Skip to main content

ราชาธิราช คือ วรรณคดีไทยที่แปลมาจากพงศาวดารมอญ โดยมีการแต่งเติมรายละเอียดบางอย่าง จึงไม่ใช่ประวัติศาสตร์หรือพงศาวดารมอญ แม้คนมอญจำนวนมากเชื่อว่า “ราชาธิราช” เป็นพงศาวดารชาติมอญก็ตาม เพราะได้รับอิทธิพลจากการที่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช โปรดฯให้เจ้าพระยาพระคลัง (หน) และคณะ แปลขึ้นเมื่อ พ.ศ. ๒๓๒๘ นำมาสู่การจัดพิมพ์จำหน่ายโดยหมอบรัดเลย์ เมื่อ พ.ศ. ๒๔๒๓ และอีกหลายสำนักพิมพ์มากกว่า ๒๒ ครั้ง ไม่นับแบบเรียน การแสดงลิเก ละครพันทาง ละครเวที และละครโทรทัศน์

การที่รัชกาลที่ ๑ โปรดฯให้เจ้าพระยาพระคลัง (หน) แปลพงศาวดารมอญภายหลังการขึ้นครองราชย์เพียง ๓ ปี ทั้งที่น่าจะมีพระราชภาระด้านอื่นที่สำคัญกว่า แม้เค้าโครงเรื่องจะมีมูลความจริงอยู่มาก แต่ได้มีการคัดเลือกเฉพาะช่วงตอนที่มอญมีชัยเหนือพม่า เพื่อเป็นการปลุกเร้าขวัญและกำลังใจพลเมืองและทหารให้ฮึกเหิม ลืมอดีตอันเจ็บปวดเมื่อคราวเสียกรุง สำนวนโวหารคมคายชวนอ่าน ตามขนบการเขียนวรรณคดี ซึ่งหากพิจารณาในเชิงสัญลักษณ์ทางการเมืองจะพบว่า วรรณกรรมเรื่องราชาธิราชและเรื่องอื่นๆ ที่โปรดฯให้แปลขึ้นในยุคเดียวกัน เป็นโลกทัศน์ทางการเมืองของชนชั้นนำในสมัยนั้น เพื่อประโยชน์ทางการเมืองและยอพระเกียรติ์ เนื้อหานำเสนอคุณสมบัติเชิงอุดมคติของผู้ที่ขึ้นครองราชย์ ที่ไม่จำเป็นต้องสืบเชื้อสายกษัตริย์ เช่น มะกะโท และพระเจ้าธรรมเจดีย์ ซึ่งเป็นผู้มีปัญญาและบุญญาธิการสามารถสถาปนาราชวงศ์ใหม่ เป็นความชอบธรรมในการขึ้นสู่อำนาจ เป็นที่ยอมรับของราษฎร ขุนนาง และเสนาบดีทุกหมู่เหล่า


บุษบา ตระกูลสัจจาวัตร ศึกษาและวิเคราะห์วรรณกรรมเรื่องราชาธิราชฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) ว่า แปลและเรียบเรียงขึ้นจากเอกสารทางประวัติศาสตร์มอญอย่างน้อย ๒ ฉบับ คือ
Razadarit Ayedawpon และ นิทานธรรมเจดีย์กถา เป็นพงศาวดารที่มีเนื้อหาและรายละเอียดเฉพาะกษัตริย์บางรัชกาล คือ รัชกาลพระเจ้าราชาธิราช รองลงมาคือ พระเจ้าธรรมเจดีย์ และพระเจ้าฟ้ารั่ว ส่วนฉบับตัวพิมพ์เป็นเรื่องที่เกิดจากการชำระต้นฉบับตัวเขียนของเจ้าพระยาพระคลัง (หน) และเพิ่มเติมลักษณะทางวรรณศิลป์ มีลักษณะผสมผสานกันระหว่างพงศาวดารกับบันเทิงคดี คุณค่าของแต่ละฉบับจึงแตกต่างกันตามลักษณะของเรื่อง

ราชาธิราชฉบับภาษามอญที่แพร่หลายในเมืองไทยนั้น เชื่อว่าแปลมาจากฉบับเจ้าพระยาพระคลัง
(หน) ที่ผ่านการปรุงแต่งวรรณศิลป์แล้ว โดยมอญในเมืองไทย มีการดัดแปลงบางส่วน ผนวกรวมเข้ากับจดหมายเหตุและพงศาวดารมอญต้นฉบับตัวเขียนใบลานที่บันทึกไว้ในสมัยพระนางเจ้าตะละเจ้าท้าว (เช็งสอบู) และพระเจ้าธรรมเจดีย์ ซึ่งเชื่อว่าไม่เคยมี “ราชาธิราช” ในลักษณะการเดินเรื่องอย่างฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) ที่จัดทำขึ้นเมื่อ พ.ศ. ๒๓๒๘ มาก่อน
 
