Skip to main content

ราชาธิราช คือ วรรณคดีไทยที่แปลมาจากพงศาวดารมอญ โดยมีการแต่งเติมรายละเอียดบางอย่าง จึงไม่ใช่ประวัติศาสตร์หรือพงศาวดารมอญ แม้คนมอญจำนวนมากเชื่อว่า “ราชาธิราช” เป็นพงศาวดารชาติมอญก็ตาม เพราะได้รับอิทธิพลจากการที่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช โปรดฯให้เจ้าพระยาพระคลัง (หน) และคณะ แปลขึ้นเมื่อ พ.ศ. ๒๓๒๘ นำมาสู่การจัดพิมพ์จำหน่ายโดยหมอบรัดเลย์ เมื่อ พ.ศ. ๒๔๒๓ และอีกหลายสำนักพิมพ์มากกว่า ๒๒ ครั้ง ไม่นับแบบเรียน การแสดงลิเก ละครพันทาง ละครเวที และละครโทรทัศน์

การที่รัชกาลที่ ๑ โปรดฯให้เจ้าพระยาพระคลัง (หน) แปลพงศาวดารมอญภายหลังการขึ้นครองราชย์เพียง ๓ ปี ทั้งที่น่าจะมีพระราชภาระด้านอื่นที่สำคัญกว่า แม้เค้าโครงเรื่องจะมีมูลความจริงอยู่มาก แต่ได้มีการคัดเลือกเฉพาะช่วงตอนที่มอญมีชัยเหนือพม่า เพื่อเป็นการปลุกเร้าขวัญและกำลังใจพลเมืองและทหารให้ฮึกเหิม ลืมอดีตอันเจ็บปวดเมื่อคราวเสียกรุง สำนวนโวหารคมคายชวนอ่าน ตามขนบการเขียนวรรณคดี ซึ่งหากพิจารณาในเชิงสัญลักษณ์ทางการเมืองจะพบว่า วรรณกรรมเรื่องราชาธิราชและเรื่องอื่นๆ ที่โปรดฯให้แปลขึ้นในยุคเดียวกัน เป็นโลกทัศน์ทางการเมืองของชนชั้นนำในสมัยนั้น เพื่อประโยชน์ทางการเมืองและยอพระเกียรติ์ เนื้อหานำเสนอคุณสมบัติเชิงอุดมคติของผู้ที่ขึ้นครองราชย์ ที่ไม่จำเป็นต้องสืบเชื้อสายกษัตริย์ เช่น มะกะโท และพระเจ้าธรรมเจดีย์ ซึ่งเป็นผู้มีปัญญาและบุญญาธิการสามารถสถาปนาราชวงศ์ใหม่ เป็นความชอบธรรมในการขึ้นสู่อำนาจ เป็นที่ยอมรับของราษฎร ขุนนาง และเสนาบดีทุกหมู่เหล่า


บุษบา ตระกูลสัจจาวัตร ศึกษาและวิเคราะห์วรรณกรรมเรื่องราชาธิราชฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) ว่า แปลและเรียบเรียงขึ้นจากเอกสารทางประวัติศาสตร์มอญอย่างน้อย ๒ ฉบับ คือ
Razadarit Ayedawpon และ นิทานธรรมเจดีย์กถา เป็นพงศาวดารที่มีเนื้อหาและรายละเอียดเฉพาะกษัตริย์บางรัชกาล คือ รัชกาลพระเจ้าราชาธิราช รองลงมาคือ พระเจ้าธรรมเจดีย์ และพระเจ้าฟ้ารั่ว ส่วนฉบับตัวพิมพ์เป็นเรื่องที่เกิดจากการชำระต้นฉบับตัวเขียนของเจ้าพระยาพระคลัง (หน) และเพิ่มเติมลักษณะทางวรรณศิลป์ มีลักษณะผสมผสานกันระหว่างพงศาวดารกับบันเทิงคดี คุณค่าของแต่ละฉบับจึงแตกต่างกันตามลักษณะของเรื่อง

ราชาธิราชฉบับภาษามอญที่แพร่หลายในเมืองไทยนั้น เชื่อว่าแปลมาจากฉบับเจ้าพระยาพระคลัง
(หน) ที่ผ่านการปรุงแต่งวรรณศิลป์แล้ว โดยมอญในเมืองไทย มีการดัดแปลงบางส่วน ผนวกรวมเข้ากับจดหมายเหตุและพงศาวดารมอญต้นฉบับตัวเขียนใบลานที่บันทึกไว้ในสมัยพระนางเจ้าตะละเจ้าท้าว (เช็งสอบู) และพระเจ้าธรรมเจดีย์ ซึ่งเชื่อว่าไม่เคยมี “ราชาธิราช” ในลักษณะการเดินเรื่องอย่างฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) ที่จัดทำขึ้นเมื่อ พ.ศ. ๒๓๒๘ มาก่อน
 
