Skip to main content

บล็อกกาซีน ประชาไท

หัวไม้ story
  หัวไม้ story คือ ภาคต่อของรายการทีวีอินเทอร์เน็ต ‘สมาคมหัวไม้' ที่เป็นคล้ายๆ บทบรรณาธิการของกอง บก.ประชาไท เกิดจากการพูดคุย ถกเถียง วิวาทะ เกี่ยวกับเรื่องราวที่น่าสนใจของความเป็นไปในสังคมรอบตัว และอยากจะเน้นย้ำให้ผู้อ่านประชาไทได้รับรู้ไปพร้อมกัน ทุกๆ สัปดาห์ จากนั้นจะมีการรายงานความคืบหน้าในประเด็น ‘หัวไม้' อีกครั้งหนึ่ง ผ่านพื้นที่ของ ‘หัวไม้ story' ในส่วนของบล็อกกาซีน-ประชาไท (ปลายสัปดาห์)มุทิตา เชื้อชั่ง, คิม ไชยสุขประเสริฐ, ชลธิชา ดีแจ่ม นานๆ ทีจะเห็นคนระดับนายกรัฐมนตรีออกมาพูดเรื่องสิ่งแวดล้อม และระดับคุณสมัคร สุนทรเวช ก็ไม่เคยทำให้ผิดหวัง เพราะพูดอะไรมักต้องเป็นที่ฮือฮาป่าแตกเสมอ ดังเช่นการวิจารณ์ว่า ‘อีไอเอ' หรือ ‘รายงานผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม' ที่เจ้าของโครงการอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ต้องศึกษาแล้วส่งให้ สผ.พิจารณานั้นคล้ายๆ จะขัดขวางความเจริญ ทำให้การลงทุนล่าช้า สะดุด หยุดชะงัก....ทำนักลงทุนเดือนร้อน ใครรับผิดชอบ ฮึ !
Hit & Run
   จิรนันท์ หาญธำรงวิทย์ ตลอดสัปดาห์นี้ ดูเหมือนเรื่องร้อนๆ คงหนีไม่พ้นเรื่องจะ ‘แก้-ไม่แก้' รัฐธรรมนูญ บางคนบอกว่า ไม่ควรแก้กันตอนนี้ เพราะรัฐบาลยังไม่ได้แก้ปัญหาเศรษฐกิจให้เรียบร้อย ผู้เขียนกลับเห็นว่า ควรจะแก้เสียตอนนี้เลย เพราะแม้ว่า รัฐธรรมนูญไทยจะถูกฉีกเป็นว่าเล่น ต้องร่างใหม่กันบ่อยๆ จนตอนนี้ปาเข้าไปฉบับที่ 18 คำนวณอายุโดยเฉลี่ยของรัฐธรรมนูญก็ตกอยู่ราวๆ ฉบับละ 4 ปีนิดๆ พอๆ กับอายุบัตรนักศึกษามหาวิทยาลัย สั้นกว่ากฎหมายและระเบียบว่าด้วยการแต่งกายของนักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์[1] หรือแม้กระทั่งพระราชบัญญัติภาพยนตร์ฉบับเก่า ซึ่งประกาศใช้มาตั้งแต่ พ.ศ. 2473 (ที่ตอนนี้ ได้ฉบับใหม่มาประกาศใช้แทนเรียบร้อย ร.ร. สนช. ไปแล้ว) แต่ก็นับว่า กฎหมายรัฐธรรมนูญ มีความสำคัญกับการดำรงชีวิตของประชาชน เพราะได้กำหนดถึงวิธีการได้มาซึ่งฝ่ายบริหาร ฝ่ายนิติบัญญัติ และฝ่ายตุลาการ ที่จะมาทำหน้าที่บริหารประเทศ ออกกฎหมาย และควบคุมไม่ให้การกระทำของฝ่ายบริหารขัดต่อกฎหมาย หรือไม่ให้กฎหมายขัดต่อรัฐธรรมนูญ แทนเรา (ซึ่งจะขอพูดถึงในลำดับต่อไป)ยิ่งมาตรา 237 ที่ว่าด้วยเรื่องของการยุบพรรคการเมือง ยิ่งสำคัญกับเราทุกคน ตามที่ 5 อาจารย์แห่งคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้แสดงความเห็นเมื่อช่วงต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา ว่า ไม่เห็นด้วยกับการตีความรัฐธรรมนูญ มาตรา 237 เพื่อยุบพรรคการเมือง เพราะเท่ากับความผิดของบุคคลคนเดียวนำไปสู่การยุบพรรคการเมือง ที่ประกอบไปด้วยสมาชิกจำนวนมากซึ่งไม่ได้ทำผิด อีกทั้งการเอาผิดกับบุคคลซึ่งไม่ได้กระทำ ยังขัดต่อหลักการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของบุคคลอย่างร้ายแรงด้วย หากรัฐธรรมนูญไม่สามารถตีความครอบคลุมคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของบุคคลได้ เรื่องอื่นๆ ที่คงจะหวังได้ยาก... อย่างไรก็ตาม ผู้เขียนจะขอหยุดการแสดงความเห็นเรื่องมาตรา 237 ไว้ตรงบรรทัดนี้ เพราะได้มีผู้แสดงความเห็นไปแล้วหลาย คน (และผู้เขียนเห็นด้วย)เมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมา สุริยะใส กตะศิลา ผู้ประสานงานพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ได้ให้สัมภาษณ์ว่า ทันทีที่ญัตติการแก้ไขรัฐธรรมนูญเข้าสู่สภาผู้แทนราษฎร กลุ่มพันธมิตรฯ ก็จะมีความชอบธรรมและจะชัดเจนว่าจะเคลื่อนไหวโดยการชุมนุมหรือไม่ เพราะมีจุดยืนคัดค้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญไม่ว่ามาตราใดๆ เนื่องจากไม่ใช่เรื่องสำคัญ โดยเห็นว่า รัฐบาลควรจะแก้ไขปัญหาอื่นของประเทศชาติก่อนที่จะแก้ไขรัฐธรรมนูญผู้เขียนเห็นต่างว่า การแก้รัฐธรรมนูญเป็นเรื่องสำคัญและเร่งด่วน เพราะการออกแบบการได้มาซึ่ง ส.ส. ส.ว. รวมถึง ศาล และองค์กรอิสระนั้น ออกจะบิดเบี้ยวไม่น้อย เริ่มตั้งแต่ ส.ว. การสรรหา ส.ว. เกือบครึ่งหนึ่ง (74 คน) มาจากคณะกรรมการ 7 คน ได้แก่ ประธานศาลรัฐธรรมนูญ ประธานกรรมการการเลือกตั้ง ประธานผู้ตรวจการแผ่นดิน ประธานกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ประธานกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน ตัวแทนที่ประชุมศาลฎีกา และตัวแทนที่ประชุมศาลปกครองสูงสุด (โดยที่ ส.ว. ทั้งสรรหา และเลือกตั้ง นั้น สามารถถอดถอน ส.ส. ที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชนได้  และมีอำนาจแต่งตั้ง-ถอดถอนองค์กรอิสระ หรือก็คือบุคคลที่เลือกตนเองมาได้ด้วย) ขณะที่ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญนั้น จะได้มาจากการสรรหาโดยประธานศาลฎีกา ประธานศาลปกครองสูงสุด ประธานสภาผู้แทนราษฎร ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร และประธานองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ปปช.) มาจากการสรรหาโดยประธานศาลฎีกา ประธานศาลรัฐธรรมนูญ ประธานศาลปกครองสูงสุด ประธานสภาผู้แทนราษฎร และผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎรคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน (คตง.) มาจากการสรรหาโดยประธานศาลฎีกา ประธานศาลรัฐธรรมนูญ ประธานศาลปกครองสูงสุด ตัวแทนที่ประชุมศาลฏีกา ตัวแทนที่ประชุมศาลปกครอง ประธานสภาผู้แทนราษฎร และผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎรคณะกรรมการการเลือกตั้ง มาจากการสรรหาโดยประธานศาลฎีกา ประธานศาลรัฐธรรมนูญ ประธานศาลปกครองสูงสุด ตัวแทนที่ประชุมศาลฏีกา ตัวแทนที่ประชุมศาลปกครอง ประธานสภาผู้แทนราษฎร และผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎรผู้ตรวจการแผ่นดิน สรรหาโดยโดยประธานศาลฎีกา ประธานศาลรัฐธรรมนูญ ประธานศาลปกครองสูงสุด ตัวแทนที่ประชุมศาลฏีกา และตัวแทนที่ประชุมศาลปกครอง ประธานสภาผู้แทนราษฎร และผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร[2]นอกจากนี้ ขณะที่รัฐธรรมนูญห้ามกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญลงสมัคร ส.