ภูมิหลังพงศาวดารราชาธิราช

ต้นฉบับราชาธิราชฉบับภาษามอญในประเทศพม่ามีประมาณ ๕ ฉบับ ซึ่ง ๒ ใน ๕ ฉบับในนั้น คือ ฉบับโรงพิมพ์วัดแค พระประแดง สมุทรปราการ เรียกกันโดยทั่วไปว่า
“ฉบับปากลัด”พิมพ์เป็นชุด ๒ เล่มต่อเนื่องกัน พิมพ์เมื่อ พ.ศ. ๒๔๕๓ และ ๒๔๕๕ ตามลำดับ อีกเล่มหนึ่ง คือ คัมภีร์ราชาวังศะกถา (ฉบับหลวงพ่ออุตตมะ)พิมพ์โดยวัดวังก์วิเวการาม กาญจนบุรี พ.ศ. ๒๕๔๐

เชื่อกันว่าพงศาวดารภาษามอญ เขียนขึ้นในสมัยพระนางเจ้าตะละเจ้าท้าว (พระนางเช็งสอบู) และ พระเจ้าธรรมเจดีย์ ได้แก่ อุปันสุวรรณภูมิอารัมมกถา สุธัมวดีราชาวังศะ และสีหราชาธิราชาวังศะ ส่วนต้นฉบับภาษามอญในเมืองไทยที่ค้นพบทั้งสิ้น ๕ ฉบับ ได้แก่
๑. Razadarit Ayedawpon (ออกเสียงตามพม่า)
๒. ราชวงศ์ (โดย อาจารย์อะเฟาะ พระมอญเกิดเมื่อราว พ.ศ. ๒๒๔๒ ที่เมืองหงสาวดี)
๓. สุธรรมวดีราชาและสีหราชาธิราชวังศะ (ฉบับปากลัด)
๔. นิทานธรรมเจดีย์กถา (ฉบับปากลัด)
๕. คัมภีร์ราชาวังศะกถา (ฉบับหลวงพ่ออุตตมะ)

อย่างไรก็ตามต้นฉบับราชาธิราชที่พบในพม่าเกือบทั้งหมดได้รับการบันทึกและดัดแปลงแก้ไขขึ้นในภายหลัง โดยมากนำต้นฉบับไปจากเมืองไทย เนื่องจากต้นฉบับภาษามอญในประเทศพม่าส่วนใหญ่ถูกเผาทำลายทั้งจากทางการพม่า และชาวมอญที่กลัวในอำนาจพม่า
 
ต้นฉบับราชาธิราชภาษามอญ ภาษาไทย ภาษาพม่า และฉบับคัดย่อดัดแปลงต่างๆ
รวมทั้งงานวิเคราะห์วิจัยว่าด้
วยเรื่องราชาธิราช
 
เปรียบเทียบราชาธิราชฉบับภาษาไทยและภาษามอญ ต่างมุมมองผู้แปล (พญาทะละ เจ้าพระยาพระคลัง (หน) และฉบับปากลัด)  

ต้นฉบับราชาธิราชภาษามอญในเมืองไทยค้นพบ ๒ ฉบับ คือ ฉบับปากลัด ๒ เล่ม และฉบับหลวงพ่ออุตตมะ ตามข้อจำกัดในระยะเวลาของการศึกษา การเข้าถึงหลักฐาน และการกล่าวถึง
“ราชาธิราชฉบับภาษามอญ” ที่รับรู้ของคนทั่วไปคือราชาธิราช “ฉบับปากลัด” เทียบกับฉบับฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) ที่รู้จักกันโดยทั่วไปและราชาธิราชฉบับพญาทะละฉบับภาษาพม่า ซึ่งเนื้อหาในราชาธิราชทั้ง ๓ ภาษา มีโครงเรื่องคล้ายกัน แต่ต่างมีรายละเอียดหลายส่วนที่เหมือนและต่างกันปนเปอยู่ในทั้ง ๓ ฉบับ ในแง่มุมที่แตกต่างกันทั้งตัวตน บริบทแวดล้อม นำมาซึ่งมุมมองที่แตกต่างในการมองเรื่องเดียวกันแต่ต่างจุดยืน ของผู้แปลราชาธิราชทั้ง ๓ ฉบับ