ภูมิหลังพงศาวดารราชาธิราช

ต้นฉบับราชาธิราชฉบับภาษามอญในประเทศพม่ามีประมาณ ๕ ฉบับ ซึ่ง ๒ ใน ๕ ฉบับในนั้น คือ ฉบับโรงพิมพ์วัดแค พระประแดง สมุทรปราการ เรียกกันโดยทั่วไปว่า
“ฉบับปากลัด”พิมพ์เป็นชุด ๒ เล่มต่อเนื่องกัน พิมพ์เมื่อ พ.ศ. ๒๔๕๓ และ ๒๔๕๕ ตามลำดับ อีกเล่มหนึ่ง คือ คัมภีร์ราชาวังศะกถา (ฉบับหลวงพ่ออุตตมะ)พิมพ์โดยวัดวังก์วิเวการาม กาญจนบุรี พ.ศ. ๒๕๔๐

เชื่อกันว่าพงศาวดารภาษามอญ เขียนขึ้นในสมัยพระนางเจ้าตะละเจ้าท้าว (พระนางเช็งสอบู) และ พระเจ้าธรรมเจดีย์ ได้แก่ อุปันสุวรรณภูมิอารัมมกถา สุธัมวดีราชาวังศะ และสีหราชาธิราชาวังศะ ส่วนต้นฉบับภาษามอญในเมืองไทยที่ค้นพบทั้งสิ้น ๕ ฉบับ ได้แก่
๑. Razadarit Ayedawpon (ออกเสียงตามพม่า)
๒. ราชวงศ์ (โดย อาจารย์อะเฟาะ พระมอญเกิดเมื่อราว พ.ศ. ๒๒๔๒ ที่เมืองหงสาวดี)
๓. สุธรรมวดีราชาและสีหราชาธิราชวังศะ (ฉบับปากลัด)
๔. นิทานธรรมเจดีย์กถา (ฉบับปากลัด)
๕. คัมภีร์ราชาวังศะกถา (ฉบับหลวงพ่ออุตตมะ)

อย่างไรก็ตามต้นฉบับราชาธิราชที่พบในพม่าเกือบทั้งหมดได้รับการบันทึกและดัดแปลงแก้ไขขึ้นในภายหลัง โดยมากนำต้นฉบับไปจากเมืองไทย เนื่องจากต้นฉบับภาษามอญในประเทศพม่าส่วนใหญ่ถูกเผาทำลายทั้งจากทางการพม่า และชาวมอญที่กลัวในอำนาจพม่า
 
ต้นฉบับราชาธิราชภาษามอญ ภาษาไทย ภาษาพม่า และฉบับคัดย่อดัดแปลงต่างๆ
รวมทั้งงานวิเคราะห์วิจัยว่าด้
วยเรื่องราชาธิราช
 
เปรียบเทียบราชาธิราชฉบับภาษาไทยและภาษามอญ ต่างมุมมองผู้แปล (พญาทะละ เจ้าพระยาพระคลัง (หน) และฉบับปากลัด)  

ต้นฉบับราชาธิราชภาษามอญในเมืองไทยค้นพบ ๒ ฉบับ คือ ฉบับปากลัด ๒ เล่ม และฉบับหลวงพ่ออุตตมะ ตามข้อจำกัดในระยะเวลาของการศึกษา การเข้าถึงหลักฐาน และการกล่าวถึง
“ราชาธิราชฉบับภาษามอญ” ที่รับรู้ของคนทั่วไปคือราชาธิราช “ฉบับปากลัด” เทียบกับฉบับฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) ที่รู้จักกันโดยทั่วไปและราชาธิราชฉบับพญาทะละฉบับภาษาพม่า ซึ่งเนื้อหาในราชาธิราชทั้ง ๓ ภาษา มีโครงเรื่องคล้ายกัน แต่ต่างมีรายละเอียดหลายส่วนที่เหมือนและต่างกันปนเปอยู่ในทั้ง ๓ ฉบับ ในแง่มุมที่แตกต่างกันทั้งตัวตน บริบทแวดล้อม นำมาซึ่งมุมมองที่แตกต่างในการมองเรื่องเดียวกันแต่ต่างจุดยืน ของผู้แปลราชาธิราชทั้ง ๓ ฉบับ

พระยาทะละ
ผู้แปลราชาธิราชยุทธนา ขุนนางมอญ ภายหลังรับราชการอยู่กับบุเรงนอง ซึ่งรัชกาลก่อนหน้า คือ พระเจ้าตะเบ็งชะเวตี้ ทรงแต่งตั้งเจ้าหญิงมอญเป็นเอกอัครมเหสี แต่งตั้งขุนนางมอญในตำแหน่งสูงสุดทั้งฝ่ายราชสำนักและกองทัพ ส่วนพระเจ้าบุเรงนองนั้นก็มีพระสนมเป็นมอญด้วยเช่นกัน เพราะกษัตริย์พม่าทั้ง ๒ มีนโยบายประนีประนอม ยอมรับวัฒนธรรมมอญเพื่อผสมกลมกลืนชนชาติ ป้องกันการก่อกบฏ ทำให้ขุนนางมอญรับราชการกับพม่าจำนวนมากจวบจนทุกวันนี้ ปัจจุบันมีข้าราชการพม่าเชื้อสายมอญที่เกษียณแล้วได้เข้ามาฝักใฝ่อยู่กับ “พรรคมอญใหม่” หลายท่าน (ในเมืองไทยก็เช่นเดียวกัน) ดังนั้นการแปลพงศาวดารมอญเป็นภาษาพม่าจึงต้องคำนึงถึงพระราชอัธยาศัยของกษัตริย์พม่า ที่จะต้องส่งผลต่อหน้าที่การงานและแม้แต่ชีวิต เนื้อหาที่แสดงให้เห็นถึงความกลัว ขลาดเขลา และมีนัยยะในทางดูหมิ่นเย้ยหยันกษัตริย์พม่าก็คงต้องละไว้