ส. ส.ว. แต่กลับไม่ห้ามดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ[3] ทั้งยังไม่มีการห้าม ส.ส.ร. และ สนช. ดำรงตำแหน่ง ส.ส. และ ส.ว.[4] ทั้งที่ ส.ส.ร. มีส่วนได้ส่วนเสียกับรัฐธรรมนูญ ที่ออกแบบการได้มาซึ่ง ส.ส. ส.ว. และ สนช.ก็เป็นผู้ผ่าน พ.ร.บ.การเลือกตั้ง ส.ส. ส.ว.หลักการไขว้กันขนาดนี้ ไม่แก้คงไม่ได้? [1] ดู ธเนศ อาภรณ์สุวรรณ : ฐานะและบทบาททางประวัติศาสตร์ของรธน.ในระบบประชาธิปไตยไทย[2] ดู ตารางเปรียบเทียบจำนวน ที่มา ของศาล และองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ ฉบับปี2540และ2550[3] จรัญ ภักดีธนากุล และสุพจน์ ไข่มุกด์ อดีตกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ 2550 ได้รับการสรรหาเป็นว่าที่ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ[4] คำนูณ สิทธิสมาน และสมชาย แสวงการ อดีตสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ได้รับการสรรหาเป็นสมาชิกวุฒิสภา  
Cinemania
Between the FramesE-mail: betweentheframes@gmail.com:::Spoil::: บทความนี้เปิดเผยเนื้อหาที่สำคัญของภาพยนตร์ :::Spoil::: "All those gathered here will know that it is not by sword or spear that the LORD saves; for the battle is the LORD's, and He will give all of you into our hands."                                                                                                                                                                1 Samuel 17:47ยากที่จะเชื่อว่าอเมริกาเป็นประเทศที่ดีพร้อม ขอฟันธงไว้ ณ ที่นี้ว่า ถ้าในอนาคตอันใกล้นี้อเมริกาสำรวจความคิดเห็นของคนบ้านตัวเองว่า ‘เสียหาย' (ที่เกิดจากสงครามอิรัก) ไปมากแค่ไหน รับรองว่าเมื่อถึงวันนั้น คนส่วนใหญ่จะบอกว่า ‘มันเข้าขั้นฉิบหาย' แล้ว และจะไม่ลังเลที่จะอ้างถึงหนังอย่าง In the Valley of Elah แน่นอน หนังเรื่องนี้เป็นผลงานการเขียนบท และกำกับของ Paul Haggis โดยได้โครงเรื่องคร่าวๆ มาจากบทความชื่อ Death and Dishonor เกี่ยวกับ Richard Davis ในนิตยสาร Playboy ที่เขียนโดย Mark Boal จากนั้นก็เปลี่ยนแปลงรายละเอียด เพิ่มมิติให้กับหนัง ผลที่ได้คือเรื่องราวที่นอกจากจะตีแผ่ความป่วยไข้ ความโศกเศร้า และความทรมาน ของสังคมอเมริกัน ที่ปกปิดไว้ด้วยหน้ากากแห่งความรักชาติ ด้วยการใช้วรรณศิลป์ภาพยนตรืที่นอกจากจะลุ่มลึก ซับซ้อน และทรงพลังแล้ว ในเวลาเดียวกันยัง วิพากษ์และตอกย้ำการสูญเสีย ‘ความเป็นมนุษย์' แบบบาดลึกถึงก้นบึ้งหัวใจอีกด้วยในขณะที่ผู้กำกับตามแบบฉบับ Hollywood ไม่มีจุดยืน จะไม่ลังเลที่จะ ‘ขาย' เรื่องราว In the Valley of Elah ในรูปแบบการสืบสวนฆาตกรรมทั่วไปที่มักจะพบได้ตามซีรี่ส์ CSI โดยใช้ส่วนผสม 1.) มีคนหายตัวไป มีสถานที่เกิดเหตุ มีปริศนา 2.) คนที่หายตัวไปนั้นกลายเป็นศพ 3.) การย่ำเท้าตามรอยหาข้อเท็จจริงจนกว่าจะได้ตัวคนร้าย 4.) จบเรื่องแบบหักมุม แต่หนังเรื่องนี้ ไม่ได้การลุ้นระทึกเหมือนหนังสืบสวนสอบสวนทั่วๆไป เพราะไม่ได้มีปริศนาอะไรซับซ้อน ไม่ได้จบแบบที่พระเอกที่เป็นตัวละครแบนเหมือนกระดาษแข็ง คลี่คลายคดีได้แล้วก็จบกัน ตรงกันข้าม...เรื่องนี้ไม่มีอะไรเกินจริง และทุกอย่างดูจริงจังจนถึงขั้นหดหู่สุดขั้วถ้ามองแบบตื้นๆ ก็น่าจะฟันธงได้ว่า  In the Valley of Elah ไม่ต่างอะไรกับ A Few Good Men หรือ  Courage under Fire ทว่า Paul Haggis กลับใช้เรื่องราวที่เรียบง่ายแต่ซ่อน ‘สาร' ที่ท้าทายคนดู โดยหนังเปิดเรื่องด้วยสัปดาห์แรกหลังจากการกลับจากประจำการในอิรักของทหารหนุ่ม Michael ‘Doc' Deerfield (Jonathan Tucker) หายตัวไปจากกองบังคับการอย่างไร้ร่องรอยและถูกขึ้นทะเบียนทหารว่าหายไปโดยไม่ได้รับอนุญาต (AWOL=Absence Without Official Leave) Hank Deerfield (Tommy Lee Jones) อดีตทหารผ่านศึก และ Joan Deerfield (Susan Sarandon) รับทราบข่าวนี้ทางโทรศัพท์ Hank เริ่มรู้สึกแปลกใจที่ได้ข่าวลูกชายเดินทางกลับจากอิรักร่วมสัปดาห์แล้ว จึงเดินทางมาไถ่ถามข่าวคราวลูกชายถึงค่ายทหารต้นสังกัดลูกชาย พร้อมขอความช่วยเหลือจากทั้งหน่วยงานทหาร และหน่วยงานราชการพลเรือนปกติช่วยตามหาตัวลูกชาย แต่ก็ดูจะไม่มีใครให้คำตอบที่กระจ่างได้ ซ้ำหน่วยงานราชการพลเรือนยังโยนเรื่องให้หน่วยงานทหารเป็นผู้ทำคดีนี้มากกว่า Hank จึงตัดสินใจออกตามหาลูกชายโดยความช่วยเหลือจากนักสืบตำรวจ Emily Sanders (Charlize Theron) จนต่อมาก็พบว่าลูกชายของเขาถูกฆ่าตายอย่างเหี้ยมโหดนอกค่ายทหาร ศพถูกเฉือนออกเป็นชิ้นๆ และจุดไฟเผาไหม้เกรียม ขณะที่ปฏิบัติการตามล่าหาความจริงนำไปสู่ความจริงที่ว่า ลูกชายของเขากลายเป็นศพไปแล้ว  Hank และ Emily รู้สึกได้ว่ากำลังถูกหลอกล่อซึ่งเกี่ยวพันกับข้าราชการทหารชั้นผู้ใหญ่ ความจริงที่เกี่ยวข้องกับ Michael ขณะที่ปฏิบัติการอยู่ที่อิรักได้ถูกเปิดเผยขึ้นและ Hank จำเป็นต้องพิจารณาและประเมินความเชื่อที่เคยมีมาทั้งหมดเพื่อที่จะไขความลับการหายตัวไปของลูกชาย เกิดอะไรขึ้นที่อิรักที่ส่งผลกระทบต่อลูก และความจริงที่น่าหดหู่ของสงครามอิรักในขณะที่ Crash เน้นที่ประเด็นเหยียดผิว In the Valley of Elah กลับสำรวจประเด็นสำคัญๆ อย่างเรื่อง ความเป็นชายชาตรี การเมือง สงคราม กองกำลังทหารอเมริกัน อิรัก และไม่ได้ทำหน้าที่แค่สะท้อนวิถีชีวิตของทหารอเมริกันผ่านตัวละครหลายๆ ตัว ตั้งแต่ Hank ซึ่งอดีตเป็นทหารผ่านศึกสงครามเวียดนาม และภาคภูมิใจในความเป็นทหารของตน ไปจนถึงพลทหารทั้งหลายที่เป็นเพื่อนๆ ของพลทหาร Mike ลูกชายที่ไปร่วมปฏิบัติการรบในอิรักด้วยกัน แต่ Paul Haggis ใส่โครงเรื่องคู่ขนานหลายโครงเรื่องที่สะท้อน และ ให้ภาพที่ทั้ง ‘ไปด้วยกัน' และ ‘เปรียบต่างกัน' และ ‘เชื่อมโยงกัน' โดยให้มีแกนกลางอยู่ที่ ‘ปฏิบัติการตามล่าหาความจริง'ของ Hank และ Emily ขนานกับเรื่องที่มาจากกล้องมือถือซึ่ง Michael เป็นคนถ่าย เป็นมุมมองของลูกชายในฐานะพลทหารที่ได้ประสบการณ์ตรงจากสงครามอิรัก และถ้าพิจารณาจากเนื้อหาแล้วในกล้องแล้ว กลับให้ ‘ความจริง' มากกว่า สิ่งที่ Hank และ Emily สืบหาเสียอีก นี่คือสิ่งที่วรรณศิลป์ใช้เรียก  irony เพราะจากมุมมองของลูกชายแล้ว ‘ทหาร' ที่ประชาชนและรัฐบาลอเมริกันพากันใช้ความรักชาติแปะป้ายเอาไว้ว่าเป็น ‘วีรบุรุษ' แท้จริงแล้วได้กระทำสิ่งที่ไม่ต่างอะไรกับ ‘เดนมนุษย์' เลย หรือพูดอีกแง่หนึ่งก็คือ สงครามได้ทำลาย ‘ความเป็นมนุษย์' ของคนที่ร่วมสงครามไปเรียบร้อยแล้วเทียบกับเรื่อง Crash แล้ว โครงสร้างในเรื่องนี้กลับแน่นกว่าอีก เพราะโครงเรื่องรองไปด้วยกันกับโครงเรื่องหลัก อีกโครงเรื่องรองที่สำคัญก็คือ ตอนต้นเรื่อง Emily กำลังจัดการคดีที่ดูเหมือนจะไม่เกี่ยวอะไรกับโครงเรื่องหลัก เมื่อภรรยาคนหนึ่งเข้าร้องเรียนเรื่องสามีผู้มีแผลในใจและกลับมาจากสงครามหมาดๆ เขาอำมหิต ขนาดฆ่าสุนัขด้วยการกดให้มันจมน้ำตายอย่างช้าๆ ต่อหน้าลูกของพวกเขาเอง แต่ Emily กลับตอบไปว่าทางการไม่สามารถทำอะไรได้เพราะว่าเขาทำกับ ‘สุนัข' ไม่ใช่ ‘คน' ไม่มีใครรู้ แต่คนใกล้ชิดรู้ ทั้งลูกและภรรยารู้ดี  แต่ไม่มีใครยื่นมือเข้าไปทำอะไร จนกระทั่งเกิดเรื่องที่ภรรยาถูกสามีฆ่าแบบเดียวกันนั่นแหละ ถึงได้ทำให้  Emily ได้คิด คดีเล็กๆ นี้เองที่ตอกย้ำให้เห็นถึงผลพวงของสงคราม ว่าได้สร้างบาดแผลที่มองไม่เห็นขึ้นแล้ว และจะมีสักกี่คนที่จะตระหนักถึงเศษซากสงคราม ที่กลับมาให้เห็นในรูป ‘พลทหารที่เสียสติ' ไปแล้ว ผลพวงและบาดแผลของสงครามที่เหลือทิ้งไว้ให้ ไม่ได้ส่งผลต่ออิรักเท่านั้น แต่กลับส่งผลต่อคนอเมริกันทางบ้านด้วยน่าตลกอยู่ในทีที่ก่อนจะมีการเดินหน้าเข้าสู่สงครามนี้ ได้มีคนเตือนแล้วเตือนอีกถึงผลลัพธ์อันใหญ่หลวงที่จะตามมา แต่รัฐบาลที่มีประชาชนอเมริกันส่วนใหญ่หนุนหลังอยู่ ก็ไม่ได้สนใจ ยังคงเดินหน้าต่อไป ณ วินาทีนี้ ไม่ได้มีแค่ตัวทหารและครอบครัวของทหารเท่านั้นที่ต้องรับเคราะห์จากสิ่งที่ตัวเองก่อขึ้น แต่ทั้งประเทศกำลังเผชิญชะตากรรมเดียวกัน กำลังถูกกดน้ำ จมน้ำตายอย่างช้าๆ ไม่ต่างจากสุนัข และภรรยา ในเรื่องชื่อของหนังมาจาก 1 Samuel 17:47 คำว่า Valley of Elah อยู่ในภาคพันธสัญญาเดิม คือสถานที่ที่ David ต่อสู้เอาชนะนักรบฟิลิสเทียนาม Goliath ตัว David เป็นเด็กเลี้ยงแกะตัวเล็กที่สามาราถเอาขนะ Goliath ได้  Hank เล่าเรื่องนี้ให้ ลูกของ Emily ซึ่งบังเอิญชื่อ David เหมือนในเรื่องที่ Hank เล่าให้ฟัง Hank อธิบายให้  David ฟังว่าหัวใจของเรื่องอยู่ที่ ‘ความกล้าหาญ' ยืนหยัดต่อสู้กับศัตรูไม่ว่าจะน่ากลัวเพียงใด ถึง David จะมีความกลัว แต่ David ก็ยังมีความกล้าหาญ และสามารถทำในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ด้วย Hank อธิบายต่อว่าการที่จะเอาชนะศัตรูตัวเอ้นั้น ต้องล่อให้มันเข้ามาใกล้และล้มมันลง แบบที่ David ใช้หนังสติ๊กคว่ำ Goliath ( "draw 'em close, and you take 'em down.") พอเล่าจบ Emily บอกกับ David ว่านี่ไม่ใช่เรื่องจริงนะ Hank ตอบกลับทันควันว่าเป็นเรื่องจริงเพราะเรื่องนี้ก็อยู่ในคัมภีร์อัลกุรอ่านด้วย  ("Of course it's true. It's even in the Koran.")สำหรับ Hank การจะเอาชนะคนชั่วนั้นต้องใช้ ‘ความกล้าหาญ' และ ‘ศรัทธา' ทำให้ David เลิกกลัวความมืดจากที่ต้องบอกให้ Emily แง้มประตูให้แสงเข้ามาในห้องนอนไว้ก่อนจะนอน Paul Haggis ไม่ได้ใส่เรื่องเล่านี้เข้ามาเพื่อสอน David เท่านั้น แต่เพื่อใส่ความหมายนัยที่เป็นแก่นเรื่องหลักของหนังการจะเอาชนะศัตรูต้องใช้ความกล้าหาญอย่างมาก ไม่ว่าศัตรูนั้นจะเป็นกองกำลังทหารอเมริกัน, การตายของลูกชาย, สิ่งที่เคยทำผิดไว้ในอดีต, ความฝันที่ปลุกให้ Hank ตื่นทั้งที่ตัวไม่เข้าใจ หรือกระทั่ง การพยายามใช้ชีวิตแบบปรกติหลังจากผ่านมรสุมชีวิต บางครั้งการหาข้อเท็จจริง ก็ง่ายกว่าการเผชิญหน้ากับความจริงมากเอาการอยู่ด้วย เพราะต้องอาศัยความกล้าเป็นพลังขับเคลื่อนในการเผชิญหน้าความจริงอันอัปลักษณ์Paul Haggis ยังใช้เรื่องของ David กับ Goliath มาขนานกับสมรภูมิที่ Hank กำลังเผชิญ เพื่อจะค้นหาความจริงเกี่ยวกับลูกชาย และยังขนานกับสมรภูมิรบระหว่างทหารอเมริกันกับกลุ่มต่อต้านอเมริกาในอิรักอีกด้วย น่าสนใจตรงที่เรื่องของ David กับ Goliath ไม่ชี้ชัดลงไปแบบฟันธงว่าใครเป็น David และใครเป็น Goliath