พระยาทะละ
ผู้แปลราชาธิราชยุทธนา ขุนนางมอญ ภายหลังรับราชการอยู่กับบุเรงนอง ซึ่งรัชกาลก่อนหน้า คือ พระเจ้าตะเบ็งชะเวตี้ ทรงแต่งตั้งเจ้าหญิงมอญเป็นเอกอัครมเหสี แต่งตั้งขุนนางมอญในตำแหน่งสูงสุดทั้งฝ่ายราชสำนักและกองทัพ ส่วนพระเจ้าบุเรงนองนั้นก็มีพระสนมเป็นมอญด้วยเช่นกัน เพราะกษัตริย์พม่าทั้ง ๒ มีนโยบายประนีประนอม ยอมรับวัฒนธรรมมอญเพื่อผสมกลมกลืนชนชาติ ป้องกันการก่อกบฏ ทำให้ขุนนางมอญรับราชการกับพม่าจำนวนมากจวบจนทุกวันนี้ ปัจจุบันมีข้าราชการพม่าเชื้อสายมอญที่เกษียณแล้วได้เข้ามาฝักใฝ่อยู่กับ “พรรคมอญใหม่” หลายท่าน (ในเมืองไทยก็เช่นเดียวกัน) ดังนั้นการแปลพงศาวดารมอญเป็นภาษาพม่าจึงต้องคำนึงถึงพระราชอัธยาศัยของกษัตริย์พม่า ที่จะต้องส่งผลต่อหน้าที่การงานและแม้แต่ชีวิต เนื้อหาที่แสดงให้เห็นถึงความกลัว ขลาดเขลา และมีนัยยะในทางดูหมิ่นเย้ยหยันกษัตริย์พม่าก็คงต้องละไว้

เจ้าพระยาพระคลัง (หน)
แปลราชาธิราชออกเป็นภาษาไทยสนองพระราชโองการรัชกาลที่ ๑ ซึ่งไม่ต่างจากการทำหน้าที่ของพญาทะละ แต่วัตถุประสงค์นั้นเพื่อให้ผู้คนทั่วไปเลิกหวาดกลัวพม่า ดังแสดงให้เห็นว่า บางยุคสมัยพม่าก็ขลาด เสียรู้ และก็พ่ายแพ้ได้เช่นเดียวกัน รวมทั้งเน้นพระราชกิจของกษัตริย์ให้โดดเด่นเป็นสมมุติเทพ ไม่จำเป็นต้องสืบวงศ์มาแต่กษัตริย์ แต่ขอให้มีสติปัญญาและบุญบารมี เป็นการรับรองความชอบธรรมของรัชกาลที่ ๑ ซึ่งเคยเป็นสามัญชนมาก่อน ดังนั้นราชาธิราชฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) จึงถูกแต่งเติมให้เกินจริงอย่างพิษดาร

ฉบับปากลัด
ได้รับอิทธิพลราชาธิราชฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) ที่ได้รับความนิยมในหมู่คนไทย ด้วยเป็นวรรณคดีที่อ่านสนุก กระตุ้นสำนึกรักชาติ ผู้แปลฉบับปากลัดจึงมุ่งเน้นการแปลราชาธิราชจากภาษาไทยกลับไปเป็นภาษามอญอย่างที่คาดว่าไม่เคยมีราชาธิราชที่มีเนื้อหาอย่างในฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) มาก่อน เพื่อปลูกฝังความรู้สึกรักชนชาติ ร่วมหวงแหนมรดกของบรรพชน มีนัยยะนำไปสู่การต่อสู้เพื่อชนชาติ

ต่างเนื้อหา
 เริ่มเรื่องของราชาธิราชฉบับปากลัดขึ้นต้นด้วยบทบูชาพระรัตนไตรตามคติงานเขียนของมอญ ต่อด้วยการอารัมภบทพุทธประวัติโดยย่อ กระทั่งได้พระราชทานพระเกศาธาตุ ๘ เส้นให้ตะปุสสะภัลลิกะ ๒ วานิชมอญ ก่อนจะกล่าวถึง “ควัมปติ” พระอรหันต์ชาวเมืองสะเทิม ดังความเริ่มเรื่องในฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) ส่วนเนื้อหาโดยรวมใกล้เคียงกัน กล่าวถึงอภินิหาร ยอพระเกียรติกษัตริย์ เน้นสงครามระหว่างพระเจ้าราชาธิราชและพระเจ้าฝรั่งมังฆ้อง การเรียงลำดับเหตุการณ์ในฉบับปากลัดมีสับสนอยู่หลายแห่ง เช่น การตายของพ่อขวัญเมือง การลงทัณฑ์พระมหาเทวี และการทำสัตย์ต่อกันระหว่างพระเจ้าราชาธิราชและพระเจ้าฝรั่งมังฆ้อง หากเปรียบเทียบสำนวนทั้งสองฉบับ จะเห็นได้ชัดว่าฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) เดินเรื่องประณีตอลังการกว่าฉบับปากลัด เนื้อหาของฉบับปากลัดจบลงที่พระนางตะละเจ้าท้าวขึ้นครองราชย์ ส่วนฉบับพระยาพระคลัง (หน) จบลงเมื่อพระเจ้าธรรมเจดีย์ถวายพระเพลิงศพพระนางตะละเจ้าท้าว และปกครองบ้านเมืองด้วยความผาสุข ส่วนฉบับพญาทะละจบลงตรงที่พระเจ้าราชาธิราชสวรรคต

