Skip to main content

บล็อกกาซีน ประชาไท

แสงพูไช อินทะวีคำ
ถือว่าผมเป็นคนหนึ่งที่มีเพื่อนพ้องน้องพี่มากพอสมควร แต่ละคนชอบส่งข่าวให้กันและกันบ่อยๆ เวลาที่มีเรื่องราวต่างๆ ที่น่าสนใจ เรื่องไอชีที ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่เพื่อนส่งข่าวให้รู้ว่า “....คนจากลุ่มน้ำโขงจะมารวมตัวกันที่ ICT Camp มากมาย...เป็นโอกาสที่ดีที่จะได้พบกับผู้คนมากหน้าหลายตาจากประเทศพม่า กัมพูชา เวียดนาม ไทย ลาว .....” ทุกคนดูตื่นเต้นเอามากๆ เมื่อมีคำบอกเช่นนั้นจากเพื่อนๆ ผมจึงตกลงใจว่า “ไป” อีกประการหนึ่งก็คือ มีน้องๆ จากองค์กรเดียวกันไปร่วมด้วยเช่นกัน เพื่อเรียนรู้ร่วมกัน ะในโปรแกรมบอกว่ามีทั้งเรื่อง ไอที ข้อมูลข่าวสาร และเรื่อง Advocacy งานนี้จัดขื้นที่ Learning Resort ที่พัทยา มีผู้เข้าร่วมจำนวน 60 ถืง 70 คน ผมบอกกับน้องๆ ในองค์กรเดียวกับผมว่า “ดีแล้ว....เราคงต้องเรียนรู้เรื่อง Advocacy ให้มาก เพราะงานของพวกเราจะเป็นเรื่องนี้เสียมากกว่า” ตอนแรก ผมว่าจะไม่ไป แต่น้องๆ ก็บอกว่า “พี่ไปด้วยกันเถอะ....หนูไม่เคยไปต่างประเทศ หนูจะไปคนเดียวได้ไง” ในที่สุดผมจึงจำเป็นต้องไปด้วยกับน้องจากลาวประมาน 7 คน การเดินทางก็ต้องนั่งรถตุ๊กๆ จากบ้านถืงสะพานมิตรภาพลาว-ไทย จ่ายค่าแท็กชี่จากด่านฝ่ายลาวไปถืง ด่านฝ่ายไทย 250 บาท จากนั้นก็มีรถมารับจากสะพานมิตรภาพไปที่สนามบินอุดรธานี มุ่งสู่บางกอก แล้วนั่งรถอีกทีหนึ่งกว่าจะถืงพัทยา การเดีนทางจากอุดรธานีถืงบางกอกคราวนี้ด้วยสายการบินแอร์เอเชีย เวลาลงจากเครื่องที่บางกอก กระเป๋าแตกกระจุยกระจายไปหมด เสียงบ่นจากคนหนึ่งที่ยืนข้างๆ ผมว่า “แอร์เอเชียไม่ค่อยรับผิดชอบอะไร ของเสียหายหมด....” “เป็นเพราะว่าราคาถูกมั้ง...ถืงไม่รับประกันไอ้เรื่องเสียหายอย่างงี้” “แต่บางครั้งของที่เราๆ ถือมาด้วยนี้น๋ะ....มันราคาแพงกว่าราคาตั๋วด้วยช้ำ” “ก็จริงนะ....” “แต่ไม่ใช่ว่าราคาตั๋วไม่แพงแล้วจะไม่มีหลักประกันความเสียหายให้ผู้โดยสาร มันก็ไม่ถูกนะ” “ใช่...แต่จะทำไงล่ะ?” “จะทำไงได้ล่ะ.....?” “ได้แต่บ่นไปนั่นแหละ....” “ใช่....ไม่ได้อะไร...ก็แค่ได้แต่บ่นอย่างเดียว” แล้วทุกคนก็เถือกระเป่าเดีนออกจากสนามบินไปคนละทาง
สวนหนังสือ
นายยืนยงชื่อหนังสือ      :    ลิกอร์ พวกเขาเปลี่ยนไปประเภท    :    เรื่องสั้น    ผู้เขียน    :    จำลอง  ฝั่งชลจิตรจัดพิมพ์โดย    :    แพรวสำนักพิมพ์พิมพ์ครั้งแรก    :    มีนาคม  ๒๕๔๘    
Carousal
คุณรู้หรือเปล่าคะ ว่าในนิทานพื้นบ้านฉบับดั้งเดิมนั้น เจ้าหญิงนิทราไม่ได้ตื่นขึ้นมาด้วยมนตราแห่งจุมพิตอันเปี่ยมไปด้วยความรักแสนบริสุทธิ์จากเจ้าชายผู้เป็นเนื้อคู่ แต่แท้ที่จริง เธอถูกลักหลับโดยพระราชาที่มีมเหสีแล้ว จนตั้งครรภ์ให้กำเนิดลูกแฝด?คุณรู้หรือเปล่าคะ ว่าหนูน้อยหมวกแดงตัวจริง ไม่มีโอกาสได้เห็นหน้าคุณยายที่เธอตั้งใจจะไปหา และไม่ได้กลับสู่อ้อมกอดอันอบอุ่นของพ่อแม่อีกตลอดกาล เพราะเธอถูกนายพรานข่มขืนและถูกหมาป่าฉีกเนื้อกินจนตายในป่านั่นเองและคุณรู้หรือเปล่าคะ ว่าเจ้าหญิงสโนว์ไวท์ผู้งามเลิศในปฐพี ได้ตอบแทนแม่เลี้ยงที่พยายามฆ่าเธอมาตลอด ด้วยการบังคับให้ใส่รองเท้าเหล็กเต้นรำบนเตาไฟที่ลุกแรงร้อนฉ่าจนขาดใจตายหลับตา แล้วลืมนิทานก่อนนอนที่แม่เคยอ่านให้คุณฟังข้างหมอนตอนเป็นเด็กเสียเถอะค่ะ เพราะเรื่องราวอันแสนสวยงามที่คุณเคยได้ฟังมาทั้งหมดนั้น มันเป็นเรื่องโกหก
การะเกต์ ศรีปริญญาศิลป์