เจ้าพระยาพระคลัง (หน)
แปลราชาธิราชออกเป็นภาษาไทยสนองพระราชโองการรัชกาลที่ ๑ ซึ่งไม่ต่างจากการทำหน้าที่ของพญาทะละ แต่วัตถุประสงค์นั้นเพื่อให้ผู้คนทั่วไปเลิกหวาดกลัวพม่า ดังแสดงให้เห็นว่า บางยุคสมัยพม่าก็ขลาด เสียรู้ และก็พ่ายแพ้ได้เช่นเดียวกัน รวมทั้งเน้นพระราชกิจของกษัตริย์ให้โดดเด่นเป็นสมมุติเทพ ไม่จำเป็นต้องสืบวงศ์มาแต่กษัตริย์ แต่ขอให้มีสติปัญญาและบุญบารมี เป็นการรับรองความชอบธรรมของรัชกาลที่ ๑ ซึ่งเคยเป็นสามัญชนมาก่อน ดังนั้นราชาธิราชฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) จึงถูกแต่งเติมให้เกินจริงอย่างพิษดาร

ฉบับปากลัด
ได้รับอิทธิพลราชาธิราชฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) ที่ได้รับความนิยมในหมู่คนไทย ด้วยเป็นวรรณคดีที่อ่านสนุก กระตุ้นสำนึกรักชาติ ผู้แปลฉบับปากลัดจึงมุ่งเน้นการแปลราชาธิราชจากภาษาไทยกลับไปเป็นภาษามอญอย่างที่คาดว่าไม่เคยมีราชาธิราชที่มีเนื้อหาอย่างในฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) มาก่อน เพื่อปลูกฝังความรู้สึกรักชนชาติ ร่วมหวงแหนมรดกของบรรพชน มีนัยยะนำไปสู่การต่อสู้เพื่อชนชาติ

ต่างเนื้อหา
 เริ่มเรื่องของราชาธิราชฉบับปากลัดขึ้นต้นด้วยบทบูชาพระรัตนไตรตามคติงานเขียนของมอญ ต่อด้วยการอารัมภบทพุทธประวัติโดยย่อ กระทั่งได้พระราชทานพระเกศาธาตุ ๘ เส้นให้ตะปุสสะภัลลิกะ ๒ วานิชมอญ ก่อนจะกล่าวถึง “ควัมปติ” พระอรหันต์ชาวเมืองสะเทิม ดังความเริ่มเรื่องในฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) ส่วนเนื้อหาโดยรวมใกล้เคียงกัน กล่าวถึงอภินิหาร ยอพระเกียรติกษัตริย์ เน้นสงครามระหว่างพระเจ้าราชาธิราชและพระเจ้าฝรั่งมังฆ้อง การเรียงลำดับเหตุการณ์ในฉบับปากลัดมีสับสนอยู่หลายแห่ง เช่น การตายของพ่อขวัญเมือง การลงทัณฑ์พระมหาเทวี และการทำสัตย์ต่อกันระหว่างพระเจ้าราชาธิราชและพระเจ้าฝรั่งมังฆ้อง หากเปรียบเทียบสำนวนทั้งสองฉบับ จะเห็นได้ชัดว่าฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) เดินเรื่องประณีตอลังการกว่าฉบับปากลัด เนื้อหาของฉบับปากลัดจบลงที่พระนางตะละเจ้าท้าวขึ้นครองราชย์ ส่วนฉบับพระยาพระคลัง (หน) จบลงเมื่อพระเจ้าธรรมเจดีย์ถวายพระเพลิงศพพระนางตะละเจ้าท้าว และปกครองบ้านเมืองด้วยความผาสุข ส่วนฉบับพญาทะละจบลงตรงที่พระเจ้าราชาธิราชสวรรคต

รายละเอียดและการขยายความในหลายแห่งต่างกันอย่างสิ้นเชิง เชื่อว่าไม่ได้เกิดจากความผิดพลาด แต่เกิดจากการจงใจที่จะสร้างรายละเอียดให้แตกต่างกัน เช่น