รายละเอียดและการขยายความในหลายแห่งต่างกันอย่างสิ้นเชิง เชื่อว่าไม่ได้เกิดจากความผิดพลาด แต่เกิดจากการจงใจที่จะสร้างรายละเอียดให้แตกต่างกัน เช่น

พระเจ้ากรุงสุโขทัย ต้องการเสี่ยงทายเมืองที่จะส่งช้างเผือกลูกช้างฉัททันต์ไปให้ ด้วยการนำฟ่อนหญ้าเมืองต่างๆ มาเสี่ยงทาย หากช้างเผือกรับหญ้าเมืองไหนก็จะส่งไปให้เมืองนั้น ในฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) มีฟ่อนหญ้าเสี่ยงทาย ๓ ฟ่อน ได้แก่ เมืองสุโขทัย เมืองเมาะตะมะ และเมืองเชียงใหม่ ฉบับปากลัดว่า ๔ ฟ่อน ได้แก่ เมืองเชียงใหม่ เมืองและกอนปิตยา เมืองอยุธยา และเมืองเมาะตะมะ ส่วนที่เหมือนกันก็คือช้างเผือกเลือกรับหญ้าเมืองเมาะตะมะ

วันเดือนที่พระยาน้อยแจ้งว่าจะเดินทางจากเมืองตะเกิงที่ตั้งมั่นอยู่ไปไปเข้าเฝ้าพระบิดา (พญาอู่) และเสด็จป้า (พระมหาเทวี) ที่เมืองพะโค ในฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) ว่าเดือน ๙ แต่ฉบับปากลัดว่าเดือน ๑๐ คาดว่าคงคำนวณต่างกันทางจันทรคติและสุริยคติ

จำนวนเงินที่มะกะนาย (ฉบับปากลัดชื่อ ตะละขะวาเตอปะตอย) ยืมเจ้าหนี้ไปลงทุนค้าสำเภาขาดทุนไม่มีใช้คืนต้องติดคุกอยู่นั้น พระเจ้าราชาธิราชต้องการชดใช้แทน ไถ่ตัวไปช่วยรบ เจ้าหนี้ในฉบับปากลัดว่าติดค้างอยู่ ๑๐๐ ชั่ง ยกให้ ๕๐ ชั่ง ขอจากพระเจ้าราชาธิราช ๕๐ ชั่ง ส่วนฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) ว่าเป็นหนี้อยู่ ๒๐ ชั่ง
“...ขอถวายไว้ใต้ฝ่าพระบาท จะได้แจกทแกล้วทหารซึ่งมีความชอบ ข้าพเจ้าจะขอพึ่งบุญบารมีพระองค์สืบไป”

ต่างนิมิตเทพอุ้มสม
   เช่น ในตอนปราบดาภิเษกพระยาน้อย เสนาบดีและราชปุโรหิตทั้งปวงได้กล่าวอธิษฐานหากชื่อ “สมเด็จพระเจ้าสีหราชาธิราช” นั้นเหมาะกับพระยาน้อยแล้ว ให้เศวตฉัตรที่หุบอยู่นั้นกางขึ้น ซึ่งก็เกิดมหัศจรรย์จริงดังคำอธิษฐาน ส่วนในฉบับปากลัดไม่ได้กล่าวถึง อีกครั้งหนึ่งเมื่อพระเจ้าราชาธิราชยกทัพออกไปรบกับพระเจ้าฝรั่งมังฆ้อง เกิดนิมิตพิษดาร ในฉบับปากลัด เศวตฉัตรเพียงแต่ต้องลมโค่นลงดิน ส่วนฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) ถูกลมหอบขึ้นฟ้า “...กระทำเป็นทักษิณาวนถ้วนสามรอบแล้ว ก็กลับลงมาประดิษฐานอยู่ดังเก่า...”