วันอมาวสี ที่ 8 มีนาคม 2551 นะคะใครอยากขอพรจากพระจันทร์ ลองอธิษฐานขอในสิ่งที่คุณปรารถนาค่ะ ไหว้พระ หรือระลึกถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่คุณนับถือ ทำจิตใจให้ปลอดโปร่งหรืออยากทดลองด้านการเงิน เก็บเงินสดใส่กระเป๋าเงินให้มากที่สุดค่ะ ส่วนไหนจะต้องใช้จ่ายก็แยกเอาไว้ก่อนนะคะ พยายามอย่าให้เกิดหนี้ หรือมีใครมายืมเงินคุณในวันนี้ (แต่ถ้าเป็นการทำบุญ ก็ทำไปเถอะนะคะ ดีเสียอีก)มีเหตุการณ์อะไรสำคัญๆ ในวันนี้ ลองจดบันทึกไว้ค่ะ ดูว่าจะมีเหตุการณ์ลักษณะเดียวกันนี้ไปอีก 28 วันหรือเปล่าสำหรับข้าพเจ้า เป็นวันลงเสามงคลบ้านใหม่ (สงสัยจะได้อยู่กับไซต์งานก่อสร้างไปอีกนาน) ^ - ^
หัวไม้ story
  หัวไม้ story - คือ ภาคต่อของรายการทีวีอินเทอร์เน็ต ‘สมาคมหัวไม้' ที่เป็นคล้ายๆ บทบรรณาธิการของกอง บก.ประชาไท เกิดจากการพูดคุย ถกเถียง วิวาทะ เกี่ยวกับเรื่องราวที่น่าสนใจของความเป็นไปในสังคมรอบตัว และอยากจะเน้นย้ำให้ผู้อ่านประชาไทได้รับรู้ไปพร้อมกัน ทุกๆ สัปดาห์ จากนั้นจะมีการรายงานความคืบหน้าในประเด็น ‘หัวไม้' อีกครั้งหนึ่ง ผ่านพื้นที่ของ ‘หัวไม้ story' ในส่วนของบล็อกกาซีน-ประชาไท (ปลายสัปดาห์)  เพียงไม่นานหลังจากที่ นายกรัฐมนตรีสมัคร สุนทรเวช พูดออกอากาศในรายการ ‘สนทนาประสาสมัคร' ณ วันที่ 2 มีนาคม 2551 ว่า อยากให้มี ‘บ่อนการพนันถูกกฎหมาย' เกิดขึ้นในประเทศ วิวาทะระหว่างผู้สนับสนุนและผู้คัดค้านแนวคิดดังกล่าวก็กลายเป็นประเด็นร้อนแรงในสังคมไทยเมื่อปล่อยให้สังคมตื่นตัวและถกเถียงเรื่องแนวคิด ‘บ่อนถูกกฎหมาย' ได้สักพัก รัฐบาล ‘หมัก 1' ก็กลับลำแก้เกี้ยวได้ทันเวลา โดยอ้างว่า เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับนโยบายของรัฐ แต่เป็นเพียงความคิดเห็นส่วนตัวของ นายกฯ สมัคร เท่านั้น เพราะดูเหมือนว่าการ ‘โยนหินถามทาง' ในครั้งนี้จะได้รับคำตอบเรียบร้อยแล้ว โดย ‘ผู้คัดค้าน' เสียงดังกว่า ‘ผู้สนับสนุน' เกือบเท่าตัวถึงกระนั้นก็ตาม นี่ไม่ใช่ความพยายามครั้งแรกที่ตัวแทนรัฐบาลพูดถึงการนำเศรษฐกิจนอกระบบให้เข้ามาอยู่ในระบบ โดยคาดหวังว่าผลประโยชน์จากเศรษฐกิจใต้ดินจะช่วยให้คนในสังคมส่วนใหญ่มีสภาพความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ในขณะที่ฝ่ายคัดค้านก็ยังยืนกรานด้วยเหตุผลเดิมๆ ว่า การคำนึงถึงศีลธรรม, คุณธรรม และจริยธรรม คือสิ่งที่จำเป็นกว่า เพราะเงินที่ได้มาจากอบายมุขหรือวิธีการที่ ‘ไม่สะอาด' ย่อมไม่ใช่หนทางที่ยั่งยืนและปกติสุข
new media watch
เด็กแว้นกับสาวสก๊อย แบบ 'หรอยกู'ในช่วงที่สถานการณ์ทางการเมืองเริ่มจะร้อนผ่าวๆ ขึ้นมาอีกรอบ ลองไปอ่านการ์ตูนลายเส้นดิบๆ ที่เข้ากันดีกับอารมณ์ขันแบบแสบๆ คันๆ ที่ไม่ได้หาง่ายๆ ตามท้องถนนทั่วไป บล็อก หรอยกู (http://www.roigoo.com/) เป็นผลงานสร้างสรรค์ Gag Cartoon ของนักคิดนักเขียนการ์ตูนผู้มีความคันอยู่ในหัวใจ ที่สังเกตเรื่องราวความเป็นไปต่างๆ ที่เกิดขึ้นในสังคม แล้วนำมาวิพากษ์ในรูปแบบของการ์ตูนได้อย่างน่ารักน่าชัง จากนั้นก็นำมาอัพโหลดลงในพื้นที่ออนไลน์และแจกจ่ายให้ใครๆ ได้อ่านกันฟรีๆ แต่สิ่งที่น่าสนใจของหรอยกูไม่ได้อยู่ที่มีการ์ตูนฟรีให้อ่าน เราสามารถตามไปดูจรรยาบรรณของ 'เด็กแว้น-เด็กสก๊อย' ผ่านมุมมองที่เต็มไปด้วยความเข้าใจ หมั่นไส้ และเอ็นดู บรรดาสิงห์นักบิดรุ่นกระเตาะ ซึ่งมีการหยอกล้อแต่พองาม ทำให้คนอ่านได้ยิ้มและอิ่มใจไปด้วยนอกจากนี้ยังมีการ์ตูน 'ลูกพร้าวกับพุดดิ้ง' ปรากฏการณ์ 'โปรดเอื้อเฟื้อแก่เด็ก สตรี และคนชรา' ซึ่งกำลังหายสาบสูญ รวมถึงการต่อสู้ของเด็กยุคใหม่ที่ถูกปลูกฝังให้คิดถึงการ 'เอาชนะ' ไว้ก่อน อย่าง 'เดนนิส' ซึ่งหักมุมจบด้วยรอยยิ้มรวมอยู่ด้วยกัน ชะตากรรมของตัวการ์ตูน (หรือตัวละคร?) ในหรอยกูยังไม่จบและไม่มีสูตรสำเร็จตายตัว แต่อ่านดูแล้วจะรู้ว่า 'หรอยจริงๆ' 
