงติงการทบทวนการทำซีแอลต่างนำความที่ได้ยินออกมาพูดกันให้ทั่วประมาณว่า "ถ้าข้อมูลยอดคนเป็นมะเร็งที่มีในประเทศมีเป็นแสนคนจริง แต่เขาได้รับข้อมูลมาเพียงหลักหมื่น ก็ให้ตายเสีย แล้วยอดมะเร็งนับแสนคงจะลดเหลือเพียงหมื่นสองหมื่นคน"
เมื่อเขาว่าอย่างนั้น สำหรับประชาชนอย่างเราๆ ท่านๆ ฟังแล้ว ใจอ่อน เข่าระทวยและหวิววาบๆ..สุดท้ายแล้วไอ้ประเด็นที่เขาบอกว่าจะทบทวนซีแอลเพื่อให้นโยบายในอนาคตเดินต่อไปได้นั้น เขากำลังทำกันอยู่บนฐานคิดและทัศนคติแบบใดกันแน่
หรือมันอาจจะหมายความไปได้ว่า รัฐเราจะใจดีถ้าคุณ ‘มีเงิน' พอ ใครมีเงินก็จ่ายค่ายืดชีวิตมาจะอะลุ้มอล่วยต่อชีวิตให้ แต่ถ้าไม่มีจ่าย ยอดคนป่วยจะลดลงไปเองตามอัตรการตาย ค่าเผาผีโรยดอกไม้จันทน์ มันไม่แพงหรอกถ้าเทียบแล้วกับค่ายาราคาแพงที่จะไปเรียกร้องให้รัฐดูแล!
นอกจากนี้ อีกหลายหูยังได้ยินสิ่งที่ผู้ใหญ่ในกระทรวงท่านเดิมพูดถึงยาต้านไวรัสของผู้ติดเชื้อว่า ถ้าไม่มีกินก็ให้กินดอกไม้จันทน์แทน..
สาธุเถอะ! แล้วแบบนี้จะฝากผีฝากไข้กันได้ไหม
หลังจากนี้ไปจะเป็นอย่างไรและผลกระทบจะมีหรือไม่ยังไม่รู้ แต่เพื่อป้องกันไว้ก่อนประชาชนอย่างเราคงต้องบอกตัวเองว่า ‘ห้ามป่วย !' เพราะเดี๋ยวจะต้องตายให้กลายเป็นอาหารของหนอนอย่างว้าเหว่ ผู้ใหญ่ระดับคุมนโยบายในกระทรวงสาธารณสุขในรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งดูเหมือนจะมีแนวคิดและแนวทางที่จะใส่ใจคุณน้อยลงแล้ว และชีวิตคุณอาจต้องถูกนำไปคำนวนด้วยตัวเลข
แต่หากคุณ ผม หรือเราทุกคน ถ้าป่วยแล้วจะกลายเป็นคนอ่อนแอและไร้ค่าจริงหรือ สำหรับผมยังมีคำถามในใจ ?