ต่างภาษา
  ราชาธิราชฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) ไม่มีการวางรูปแบบการแปลชื่อบุคคลและสถานที่ บางชื่อแปลความหมาย เช่น เม้ยมณิก (แมะเนิจ์ก แปลว่า มณี) บางชื่อทับศัพท์เช่น สมิงพ่อเพ็ชร (เป่อเปิด แปลว่า อัญมณี) พระเจ้าฟ้ารั่ว หากถอดตามเสียงไทยด้วยอักษรมอญก็จะได้ สะวารัว และเป็น วาโร ตามเสียงมอญ

ชื่อผู้ชายสามัญชน มอญใช้ แมะ ไทยออกเสียง มะ นำหน้าเพศชาย เช่น มะกะโท มาจากภาษามอญว่า แมะกะตู แปลว่า พ่องอบ และ มิ ไทยออกเสียงว่า เม้ย นำหน้าเพศหญิง ดังนั้นชื่อผู้หญิงสามัญชนในราชาธิราชจึงมีเม้ยนำหน้า เช่น เม้ยสะดุ้งมอด มาจากภาษามอญว่า มิขะโดงหมอด แปลว่า แม่ดวงตา

ได้มีการค้นพบว่าต้นฉบับราชาธิราช ฉบับที่มีผู้แปลถวายสมเด็จพระอนุชาธิราช กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท ในรัชกาลที่ ๑ ซึ่งเรียกกันทั่วไปว่า
“ฉบับวังหน้า” ชื่อตัวละครใกล้เคียงภาษามอญมากกว่าฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) แต่ทั้งนี้ก็ไม่สามารถสรุปได้ว่าผู้แปลฉบับวังหน้าจะรู้ภาษามอญและไทยดีกว่าคณะของเจ้าพระยาพระคลัง (หน) แม้จะไม่มีกรรมการที่เป็นผู้รู้แตกฉานภาษามอญและไทย (ในคนเดียวกัน) ก็สามารถหาผู้รู้มาบอกภาษาได้ เพียงแต่ในฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) ที่รัชกาลที่ ๑ โปรดฯให้แปลนั้นคงไม่ต้องการเน้นให้ชื่อบุคคลตรงตามเสียงภาษามอญเพราะออกเสียงยาก หรือแม้แต่ได้พยายามแล้วก็ยังสามารถได้ยินเพี้ยน เช่น จอน กาลาฟัด (John crawfurd) กัมมาจล (Commercial) เป็นต้น ตัวอย่างชื่อบุคคลในราชาธิราชฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) ที่แตกต่างจากภาษามอญอย่างมาก เช่น อะมาดตินแมะเนิจ์กหรอด ในฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) ว่า อำมาตย์ทินมณีกรอด ที่เป็นการแยกพยางค์ภาษามอญผิด

ชื่อเมือง (
Mawlamyine) หรือเมืองมองมะละที่นักวิชาการบางท่านสันนิษฐานว่าน่าจะเป็นเมืองเดียวกันกับ เมาะลำเลิง นั้นไม่ถูกต้อง เนื่องจากมีการกล่าวแยกไว้อย่างชัดเจนระหว่างเมือง มอดแมะเลิ่ม และ มองแมะและ

ต่างเหตุการณ์และข้อเท็จจริง
  ในฉบับปากลัดและฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) พระเจ้าฝรั่งมังฆ้องสิ้นพระชนม์หลังพระเจ้าราชาธิราช ส่วน “ฉบับพระยาทะละ” พระเจ้าฝรั่งมังฆ้องสิ้นพระชนม์ไปก่อน (หลักฐานทางฝ่ายฝ่ายพม่า พระเจ้าฝรั่งมังฆ้องครองราชย์ ๒๑ ปี ตั้งแต่ พ.ศ. ๑๙๔๔-๑๙๖๕ ส่วนพระเจ้าราชาธิราชครองราชย์ ๓๘ ปี ตั้งแต่ พ.ศ. ๑๙๒๘-๑๙๖๖)

เครื่องบรรณาการของกษัตริย์มอญแด่กษัตริย์พม่าในฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) มักมีผ้าแดงโมรี แต่ฉบับปากลัดไม่มี มีเพียงครั้งเดียวที่กล่าวถึงผ้าแต่เป็นผ้าขาว เนื่องจากคนมอญมีความเชื่อเรื่องผีบรรพชน ผีปู่ย่าตายายของมอญนั้นนิยมผ้าแดง ฉะนั้นจึงมีธรรมเนียมห้ามลูกหลานแจกจ่ายข้าวของเครื่องใช้ที่เป็นสีแดง โดยเฉพาะผ้าแดงให้คนนอกผีอย่างเด็ดขาด

อัฐิของขุนนางเสนาบดีผู้ใหญ่ฝ่ายมอญทุกคนที่เสียชีวิต พระเจ้าราชาธิราชโปรดฯให้เผาแล้วเก็บอัฐิไว้ ในฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) ให้ไปเก็บไว้ในพระเจดีย์มุเตา ส่วนในฉบับปากลัดให้ไปเก็บในใน
“บริเวณ” พระเจดีย์มุเตา แม้จะต่างกันเพียงคำเดียว แต่ความหมายนั้นห่างกันราวฟ้ากับดิน ด้วยเจดีย์ตามคติของคนมอญนั้นมีไว้สำหรับบรรจุพระธาตุพระพุทธเจ้าเท่านั้น ปุถุชนธรรมดาแม้แต่พระมหากษัตริย์ก็ไม่สามารถนำอัฐิไปบรรจุได้
 