Hit & Run
คิม ไชยสุขประเสริฐ กับภาพเคลื่อนไหวในจอตู้สี่เหลี่ยม...คุณครูคนหนึ่งกับกิจวัตรประจำวันในการสอนหนังสือ... ดูเป็นเรื่องธรรมดา แต่สิ่งที่สะกิดใจฉันอย่างจังคือประโยคที่ว่า"จะรู้ว่าใครเก่งแค่ไหนต้องรอดูว่าใคร (สอบ) ได้ที่หนึ่ง... ได้ที่หนึ่งแล้วจะบอกว่าไม่เก่งก็คงไม่ได้"ครูซึ่งดูก็รู้ว่าเชี่ยวกรำกับวิชาชีพนี้มานานนับสิบปี พูดถึงการวัด ‘ความเก่ง’ ของเด็กนักเรียน โดยใช้ลำดับที่ของการสอบ ถูกนำไปผูกโยงกับ ‘ตัวสินค้า’ ในฐานะรถกระบะคันเก่งที่ขายได้เป็น ‘อันดับหนึ่ง' ซึ่งมีสโลแกนว่า ‘รถกระบะอันดันหนึ่งของคนไทย' ทั้งนี้ เมื่อว่าด้วยเรื่องของการตลาดแล้ว ในฐานะที่ไม่ได้ติดตามในเรื่องนี้ก็ไม่อาจทราบได้ว่า รถกระบะเจ้าไหนจะครองความเป็นเจ้าตลาด หรือเป็นผู้ถือส่วนแบ่งทางการตลาดสูงสุด และไม่รู่ว่าโฆษณาชิ้นนี้บอกเล่าความจริงมากน้อยเพียงใดแต่มันทำให้ความคิดฉันหมุนวนอยู่กับคำว่า การศึกษาทำให้คนเป็น ‘ที่หนึ่ง' คือ ‘เก่งที่สุด' และ ‘ดีที่สุด' ...000ย้อนไปเมื่อตอนเด็กๆ นอกจากผู้ใหญ่จะสอนให้เป็นเด็กดีแล้ว เค้ายังบอกให้เด็กน้อยต้องเรียนหนังสือเก่งๆ จะได้มีอาชีพดีๆ มีอนาคตดีๆ...จำได้ว่าสมัยประถม แม่สร้างแรงจูงใจในการสอบให้เด็กหญิงบ้านนอกแสนขี้เกียจอย่างฉัน ด้วยการเอารางวัลเข้าล่อ เพื่อแลกกับการสอบได้ลำดับที่ดีๆ ของห้อง ยิ่งถ้าสอบได้ที่หนึ่ง จำได้ว่าแม่บอกจะปิดหมู่บ้านเลี้ยงฉลองให้เลยที่เดียว ในความเป็นจริง การเลี้ยงฉลองให้แก่ที่หนึ่งของฉันไม่เคยเกิดขึ้น เพราะฉันไม่เคยทำได้แม้จะขุดความพยายามออกมามากแค่ไหนก็ตาม ก็เรื่องที่หนึ่งมันไม่สามารถทำได้เพียงไม่กี่วันก่อนสอบ และฉันเองก็ไม่ได้ชอบทุกวิชาที่ต้องเรียนเสียหน่อย หากจะทำคะแนนได้บ้างไม่ดีบ้าง มันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกเมื่อโตขึ้นและได้พบปะผู้คนมากขึ้น ทำให้ได้รู้ว่า การได้เป็นที่หนึ่งนอกจากการเรียนซึ่ง (หลายคนบอกว่า) เป็นตัวชี้วัดถึงอนาคตแล้ว มันยังเข้ามาเกี่ยวพันกับการงาน รวมถึงการดำเนินชีวิตด้วยสำหรับบางคนที่ตั้งความเป็นที่หนึ่งไว้เป็นเป้าของความสำเร็จในชีวิต บางครั้งการมันก็ไม่ได้สร้างความสุขเสมอไป เพราะมันต้องแลกด้วยความทุ่มเทแรงกายแรงใจ ตลอดไปจนถึงต้องสูญเสียอะไรบางอย่าง เพื่อแลกมาซึ่งความเป็นที่หนึ่งบนสุดยอดหอคอย แต่กลับมีเพียงความโดดเดี่ยว และเหลือเพียง 1 เดียวจริงๆเมื่อมาถึงจุดนั้น สำหรับบางคนแล้วการได้อยู่ในอันดับที่สอง สาม สี่ หรือในตำแหน่งที่รองๆ ลงมา คงมีความสุขมากกว่า000บิล เกตส์ เจ้าพ่อไมโครซอฟท์ เป็นตัวอย่างของคนที่ก้าวลงจากอันดับ 1 เมื่อไม่นานมานี้... หลังครองตำแหน่งคนรวยที่สุดของโลกมา 13 ปี เข้าได้ตกมาอยู่อันดับ 3 ของมหาเศรษฐีโลก ด้วยสินทรัพย์รวม 58,000 ล้านดอลลาร์ ซึ่งเพิ่มขึ้น 2,000 ล้านดอลลาร์ (64,000 ล้านบาท) จากปีที่แล้ว จากการจัดอันดับอภิมหาเศรษฐีผู้ร่ำรวยที่สุดของโลกในปี 2008 โดยนิตยสารฟอร์บส์ (Forbes) ระบุว่า เจ้าพ่อไมโครซอฟท์ได้เสียตำแหน่งคนรวยที่สุดของโลก ให้แก่ วอร์เรน บัฟเฟต์ นักลงทุนชาวอเมริกัน โดย บัฟเฟต์ มีสินทรัพย์เพิ่มพรวดพราดจาก 10,000 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 320,000 ล้านบาท) เป็น 62,000 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 2 ล้านล้านบาท) ส่วนอันดับสองคือ เจ้าพ่อเทเลคอมชาวเม็กซิกัน เจ้าของบริษัทอเมริกาโมวิล ผู้นำสินค้าเทคโนโลยีการสื่อสาร คาร์ลอส สลิม เฮลู ผู้มีสินทรัพย์เพิ่มเท่าตัวภายในเวลาเพียง 2 ปี เป็น 60,000 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 1.9 ล้านล้านบาท) อย่างไรก็ตาม เมื่อปีที่แล้ว บิล เกตส์ เคยให้สัมภาษณ์ไว้ว่า เขาไม่ได้รู้สึกดีกับการติดอันดับเศรษฐีที่รวยที่สุดในโลกเลย"I wish I wasn't," Gates replied. "There's nothing good that comes out of that."