พระเจ้ากรุงสุโขทัย ต้องการเสี่ยงทายเมืองที่จะส่งช้างเผือกลูกช้างฉัททันต์ไปให้ ด้วยการนำฟ่อนหญ้าเมืองต่างๆ มาเสี่ยงทาย หากช้างเผือกรับหญ้าเมืองไหนก็จะส่งไปให้เมืองนั้น ในฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) มีฟ่อนหญ้าเสี่ยงทาย ๓ ฟ่อน ได้แก่ เมืองสุโขทัย เมืองเมาะตะมะ และเมืองเชียงใหม่ ฉบับปากลัดว่า ๔ ฟ่อน ได้แก่ เมืองเชียงใหม่ เมืองและกอนปิตยา เมืองอยุธยา และเมืองเมาะตะมะ ส่วนที่เหมือนกันก็คือช้างเผือกเลือกรับหญ้าเมืองเมาะตะมะ

วันเดือนที่พระยาน้อยแจ้งว่าจะเดินทางจากเมืองตะเกิงที่ตั้งมั่นอยู่ไปไปเข้าเฝ้าพระบิดา (พญาอู่) และเสด็จป้า (พระมหาเทวี) ที่เมืองพะโค ในฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) ว่าเดือน ๙ แต่ฉบับปากลัดว่าเดือน ๑๐ คาดว่าคงคำนวณต่างกันทางจันทรคติและสุริยคติ

จำนวนเงินที่มะกะนาย (ฉบับปากลัดชื่อ ตะละขะวาเตอปะตอย) ยืมเจ้าหนี้ไปลงทุนค้าสำเภาขาดทุนไม่มีใช้คืนต้องติดคุกอยู่นั้น พระเจ้าราชาธิราชต้องการชดใช้แทน ไถ่ตัวไปช่วยรบ เจ้าหนี้ในฉบับปากลัดว่าติดค้างอยู่ ๑๐๐ ชั่ง ยกให้ ๕๐ ชั่ง ขอจากพระเจ้าราชาธิราช ๕๐ ชั่ง ส่วนฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) ว่าเป็นหนี้อยู่ ๒๐ ชั่ง
“...ขอถวายไว้ใต้ฝ่าพระบาท จะได้แจกทแกล้วทหารซึ่งมีความชอบ ข้าพเจ้าจะขอพึ่งบุญบารมีพระองค์สืบไป”

ต่างนิมิตเทพอุ้มสม
   เช่น ในตอนปราบดาภิเษกพระยาน้อย เสนาบดีและราชปุโรหิตทั้งปวงได้กล่าวอธิษฐานหากชื่อ “สมเด็จพระเจ้าสีหราชาธิราช” นั้นเหมาะกับพระยาน้อยแล้ว ให้เศวตฉัตรที่หุบอยู่นั้นกางขึ้น ซึ่งก็เกิดมหัศจรรย์จริงดังคำอธิษฐาน ส่วนในฉบับปากลัดไม่ได้กล่าวถึง อีกครั้งหนึ่งเมื่อพระเจ้าราชาธิราชยกทัพออกไปรบกับพระเจ้าฝรั่งมังฆ้อง เกิดนิมิตพิษดาร ในฉบับปากลัด เศวตฉัตรเพียงแต่ต้องลมโค่นลงดิน ส่วนฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) ถูกลมหอบขึ้นฟ้า “...กระทำเป็นทักษิณาวนถ้วนสามรอบแล้ว ก็กลับลงมาประดิษฐานอยู่ดังเก่า...”

ต่างภาษา
  ราชาธิราชฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) ไม่มีการวางรูปแบบการแปลชื่อบุคคลและสถานที่ บางชื่อแปลความหมาย เช่น เม้ยมณิก (แมะเนิจ์ก แปลว่า มณี) บางชื่อทับศัพท์เช่น สมิงพ่อเพ็ชร (เป่อเปิด แปลว่า อัญมณี) พระเจ้าฟ้ารั่ว หากถอดตามเสียงไทยด้วยอักษรมอญก็จะได้ สะวารัว และเป็น วาโร ตามเสียงมอญ

ชื่อผู้ชายสามัญชน มอญใช้ แมะ ไทยออกเสียง มะ นำหน้าเพศชาย เช่น มะกะโท มาจากภาษามอญว่า แมะกะตู แปลว่า พ่องอบ และ มิ ไทยออกเสียงว่า เม้ย นำหน้าเพศหญิง ดังนั้นชื่อผู้หญิงสามัญชนในราชาธิราชจึงมีเม้ยนำหน้า เช่น เม้ยสะดุ้งมอด มาจากภาษามอญว่า มิขะโดงหมอด แปลว่า แม่ดวงตา