ในขณะที่คุณกำลังยืนเหม่อ อาจถูกรถเมล์แหกโค้งมาชนจนตายโหงไปก่อนป่วยตายก็ได้ แต่ในรอบลมหายใจเดียวกัน ผู้ที่ติดเชื้อเอชไอวีบางคนกลับดำเนินชีวิตอย่างคนปกติทั่วไป มีลูกมีหลาน มีครอบครัว และดูแลกันและกันได้
ยาต้านไวรัสที่ราคาแสนแพง สำหรับผู้ติดเชื้อคือ ‘ความหวัง' ที่ช่วยให้การดำเนินชีวิตเป็นไปได้อย่างราบรื่นขึ้น ทุกวันนี้คนแข็งแรงแต่ติดเชื้ออย่าง ‘เมจิก จอห์นสัน' ยังคงมีมากมาย
‘เมจิก จอห์นสัน' เป็นนักบาสเก็ตบอลระดับเทพของเอ็นบีเอจนได้รับการยกย่องว่าเป็น 1 ใน 50 ผู้เล่นยอดเยี่ยมในประวัติศาสตร์บาสเก็ตบอลเอ็นบีเอ เขาประกาศตัวเองว่าได้รับเชื้อเอชไอวีในปี 2534 หรือประมาณ 18 ปีมาแล้ว และเคยหวนกลับคืนสู่วงการบาสเก็ตบอลได้อย่างแข็งแกร่งด้วยกำลังใจที่ดีเยี่ยม ในปี 2545 เขาสามารถร่วมทีมบาสเก็ตบอลสหรัฐเพื่อแข่งขันโอลิมปิกในนาม ‘ดรีมทีม' ได้อย่างเป็นที่ประทับใจจนกลายเป็นตำนานร่วมกับ ‘ไมเคิล จอร์แดน'
ในปี 2547 เขาร่วมกับ ‘เหยาหมิง' นักบาสเก็ตบอลเอ็นบีเอรุ่นใหม่ขวัญใจชาวจีน เล่นบาสเก็ตบอลกัน กอดกัน และรับประทานอาหารร่วมกัน เพื่อรณรงค์ให้ความรู้เรื่องเอชไอวีแก่คนจีน ขณะนั้นเขาได้รับเชื้อมาหลายปีแล้ว ปัจจุบันเขาก่อตั้งมูลนิธิเมจิกจอห์นสัน และเป็นนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จระดับสูงคนหนึ่งของสหรัฐ ซึ่งถ้าคิดเพียงในช่วงเวลา 10 ปี สำหรับคุณหรือผม คนรอบข้างอาจจะตายไปด้วยโรคเฉียบพลันอะไรสักอย่างไปหลายคนแล้ว
หรือผู้ป่วยที่เป็นโรคมะเร็งบางคน แม้จะนอนอยู่บนเตียง แต่สำหรับคนข้างหลัง การต่อสู้กับโรคด้วยความอดทนเข้มแข็งคือความแข็งแกร่งที่ถ่ายทอดไปสู่คนรอบข้างให้กล้าที่จะเดินและเผชิญเรื่องราวอันโหดร้าย เช่น การมีรัฐมนตรีเฮงซวยปากไม่ดีได้อย่างเชื่อมั่น ขณะเดียวกัน การที่เขายังมีลมหายใจยังหมายถึงความไม่อ้างว้างของการที่ยังมองเห็นกันและกันและสามารถห่วงใยกันได้
มองแบบนี้แล้ว หรือความหมายของคำว่าชีวิตสำหรับผู้บริหารประเทศที่มีอำนาจตัดสินใจทางนโยบายและเกี่ยวข้องกับชีวิตและสุขภาพของเราทุกคนกลับทำให้ความรู้สึกอ้างว้าง มืดทะมึนและไร้ความหวังได้ตั้งแต่วันแรกของการทำงาน ดูเหมือนว่าชีวิตที่กำหนดค่าด้วยเงินดูจะมีความหมายกว่าชีวิตที่มีลมหายใจเสียอีก
คนเราถ้าคิดได้เพียงว่าไม่มียาก็ให้กินดอกไม้จันทน์แทน บางทีคนแบบนั้นต่างหากที่มันก็น่าจะไปตายให้หนอนแดกซะเดี๋ยวนี้เลย !