หากจะว่ากันถึงเรื่องเหตุผลแล้ว การเป็นคนที่รวยที่สุดของ บิล เกตส์ คงไม่ได้ทำให้เขารู้สึกดีนัก เพราะเมื่อมีรายได้มากภาษีก็มากเป็นเงาตามตัว และการที่เขาหันไปทำงานด้านสาธารณกุศลมากขึ้นตั้งแต่ปี 2543 (คาดการกันว่าเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้อันดับของเขาต่ำลง) ก็อาจเป็นส่วนหนึ่งในกระบวนการลดหย่อนภาษี เพราะเป็นที่ทราบกันดีว่าในสหรัฐ ผู้บริจาคทรัพย์สินให้แก่มูลนิธิเพื่อการกุศลจะได้รับการลดหย่อนภาษีจากรัฐบาล นอกจากนี้ การที่เขารวยเป็นอันดับสามนั้นไม่ได้หมายความว่ารายได้ของเขาลดลง แต่คนอื่นๆ มีรายได้เพิ่มขึ้นมากกว่าเขาต่างหากอย่างไรก็ตาม ความหน้าสนใจของ บิล เกตส์ ไม่ได้อยู่เฉพาะความมีอิทธิพลของเขาในโลกธุรกิจ หรือการติดอันดับเศรษฐีระดับโลก หรือแม้กระทั้งการที่เขาจะเป็นนักบุญที่แท้จริงหรือไม่ เพราะคนเก่งไม่จำเป็นต้องเป็นคนดี นี่คือสิ่งที่คนไทยได้เรียนรู้แล้วจากการเปลี่ยนแปลงทางสังคมในช่วงปีที่ผ่านมา จากประวัติของ บิล เกตส์ เขาเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดที่ลาออกกลางคัน และอาจมีคนมองว่าเขาล้มเหลวในการเรียน แต่เขาก็ประสบความสำเร็จในประกอบธุรกิจทางด้านซอฟท์แวร์คอมพิวเตอร์จนร่ำรวยเป็นมหาเศรษฐีของโลกนั่นคงเพราะเขาคิดว่า ที่หนึ่งในห้องเรียนนั้น ไม่ใช่ที่หนึ่งที่เขาต้องการในชีวิตมันทำให้เกิดคำถามที่ว่า เรายังหลงอยู่กับการเป็นที่หนึ่งตามความคาดหวังบางอย่างของสังคม โดยไม่ได้มองถึงความเป็นจริงและศักยภาพของตนเองกันอยู่หรือเปล่า000การเป็นอันดับหนึ่ง สอง สาม...หรืออันดันดับสุดท้าย เป็นเรื่องของตำแหน่งแห่งที่ ซึ่งเกี่ยวข้องสัมพันธ์ในเชิงเปรียบเทียบ และถูกนำมาจัดเรียงลำดับทางสังคม ไม่ว่าในส่วนการจัดอันดับทางการศึกษา การงาน หรือผลประโยชน์ แต่การจัดอันดับนี้ไม่สามารถตอบโจทย์ความต้องการบางอย่างในสังคมได้ทั้งหมด เมื่อสังคมมีความสัมพันธ์ที่หลากหลาย และสำหรับบางคน จุดหมายอาจไม่ได้อยู่ที่การเป็นที่หนึ่งของการจัดอันดับทางสังคมเสมอไป เพราะในบางครั้งการเป็นที่หนึ่งก็ไม่สามารถตอบโจทย์ความต้องการที่หลากหลายของคนแต่ละคนได้ และหากการเป็นที่หนึ่งคือสิ่งที่น่าชื่นชนยินดี การเป็นอยู่ในลำดับต่างๆ ก็เป็นตำแหน่งที่น่าต้องให้ความสนใจ ในเมื่อที่ 1 ไม่ได้หมายความว่า ‘ดีที่สุด’ หรือ ‘เก่งที่สุด’ … ที่สุดท้ายก็ไม่ควรจะหมายความถึง ‘แย่ที่สุด’ หรือ ‘เลวที่สุด’ เช่นกัน
เมธัส บัวชุม
ก่อนอื่นคงต้องขอยอมรับในความสามารถของชัย ราชวัตร ที่สามารถตรึงใจผู้อ่านคอลัมน์ “ผู้ใหญ่มากับทุ่งหมาเมิน” ในหนังสือพิมพ์ไทยรัฐมายาวนานหลายปีจนกระทั่งถึงปัจจุบันและดูเหมือนว่าสามารถสร้างแฟนการ์ตูนรุ่นใหม่ ๆ ได้ไม่น้อย ความน่าสนใจประการหนึ่งของการ์ตูนคอลัมน์ “ผู้ใหญ่มากับทุ่งหมาเมิน” อยู่ที่การสร้างบทสนทนาระหว่างตัวการ์ตูนเพียงไม่กี่ประโยค แต่สื่อความหมายได้มากมายเสียยิ่งกว่าบทความที่ยาวเต็มหน้ากระดาษชัย ราชวัตร ใช้วาจาสั้น ๆ ในการเสียดสีหรือวิพากษ์วิจารณ์ถึงสถานการณ์ปัจจุบันหรือบางครั้งเป็นการกล่าวหาใส่ความเกินจริง โดยที่เขาตัวเขาเองไม่ต้องรับผลอันใดจากการกระทำของตนเอง ตัวอย่างเช่นไทยรัฐ, 26 กุมภาพันธ์, 51.