กันแน่ เพราะสามารถมองในรูปแบบของ allegory ได้ด้วย Hank อาจจะเห็นว่าตัวเองเป็น David กำลังสู้กับ กองกำลังทหารอเมริกันที่เป็น Goliath หรือ David อาจจะเป็น ความพยายามหาความจริงเกี่ยวกับการตายของลูกชาย Hank และ Goliath อาจเป็นความพยายาม/อำนาจของทางทหารที่จะปกปิดความจริงไม่ให้  Hank หรือใครก็ตามรู้มองในแง่ของ  extended metaphor (ไม่ใช่แค่ metaphor อย่างเดียว) ที่สามารถส่งสารมากกว่าหนึ่งความหมาย  Hank อาจจะเห็นว่าตัวเองเป็น David กำลังสู้กับ ‘ความรักชาติ' ของตัวเอง เป็น Goliath หรืออิรักเองก็เป็น Goliath หรือกองกำลังทหารที่ประจำการในอิรัก ก็เป็น Goliath ได้เหมือนกันมองจากอีกมุม Hank กับ Emily อาจจะเห็นว่าตัวเองเป็น David สู้กับตัวแทนกองกำลังทหารที่เป็น Goliath ถ้ามองจากอีกมุม Hank ซึ่งในหลายๆ ด้านเป็นตัวแทนของคนอเมริกัน กำลังทำตัวเหมือนคนอิสราเอลใน 1 Samuel 17:47 ยินดีที่จะเสียสละส่ง David ในรูปทหารไปตายในสงครามเพียงเพื่อเหตุผลทางการเมือง และถ้ามองจากอีกมุมแบบ irony อเมริกานี่แหละ ที่เป็น Goliath สู้กับ Iraq ที่เป็น David (สังเกตว่ามีเรื่องที่เกี่ยวกับเด็กๆ ในอิรักปรากฏอยู่เรื่อยๆ ตลอดทั้งเรื่อง)Paul Haggis ไม่ได้ใช้แค่เรื่องของ David กับ Goliath มาเพิ่มมิติและความลุ่มลึกให้กับหนังเท่านั้น แต่ยังใส่ธงชาติอเมริกันเป็นสัญลักษณ์ที่นักวิจารณ์สัมพเวสีหลายคนเห็นว่าใส่เข้ามาแบบสั่วๆ แต่ผมกลับเห็นว่า ธงชาติอเมริกันเป็นสัญลักษณ์ที่ใส่มาได้ลงตัวเพื่อรับใช้ "สาร" ที่ต้องการส่งไปท้าทายแต่ไม่ดูถูกคนดูอีกด้วยธงชาติอเมริกันเป็นสัญลักษณ์ของ ‘ความรักชาติ' และ ‘สงคราม' และตัวผู้กำกับเองก็ใส่องค์ประกอบนี้เข้ามาเพื่อจะบอกว่าสงครามอิรักนั้นไม่ได้ให้อะไรที่เป็นสิ่งสร้างสรรค์เลย ในตอนต้น ขณะที่กำลังขับรถออกไปที่ฐานทัพเพื่อติดตามเรื่องของลูกชาย Hank อดีตทหารผ่านศึกสังเกตเห็นคนงานกำลังจัดวางธงชาติอเมริกันกลับหัว ในฐานะคนรักชาติก็ไม่รีรอที่จะเข้าไปแก้และชี้แจงถึงความสำคัญและความหมายนัยของการชักธงขึ้นสู่ยอดเสาแบบกลับหัว แต่ในตอนจบ หลังจากกลับมาบ้านจากฐานทัพ  Hank ทราบความจริงทุกประการเกี่ยวกับลูกชาย และเพื่อนๆ ของลูก รวมทั้งความอัปยศของกองทัพอเมริกาแล้ว Hank กลับมาบ้านได้รับพัสดุที่ลูกชายส่งมาให้ทางไปรษณีย์ก่อนตาย เป็นธงชาติอเมริกันมาพร้อมกับรูปถ่ายที่ลูกชายถ่ายกับทีมทหารและในรูปนั้นก็มีธงชาติอเมริกาโบกสะบัดอยู่ด้วย Hank จัดแจงเอาธงไปที่โรงเรียน และชักธงกลับหัวขึ้นสู่ยอดเสา เอาเทปพันเชือกไว้กับยอดเสา และบอกกับเจ้าหน้าที่ว่าให้เอาไว้อย่างนี้ตลอดห้ามแก้ ความหมายนัยของฉากนี้คือ ภายใต้หน้ากากแห่งความรักชาติ อเมริกากำลังเผชิญ ‘ความป่วยไข้' ‘ความโศกเศร้า' ‘ความระทมทุกข์' ‘ความทรมาน' ไม่ว่าจะรู้ตัวหรือไม่ก็ตาม อย่างที่ Hank บอกกับกับเจ้าหน้าที่ตอนต้นเรื่อง ธงชาติกลับหัวเป็นการส่ง ‘สาร' ว่า ขอความช่วยเหลือ และยังเป็นสัญลักษณ์ของความเดือดร้อนภายในของประเทศ บอกกับอเมริกันชนว่าจะทำเป็นทองไม่รู้ร้อนไม่ได้แล้ว ‘การแสดง' ใน In the Valley of Elah ถือเป็นจุดแข็งสำคัญในเรื่อง โดยเฉพาะ Jones กับบท Hank ด้วยบทพูดไม่มากมาย หากแต่ด้วยการแสดงชั้นบรมครูที่ได้เปิดเผยอีกหลายสิ่งหลายอย่างของอดีตทหารผ่านศึกคนนี้ สื่ออกมาทั้งแววตา สีหน้า ท่าทางอย่างหมดจด Hank เป็นอดีตทหารผ่านศึกที่หล่อหลอมตัวตนได้น่าชื่นชม เคร่งต่อระเบียบวินัย ขัดรองเท้าก่อนนอนทุกคืน จัดเตียงทุกเช้า Jones แสดงได้เยี่ยมมากซ่อนความรู้สึกขัดแย้งและสับสนในใจระหว่าง ‘ความรักชาติ' กับ ‘สิ่งที่ชาติทำกับตัวเองและลูก' ด้วยความที่เป็นอดีตทหารผ่านศึกทำให้รู้จัก ‘ขั้นตอน' และ ‘ทางหนีทีไล่' ทั้งของทางกองทัพและตำรวจได้อย่างดี เชื่อว่าทุกคนในกองทัพนั้นโกหก แทนที่จะทำการสอบปากคำเพื่อนของลูกชาย Hank กลับหลอกล่อด้วยการใช้เหล้าบุหรี่ ให้เพื่อนของลูกแต่ละคนค่อยๆ คายความลับออกมาเพื่อปะติดปะต่อทีหลัง และยังตีความรายละเอียดหลักฐานจากที่เกิดเหตุได้เก่งกว่าตำรวจที่ควรจะทำหน้าที่นี้ด้วยซ้ำทหารผ่านศึกส่วนใหญ่เมื่อกลับมาบ้าน มักจะไม่ใช่คนเดียวกับที่คนทางบ้านรู้จัก Hank ก็คงเป็นแบบเดียวกัน คนดูอาจจะไม่แน่ใจว่า Hank กำลังคิดอะไรอยู่ แต่สามารถรู้สึกได้ว่าตัวละครรู้สึกอย่างไรบ้าง จากสีหน้า สายตา ภาษากายที่ Jones แสดง สังเกตสีหน้าของ Hank ตอนที่รู้ว่าพบศพลูกชายแล้ว เป็นภาพที่ปวดใจสำหรับคนเป็นพ่อแม่เหลือเกิน ดูฉากนี้แล้วแทบหัวใจสลาย กลั้นน้ำตาแทบไว้ไม่อยู่Jones ทำให้คนดูสัมผัสได้ว่า Hank กำลังจะน้ำตาไหลแต่ในเวลาเดียวกันก็ไม่ยอมให้มันไหลออกแม้แต่หยดเดียว ทำได้เพียงแค่ยื่นมือให้ภรรยาจับเอาไว้และพยายามพาภรรยาออกจากห้องเก็บศพ Hank ต้องจ้องเขาไปในเศษดวงตาที่เจ็บปวดของลูก และกลายเป็นพ่อผู้สูญเสียไปแทบจะทันทีเช่นกัน และในขณะเดียวกันก็ตระหนักว่าสงครามได้เปลี่ยนแปลงชีวิตลูกชายไปจนสุดที่ลูกชายจะทนได้แล้วคนดูสัมผัสได้ถึงความเศร้าที่คนเป็นพ่อต้องอัดอั้นเอาไว้ รู้ว่าตัวเองได้พลาดอะไรไปมากมายนัก และจะไม่ได้ยินเสียงร้องขอความช่วยเหลือจากลูกอีกต่อไปแล้วTheron เองก็ไม่แพ้กันกับบท Emily ตำรวจหญิงคนเดียวในสถานี และเป็นคนเดียวในสถานีตำรวจที่ช่วย Hank สืบคดีอย่างจริงจัง และยังเล่นเป็นแม่เลี้ยงลูกคนเดียว คดีฆาตกรรม Mike เป็นโอกาสเดียวที่ Emily จะได้แสดงฝีมือตำรวจและต้องเหยีบตาปลาเพื่อนร่วมงานอีกหลายคน รวมทั้งหัวหน้า (Josh Brolin) เพื่อสะสางคดีให้ได้ บุคลิกกับการทำงานดูเหมือน Emily