เมื่อวันที่ 22 ม.ค.51 ที่ผ่านมา คณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ได้มีมติอนุมัติงบประมาณร้อยล้านบาทกว่า เพื่อจัดหาวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่สำหรับประชากรสูงอายุจำนวนกว่าสามแสนเก้าหมื่นคน ที่มีอายุตั้งแต่ 65 ปีขึ้นไปและมีโรคเรื้อรัง (อายุ 65 ปีขึ้นไปและป่วยด้วยโรคเช่น หอบหืด ปอดอุดกลั้นเรื้อรัง ไตวาย หัวใจ เบาหวาน หลอดเลือดสมอง และผู้ป่วยมะเร็งที่ได้รับเคมีบำบัด) เนื่องจากคนกลุ่มนี้มีภาวะภูมิคุ้มกันต่ำ เสี่ยงต่อการป่วยและเสียชีวิตจากไข้หวัดใหญ่และภาวะแทรกซ้อน และเพื่อลดอัตราเสี่ยงการระบาดของไข้หวัดใหญ่ที่เชื่อมโยงกับไข้หวัดนกที่ยังพบการระบาดอยู่ในประเทศไทย เนื่องจากโอกาสข้ามสายพันธุ์ระหว่างเชื้อไข้หวัดนกกับเชื้อไข้หวัดใหญ่มีความเป็นไปได้สูง
ที่ผ่านมา เมื่อพบการระบาดของไข้หวัดนกในประเทศไทย ได้มีการให้วัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ในกลุ่มบุคลากรทางสาธารณสุขและผู้ทำหน้าที่กำจัดสัตว์ปีกปีละประมาณ 3-4 แสนโดส งบประมาณราว 70 ถึง100 ล้านบาท เหตุผลเพื่อป้องกันการติดเชื้อไข้หวัดใหญ่ของบุคลากรเหล่านี้ ซึ่งต้องทำหน้าที่ดูแลรักษาประชาชนทั่วๆไป และลดการแพร่ระบาดไข้หวัดใหญ่จากการปฏิบัติงานด้วย
นี่เป็นเพียงการเริ่มต้นในปี พ.ศ.2551 นี้เท่านั้น เพราะไม่มีงบประมาณที่ตั้งไว้ อาศัยงบที่เหลือจากการจัดซื้อยาต้านไวรัสเอชไอวี (เอดส์) ที่เหลืออยู่เนื่องจากราคายาต้านไวรัสเอชไอวีลดลง การสามารถทำให้ได้ยาราคาถูกลงจากการประกาศใช้สิทธิเหนือสิทธิบัตร (Compulsory Licensing) ของกระทรวงสาธารณสุข จึงทำให้สามารถนำเงินร้อยกว่าล้านบาทนั้นมาจัดซื้อวัคซีนสำหรับคนสูงอายุในปีแรกนี้ได้ จากนั้นต้องมีการจัดงบประมาณเพิ่มเติมเพื่อขยายการใช้วัคซีนนี้ไปยังคนสูงอายุที่อายุ 65 ปีขึ้นไปและป่วยด้วยโรคเรื้อรังอื่นนอกเหนือจากกลุ่มแรก และในปีที่สามใช้สำหรับผู้มีอายุ 65 ปีขึ้นไปทุกคน เหตุผลอีกประการหนึ่งคือรัฐได้มีนโยบายที่ให้องค์การเภสัชกรรมดำเนินการผลิตวัคซีนไข้หวัดใหญ่ในระดับอุตสาหกรรมซึ่งได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีตั้งแต่ต้นปี 2550 โดยสามารถผลิตได้ในปี 2553 จำนวนสองล้านโดสต่อปี
นับเป็นเรื่องที่ดีของระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติที่คณะกรรมการที่มีตัวแทนจากทั้งกระทรวงสาธารณสุข ผู้ให้บริการ บุคคลากรทางสาธารณสุข และประชาชนรวมถึงตัวแทนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ได้ร่วมกันดำเนินงานทางด้านนโยบายที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพของประชาชน เพราะเรื่องสุขภาพเป็นเรื่องของทุกคนที่ควรได้มีส่วนร่วมในการดูแลป้องกันรักษา ต่อจากนี้ไปจะเป็นช่วงของการปฏิบัติการให้เป็นไปตามนโยบาย ซึ่งควรมีการให้วัคซีนนี้ก่อนฤดูการระบาดของทุกปีคือก่อนเดือนมิถุนายนของทุกปี ดังนั้น ผู้ป่วยเรื้อรังที่มีอายุตั้งแต่ 65 ปีขึ้นไปควรได้รับข้อมูลข่าวสาร และการจัดการให้ได้รับวัคซีนก่อนการระบาดในทุกๆ ปี การให้วัคซีนนี้ต้องให้ทุกปีๆ ละครั้ง เราเองคงต้องช่วยกันสื่อสารแจ้งข่าวต่อๆกันไปยังครอบครัว เครือญาติ ที่มีผู้สูงอายุที่อยู่ในข่ายต้องได้รับวัคซีนให้สามารถเข้าถึงและได้รับบริการที่สะดวกและได้มาตรฐาน นั่นคือ สถานบริการที่เราขึ้นทะเบียนอยู่ในระบบหลักประกันสุขภาพ หรือสถานบริการที่ไปใช้บริการประจำ ต้องให้ข้อมูลและดำเนินการให้วัคซีนกับคนเหล่านี้ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป
การระบาดของไข้หวัดใหญ่ไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป ปีนี้อากาศหนาวเย็นยาวนานขึ้น การระบาดของไข้หวัดนกก็ปรากฎขึ้นในประเทศแล้ว โอกาสที่สายพันธุ์ไข้หวัดนกจะข้ามมายังคนและทำให้เกิดความรุนแรงแก่ไข้หวัดใหญ่ในคนเกิดขึ้นได้
สิ่งสำคัญคือเราทุกคนต้องตระหนักว่าไข้หวัดนกไม่ได้หายไปไหน เพราะได้กลายเป็นโรคระบาดประจำถิ่นไปแล้ว และไม่จำเป็นต้องมาจากนกที่เคลื่อนย้ายหนีหนาวมาเท่านั้น เพราะเชื้อไวรัสไข้หวัดนกน่าจะอยู่ในสัตว์เลี้ยงในท้องถิ่นของเราแล้ว หากอากาศเหมาะสมก็ระบาดได้เสมอ การดูแลสุขอนามัย การล้างมือ การทำความสะอาดร่างกาย การหลีกเลี่ยงสัมผัสเป็ดไก่ที่ตาย การกินเป็ดไก่ที่ตาย หรือแม้แต่การเชือดสดๆ โดยคนงานในตลาดหรือในฟาร์มต่างๆ ก็ต้องมีการป้องกันคนทำงานเหล่านี้ การเฝ้าระวัง การให้ข้อมูลเป็นประจำก็จะช่วยให้คนที่อยู่ในสถานการณ์เสี่ยงเหล่านี้ได้มีการป้องกันตนเองตลอดเวลา อย่าคิดว่าคนงานต้องรู้จักป้องกันตนเองเท่านั้น นายจ้างจำเป็นและมีหน้าที่ต้องตักเตือนหรือหาทางลดอันตรายจากความเสี่ยงนี้ด้วย เป็นหน้าที่โดยตรงของนายจ้างที่จะต้องหาทางป้องกันให้กับคนทำงานรับจ้างเหล่านี้ ทั้งการให้ความรู้ การให้อุปกรณ์ป้องกัน หน้ากาก ถุงมือ การจัดสถานที่ทำงานให้สะอาด เพราะคนทำงานก็มีสิทธิได้รับการคุ้มครองสิทธิให้มีสุขภาพดีเหมือนกัน