Music
  ช่วงที่ผ่านมามีข่าวคราวเกี่ยวกับคอนเสิร์ตแนวอนุรักษ์ธรรมชาติอะไรพวกนี้ออกมาหลากหลายมากมายอยู่เหมือนกัน โดยเฉพาะคอนเสิร์ตต้านโลกร้อนที่เข้าใจเกาะกระแสเรื่องที่คนทั่วโลกสนใจ (แต่ไม่รู้ว่าเข้าใจลึกไปในระดับไหน) มาสร้างเวทีคอนเสิร์ตให้สนุกสุดเหวี่ยง เวลามีคนมาถามความเห็นผมเรื่องนี้ ผมมักจะหัวเราะ หะ ๆ แล้วตอบว่ารู้สึกเฉย ๆ ถ้ามันจะดีมันก็ดีในแง่ที่มีคอนเสิร์ตมาให้สนุกกัน ส่วนศิลปินก็ได้หน้าได้ตากันไป เพราะโดยส่วนตัวผมไม่คิดว่าศิลปินจะรู้ลึกรู้จริงรู้จังอะไรกันเรื่องนี้มากมาย ไม่ต้องกระไรมาก ผมจะยกตัวอย่างจากประสบการณ์ตรงเรื่องหนึ่ง คือเมื่อหลายปีก่อน ผมได้รู้เรื่องที่มีคนอยากจะจัดคอนเสิร์ตรำลึกเหตุการณ์ 6 ตุลาฯ ในทีแรกผมก็รู้สึกสนใจว่ามีคนเล่นดนตรีที่เข้าใจประวัติศาสตร์ตรงนี้ด้วยหรือ (ขออภัยผมไม่ได้จงใจดูถูกสติปัญญาของนักดนตรี แต่เท่าที่ผมเจอมาเป็นแบบนี้จริง ๆ) แต่พอผมได้รู้จักเขา ก็ดูท่าว่าเขาจะไม่ได้รู้ประวัติศาสตร์ของวันวันนี้ลึกไปกว่าว่ามันมีคนตายเลย (เผลอ ๆ ที่ลุงหมักพูดว่าตายหนึ่งศพยังจะฟังดูน่าเชื่อถือกว่าให้ไอ่หมอนี่พูดถึงเสียอีก) นั่นทำให้เวลามีคนจัดคอนเสิร์ต ไม่ว่าจะเป็น Live Aid ที่มีภาพของการช่วยเหลือประเทศโลกที่สาม หรือพวก Earth day/Live Earth ที่เป็นแนวอนุรักษ์ธรรมชาติก็ตาม ผมมักจะไม่รู้สึกถึงประเด็นที่พวกนี้พ่วงมากับการจัดคอนเสิร์ตด้วยสักเท่าไหร่ เพราะสิ่งที่ศิลปินพวกนี้พูดบนเวทีมันก็เป็นสิ่งที่พูดกันมาแต่ไหนแต่ไร อยู่แล้ว ไม่พักต้องชวนให้เข้าใจว่าประเด็นพ่วงมาพวกนี้มันทำให้งานคอนเสิร์ตทั้งหลายดูดีขึ้นกว่าการเป็นแค่ความบันเทิงธรรมดา ทั้งที่จะให้มันเป็นความบันเทิงโดด ๆ ไปเลยก็ไม่ใช่เรื่องแย่อะไรนี่นา โดยส่วนตัวผมจึงสนใจ “เนื้อหา” กับ “รูปแบบ” ทางดนตรีที่ศิลปินสื่อออกมามากกว่าประเด็นพ่วงที่ชวนให้รู้สึกว่ามันเบาหวิวลอยลม แต่คราวนี้ มันไม่ใช่แค่ไลฟ์คอนเสิร์ทน่ะสิ ประเด็นสีเขียวมันถูกโยงใยมาสู่เรื่องขั้นตอนของการผลิตงานด้วย แล้วถ้ามีใครมาถามความรู้สึกผมในเรื่องนี้ผมก็จะหัวเราะ หะ ๆ แล้วตอบว่ารู้สึกเฉย ๆ อยู่ดี ไม่ก็เลี่ยงไปพูดเรื่องตัวผลงานเลยว่ามันดีมันแย่ยังไง มันเจ๋งกว่าอัลบั้มที่ไม่ได้ใช้พลังเขียวในการผลิตด้วยเหรอ? แต่ในคอลัมน์นี้ ยังไงผมก็ขอพูดถึงมันเสียหน่อย ว่าจริง ๆ แล้วอัลบั้ม Sleeping Through The Static ของ Jack Johnson ที่มีคนเชียร์นักหนาในเรื่องของการบันทึกเสียงโดยใช้พลังงานแสงอาทิตย์ (ถึงขั้นโยงไปถึงเรื่องโลกร้อน) มันมีคนเคยทำมาก่อนแล้ว คือ วงร็อคที่ชื่อ Wolfmother ไม่พักต้องบอกต่ออีกว่า เจ้า Andrew Stockdale นี้มันแสดงตัวตนว่า ‘เขียว’ เอาการ ไม่นับแค่ขั้นตอนการอัดเพลง ไอ่หมอนี่ยังรณรงค์ใช้จักรยาน การใช้ไบโอดีเซล (ซึ่งแลกมาด้วยการไปเบียดเบียนการกินอยู่ของคนจน) การใช้พลังงานทางเลือกจากแสงอาทิตย์ จนล่าสุดหมอนี่มันจริงจังถึงขั้นจะค้นหาโน้ตที่ให้เสียงแบบเขียว ๆ สำหรับการบันทึกลงอัลบั้มต่อไปเลยทีเดียว ผมนับถือเจ้า Stockdale ในแง่ของการที่มันจริงใจกับความคิดตัวเอง แต่ถ้ามีคนมาถามเรื่องนี้ ผมก็คงจะบอกว่า เฉย ๆ กับประเด็นพ่วงและพฤติกรรมแบบเขียว ๆ ของเขาอยู่ดี และจะบอกต่อด้วยว่า อัลบั้มที่ได้รางวัลยอดเยี่ยมสาขาการแสดงแบบฮาร์ดร็อคในปี 2006 นั้น ยังขาด ๆ เกิน ๆ ไม่เร้าใจพอ ถ้าอัลบั้มหน้าจะทำให้เต็มที่กว่านี้ก็คงดี แล้วไอ่โน็ตเขียว ๆ อะไรนั่น ผมก็อยากรู้อยากเห็นอยู่เหมือนกันว่ามันจะให้เสียงออกมายังไง อย่างไรก็ดี อัลบั้มต่างประเทศที่ผมคิดว่ามันปลุกอารมณ์เขียวได้มาก ๆ โดยไม่ต้องหาประเด็นพ่วงมาเป็นจุดขายคือ Harvest Moon ของ Neil Young จริง ๆ หลายเพลงจากอัลบั้มอื่น ๆ ของ นีล ยังค์ มันก็มีเรื่องราวแนวอนุรักษ์แบบติดกลิ่นฮิปปี้หน่อย ๆ แต่ในอัลบั้มนี้ ตัวดนตรีมันสร้างจินตภาพแบบโรแมนติกของท้องทุ่งอเมริกันได้ ดีเยี่ยม (ดีจนน่ากลัวก็ว่าได้) ไตเติ้ลแทรกที่ชื่อ Harvest Moon (ดวงจันทร์แห่งการเก็บเกี่ยว-หมายถึง ดวงจันทรฺ์ที่ขึ้นในช่วงหัวค่ำของฤดูใบไม้ผลิ ช่วยชาวไร่ชาวนาในการเก็บผลผลิต) แม้ว่าเนื้อเพลงมันจะเป็นเพลงรักที่หวานแบบเรียบ ๆ แต่แบคกราวน์ของดนตรีมันช่างชวนให้นึกถึงพลังแบบเขียว ๆ ที่แฝงอยู่เบื้องหลัง ดนตรีของ Jack Johnson ในอัลบั้มก่อนหน้านี้ ก็มีพลังแบบเดียวกันอยู่ครับ แต่เปลี่ยนฉากจากท้องทุ่งเป็นหาดทรายที่มีกลิ่นอายของแดดฤดูร้อน ซึ่งก็เป็นเรื่องธรรมดา เพราะ Jack Johnson เกิดและเติบโตมากับริมฝั่งชายหาดของฮาวาย ได้คลุกคลีกับวัฒนธรรมของนักเล่นกระดานโต้คลื่น จนบางครั้งมีคนแปะป้ายให้ดนตรีป็อบร็อคนุ่ม ๆ ของเขารวมไปกับแนว Surf ในฐานะที่เป็นทั้งนักเซิร์ฟและคนท้องถิ่น ตัว Jack Johnson เองจึงมีแนวคิดเชิงอนุรักษ์ติดตัวมาด้วยเป็นธรรมดา เพราะปัญหาธรรมชาติบางอย่างมันส่งผลกระทบต่อคลื่นทะเลนักโต้คลื่นส่วนหนึ่ง จึงเกิดความคิดแบบนักอนุรักษ์ บางที่ถึงขั้นมีเป็นแนวท้องถิ่นนิยมแบบสุดโต่ง มีการปักเขตแดนชัดเจน กีดกันไม่ยอมให้นักท่องเที่ยวหรือคนต่างถิ่นเข้ามาเล่นโต้คลื่นเลยทีเดียว     เพลงของ Jack Johnson ในอัลบั้มที่ผ่าน ๆ มา (ไม่นับ Curious George ที่ผมไม่ได้ฟัง แต่คาดว่าคงไม่ต่างจากอัลบั้มอื่นก่อนหน้า) บ่งบอกตัวตนอย่างหนึ่งของเขา คือ ความเรียบง่ายสบาย ๆ เพราะไม่ว่าเขาจะทำดนตรีออกมาแบบไหน มันก็ฟังดูนุ่มละมุนหูไปหมด พูดแบบภาษาวัยรุ่น (ด้วยคำที่ตกเทรนไปแล้ว) ว่าเพลงพี่แกชิลชิลมาก แม้ว่าเนื้อหาจะกำลังวิพากษ์วิจารณ์อะไรอยู่   “Where’d all the good people go? I’ve been changing channels I don’t see them On the T.V. shows”   - Good People   พอพูดถึงความชิลชิล ในดนตรีของ Jack แล้ว เนื้อหาของพี่แกเองก็ชิลชิล แม้ในเนื้อหาของเพลงจะวิจารณ์ความเป็นไปในสังคม มันก็ยังสะท้อนวิธีคิดแบบบริสุทธิ์ (ใกล้ ๆ กับคำว่าไร้เดียงสา เพียงเปลี่ยนขั้วประจุบวกกับลบ) จากตัวแกเองออกมาอยู่ดี โดยส่วนตัวผมชอบเนื้อเพลงแกอยู่เหมือนกัน แต่ผมให้ค่ามันในแง่ของการผ่อนคลายมากกว่าการเก็บมาคิดด่อ เนื้อหาอื่น ๆ ส่วนใหญ่ของ Jack ถ้าไม่ใช่เรื่องเรียบง่ายสบาย ๆ ของชีวิตประจำวันอย่าง Banana Pancake ก็เป็นเรื่องความสัมพันธ์แบบหวาน ๆ อย่าง Do You Remember , Better Together ฯลฯ แต่นั่นแหละ เพลงของ Jack Johnson มันช่างชวนให้ฝันหวานกลางแสงอาทิตย์ จนมาถึงอัลบั้มล่าสุดคือ Sleep Through the Static ที่ดูเหมือนว่าเขาใช้แสงอาทิตย์เป็นพลังงานในการบันทึกเสียง แต่กลับไม่ได้ปล่อยให้มันสาดส่องเข้ามาในดนตรีเขาด้วย ตั้งแต่เพลงแรกถึงเพลงสุดท้าย มันชวนให้รู้สึกได้เลยว่า แสงอาทิตย์ละมุนละไมในดนตรีของเขาหายไป ไม่เพียงวิธีบันทึกเสียงเท่านั้นที่ใช้วิธีในเชิงอนุรักษ์ เพลงหนึ่งของอัลบั้มนี้คือ All at Once ก็บอกว่าเป็นเพลงที่เขียนถึงเรื่องโลกร้อน แต่ดูเนื้อหาแล้วมันก็มีอยู่ท่อนเดียวจริง ๆ ที่ (แค่) เฉียด ๆ ให้คิดถึงเรื่องโลกร้อน “Around the sun some say, it’s gonna be the new hell some say it’s still too early to tell, some say it really ain’t no myth at all.”   - All at Once หรือเพลง Sleep Through the Static เอง ที่วิจารณ์นโยบายของบุช แต่เนื้อเพลงมันไม่ชวนให้รู้สึกอะไร ว่าก็ว่า ดนตรีมันชิลชิลเกินกว่าจะชวนให้นึกอะไรตามเนื้อ ยิ่งถ้าฟังแต่ดนตรีอย่างเดียวไม่ได้อ่านเนื้อตามคงไม่รู้ด้วยซ้ำว่า อ้อ ! ลุงแจ็คเองก็หันมาพูดเรื่องนี้อีกคนเหรอ ! (หลังจากที่มีคนแห่แหนกันมาพูดถึงจนเงียบเสียงกันไปหมดแล้ว) สิ่งที่พอจะทำให้ผมชอบอยู่บ้างในอัลบั้มนี้ คือเสียงคีย์บอร์ดในเพลง Enemy หรือกับเพลง If I had eyes ที่ใส่ความคึกคักขึ้นมาหน่อย และแน่นอนว่าอัลบั้มนี้ก็ไม่ขาดเพลงรักเนื้อหาหวาน ๆ อย่างใน Angel กับ Same Girl ที่บางทีก็กลัว ๆ ว่าแกจะมัวแต่วนเวียนกับลูกเมียแกจนความหวานจะเริ่มกลายเป็นความเลี่ยน