ได้มีการค้นพบว่าต้นฉบับราชาธิราช ฉบับที่มีผู้แปลถวายสมเด็จพระอนุชาธิราช กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท ในรัชกาลที่ ๑ ซึ่งเรียกกันทั่วไปว่า
“ฉบับวังหน้า” ชื่อตัวละครใกล้เคียงภาษามอญมากกว่าฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) แต่ทั้งนี้ก็ไม่สามารถสรุปได้ว่าผู้แปลฉบับวังหน้าจะรู้ภาษามอญและไทยดีกว่าคณะของเจ้าพระยาพระคลัง (หน) แม้จะไม่มีกรรมการที่เป็นผู้รู้แตกฉานภาษามอญและไทย (ในคนเดียวกัน) ก็สามารถหาผู้รู้มาบอกภาษาได้ เพียงแต่ในฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) ที่รัชกาลที่ ๑ โปรดฯให้แปลนั้นคงไม่ต้องการเน้นให้ชื่อบุคคลตรงตามเสียงภาษามอญเพราะออกเสียงยาก หรือแม้แต่ได้พยายามแล้วก็ยังสามารถได้ยินเพี้ยน เช่น จอน กาลาฟัด (John crawfurd) กัมมาจล (Commercial) เป็นต้น ตัวอย่างชื่อบุคคลในราชาธิราชฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) ที่แตกต่างจากภาษามอญอย่างมาก เช่น อะมาดตินแมะเนิจ์กหรอด ในฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) ว่า อำมาตย์ทินมณีกรอด ที่เป็นการแยกพยางค์ภาษามอญผิด

ชื่อเมือง (
Mawlamyine) หรือเมืองมองมะละที่นักวิชาการบางท่านสันนิษฐานว่าน่าจะเป็นเมืองเดียวกันกับ เมาะลำเลิง นั้นไม่ถูกต้อง เนื่องจากมีการกล่าวแยกไว้อย่างชัดเจนระหว่างเมือง มอดแมะเลิ่ม และ มองแมะและ

ต่างเหตุการณ์และข้อเท็จจริง
  ในฉบับปากลัดและฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) พระเจ้าฝรั่งมังฆ้องสิ้นพระชนม์หลังพระเจ้าราชาธิราช ส่วน “ฉบับพระยาทะละ” พระเจ้าฝรั่งมังฆ้องสิ้นพระชนม์ไปก่อน (หลักฐานทางฝ่ายฝ่ายพม่า พระเจ้าฝรั่งมังฆ้องครองราชย์ ๒๑ ปี ตั้งแต่ พ.ศ. ๑๙๔๔-๑๙๖๕ ส่วนพระเจ้าราชาธิราชครองราชย์ ๓๘ ปี ตั้งแต่ พ.ศ. ๑๙๒๘-๑๙๖๖)

เครื่องบรรณาการของกษัตริย์มอญแด่กษัตริย์พม่าในฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) มักมีผ้าแดงโมรี แต่ฉบับปากลัดไม่มี มีเพียงครั้งเดียวที่กล่าวถึงผ้าแต่เป็นผ้าขาว เนื่องจากคนมอญมีความเชื่อเรื่องผีบรรพชน ผีปู่ย่าตายายของมอญนั้นนิยมผ้าแดง ฉะนั้นจึงมีธรรมเนียมห้ามลูกหลานแจกจ่ายข้าวของเครื่องใช้ที่เป็นสีแดง โดยเฉพาะผ้าแดงให้คนนอกผีอย่างเด็ดขาด

อัฐิของขุนนางเสนาบดีผู้ใหญ่ฝ่ายมอญทุกคนที่เสียชีวิต พระเจ้าราชาธิราชโปรดฯให้เผาแล้วเก็บอัฐิไว้ ในฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) ให้ไปเก็บไว้ในพระเจดีย์มุเตา ส่วนในฉบับปากลัดให้ไปเก็บในใน
“บริเวณ” พระเจดีย์มุเตา แม้จะต่างกันเพียงคำเดียว แต่ความหมายนั้นห่างกันราวฟ้ากับดิน ด้วยเจดีย์ตามคติของคนมอญนั้นมีไว้สำหรับบรรจุพระธาตุพระพุทธเจ้าเท่านั้น ปุถุชนธรรมดาแม้แต่พระมหากษัตริย์ก็ไม่สามารถนำอัฐิไปบรรจุได้
 
สรุป

วรรณกรรมที่แปลและคัดลอกต่อๆ กันมา แม้พยายามต้องการคัดลอกให้เหมือนเดิมแต่ย่อมผิดพลาดได้ โดยเฉพาะในยุคที่ยังคัดลอกด้วยมือ หรือแม้แต่เข้าสู่ระบบการพิมพ์แล้วก็ตาม ทั้งนี้ในสมัยที่ผู้ผลิตงานวรรณกรรมที่มิได้เคร่งครัดในรายละเอียด จึงได้มีการแต่งเติมสีสันไปตามความนิยมของตน จะโดยเจตนาหรือไม่ก็ตาม บางครั้งอาจจงใจคัดลอกดัดแปลงวรรณกรรมนั้นๆ ให้เข้ากับบริบทแวดล้อมของตนเพื่อประโยชน์บางอย่าง ดังนั้นผู้อ่านงานวรรณกรรมจึงต้องแยกแยะคัดกรองระหว่างข้อเท็จจริงและสิ่งเจือปนแทรกอยู่ระหว่างบรรทัดเสมอ
 