สรุป

วรรณกรรมที่แปลและคัดลอกต่อๆ กันมา แม้พยายามต้องการคัดลอกให้เหมือนเดิมแต่ย่อมผิดพลาดได้ โดยเฉพาะในยุคที่ยังคัดลอกด้วยมือ หรือแม้แต่เข้าสู่ระบบการพิมพ์แล้วก็ตาม ทั้งนี้ในสมัยที่ผู้ผลิตงานวรรณกรรมที่มิได้เคร่งครัดในรายละเอียด จึงได้มีการแต่งเติมสีสันไปตามความนิยมของตน จะโดยเจตนาหรือไม่ก็ตาม บางครั้งอาจจงใจคัดลอกดัดแปลงวรรณกรรมนั้นๆ ให้เข้ากับบริบทแวดล้อมของตนเพื่อประโยชน์บางอย่าง ดังนั้นผู้อ่านงานวรรณกรรมจึงต้องแยกแยะคัดกรองระหว่างข้อเท็จจริงและสิ่งเจือปนแทรกอยู่ระหว่างบรรทัดเสมอ
 

 

บล็อกของ องค์ บรรจุน

องค์ บรรจุน
คนส่วนใหญ่รับรู้ว่าวัดชนะสงครามเป็นวัดมอญ ใช่ว่าคนสนใจประวัติศาสตร์จึงได้รู้ความเป็นมาของวัด แต่เป็นเพราะหน้าวัดมีป้ายโลหะสีน้ำตาลที่ทางการชอบปักไว้หน้าสถานที่ท่องเที่ยว ความระบุประวัติไว้ว่าวัดนี้เป็นวัดของพระสงฆ์ฝ่ายรามัญ (มอญ) แต่ก็ไม่แน่ใจนัก คนสมัยนี้อาจเข้าใจว่ามอญเป็นชื่อต้นไม้จำพวกเห็ดราปรสิตชนิดหนึ่งก็ได้
องค์ บรรจุน
องค์ บรรจุน   การสื่อสารระหว่างมนุษย์ด้วยวิธีต่างๆ เพื่อให้ฝ่ายหนึ่งรับรู้ความหมายจากอีกฝ่ายหนึ่ง และเกิดการตอบสนอง นับแต่โบราณกาลมีตั้งแต่การสุมไฟให้เกิดควัน นกพิราบสื่อสาร ปัจจุบันการสื่อสารมีหลายวิธีรวดเร็วทันใจมากขึ้น อาจเป็นวิทยุ โทรทัศน์ หนังสือพิมพ์ โทรศัพท์มือถือ ดาวเทียม ระบบโทรคมนาคม หรือการสื่อสารระบบเครือข่ายที่อาศัยดาวเทียมและสายเคเบิลใยแก้ว ที่เรียกว่า อินเตอร์เน็ต ก็ได้ ส่วนภาษาที่มาพร้อมกับวิธีการสื่อสารเหล่านั้น เป็นเครื่องมือที่สำคัญซึ่งมีพัฒนาการไม่หยุดนิ่ง มีการหยิบยืมคำในภาษาอื่น เปลี่ยนรูปแบบและความหมายตลอดเวลา…
องค์ บรรจุน
องค์ บรรจุน   พิพิธภัณฑ์ในประเทศไทยนั้นมีมาอย่างน้อยก็ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ ๕ ถึงแม้ว่าจะเริ่มต้นจากการหาที่เก็บของเก่าก็ตาม แต่จากประสบการณ์ที่ว่านี้ ก็น่าจะเป็นประโยชน์ต่อคนที่กำลังคิดทำพิพิธภัณฑ์ว่าจะใช้เก็บของเก่าหรือใช้เป็นสถานที่เรียนรู้ โดยเฉพาะในยุคที่ผู้คนเริ่มเห็นคุณค่าท้องถิ่นของตน การตัดสินใจเกี่ยวกับท้องถิ่นจึงควรมาจากท้องถิ่นเพื่อประโยชน์ของท้องถิ่น
องค์ บรรจุน
องค์ บรรจุน     หญ้าขัดมอญ เป็นพืชล้มลุก ทรงพุ่มเตี้ย ตระกูลเดียวกับชบา ขึ้นเองตามธรรมชาติไม่ต้องปลูกและดูแลรักษา คนในสังคมเมืองคงไม่คุ้นชื่อคุ้นต้นไม้ชนิดนี้ หลายคนเห็นเป็นวัชพืชอย่างหนึ่งที่ต้องกำจัด นอกจากบางคนที่ช่างสังเกตธรรมชาติรอบตัวก็อาจจะพบว่า หญ้าขัดมอญ เป็นไม้พุ่มเตี้ยแตกกิ่งก้านหนาแน่น ใบเล็กเรียวเขียวเข้ม ยิ่งเวลาออกดอก สีเหลืองอ่อนหวานพราวพรายรายเรียงอยู่ทั่วทุกช่อใบ ชวนมองไม่น้อย แถมมีประโยชน์ในครัวเรือนหลายอย่าง ทั้งด้านการใช้สอยและสรรพคุณทางสมุนไพร