จะทำได้ดีกว่าผู้ชายด้วยซ้ำ สังเกตความสัมพันธ์ระหว่างสองตัวละครนี้ให้ดี จะพบว่า ทั้งคู่เป็นตัวละครที่ต่างกัน แต่ต้องมาร่วมงานกัน ถึงแม้ว่า Hanks จะดูเก่งกว่าด้วยประสบการณ์ที่โชกโชน Emily ก็ไม่ได้รู้สึกกลัวอะไร หนำซ้ำยังทำหน้าที่ของตัวเองได้ดีกว่าที่เคยทำมาด้วยSusan Sarandon แม้จะได้บทเล็ก แต่มีพลังมาก แสดงให้เราเห็นว่า ‘นักแสดงตัวจริง'  สามารถ ‘แสดงได้อย่างมีพลัง' แม้ว่าจะไม่มีเวลาบนจอให้แสดงมากนัก ในฉากที่ดื้อดึงเพื่อจะมาดูหน้าลูกชายด้วยตัวเอง และเป็นครั้งสุดท้าย โดยมี Hank ยืนอยู่ข้างๆ ภาพของลูกชายที่บิดเบี้ยวไป และเหลือไว้แค่ซาก เพียงแค่นั้น ตั้งแต่วินาทีที่ Hank โอบรั้งภรรยาตัวเองไว้ จนกระทั่งพาเดินออกจากห้องเก็บศพไป Sarandon สุดยอดกับบทแม่ที่ต้องหัวใจสลายกับการสูญเสียลูกชายคนสุดท้ายที่มีอยู่ ทำเอาคนดูหัวใจสลายได้แบบไม่รู้ตัว ฉากนี้ ‘เปรียบต่าง' กับบทของ Hank ตรงที่ Joan ได้แสดงอารมณ์สุดๆ อย่างที่แม่ที่เสียลูกชายสมควรรู้สึก ขณะที่ Hank ต้องเก็บอารมณ์โศกเศร้าเอาไว้กับตัว บวกกับความรู้สึกขัดแย้งในใจแบบทวีคูณคนดูจะได้สัมผัสความโศกเศร้า ที่คนเป็นพ่อและแม่ซ่อนเอาไว้ผ่านการแสดงของ Jones และ Sarandon สังเกตความสัมพันธ์ระหว่างสองตัวละครนี้ให้ดี จะพบว่า Joan รัก Hank มาก แต่ก็โทษ Hank ที่เป็นสาเหตุให้เธอต้องเสียลูกทั้งสองคนไปกับสงครามอันไร้สาระ ทั้งสามคนได้เล่นบทที่ซับซ้อนและท้าทายมาก และยิ่งน่าสนใจมากขึ้น เมื่อนำเข้ามาใส่ในบริบทของแต่ละฉาก แทนที่ Paul Haggis จะให้ ‘สาร' ของหนังออกมาปากคำพูดของตัวละครแบบตรงๆ กลับทำในสิ่งที่น่ายกย่องกว่า คือใช้การแสดงของตัวละครส่ง ‘สาร' ผ่าน บุคลิกตัวละคร สภาพแวดล้อม การแสดงออกของตัวละคร เหตุการณ์ที่ตัวละครต้องเผชิญ และปฏิกิริยาที่ต้อเหตุการณ์นั้นด้วยตัวหนังที่ส่งสารอันแสนจะหดหู่ Paul Haggis กลับสามารถ ยกระดับเรื่องราวของ Hank กับลูกชายให้มาเป็น allegory ระดับชาติ และส่ง ‘สาร' ที่ไปได้ไกลมากกว่าแค่เรื่องการเมือง เมื่อสัปดาห์ที่ผ่ามามีการประโคมข่าวครบรอบปีที่ 5 ของ สงครามอิรัก และย่างเข้าปีที่ 6 ผ่านสถานีโทรทัศน์ยักษ์ใหญ่ทุกสถานีในอเมริกา ทั้งยอดทหารชาวอเมริกันผู้เสียชีวิตจากสงครามอิรักที่เพิ่มขึ้นจนมากกว่า 4,000 นาย ทหารบาดเจ็บอีกกว่า 29,000 นาย และกำลังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ใครที่ยังไม่โดนล้างสมองโดยสื่อที่ไร้จริยธรรมก็ควรจะตระหนักรู้ว่า ประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกาที่เฮงซวยที่สุดในโลก ได้สร้างความสูญเสียครั้งใหญ่ของอเมริกันชน ชนิดที่ทิ้งสงครามเวียดนามแบบไม่ติดฝุ่นจนกระทั่งวันนี้ ยังไม่มีใครสามารถให้เหตุผลที่ฟังขึ้นได้เลยว่า ทหารที่เสียชีวิตไปนั้น เป็นไปเพื่ออะไรกันแน่  ในสมรภูมิที่รัฐบาลอเมริกันอ้างว่าเป็นการทำเพื่อชาตินั้น แต่สำหรับมุมมองของทหารผู้เสียสละกลับไม่ได้งามงด ไม่ได้เต็มไปด้วยอุดมการณ์เลิศหรูเหมือนหนังแอ็คชั่นทั่วไป ตรงกันข้าม หากไม่เสียชีวิตหรือบาดเจ็บ บรรดาทหารผู้รักชาติทั้งหลาย ต่างกลับมาในสภาพที่เต็มไปด้วยบาดแผลทางจิตใจ และบางครั้งมันยังส่งผลร้ายมายังครอบครัวหรือคนที่รักอีกด้วยIn the Valley of Elah เหมาะสำหรับคนชอบเอาไปคิดต่อและไม่หวั่นที่จะเผชิญหน้ากับปัญหา กล้าพูดถึงปัญหา และไม่ปล่อยให้ปัญหานั้น ส่งต่อไปเป็นภาระยังคนรุ่นลูกรุ่นหลาน เป็นหนังที่ออกมาได้ถูกที่ถูกเวลา และถูกอารมณ์จริงๆห้ามพลาดด้วยประการทั้งปวง  --------------------------------------------------------------ตามไปอ่านต่อได้ที่บล็อกของ Between the frameshttp://www.oknation.net/blog/betweentheframeshttp://blog.nationmultimedia.com/betweentheframes/
Music
อะไรๆ ในโลกนี้มันน่าสนใจไปหมดแหละครับ ไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่มีแต่ผู้คนหันไปมอง หันไปพูดถึง เก็บมาเล่ากันทั่วบ้านทั่วเมือง ช่วยผลิตซ้ำ และแม้กระทั่งสร้างคู่ตรงข้ามให้กับคนที่ไม่รู้ และ/หรือ ไม่อยากรู้ ขณะเดียวกันสิ่งที่ผมคิดว่ามันน่าสนใจมาก ๆ โคตร ๆ อีกอย่างหนึ่งก็คือสิ่งที่อยู่ในซอกหลืบไม่ค่อยมีคนสนใจ มันดูเหมือนการได้ค้นพบอะไรบางอย่างที่อาจจะทำให้เราอัศจรรย์ใจหรือทำให้ผิดหวังก็ได้ เพียงแต่ในทุกวันนี้ไอ้สิ่งที่อยู่ในซอกหลืบจริงๆ มันหายากขึ้นทุกที ในวงการเพลงอินดี้อะไรทั้งหลายก็มีชื่อวงทั้งต่างประเทศและในประเทศผุดผาดขึ้นมาให้จำกันไม่ทัน และพอลองเจียดเวลา (อันน้อยนิด) จากการทำมาหากินมาลองฟัง ก็รู้สึกว่ามันไม่มีวง "เข้าหู" เลยสักวง จะด้วยประสบการณ์ที่ยังมีมีไม่มาก จะด้วยการมาสเตอร์ริ่งงานในภาวะที่งบน้อยด้อยทุน หรือจะอะไรก็ตามแต่ มันทำให้ผมเสียกำลังใจในการพยายามจะติดตามและให้ความสนใจงาน So-Called อินดี้ เหล่านี้เหมือนกัน คิดให้เข้าข้างตัวเองน้อยกว่านี้หน่อยอาจะจะเป็นเพราะว่างานพวกไม่ใช่รสนิยมของผมก็เป็นได้นึกถึงตอนช่วงก่อนๆ ที่ผมมีโอกาสได้ฟังงานจากศิลปินสาวชาวอาเจนติน่าที่ทำป็อบร็อคได้ดีไม่แพ้งานเดวิด โบวี่ ยุค 70's ขณะเดียวกันผมก็คุ้ยอินเตอร์เน็ตไปพบงานของนักดนตรีโฟล์คสาวชาวอเมริกันที่ทำตัวลึกลับๆ แต่งานเธอมีเสน่ห์ และที่ผมชอบอีกอย่างคือเธอบอกว่าตัวเองขี้อาย เวลาที่ใครมาฟังเพลงของเธอต่อหน้าเธอจะรู้สึกแปลกๆ จนถึงขั้นเปรียบตัวเองว่าเป็นโอตาคุทางดนตรี เลยทีเดียว(ผมว่าตรงนี้ก็เป็นเสน่ห์อีกอย่าง ที่เธออยู่ในซอบหลืบ ไม่ใช่เพราะอยากสร้างความเด่นแบบใหม่ เพียงแต่ว่าตัวเธอเองขี้อายเองต่างหาก ตั้งคำถามเสียหน่อยว่า "งาน" ดนตรีมันจำเป็นต้องผลิตจากนักดนตรีที่ชอบ PR ตัวเองด้วยไหม?)