 

บล็อกของ องค์ บรรจุน

องค์ บรรจุน
องค์ บรรจุนหลวงพ่อสมาน วัดชนะสงคราม ที่เคยเลี้ยงดูส่งเสีย ข้าวแกงก้นบาตรราดรดหัวผมมาจนเรียนจบปริญญาตรีเมื่อสิบกว่าปีก่อน ท่านชอบเปรียบเปรยลูกศิษย์ลูกหาและใครต่อใครที่ลืมคุณคนด้วยสำนวนมอญที่ไม่พ้นไปจากเรื่องการกินการอยู่ เป็นต้นว่า "ใหญ่เหมือนช้าง ยาวเหมือนงู" (แก่เพราะกินข้าว เฒ่าเพราะอยู่นาน)"กินผลฟันต้น เก็บร่มหักก้าน" (กินบนเรือนขี้บนหลังคา)"ข้าวแดงแกงร้อน" (สำนึก)"เสียข้าวสุก" (เนรคุณ)แต่ที่ผมเสียวแปลบไปถึงขั้วหัวใจทุกครั้งเมื่อถูกท่านเหน็บเอาว่า"ข้าวสุกไม่มียาง" (ก็เนรคุณอีก)
องค์ บรรจุน
องค์ บรรจุน"มอญร้องไห้" ร้องทำไม ร้องเพราะไม่มีแผ่นดินจะอยู่ หรือญาติเสีย...?ถูก...ญาติเสีย แต่ต้องระดับคนมีหลานเหลนแล้ว และเป็นที่เคารพรักของผู้คนเท่านั้น หากญาติที่เสียชีวิตอายุยังน้อย แม้จะเสียใจก็ร้องไห้กันไปตามมีตามเกิด ไม่มีการทำพิธีกรรมให้เป็นพิเศษแต่อย่างใดมอญร้องไห้ เป็นมีพิธีกรรมของคนมอญ ซึ่งถือปฏิบัติสืบต่อกันมาในงานศพ เป็นการแสดงความอาลัยรักของลูกหลาน ที่สำคัญเป็นการยกย่องและรำลึกถึงคุณงามความดีของผู้ตายที่เคยทำไว้เมื่อครั้งยังมีชีวิต โดยมากแล้วผู้ร้องจะเป็นหญิงสูงอายุและเป็นเครือญาติกับผู้ตาย เนื้อหาที่ร้องพรรณนาออกมานั้นจะได้ออกมาจากใจ…
องค์ บรรจุน
องค์ บรรจุน สำนวนไทยที่กล่าวถึงการแย่งศพมอญ นั่นคือ “แย่งกันเป็นศพมอญ” หากพิจารณาความหมายตามพจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน ที่มีความหมายว่า ยื้อแย่งกัน ซึ่งใช้ในเชิงเปรียบเทียบ๑ แต่ในความเป็นจริงแล้ว สำนวนนี้มีที่มาจากประเพณีมอญแต่โบราณ และคำว่า “แย่ง” นั้นก็เป็นแต่อุบาย ที่หมายให้ผู้คนทั้งหลายหลอมรวมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน วัฒนธรรมประเพณีมอญหลายประการที่คนไทยยอมรับมาอย่างหน้าชื่นตาบาน เช่น ประเพณีสงกรานต์ ตักบาตรน้ำผึ้ง ล้างเท้าพระ ดนตรีปี่พาทย์นาฏศิลป์ เหล่านี้เป็นหัวใจของไทยที่รับมาจากมอญ และทำการปรับเปลี่ยนให้เป็นของตนอย่างกลมกลืน…
องค์ บรรจุน
“...ต้องการแม่ครัว (หรือพ่อครัวก็ได้) ๑ ตำแหน่งค่ะ ทำงานที่ระยองนี่ล่ะ...”“ชาวพม่าเอาไหมครับ ถ้าเอามีเยอะเลย ข้างบ้านเขาทำธุรกิจแรงงานพม่าอยู่น่ะ...”“พม่าทำกับข้าวอร่อยหรือเปล่าคะ”“…มีข่าวบ่อยๆ ว่า แรงงานต่างด้าว ไม่ใช่ต่างดาว ฆ่านายจ้าง ระวังไว้นะ”“พม่าเอาแบบนุ่งกางเกงนะ ห้ามนุ่งโสร่ง เดี๋ยวจะเพิ่มเส้นให้มามากเกินไป...ง่ะ...๕๕๕++”ฯลฯข้อความโต้ตอบในกระดานสนทนาเว็บไซต์หางานแห่งหนึ่ง ที่ผู้เขียนเข้าไปพบโดยบังเอิญ เมื่อปลายปีที่แล้ว ข้อความโต้ตอบข้างต้นสะท้อนแง่คิดของคนไทยกลุ่มหนึ่งได้อย่างแปรปรวนชวนสงสัย น่าแปลกที่คนไทยเรามีสายตาที่มองคนพม่าในแบบที่ทั้งหวาดกลัว ไม่ไว้วางใจ เป็นตัวตลก…