คำว่าประกันสังคม เมื่อได้ยินแล้วน่าจะมีความหมายว่า การประกันให้คนมีสวัสดิการทางสังคมทุกคนอย่างทั่วถึง เช่น ประกันว่าได้รับการศึกษาแน่นอน ประกันว่าได้รับการรักษาแน่นอนเมื่อป่วย ประกันว่ามีที่อยู่อาศัยแน่นอน ประกันว่ามีค่าใช้จ่ายเพื่อยังชีพกรณีไม่มีงานทำ หรือมีงานทำแต่รายได้น้อย รวมถึงประกันว่าได้รับการช่วยเหลือในการเลี้ยงดูบุตรกรณีมีรายได้ต่ำหรือต้องเลี้ยงดูบุตรเพียงลำพังโดยไม่ได้รับค่าเลี้ยงดูจากพ่อหรือแม่ที่หย่าร้างกัน ทั้งนี้โดยตั้งอยู่บนฐานว่า “รัฐ” คือผู้จัดการให้เกิดระบบประกันสังคมสำหรับประชาชนทุกคน
สำหรับประเทศไทย ไม่ได้เป็นเช่นนั้น คำว่า “ประกันสังคม” มีความหมายเพียงสำหรับคนกลุ่มเดียวเท่านั้นคือ ลูกจ้างที่ทำงานโดยมีนายจ้างชัดเจน ไม่ได้หมายความว่าเป็นระบบประกันสังคมสำหรับทุกคน ดังนั้น จึงมีคนที่อยู่ในประกันสังคมเพียง 10 ล้านคน มีเพียงคนจำนวนนี้ที่ได้รับการประกันทางสังคม 7 ประการคือ 1) การได้รับการรักษาเมื่อเจ็บป่วย 2) การได้รับค่าคลอดบุตร 3) การได้รับเงินช่วยเหลือบุตรรายเดือนสำหรับบุตรจำนวนไม่เกินสองคนได้รับคนละ 350 บาทตั้งแต่แรกเกิดถึง 6 ขวบ 4) การได้รับเงินช่วยเหลือเมื่อทุพพลภาพ 5) การได้รับเงินบางส่วนกรณีว่างงาน 6) การได้รับเบี้ยชราภาพเมื่อจ่ายเงินครบเงื่อนไขและอายุเกิน 55 ปี 7) การได้รับค่าทำศพและเงินสมทบกรณีเสียชีวิต ทั้งนี้ ลูกจ้างต้องจ่ายเงินสมทบเข้ากองทุนจำนวนร้อยละ 5 ของเงินเดือนทุกเดือน ร่วมกับนายจ้างต้องจ่ายเท่ากับที่ลูกจ้างจ่าย และส่วนที่สามรัฐร่วมจ่ายให้ลูกจ้างด้วย ระบบประกันสังคมนี้จึงเป็นระบบที่คนมีรายได้ประจำ มีเงินเดือนประจำ ร่วมจ่ายเข้ากองทุนแล้วได้รับการประกันทางสังคมประเภทต่างๆ ดังได้กล่าวมา
สังคมไทยเข้าใจว่า ประกันสังคม จึงเป็นระบบเฉพาะสำหรับบางคนบางกลุ่มเท่านั้น ประกอบกับการออกกฎหมายประกันสังคม พ.ศ.2533 จึงทำให้มีการใช้ชื่อประกันสังคมอย่างกว้างขวางตลอดมา จนทำให้กลบความหมายของประกันสังคมโดยรวมไป บางครั้งทำให้เกิดความสับสนด้วยว่า ประกันสังคม ต้องเป็นระบบที่ประชาชนต้องร่วมจ่ายด้วยเท่านั้น อันเป็นแนวทางให้สังคมเชื่อว่า รัฐ ไม่อาจจัดระบบประกันสังคมให้กับประชาชนอย่างทั่วถึงและเท่าเทียมกันได้ เพราะรัฐไม่มีเงินมากพอ และไม่ใช่หน้าที่ของรัฐแต่เพียงฝ่ายเดียว