การมีงานดนตรีที่หลากหลายและพัฒนารูปแบบไปเรื่อยๆ มันเป็นเรื่องดี และเป็นเรื่องที่ทั้งศิลปินและนักฟังเพลงทั้งหลายต้องการแน่ๆ แต่ภาวะที่ผมได้ฟังงาน so-called อินดี้บางวงแล้วรู้สึกว่ามันไม่ค่อยต่างอะไรกับงานศิลปินกระแสหลักเลย แค่มีการมาสเตอร์ริ่งที่ไม่ดีเท่า (ในแง่นี้อาจมีบางคนชอบ โดยเฉพาะงานแบบ Lo-fi หรืองานที่เน้นคุณสมบัติอย่างอื่นมากกว่าความละเอียดอ่อนในการเรียบเรียง) ชื่อเสียงที่รู้จักกันเป็นแค่ก๊กๆ หย่อมๆ (จนบางทีไอ่แบบนี้อาจกลายเป็นการแบ่งคู่ตรงข้ามอย่างใหม่ก็ได้) หรือจุดขายอื่นๆ ถ้าเป็นแบบนี้มันก็น่าตั้งคำถามว่าวงการ so called อินดี้ จะนำไปสู่ความหลากหลายได้จริงหรือไม่(ผมไม่อยากเหมารวมอินดี้ทั้งหมด มีบางค่ายที่ผมชอบเป็นการส่วนตัว แม้ผมจะมีโอกาสแค่ได้ฟังเป็นบางวง แต่รู้สึกว่ามันมีอะไรที่มากกว่าอินดี้ทั่วไป)ย้อนกลับมา...ย้อนกลับมาพูดถึงสิ่งที่ผมบอกไว้แต่แรกว่ามันน่าสนใจและเป้นที่จับตา อย่างเรื่องของศิลปินรางวัลแกรมมี่อวอร์ดในปีนี้ที่ดูจะชวนช็อคลุงๆ ป้าๆ บางคนเหมือนกัน เพราะ ผู้ที่ได้รางวัลคือ Amy Winehouse สาวแสบที่มักจะมีข่าวเรื่องเหล้ายาบ่อยๆ สมชัวร์เนมไวน์เฮาส์ของเธอเสียจริงๆคุณ Amy Winehouse ผู้นี้ ได้รับรางวัลเลิกเหล้าดีเด่น อ๊ะ! ไม่ใช่ ได้กวาดรางวัลแกรมมี่อวอร์ดมาถึงห้ารางวัล คือบันทึกเสียงดีเด่น, เพลงดีเด่น, เสียงร้องหญิงดีเด่นในการแสดง จากเพลง Rehab (ที่แปลว่า "เลิกเหล้า") อัลบั้ม Pop Vocal ยอดเยี่ยมจากอัลบั้ม Back to Black และ และตัวเธอเองก็ได้รับรางวัลนักแสดงหน้าใหม่สารภาพตามตรงแล้วผมไม่ได้ค่อยฟังแนว R&B สักเท่าไหร่ แต่เท่าที่ได้ฟัง Amy Winehouse แล้ว ผมขอประเมินแบบคนที่ไม่ค่อยฟัง R&B ว่า เสียงเธอดีใช้ได้ทีเดียว แต่สิ่งที่เธอหนีไม่พ้นเมื่อเธอเป็นทั้งศิลปินและคนในวงการบันเทิง สื่อบันเทิงจึงมักเอาเธอมาเล่นบ่อยๆ จนถึงบัดนี้ไม่ว่าจะเรื่องพฤติกรรมเฮ้วๆ ส่วนตัว (ถ้าเธอเป็นร็อคสตาร์ไอ่พฤติกรรมเฮ้วๆ นี้อาจจะถูกเอาไปบูชา ซึ่งผมก็ไม่รู้ว่าจะบูชากันไปทำป๊ะอะไร) หรือเรื่องที่ว่าเธอติดเหล้าติดยาจนต้องเข้ารับการบำบัดซึ่งทางต้นสังกัดก็ฉลาดเฉลียวพอจะ หาเพลงที่เหมือนใช้เรื่องของตัวเธอเองมาเล่า อย่างในเพลงมาเป็นหมัดเด็ด ซึ่งก็คือเพลง Rehab ที่ไม่วายแอบขายภาพหญิงแสบของเธอผู้กำลังจะปฏิเสธการไปรับการบำบัด (แต่ในชีวิตจริงเธอดันได้ไปในที่สุด) ด้วยข้ออ้างที่...พอฟังขึ้นอยู่เหมือนกันThey tried to make me go to rehab but I said no, no, noYes I been blind but when I come back you'll know, know knowI ain't got the timeAnd if my daddy thinks I'm fineYou tried to make me go to rehab but I won't go, go, go- Rehabมีครั้งหนึ่งที่ปาปาราสซี่ทำหน้าที่อย่างดีเยี่ยม! ด้วยการไปถ่ายรูปเธอตอนเดินเท้าเปล่าออกมาจากบ้านตอนเช้าและใส่เพียงบรากับกางเกงยีนส์เท่านั้น (ไม่เห็นน่าตะลึงตรงไหน ลองเธอไม่ใส่บราด้วยสิค่อยว่ากัน) ซึ่งก็มีประชดปาปาราสซี่พวกนี้ไว้ใน MV เพลง You know I'm no good เรียบร้อยดูเหมือนเธอเป็นหญิงแสบใช่ไหม แน่นอน! เป็นหญิงแสบที่ทางต้นสังกัดปั้นให้เป็น ถือว่าต้นสังกัดทำหน้าที่ได้อย่างดีเยี่ยม! ไม่แพ้ปาปาราสซี่เลยแม้แต่น้อย แถมยังเอามาขายภาพลักษณ์แบบหญิงแสบได้อีกต่างหาก กำไรทั้งนั้น ปาปาราสซี่เห็น MV นี้แล้วจะโกรธน่ะเหรอ พวกนี้คงรู้สึกว่าพวกตนทำหน้าที่ได้ลุล่วงแล้วต่างหากพูดถึงเรื่องสิลปินขี้ยาแล้ว คงหลบจะไม่พูดถึง Pete Doherty ไปได้ ปัจจุบัน Pete อยู่กับวงที่ชื่อ Babyshambles จากเดิมที่อยู่กับวง The Libertine ซึ่งเป็นวงแนว Britpop เช่นเดียวกัน Pete ถูกเพื่อนๆ ในวงขับออกมาเพราะความขี้ยาของเขานี่แหละแน่นอนว่านอกจากตัว Pete เองแล้ว ตัวสื่อบันเทิงเก็บเรื่องราวที่พีทเกี่ยวข้องกับยาได้อย่างไม่มีขาดตกบกพร่องราวนัดกันมา ไม่ว่าเขาจะเดินหน้าเหี่ยวซูบนัยตาลึกโหลออกไปหาอะไรมาสูด จะเมาไปต่อยตีกับใคร หรือแม้กระทั่งเจอตำรวจจับก็กลายเป็นข่าวได้เสียทุกครั้ง (ไม่ต้องห่วง พีทเคยเข้ามาใช้บริการวัดถ้ำกระบอกของไทยแล้วครั้งหนึ่ง)ที่ไม่น่าให้อภัยคือสื่อที่เรียกตัวเองว่าเป็น "ทางเลือก" อย่าง NME ดันเอาตานี่มาเชิดชู ถึงขึ้นให้รางวัลฮีโร่แห่งปีมาแล้ว ใครที่รู้ไต๋อาจจะจับได้ว่า NME ไม่น่าเชื่อถือสักเท่าไหร่เพราะนอกจากจะต่อต้านดนตรีกระแสหลักที่ทำมาขายแบบที่ตัวเองก็ไม่ได้มีอะไรดีไปกว่ากันแล้ว (ก็ "ขาย" เหมือนกันอยู่ดี) ยังทำตัวเป็นคุณพ่อช่างปั้น เชิดชูศิลปินบางวงอย่างออกนอกหน้าจนแทบจะทำสกู๊ปเกี่ยวกับอาหารเช้าหรือกางเกงในลายโปรดของวงนั้นได้เลยทีเดียวผมไม่ได้จะบอกว่าคนติดเหล้าติดยาเป็นคนไม่ดีหรืออะไร และไม่คิดจะใช้คำอธิบายเก่าเก็บว่าเด็กๆ จะเลียนแบบเอา เพียงแต่การเอาเรื่องที่ดูเหมือน "แหกคอก" มาเป็นจุดดึงดูดอย่างหนึ่งมันก็เหมือนเป็นแค่ขบถแบบปาหี่ ไม่ว่าการกระทำแหกคอกนั้นจะเป็นสิ่งที่มาจากตัวศิลปินเองหรือเป็นแค่การสร้างภาพก็ตามอาจจะชวนให้ความหมั่นไส้นิดๆ เวลาสื่อมักจะเอาเรื่องความขี้ยาของศิลปินมาเล่น ซึ่งบางทีมันก็ถูกทำให้มองว่าเป็นเรื่องแหกขนบ แต่ที่สุดแล้ว มันก็เป็นแค่สิ่งที่ทำให้คนที่ตามข่าวรู้สึกบันเทิงไปกับการมีเป้าหมายใหม่ๆ ให้เอาไปด่าหรือเอาไปบูชาเท่านั้นเอง (ซึ่งถ้าทัศนะมันหลากกว่าการแค่ด่าเช็ดหรือเทิดทูนบูชามันคงจะดีกว่านี้) พูดให้ตรงกว่านี้ก็คือเรื่องพวกนี้มันไม่ได้ดูเก๋าโจ๋อะไรเพราะมันไม่ได้ต่างกับข่าวดาราตบกันแบบที่พวกคุณชอบด่าเลยไม่นับว่าเนื้อหาของอีกหลาย