องค์ บรรจุน
องค์ บรรจุน บทสรุปย่อสำหรับผู้บริหาร (Executive Summary) ของศูนย์พม่าศึกษา มหาวิทยาลัยนเรศวร ในการนำการเสนอโครงการวิจัย ชุด "โครงการประเทศพม่าศึกษา" ชื่อหัวข้อวิจัย คือ "มโนทัศน์ทางการเมืองของรัฐพม่าบนพื้นที่สื่อรัฐบาลทหาร" ที่ผ่านการอนุมัติจากสกว.
องค์ บรรจุน
  องค์ บรรจุน ๗ กรกฏาคม ที่ผ่านมาเป็นวันอาสาฬหบูชา รุ่งขึ้นก็เป็นวันเข้าพรรษา วันสำคัญของพุทธศาสนิกชนทั่วโลก เมื่อมีวันหยุดยาวติดต่อกันหลายวัน ผู้คนจึงออกต่างจังหวัดกันมาก ถนนช่วงนั้นจึงโล่งอย่างเทศกาลใหญ่ๆ ทุกครั้ง เปิดทีวีมีแต่ข่าวขบวนแห่เทียนเข้าพรรษากันทัวประเทศ ยิ่งใหญ่เท่าไหร่ แปลกเท่าไหร่ยิ่งดี บางจังหวัดไม่เคยจัดก็สู้อุตส่าห์ซื้อช่างแกะเทียนค่าตัวแพงลิบมาจากอุบลราชธานี กลายเป็นว่าทุกวันนี้คนทำเทียนเข้าพรรษาเพื่อขายการท่องเที่ยว ไม่ได้ถวายให้พระใช้งานจริงขณะนั้นเวลา ๑๐.๓๐ น. ผมนั่งอยู่โคนต้นอโศกอินเดียภายในวัดชนะสงคราม ความคลุกคลีกับวัดวามานานจึงพาลห่างวัด…
องค์ บรรจุน
องค์ บรรจุนบทความชิ้นนี้ไม่มีเจตนาตั้งชื่อเลียน "ชัตเตอร์กดติดวิญญาณ" เพราะในภาพยนตร์นั้น เจ้าของกล้องกดชัตเตอร์ติดวิญญาณผีที่เขาขับรถชนและหนีไป ทว่าในที่สุดวิญญาณก็ตามทวงเอาชีวิต ซึ่งต่างจากบทความนี้อย่างสิ้นเชิง เนื่องจาก เจ้าของกล้องถ่ายภาพนับร้อยที่กดชัตเตอร์ใส่ผีตนหนึ่ง คล้ายมหรสพที่นักการเมืองจัดให้ชาวบ้านในฤดูหาเสียง แต่ที่ร้ายก็คือ อำนาจของชัตเตอร์กลับสะกดให้ผีตกอยู่ใต้อำนาจของมนุษย์อย่างที่ผีไม่สามารถเอาคืนได้
องค์ บรรจุน
องค์ บรรจุน แค่อ่านชื่อเรื่องหลายคนคงรู้จักคุ้นเคยกันดีว่านี่คือเนื้อเพลง “สยามเมืองยิ้ม” สำหรับคนที่เป็นคอลูกทุ่งยิ่งต้องรู้ว่า เพลงนี้ขับร้องโดยราชินีเพลงลูกทุ่งผู้ล่วงลับ พุ่มพวง ดวงจันทร์ ส่วนผู้ประพันธ์เนื้อเพลงเป็นครูเพลงคู่บุญของเธอ ลพ บุรีรัตน์ 
ได้ฟังเพลงนี้ครั้งแรกก็สัมผัสได้ถึงความยิ่งใหญ่ในความเป็นชาติ รู้สึกทันทีว่าไพเราะกินใจ ซาบซึ้งไปกับบทเพลง ยิ่งฟังยิ่งเพราะ ขนาดที่เมื่อสิบกว่าปีก่อนเคยส่งเทปจัดรายการเพลงไปประกวดดีเจทางคลื่น “สไมล์เรดิโอ” ใช้เพลง “สยามเมืองยิ้ม” เป็นเพลงปิดรายการ ได้เข้ารอบแรกเสียด้วยแต่ตกรอบ ๒๐ คนสุดท้าย เพื่อนๆ ที่รอฟังและตามลุ้นพูดเหมือนกันว่า “สมควรแล้ว…
องค์ บรรจุน