อย่างไรก็ตาม ในรัฐธรรมนูญปี 2540 และ 2550 ได้ระบุชัดเจนว่า สิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชนคือสิทธิที่จะมีชีวิตอยู่อย่างมีคุณภาพ มีที่อยู่อาศัย มีที่ทำกิน มีการศึกษา มีการคุ้มครองเมื่อเป็นเด็ก เยาวชน ผู้หญิง ผู้พิการ และคนชรา มีการรักษาเมื่อเจ็บป่วย โดยระบุชัดเจนว่าเป็นแนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐ ที่รัฐ ต้องมีหน้าที่ดำเนินการให้เกิดขึ้น แต่ไม่มีบทกำหนดโทษหากรัฐไม่ทำตาม เช่นกรณีรัฐธรรมนูญปี 2540 ก็ยังไม่มีรัฐใดทำให้ประชาชนทุกคนได้รับการศึกษาโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ยังไม่มีการจัดที่อยู่อาศัย ที่ดินทำกิน ให้พอเพียงกับความต้องการ ตลอดจนการดูแลคนชรา มีเพียงหนึ่งเดียวที่ทำได้คือการจัดการรักษาฟรีให้ทุกคน ที่ดำเนินการมาตั้งแต่ปีพ.ศ.2544 เป็นต้นมา จนปัจจุบันมีเพียงประชากรไทยที่ยังไม่ได้รับการรับรองสถานภาพ คือชนกลุ่มน้อย กลุ่มชาติพันธุ์ที่ไม่ได้รับการรักษา เพราะรัฐ เชื่อว่าคนเหล่านี้ไม่ใช่คนไทยทั้งที่คนเหล่านี้อยู่ในผืนแผ่นดินไทยมาตลอดครั้นบรรพชน นี่คือสิ่งที่รัฐไทยยังทำไม่ได้
เมื่อรัฐไม่จำเป็นต้องรีบดำเนินการตามรัฐธรรมนูญ เพราะแม้ไม่ทำก็มีข้ออ้างต่างๆ และไม่ถูกลงโทษ ดังนั้น ระบบประกันสังคมที่มีอยู่ในสังคมไทยปัจจุบันจึงไม่ได้มาด้วยการกระทำหน้าที่ของรัฐ แต่เป็นการขับเคลื่อนและผลักดันโดยภาคประชาสังคม กรณีประกันสังคมของลูกจ้าง ก็ใช้เวลาผลักดันกฎหมายกว่า 30 ปีโดยสหภาพแรงงาน นักวิชาการ ที่ผนึกกำลังต่อสู้รณรงค์กันมาอย่างยาวนาน ขณะเดียวกันกับระบบหลักประกันสุขภาพที่ได้มาด้วยการขับเคลื่อนของหมอ นักวิชาการ ภาคประชาสังคม และเจตจำนงของรัฐบาล ร่วมกันทำให้เกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็วในสมัยเดียวของรัฐบาล ซึ่งพิสูจน์ว่าหากมีแรงหนุนจากประชาชน งานวิชาการที่หนักแน่น ความมุ่งมั่นของบุคคลากร ตลอดจนนโยบายของพรรคการเมือง ย่อมนำมาซึ่งระบบประกันสังคมให้กับสังคมไทยได้ และพิสูจน์ได้ว่ามีระบบประกันสังคมที่หลายรูปแบบ ทั้งการร่วมจ่ายทางตรงแบบประกันสังคมของลูกจ้าง การร่วมจ่ายผ่านระบบภาษีของประชาชนในระบบหลักประกันสุขภาพ การร่วมสมทบของผู้มีรายได้ หรือองค์กรชุมชน เช่นกรณีการจัดทำระบบประกันชราภาพในชุมชนก็ได้
ภาคประชาสังคม เครือข่ายประชาชนต่างๆ ควรให้ความสนใจต่อการประกันคุณภาพชีวิตของตนเอง โดยให้รัฐเป็นผู้ดำเนินการ เช่น การประกันการศึกษา ที่ประชาชนไทยทุกคนควรได้รับการศึกษาฟรีมากกว่า 12 ปี เพื่อให้สามารถยกระดับและพัฒนาคุณภาพชีวิตตนเองต่อไปได้ การมีระบบดูแลยามชราภาพที่ดี มีเบี้ยชราภาพที่เพียงพอต่อการดำรงชีวิต ซึ่งภาคประชาสังคมต้องช่วยกันคิดว่ารูปแบบใดที่จะเหมาะสมที่สุดในการสร้างหลักประกันเมื่อชราภาพสำหรับทุกคน ทั้งคนชราที่จน และรวย ก็ควรได้รับมาตรฐานพื้นฐานเดียวกัน