ๆ เพลงในอัลบั้ม Back to Black ของ Winehouse นี้ออกแนวปกป้องตัวเอง และมีท่าทีสะบัดหน้าแบบฉันไม่แคร์ ซึ่งสุดท้ายแล้วมันก็ไม่ได้เป็นการลุกขึ้นมาท้าทายอะไรอย่างจริงจัง ความเป็นสาวแสบมันก็ไม่ใช่เรื่องที่ออริจินัลเท่าไหร่แล้ว ดูจะเป็นการผลิตซ้ำจนพาลจะทำให้สาวไม่แสบดูกลายเป็นคนเฉิ่มเชยไปอีกต่างหาก ทั้ง ๆ ที่สาวเฉิ่มเชยพวกนั้นอาจจะมีอะไรลึก ๆ ที่เป็นขบถแบบไม่ต้องโชว์ออฟออกมาก็ได้มาถึงตรงเสียงร้องมีเสน่ห์และดนตรีสนุก ๆ ของเธอ น่าจะเป็นอะไรที่ควรให้ค่ามากกว่าไหม ให้ตายสิ ! ผมนึกถึงสาวโฟล์คอเมริกันที่บอกว่าตัวเองเป็นโอตาคุทางดนตรีขึ้นมาตงิด ๆ ผมไม่รู้หรอกนะว่าเธอเล่นยาหรือไม่ หรือไปกระทืบปาปาราสซี่คนไหนมาบ้าง แต่ผมว่า......ความ "ขี้อาย" ของเธอนี่แหละขบถสุด ๆ
การะเกต์ ศรีปริญญาศิลป์
ราศีเมษ Aries (13 เมย.-13 พค.)        ไพ่ใบแรกของคุณสัปดาห์นี้ 6 คทาค่ะ ยังเป็นไพ่ใบเดิมเหมือนอาทิตย์ก่อนเลยค่ะ หมายถึงชัยชนะที่ใกล้มาถึงค่ะ หากคุณทำงานการใดคั่งค้าง ความสำเร็จกำลังรออยู่นะคะ แต่ถ้าเริ่มต้นทำอะไรในช่วงนี้ รอนิดค่ะ ช้าๆ ได้ของงามๆ :-)ความรัก ความสัมพันธ์   ราชินีดาบ เหมือนเดิมอีกใบ! สงสัยในความสัมพันธ์จะเหนื่อยนิดนะคะ มีเรื่องต้องทำความตกลง ตัดสินใจร่วมกัน บางเรื่องต้องตัดสินใจขั้นเด็ดขาดด้วยนะ บางคนอาจได้พบคู่มีลักษณะของคนกร้าวและแกร่ง แต่ก็นั่นล่ะ คือเนื้อแท้ของตัวตน ดูผิวเผินเหมือนเข้ากันไม่ได้ แต่ยาวนานไป อาจจะเป็นคนที่คุณอยู่ด้วยนานที่สุด!สถานการณ์การเงิน มหาดเล็กถ้วยค่ะ หมายถึงรายได้หรือโชคลาภที่จะมาพร้อมกับการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ เพิ่มเติมค่ะ หรืองานอดิเรก การละเล่นที่จะแปรเป็นสินทรัพย์ และยังหมายถึงเด็กหรือคนอายุน้อยกว่าให้โชคลาภด้วยค่ะ ถ้าใครทำงานเกี่ยวกับศิลปะเด็ก ถือว่าตรงตัว เฮงๆ เลยค่ะ แต่เงินมาเรื่อยๆ ไม่ใช่ก้อนใหญ่นะคะธุรกิจ การงาน    Judgement ทำสิ่งใดได้สิ่งนั้น ไพ่ใบนี้ หมายถึงผลของการกระทำค่ะ คุณจะได้รับโอกาสครั้งสำคัญในเรื่องการงาน อาจเป็นการแก้ไขสิ่งที่เคยผิดพลาดมา หรือการย้อนกลับไปทบทวนบทเรียนในอดีต เพื่อจัดการกับวันนี้ อันจะส่งผลอย่างเที่ยงตรงต่ออนาคตของคุณค่ะคำเตือนหรือปัญหาที่อาจเกิดขึ้น  8 ดาบ ค่ะ คราวเคราะห์อันประเมินไม่ได้ มักเป็นแบบนี้จริงๆ ค่ะ ไพ่ดาบใบนี้ สัมพันธ์กับโชคร้ายที่มาได้ในทุกรูปแบบ หนักเบาแค่ไหน ขึ้นอยู่กับภูมิต้านทานของคุณเลยล่ะ บางครั้งแสดงถึงเหตุการณ์ที่หลบเลี่ยงไม่ได้ เหมือนความซวยโอบล้อมเข้ามา หรือไม่มีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น แต่จิตใจอยู่ในสภาพย่ำแย่ก็เป็นได้ค่ะคำแนะนำพิเศษ ราชาดาบ ให้ตัดสินใจอย่างเข้มแข็งให้เรื่องสำคัญ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน จงเด็ดขาดทั้งความคิดและการกระทำค่ะ
กิตติพันธ์ กันจินะ
ผมได้แรงบันดาลจากการเขียนเรื่องนี้จากภาพยนตร์เรื่อง “ปิดเทอมใหญ่ หัวใจว้าวุ่น” หนังใหม่ ที่กำลังฉายในโรงภาพยนตร์ใกล้บ้านท่านๆ ว่ากันด้วยเรื่องของเนื้อหาในหนังนั้น ผมก็ยังไม่ได้ไปชม เพียงแต่ดูเนื้อในจากเว็บไซต์ก็พอสรุปคร่าวๆ ได้ว่าภาพยนตร์นี้เป็นเรื่องราวของวัยรุ่น 4 วัยในความรัก 4 มุม ทั้ง รักที่ต้องแย่งกัน รักนักร้องดาราคนโปรด รักนอกใจ และรักข้างเดียว ....อืม เอาเป็นว่า ใครอยากรู้เรื่องมากขึ้นลองเข้าเว็บไซต์ www.pidtermyai.com  ดูแล้วกันนะครับในภาพยนตร์เรื่องนี้ได้นำเสนอชีวิตที่เกิดขึ้นของวัยรุ่นจำนวนหนึ่งในช่วงปิดเทอมใหญ่ ซึ่งบางคนก็ใช้เวลาไปแข่งกันขอเบอร์ผู้หญิง บางคนก็เตรียมตัวร้องเพลงนักร้องต่างชาติคนโปรดที่กำลังจะมาเปิดคอนเสิร์ตในเมืองไทย บางคนก็พยายามพิสูจน์ความรักของตนให้กับคนที่รัก และบางคนก็ออกเดินทางไปเที่ยวกับเพื่อนหญิงคนใหม่ชีวิตของพวกเขาทั้งหลายในภาพยนตร์ อดทำให้คิดถึงเพื่อนๆ หลายคนที่จะมีเวลาว่างมากมายในช่วงปิดเทอมนี้ช่วงปิดเทอมใหญ่นี้ หลายคนคงอยากจะหาอะไรทำ ซึ่งส่วนหนึ่งที่ผมอยากเล่าในที่นี่ ก็เนื่องมาจาก “กิจกรรมดีๆ” ที่วัยรุ่นจะได้ทำในช่วงปิดเทอมใหญ่นี้ มีน้อยนัก
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
วิถีในทางโลกและทางธรรมมันเป็นเรื่องที่ตรงกันข้ามและสวนทางกันแทบทุกกรณี เช่น ในขณะที่ทางโลกสอนให้เรายึดมั่นถือมั่นเอาโน่นเอานี่ แต่ทางธรรมกลับสอนให้เราลดละปล่อยวางทั้งสิ่งที่เป็นวัตถุธรรมและนามธรรม เพื่อจะนำชีวิตไปสู่การหลุดพ้นจากความทุกข์ จากมุมมองของผม ซึ่งเป็นคนที่ยังมีกิเลสค่อนข้างหนาหนัก ผมว่ามันเป็นเรื่องที่ยากแสนยากที่ปุถุชนคนธรรมดาอย่างเราๆท่านๆที่ยังติดข้องอยู่ในโลก จะเดินเข้าไปสู่ทางธรรมได้ ถ้าหากไม่มีเหตุปัจจัยอะไรสักอย่าง ทำให้เกิดความศรัทธาและแรงบันดาลใจอันใหญ่หลวง ดึงดูดให้เข้าไปโดยเฉพาะการเดินเข้าไปสู่ทางธรรมในฐานะนักปฏิบัติ เพราะมีแต่เรื่องที่ต้องฝืนใจและฝืนความเคยชินที่เราคุ้นเคยไปแทบทุกอย่างเมื่อพระผู้เริ่มฝึกหัดปฏิบัตินั่งวิปัสสนากรรมฐานองค์หนึ่ง ณ สำนักปฏิบัติธรรมของหลวงพ่อชา วัดหนองป่าพง จังหวัดอุบลราชธานี ซึ่งเป็นพระอาจารย์สายวิปัสสนากรรมฐานชื่อดัง และเป็นที่รู้จักกันทั่วไปทั้งประเทศ ได้เกิดความหงุดหงิดและรำคาญเพื่อนพระที่เริ่มมาฝึกหัดปฏิบัติด้วยกัน เพราะไม่เอาใจใส่ในการปฏิบัติ และได้ปรารภกับหลวงพ่อชาในเชิงขอความเห็นว่า“มีหลายครั้งหลายหน ที่ดูพระหลายรูปที่นี่ไม่ฝึกปฏิบัติ ดูท่านไม่ใส่ใจจะทำหรือขาดสติ เรื่องนี้กวนใจผม”คำตอบจากหลวงพ่อชา แทนที่จะเป็นคำตอบที่ผมคาดหมายเอาไว้ตามฐานและกรอบการคิดที่เราคุ้นเคยกัน กลับเป็นคำตอบที่ตรงกันข้าม และทำให้ผมรู้สึกเหมือนถูกตบหน้าจนแน่นิ่ง…และหยุดคิดว่า“มันไม่ถูกต้องที่จะคอยจับตาดูผู้อื่น นี่ไม่ช่วยการฝึกปฏิบัติของท่านเลย ถ้าท่านรำคาญใจก็จงเฝ้าดูความรำคาญในใจของท่าน ถ้าศีลของคนอื่นบกพร่องหรือเขาเหล่านั้นไม่ใช่พระที่ดี ก็ไม่ใช่เรื่องของท่านที่จะไปตัดสิน ท่านจะไม่เกิดปัญญาจากการจับตาดูผู้อื่น ไม่มีใครสามารถปฏิบัติให้ท่านได้ หรือท่านก็ไม่สามารถปฏิบัติให้ผู้อื่นได้ จงมีสติในการปฏิบัติของตัวท่านเอง และนี่คือแนวทางของการปฏิบัติ”