  องค์ บรรจุน คนทั่วไปสับสนเกี่ยวกับลักษณะสายพันธุ์และชื่อเรียกของ "กระเจี๊ยบ" ว่าเป็นอย่างไรและเรียกว่าอะไรกันแน่ จะมีสักกี่คนที่รู้ถึงที่มาและคุณค่ามากมายมหาศาลของกระเจี๊ยบบ้านมอญในชนบทหลายแห่งเคยมีต้นกระเจี๊ยบริมรั้ว ริมคลองหนองบึง สำรับกับข้าวเคยมีแกงกระเจี๊ยบไม่ขาด แต่ทุกวันนี้ "กระเจี๊ยบ" เริ่มเลือนหายไปจากชีวิต ชนิดที่ไม่มีใครอาลัยอาวรณ์นัก แม้แต่จะนึกถึงความหลังที่แกงกระเจี๊ยบเคยอยู่คู่ครัวมาแต่อ้อนแต่ออก
องค์ บรรจุน
องค์ บรรจุนหลายปีก่อนผู้เขียนเคยนั่งตากลม น้ำลายบูด หันซ้ายทีขวาที อยู่กลางวงสนทนาของผู้หลักผู้ใหญ่ในวงการประวัติศาสตร์ สังคมศาสตร์ และมานุษยวิทยา ในวงนั้นมี รศ.ศรีศักร วัลลิโภดม อยู่ด้วย ท่านพูดถึงความหลากหลายทางชาติพันธุ์ในเมืองไทยไว้ประมาณว่า สังคมไทยหลอมรวมมาจากผู้คนและวัฒนธรรมของคนหลายกลุ่ม ความเป็นไทยแท้นั้นจึงเป็นเรื่องโกหก โดยเฉพาะคนไทยที่ไม่มีสายเลือดอื่นเจือปนนั้นไม่มีจริงในโลก ในวันนั้นผมได้ยินคำอาจารย์ศรีศักรชัดถ้อยชัดคำเต็มสองหูว่า "ที่ไหนมีคนไทยแท้ช่วยมาบอกที จะเหมารถไปถ่ายรูปคู่เก็บไว้เป็นที่ระลึก และจะกราบตีนงามๆ สักที อยากเห็นจริงๆ..."
องค์ บรรจุน
 องค์ บรรจุนธรรมเนียมไทยแท้แต่โบราณ "ใครถึงเรือนชานต้องต้อนรับ" หัวเรื่องที่จั่วไว้ด้านบนบทความนี้ ถือเป็นคุณสมบัติอันน่าภาคภูมิของคนไทยอย่างหนึ่ง คนไทยทั้งผองเชื่อกันว่าคนไทยมีข้อดีงามหลายอย่าง เป็นต้นว่า โอบอ้อมอารีน้ำใจ เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ กตัญญูรู้คุณ ซื่อสัตย์สุจริต ยิ้มสยาม หรือแม้แต่ "รักสามัคคี" และ "ไทยนี้รักสงบ..." ล้วนเป็นความดีเด่นประจำชนชาติไทยตามลัทธิอัตตานิยม "คนไทยดีที่สุดในโลก" ดังนั้นเมื่อหมอดูทำนายคนไทยหน้าไหนก็ตามว่าเป็นคนดีดังกล่าวข้างต้น จึงไม่มีใครปฏิเสธว่าหมอดูไม่แม่น
องค์ บรรจุน
ถุงผ้าไม่ได้ลดโลกร้อน เพราะการใช้ถุงผ้าตามกระแสโดยเข้าไม่ถึงหลักใหญ่ใจความ ขณะที่ปริมาณการใช้ถุงพลาสติกยังคงเดิม คงไม่ต้องไปดูไหนไกลอื่น แค่เพียงเราสำรวจดูที่บ้านว่าเรามีถุงผ้าอยู่ในครอบครองกี่ใบ แต่ละวันที่เราออกไปทำธุระนอกบ้าน หรือเวลาที่ตั้งใจไปจ่ายตลาด มีใครสักกี่คนที่เอาถุงผ้าหรือตะกร้าติดตัวไปด้วย และในบรรดาคนที่เอาถุงผ้าหรือตะกร้าติดตัวไปด้วยนั้น จะมีใครบ้างไหมที่ปฏิเสธแม่ค้าว่าไม่เอาถุงพลาสติก โดยเฉพาะแม่ค้าในตลาดสด "ไม่ต้องใส่ถุงพลาสติกชั่งน้ำหนักแล้วเทลงถุงผ้าเลย" อย่างน้อยการซื้อแกงถุงกลับบ้าน นอกจากถุงร้อนที่ใส่แกงแล้ว ยังมีถุงหูหิ้วสวมทับอีก ๑ ใบด้วยหรือไม่