องค์ บรรจุน
ขนิษฐา คันธะวิชัย   ปกติฉันทำงานที่ตึกประชาธิปก-รำไพพรรณี ซึ่งอยู่ติดกับคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาฯ จึงมักจะไปทานอาหารที่โรงอาหารของคณะเศรษฐศาสตร์ ในช่วงแรกๆ ที่ฉันมาเรียนที่จุฬาฯ ก็ได้ยินคนขายอาหารพูดกันเองว่า   “คนเก็บจานที่มาใหม่น่ะ พูดอังกฤษคล่องเชียว เป็นคนพม่า พูดไทยไม่ได้ เวลาจะให้ทำอะไรแกต้องสั่งเขาเป็นภาษาอังกฤษนะ” ฉันเลยรับรู้มาตั้งแต่นั้นว่า โรงอาหารแห่งนี้มีแรงงานข้ามชาติจากพม่าทำงานอยู่ (พอดีตอนนั้นเรียนเรื่องการย้ายถิ่นข้ามชาติอยู่ด้วย) หลังจากนั้นก็จะได้รับรู้ข้อมูลเกี่ยวกับแรงงานพม่ามาตลอด ว่าที่เราเข้าใจว่าเป็น “แรงงานพม่า” นั้น แท้จริงแล้วอาจเป็นได้ทั้งพม่า…
องค์ บรรจุน
องค์ บรรจุน เครื่องนุ่งห่มนั้นเป็นหนึ่งในปัจจัย ๔ ของมนุษย์ เพื่อปกปิดร่างกายคุ้มภัยร้อนหนาวจากธรรมชาติ กันขวากหนามงูเงี้ยวเขี้ยวขอขบเกี่ยว และที่สำคัญ ปิดกายให้พ้นอาย รวมทั้งเสริมแต่งให้ชวนมอง ส่วนการตกแต่งร่างกายตามความเชื่อและลัทธิทางศาสนานั้นน่าจะเกิดขึ้นด้วยเหตุผลหลังสุดและมีความสำคัญรองลงมา การตกแต่งร่างกายนั้นเป็นความจำเป็นที่มนุษย์ใช้เรียกความสนใจจากเพศตรงข้าม นำไปสู่การดำรงเผ่าพันธุ์ อันต่างจากสัตว์ที่เป็นไปตามสัญชาติญาณ และมีแรงดึงดูด (ฟีโรโมน) ในตัว สามารถส่งเสียง สร้างสี ส่องแสง แต่งกลิ่น ล่อเพศตรงข้าม แต่มนุษย์ไม่มีสิ่งเหล่านั้นจึงต้องสร้างขึ้น…
องค์ บรรจุน
สุกัญญา เบาเนิด งานบำเพ็ญกุศลถวายพระศพสมเด็จพระพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ เมื่อวันที่ ๑๒ ตุลาคม ๒๕๕๑ ที่ผ่านมา ซึ่งชมรมเยาวชนมอญกรุงเทพฯและชาวไทยเชื้อสายมอญจากทั่วประเทศร่วมกันเป็นเจ้าภาพ ถึงแม้จะเหน็ดเหนื่อยในฐานะกรรมการจัดงาน แต่ก็รู้สึกอิ่มเอมใจกับภาพที่เห็นและบรรยากาศที่ได้สัมผัส ถือเป็นงานใหญ่ที่คนมอญได้แสดงออกซึ่งขนบธรรมประเพณีอันดีงาม มิเสียชื่อที่เป็นชนชาติที่รุ่งเรืองทางด้านอารยธรรมมาก่อน ดังนั้นเพื่อเป็นการรักษาและสืบทอดธรรมเนียมมอญโบราณ และเป็นการถวายพระกุศลแด่พระศพสมเด็จพระพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์…
องค์ บรรจุน
ขนิษฐา คันธะวิชัย “สองคนยลตามช่อง คนหนึ่งมองเห็นโคลนตม อีกคนตาแหลมคม มองเห็นดาวอยู่พราวพราย” กลอนภาษาไทยข้างต้นเป็นกลอนที่ฉันได้ยินมาแต่เด็ก เมื่อมาเขียนบทความนี้ก็พยายามหาว่าใครเป็นคนแต่ง ซึ่งส่วนใหญ่บอกว่ามาจากเชคเสปียร์ที่บอกว่า “Two folks look through same hole, one sees mud, one sees star” ส่วนผู้ที่ถอดเป็นภาษาไทยนั้น ยังเป็นข้อถกเถียงกันอยู่ว่าใครเป็นคนถอดความและประพันธ์กลอนนี้ อย่างไรก็ตาม ฉันเข้าใจว่ากลอนบทนี้กล่าวถึงการมองสรรพสิ่งที่เป็นสิ่งเดียวกัน แต่ว่าต่างคนอาจมองได้ต่างกัน และเมื่อฉันโตขึ้น ฉันก็ได้เห็นประจักษ์ถึงความเป็นไปตามคำกล่าวนั้น…