แพร จารุ
เขาว่ากันว่า  เชียงใหม่เป็นเมืองแห่งธรรมชาติงดงาม เมืองวัฒนธรรมประเพณีเก่าแก่ จอดดูสักหน่อยซิเขาเล่ากันต่อว่า ช่วงสิบปีที่ผ่านมา เชียงใหม่เติบโตด้านการท่องเที่ยวสูงสุด ปีหนึ่งๆ มีคนมาเที่ยวเชียงใหม่มากมาย เชียงใหม่กลายเป็นเมืองที่ต้องรับภาระหาเงินทอง เมกกะโปรเจคขนาดใหญ่จึงเกิดขึ้นที่เมืองเชียงใหม่ว้าว! แล้วคนเชียงใหม่ คิดอย่างไรกับเมืองเชียงใหม่ หากไปถามคำถามนี้ ร้อยทั้งร้อยคนเชียงใหม่ต่างวิตกกังวล คนเชียงใหม่บอกว่า เมืองน่าอยู่นั้นคือเมื่อก่อน เมื่อก่อนซึ่งไม่นานเท่าไหร่ แต่เดี๋ยวนี้ คนเชียงใหม่ลำบากกับรถติดในเมือง คนเชียงใหม่กลัวน้ำท่วมเหมือนปี 2548 ฤดูร้อน คนเชียงใหม่กลัวหมอกควันจะกลับมา และหายใจไม่ออก ทุกคนต่างรู้ดีว่า ตัวเองอยู่ในเมืองแอ่งกระทะ อยู่ในหุบเขาสูงๆ ต่ำๆ คนเชียงใหม่กลัว กลัว และกลัว โดยเฉพาะช่วงสงกรานต์ที่กำลังจะมาถึง คนเชียงใหม่ไม่กล้าให้ลูกสาวออกจากบ้าน กลัวจะถูกลวนลามอย่างถูกต้อง ใครก็เอาผิดไม่ได้ เพราะเป็นช่วงสงกรานต์
ชิ สุวิชาน
พ่อได้ดื่มชาในกระบอกไม้ไผ่จนหมดไปกว่าครึ่งหนึ่ง แล้วจึงวางลง“เดิมทีนั้น เตหน่ากูมีจำนวนสายเพียง 5-7สาย แต่ต่อมาได้มีการเพิ่มเติมสายในการเล่นเป็น 8-9สายหรือ 10-12หรือมากกว่านั้นก็ได้” พ่อหยิบเตหน่ากูและเล่าให้ลูกชายฟัง“ทำไมจำนวนสายไม่เท่ากันล่ะ?” ลูกชายถามผู้เป็นพ่อ“มันขึ้นอยู่กับความชอบและความถนัดของผู้เล่นแต่ละคน ชอบและถนัด 7 สายก็เล่น7 สายชอบน้อยกว่านั้นก็เล่นน้อยกว่าก็ได้ หรือชอบมากกว่านั้นก็เล่นมากกว่านั้นก็ได้” พ่อตอบสิ่งที่ลูกชายสงสัยในการตั้งสายเตหน่ากูแบบไมเนอร์สเกล (Minor scale) นั้นเริ่มจาก 5-7 สายโดยมีตัวโน๊ตหลักตามไมเนอร์สเกลอยู่ 5 โน้ต ได้แก่ โด (D) เร (R)  มี (M) โซ (S) ลา (L)  โดยในที่นี้จะอธิบายการตั้งสายตั้งแต่ 6, 7และ8 สายหากเป็นการตั้งสายเตหน่ากูแบบไมเนอร์สเกลจำนวน 6 สายลักษณะการตั้งสายโดยทั่วไปจะเป็นดังนี้
กฤนกรรณ สุวรรณกาญจน์
 1.ดอกไม้มวลชนเดินขบวนเรียกร้องแบบเรียนประชาธิปไตย2.เหตุผลของบางคนหักล้างไม่ได้เมื่อเทียบกับกลีบใบของแผ่นดินที่ร่วงหล่น3.สีชมพูแต้มดวงหน้านกขมิ้นคือ ฝันอันเลือนลางของหนุ่มสาว4.ฉันหวังเห็นแผ่นดินสูงขึ้นด้วยความรักมิใช่ด้วยทรราชย์5.เราเรียกร้องด้วยเสียงเพลงขับไล่ความมืดดำบนถนนแห่งเสรีภาพ  6.ฉันเด็ดใบไม้จากราวป่าเก็บมาฝากสังคมเมือง7.ทุกอย่างเคลื่อนไหวด้วยพลังความดีงาม8.เมื่อฉันลอยตัวให้สูงขึ้นจากทุนนิยมจึงเห็นเวิ้งฟ้าสีฟ้าห่มคลุมเม็ดดิน9.เศษดินคือ บางอย่างที่เหมือนจะไร้ค่าทั้งที่ความจริงฉันก็มาจากสิ่งนี้10.ครุ่นคิดบางอย่างเกี่ยวกับความงอกงามของแผ่นดินจริงหรือที่ทุกอย่างสูงได้ด้วยเม็ดเงินขอบคุณ ‘โซไรด้า’ น้องที่แสนดี 
สุมาตร ภูลายยาว
พ่อเฒ่าฟาน ดิน กัน แห่งหมู่บ้านทรีอาน (หมู่บ้านแห่งสันติ) หมู่บ้านริมแม่น้ำซมฮอง (แม่น้ำแดง) เส้นเลือดใหญ่ของชาวฮานอยยืนตระหง่านบนหัวเรือ หากไม่มีการถามไถ่คงยากที่จะคาดเดาอายุของพ่อเฒ่าได้ ปีนี้พ่อเฒ่าอายุ ๖๔ แล้ว ขณะพ่อเฒ่ายืนตระหง่านตรงหัวเรือ สายลมหนาวของเดือนมกราคมยังคงพัดมาเย็นเยือก ในสายลมหนาวนั้นมีฝนปนมาเล็กน้อย พ่อเฒ่าบอกว่า ฝนตกช่วงเดือนธันวาคม-มีนาคมที่ฮานอยเป็นเรื่องธรรมดา แต่ที่ไม่ธรรมดาคือความหนาว เพราะปลายปีที่ผ่านมาจนถึงต้นปี ๕๑ ความหนาวเย็นที่พัดมาขนาดหนักเช่นนี้เกิดขึ้นแล้ว ๓ ครั้ง ว่ากันว่าอากาศที่เปลี่ยนแปลง คงเป็นเพราะโลกเรามันร้อนขึ้นในเรือมีผม และเพื่อนร่วมทางอีก ๒ คน ทั้ง ๒ คนเป็นล่ามแปลภาษาของกันและกัน ถัดจากพวกเราไปเป็นหญิงชราวัย ๖๓ หญิงชรามีหน้าที่พายเรือ การพายเรือของหญิงชราแปลกแปร่งไปจากที่เคยเห็น เพราะแกใช้ตีนทั้งสองข้างในการถีบไม้พายที่ผูกติดเอาไว้กับกราบเรือ คงไม่ผิดแปลกอันใดที่จะกล่าวว่า เรือมุ่งไปข้างหน้าด้วยแรงเฉื่อยของตีนคน ผมเก็บความสงสัยเอาไว้ไม่อยู่จึงตัดสินใจถามผ่านล่ามว่าด้วยเหตุผลกลใด หญิงชราจึงใช้ตีนทั้งสองข้างพายเรือ คำตอบที่ได้รับกลับมาคือ ตีนมีแรงมากกว่ามือ และมือก็ต้องเอาไว้ใช้เก็บกู้กุบ (เครื่องมือหาปลาชนิดหนึ่ง) ที่จมอยู่ในน้ำขณะเราลอยเรืออยู่เหนือสายน้ำ เวลาก็ล่วงเลยไปเกือบบ่าย ๒ แต่บนฟ้าเฆมยังคงมืดครึ้ม และฝนก็ยังโปรยสายลงมาบางเบา ในม่านฝน เรือบรรทุกทรายลำใหญ่หลายลำกำลังเร่งเครื่องเพื่อทวนน้ำขึ้นไปทางตอนเหนือของแม่น้ำ ในเรือลำใหญ่บรรทุกทรายจนปริ่มกราบเรือ ทรายจากริมฝั่งแม่น้ำถูกนำไปใช้ในกิจการก่อสร้าง เมื่อเรือลำใหญ่วิ่งผ่าน ชายชราก็จะโยนก้อนหินลงน้ำ นัยว่าเพื่อถ่วงเรือเอาไว้
แสงดาว ศรัทธามั่น
“เมื่อความรักเรียกร้อง...จงเดินตามเธอไปฯ”เมื่อสงครามเพรียกหาขอเราจงปฏิเสธมันฯ เมื่อความเขลาขลาดเกาะกุมจิตใจเรา...จงขับไล่มันออกไป !เมื่อความยุติธรรมเรียกร้องดวงใจจิตวิญญาณเธอ...จงแกร่งงามฯ

แท็กล่าสุด

แท็กยอดนิยม