องค์ บรรจุน
องค์ บรรจุน ผีที่คนมอญนับถือ มิใช่ผีต้นกล้วย ผีตะเคียน ผีตานี ผีจอมปลวก แต่เป็นผีบรรพชน ผีปู่ย่าตายายของเขา สิ่งที่รัดโยงและธำรงความเป็นมอญที่สำคัญสิ่งหนึ่งคือ “การนับถือผี” ผีเป็นศาสนาแรกของทุกชาติทุกภาษา คนมอญนับถือผีควบคู่กับพุทธศาสนา เคารพยำเกรงไม่กล้าฝ่าฝืน การรำผีนอกจากเป็นการเซ่นไหว้ผีประจำตระกูลแล้ว ยังเป็นการรักษาโรคด้วย หากเทียบกับการรักษาโรคในปัจจุบันอาจเรียกได้ว่า เป็นจิตวิทยาการแพทย์ ในบรรดาการรักษาโรคที่หลากหลายของมอญ เช่น การรักษาด้วยสมุนไพร การนวด คาถาอาคม และพิธีกรรม เช่น การทิ้งข้าว (เทาะฮะแนม) การเสียกบาล (เทาะฮะป่าน) ส่วนพิธีกรรมที่ใหญ่ที่สุดคือ การรำผี (เล่ะฮ์กะนา…
องค์ บรรจุน
ภาสกร อินทุมาร ชลบุรีอาจจะเป็นจังหวัดที่ไม่มีใครคิดว่าจะมีชุมชนคนมอญตั้งอยู่ ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใด เพราะคนส่วนใหญ่จะรู้จักเฉพาะมอญเกาะเกร็ดและมอญพระประแดงเท่านั้น... แต่ถึงอย่างไรก็ดี ชลบุรีก็ยังมีคนมอญอยู่ที่ “วัดบ้านเก่า” ซึ่งมีชื่อเดิมว่า “วัดบ้านมอญ” แห่งตำบลบ้านเก่า อำเภอพานทอง จังหวัดชลบุรี และความน่าสนใจของคนมอญของที่นี่ อยู่ที่ “พระ”   วัดบ้านเก่า (วัดบ้านมอญ) ตำบลบ้านเก่า อำเภอพานทอง จังหวัดชลบุรี
องค์ บรรจุน
  สุกัญญา เบาเนิดในช่วงเวลาที่ทุกคนกำลังนิยมสวมในเสื้อเหลือง เสื้อฟ้า เสื้อชมพู (ประดับตราสัญลักษณ์) ด้วยความรู้สึกที่ต้องการแสดงออกถึงความจงรักภักดี หรือจะด้วยความรู้สึกอื่นใด...ทำให้เรารับรู้ได้ว่าการมีเสื้อผ้าไม่ใช่มีไว้ห่อหุ้มร่างกายอย่างเดียว  แต่เสื้อผ้ายังแฝงไว้ด้วยความหมายหลายสิ่งอย่างอยู่ในนั้น ไม่ว่าจะเป็นสี หรือ ลวดลาย  กล่าวกันว่าการกระทำของคนเรานั้นเป็นการกระทำในเชิงสัญลักษณ์ ดังนั้นเสื้อผ้าก็เป็นสัญลักษณ์ในการสื่อสารเรื่องราว เป็นตัวแทนความคิด และแทนความรู้สึกร่วมของคนในกลุ่ม  แรงงานมอญที่อพยพเข้างานทำงานในมหาชัย (จังหวัดสมุทรสาคร)…
องค์ บรรจุน
ขนิษฐา คันธะวิชัย ตอนเล็กๆ ผู้เขียนมักจะได้ยินคำกล่าวที่ว่า “เด็ดดอกไม้สะเทือนถึงดวงดาว” หรือ “ผีเสื้อขยับปีกทำให้เกิดพายุ” ซึ่งเป็นคำพูดที่ใช้เรียกทฤษฎีความอลวน (Chaos Theory) กระนั้นผู้เขียนก็ไม่ได้สนใจว่าทฤษฎีนี้มีเนื้อหาอย่างไร แต่ก็มีผู้อธิบายว่า “เด็ดดอกไม้สะเทือนถึงดวงดาว” นี้เป็นการอธิบายว่าการที่เราเริ่มทำสิ่งหนึ่งอาจส่งผลลัพธ์ไปถึงสิ่งที่อยู่ไกลๆ ได้ เพราะทุกสิ่งมีความเกี่ยวข้องเชื่อมโยงซึ่งกันและกันเกินกว่าที่เราจะตระหนัก ตอนนี้ผู้เขียนเปิดคอมพิวเตอร์ เปิดไฟ เปิดพัดลม การกระทำเหล่านี้จะส่งผลให้เกิดสิ่งใดในพื้นที่ที่ห่างออกไปได้หรือไม่ พักเรื่องนี้ไว้ก่อน เดี๋ยวค่อยว่ากัน…