เว้นแต่เพลง Go On ที่เขียนถึงลูกชายแกที่กำลังโต พูดถึงการยอมให้อิสระกับเขาได้ลองผิดลองถูก เสียดายที่ดนตรีซ้ำ ๆ โทนเดียวของแจ็คมันไม่ช่วยให้รู้สึกตามเพลงนี้เท่าไหร่ เป็นการให้อิสระที่ฟังดูไม่มีชีวิตชีวาเอาเสียเลย อัลบั้ม Sleep Through the Static ไม่มีเพลงไหนที่ดนตรีโดดเด่นออกมา แม้เพลง They do They Don’t ที่พยายามจะซีเรียส แต่ไม่เป็นผล ลุงแจ็คแกชิลชิลเกินกว่าจะพูดถึงอะไรซีเรียส ๆ จริง ๆ อันนี้ต้องยอมรับ แน่นอนว่าอัลบั้มนี้จึงกลายเป็นการติดอยู่ครึ่ง ๆ กลาง ๆ ระหว่างความผ่อนคลายที่อับแสงจนไม่ชวนให้สดใส ขณะเดียวกัน สิ่งที่เขาพยายามจะสื่อก็ถูกดนตรีที่มีพื้นสีเดียวกลบจนมิด แยกไม่ออกว่าเพลงไหนแกพูดเรื่องซีเรียส เพลงไหนแกพูดเรื่องทั่ว ๆ ไป (ถ้าไม่ได้อ่านเนื้อ) ในสื่ออย่าง BBC บอกว่านั่นเป็นเพราะแจ็คแกใช้หัวใจมากกว่าใช้สมอง แต่ผมก็อยากจะบอกว่า มีคนที่ใช้หัวใจสื่อออกมาได้ยอดเยี่ยมกว่าในประเด็นเดียวกันคือ Bruce Springsteen ผมถึงรู้สึกตามเพลงของ Springsteen ได้ขณะที่แทบไม่รู้สึกอะไรเลยกับ Jack Johnson อัลบั้มนี้ ผมเชื่อที่เว็บโมโจวิจารณ์ไว้มากกว่าว่า โลกที่ยังคงมีความยากจน มีสงคราม และความไม่แน่นอนนี้ มันต้องได้รับการเผชิญหน้า และมันก็เกินกำลังกว่าที่ความสามารถทางการแสดงออกของ Jack Johnson จะไปถึงได้ ยังไม่นับว่าการที่มีแต่คนแห่แหนพูดถึงมิติใหม่ของการบันทึกเสียงโดยใช้ พลังงานแสงอาทิตย์ มันจะช่วยอะไรเรื่องพลังงานได้มากขึ้นจริง ๆ น่ะหรือ หลายคนคงรู้กันว่าความหวังดีนี้อาจกลายเป็นแค่การเพิ่มจุดขายอย่างหนึ่งเท่านั้น แล้วตัวผู้ซื้อเองคงจะแค่รู้สึกว่า “โอ้ ! เราได้ทำดีกับโลกแล้ว เรามีความสุขแล้ว” จึงคิดว่าทำแค่นี้พอแล้ว ง่ายดี ไม่ได้คิดจะทำอะไรต่อไปไกลกว่านั้น เรื่องของพลังงานมันจึงไม่ใช่อะไรชิลชิล ที่แค่ใช้ของบางอย่างหรือละเว้นบางอย่างแล้วมันจะจบแฮปปี้เอนดิ้ง แต่ถ้าอยากแก้ปัญหาจริง ๆ มันก็เป็นเรื่องที่ต้องมีการรณรงค์ทางการเมืองอย่างจริงจัง แล้วต้องคำนึงถึงผลกระทบด้านอื่น ๆ ด้วย เช่นเรื่องผลกระทบต่อคนจนที่เข้าถึงทรัพยากรได้ยากกว่าอยู่แล้ว และแน่นอน ถ้าใครมาถามผมถึงเรื่องการบันทึกเสียงแบบอนุรักษ์พลังงานของ ลุงแจ็คในอัลบั้มนี้ ผมก็ยังจะหัวเราะ หะ ๆ แล้วตอบว่ารู้สึกเฉย ๆ เผลอจะชอบอัลบั้มก่อน ๆ มากกว่า ต่อให้มันบันทึกเสียงด้วยพลังงานนิวเคลียร์ก็ตาม 
อิทธิฤทธิ์ ประคำทอง
ฉากแรก เธอเป็นหญิงสาวหน้าตาสะสวย มีแววตาเป็นประกาย ด้วยอิริยาบถที่สบายๆ และการพูดคุยที่ดูเป็นธรรมชาติ เราได้เห็นว่าเธอกำลังเตรียมเครื่องดื่มอะไรสักอย่างที่มีสีเขียวเข้ม โดยมีชายอีกคนหนึ่งคอยจดจ้องดูสิ่งที่เธอทำ พร้อมกับถามว่าเธอใส่อะไรลงไปในเครื่องปั่นเพื่อทำเครื่องดื่มชนิดนี้บ้าง... “ฉันก็เอาผักที่มีในตู้เย็นทุกอย่างใส่เข้าไป...คะน้า แตงกวา...ผักทุกอย่างที่มีสีเขียว แล้วก็ดื่มมัน” เธอว่า เสร็จแล้วเธอก็บรรจงเทเครื่องดื่มที่ทำอยู่ลงในแก้วที่มีก้านทรงสวย แล้วยื่นให้กับชายคนนั้น ตอนนี้เครื่องดื่มที่เธอทำแลดูเป็นเครื่องดื่มสำหรับวาระพิเศษ มิใช่น้ำผักปั่นที่เธอทำดื่มเองอยู่เป็นประจำ “ตอนนี้คุณก็เลยหยุดดื่มค็อกเทลไปเลยใช่ไหม”...ชายคนนั้นถามหลังจากที่ทั้งคู่ชนแก้วแล้วพร้อมใจกันดื่มน้ำผักปั่นภายใต้บรรยากาศที่ดูสดใสในห้องครัวของบ้านแห่งหนึ่ง    ฉากที่สอง หญิงสาวคนเดิมปรากฏตัวอีกครั้งในชุดที่เราจำเธอไม่ได้ กล้องถ่ายภาพในระยะใกล้ทำให้เห็นบรรยากาศของการออกกำลังกายกลางแจ้งแห่งหนึ่ง และเครื่องเล่นชนิดนั้นก็คือชิงช้าที่แกว่งตัวพาคนที่ห้อยหัวแล้วใช้ขาเกี่ยวมันแกว่งกระหวัดไปถึงอีกฟากหนึ่งซึ่งมีอีกคนคอยรับอยู่แบบเดียวกับที่เราเคยเห็นนักแสดงห้อยโหนหวาดเสียวในละครสัตว์หรือกายกรรมชอบทำ เบื้องล่างของชิงช้าที่ว่าคือความสูงจากพื้นดินที่มีตาข่ายและเบาะรองรับเอาไว้ เสียงของหญิงสาวคนเดิมดังขึ้น “ฉันเคยเป็นโรคกลัวความสูง กลัวจนทำอะไรไม่ได้ แต่ตอนนี้ฉันไม่สนใจความกลัวที่ว่านั้นแล้ว ชีวิตเป็นของฉัน อยากทำอะไรฉันก็ทำ และฉันก็รู้สึกดีขึ้นมาก” เราเข้าใจได้ว่าภาพที่เห็นคือภาพของหญิงสาวคนนี้ที่กำลังแกว่งตัวห้อยโหนอย่างที่เราคาดไม่ถึงว่าคนที่บอกว่าตัวเองเคยกลัวความสูงจะกล้าทำกิจกรรมเยี่ยงนี้  ฉากที่สาม เธอปรากฏตัวในฐานะแขกรับเชิญในรายการ ‘Oprah’ (โอปราห์) รายการทอล์คโชว์ดังแห่งอเมริกาโดยมีพิธีกรหญิงผิวดำที่โด่งดังที่สุดในสหรัฐอเมริกานั่งอยู่บนโซฟาในห้องส่ง พร้อมกับผู้ชายอีกคนซึ่งจำได้ว่าเป็นชายคนเดียวกับที่ปรากฏในฉากแรกและดื่มน้ำผักปั่นร่วมกับเธอ หญิงสาวผู้นี้ยังคงมีท่าทีสบายๆ พร้อมกับรอยยิ้มที่ดูสดใส หากไม่มีการเฉลยเราก็คงไม่รู้ว่าเธอเผชิญอยู่กับชะตากรรมอันหนักหน่วงของการมีมะเร็งคุกคาม “คุณคิดถึงการเป็นมะเร็งอยู่ไหม คิดหรือเปล่าว่าตอนนี้เนื้อร้ายในตับของฉันกำลังลุกลามไปถึงไหนแล้ว” โอปราห์ถามแขกรับเชิญในรายการ “ไม่เลย ฉันไม่เคยคิดอย่างนั้น ฉันคิดถึงแต่ชีวิตตอนนี้ ตอนที่เรากำลังมีลมหายใจอยู่ในปัจจุบัน คิดถึงสิ่งที่ทำให้ฉันยิ้มได้แล้วมีความสุขมากกว่า ฉันรู้ดีว่าชีวิตไม่ได้ยาวนานมากพอที่คนเราจะคิดถึงอดีตหรือสิ่งที่ทำให้เราจมอยู่กับความทุกข์” ............................ Kris Carr คือหญิงสาวชาวตะวันตก (อเมริกัน) ผู้นั้น เรา – ในฐานะผู้ชมรายการโอปราห์ผ่านทางช่องเคเบิลทีวีอีกทีหนึ่ง ได้รับรู้ว่าเธออยู่กับมะเร็งขั้นที่สี่มาระยะหนึ่งแล้ว แต่มะเร็งที่ว่าก็ไม่ได้กัดกร่อนหรือทำให้ร่างกายเธอทรุดโทรมลง...เราไม่ทันได้รู้ว่าเธอรับการบำบัดด้วยวิธีการแพทย์สมัยใหม่อย่างการทำคีโมฯ บ้างหรือไม่ แต่ภาพที่เห็นผ่านหน้าจอเธอคือหญิงสาวที่มีเสน่ห์และผู้ถึงการมีชีวิตอย่างที่ตระหนักถึงปัจจุบันหรือการมีลมหายใจเพื่อสิ่งนี้ตอนนี้เท่านั้น โดยไม่ปล่อยตัวให้จมไปกับโรคร้ายที่เกิดขึ้น เธอเป็นคนหนึ่งที่ยอมหันหลังให้กับกิจกรรมแบบเดิมในชีวิต หันมาดูแลร่างกายด้วยวิธีธรรมชาติ เลิกทุกข์กังวล ใช้ชีวิตอย่างที่ควรจะเป็นหรือกระทั่งอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน เราได้เห็นว่าไม่นานมานี้เธอก็เพิ่งจะมีพิธีแต่งงานกับคนรักในบรรยากาศที่อบอุ่นโดยไม่ลังเลว่าความตายอาจจะมาพรากเธอไปจากเขาเมื่อไรก็ได้ “ทำไมคุณถึงได้เปลี่ยนความคิดและหันมาดูแลตัวเองอย่างนี้ได้ล่ะครับ” ชายผู้ร่วมในรายการถามขึ้นบ้าง “เพราะเมื่อคนเรา ‘จนตรอก’ มันก็ทำให้เกิดเป็นแรงบันดาลใจขึ้นมาน่ะสิคะ ฉันคิดอย่างนี้ได้ก็เพราะฉันป่วยเป็นมะเร็ง แต่ท้ายที่สุดฉันก็ไม่ได้บ่นว่าที่ตัวเองโชคร้าย แต่ใช้โอกาสนี้เพื่อการเปลี่ยนแปลงไปสู่สิ่งที่ฉันไม่เคยทำหรือไม่เคยคิดถึงมาก่อน” หญิงสาวเจ้าของเรื่องราวตอบ โอปราห์ถามเธอส่งท้ายอีกครั้งว่า เธอไม่คิดจริงๆ เหรอว่าตัวเองเป็นทุกข์หรือกังวลใจว่าอนาคตจะเป็นเช่นไร Kris Carr ในวัย 36 ตอบแบบไม่ลังเลเลยว่า ฉันไม่เคยคิดอย่างนั้นแม้แต่วินาทีเดียว เพราะฉันรู้ดีว่า “ชีวิตนี้หวานเกินไปกว่าที่จะขม” Why, when we are challenged to survive, do we give ourselves permission to truly life?     ---------------------------------------- Kris Carr เป็นช่างภาพและนักแสดง ขณะนี้เธอได้นำเสนอเรื่องราวของเธอกับการเป็นมะเร็งผ่านภาพยนตร์สารคดีเรื่อง Crazy Sexy Cancer สนใจติดตามได้ที่ www.crazysexycancer.com
ภู เชียงดาว
เธอมิใช่ผู้หญิงที่สูงศักดิ์หากคือหญิงผู้แน่นหนักรักยิ่งใหญ่รักในอิสรภาพ ความเป็นไทรักต่อสู้ เพื่อสิ่งยากไร้- -ในสังคมเธอมิใช่เป็นเจ้าหญิงในตำนานหากทำงานกับปัญหาอันหมักหมมกระชากแหวก กรอบมายา ค่านิยมเพียรเพาะบ่มความแกร่งกล้า- -พยายามเธอเฝ้าเรียน เฝ้าฝืนและตื่นรู้แม้อยู่ท่ามกลางสายตาที่เหยียดหยามหากเธอยังต่อสู้กับความเสื่อมทรามแม้จักผ่านกี่ห้วงยามความเลวร้าย !ใช่,และเธอไม่ได้ต่อสู้เพื่อตัวเองหากเปล่งเสียงร้องปกป้องชนทั้งหลายเพื่อภราดรภาพ เสรีภาพของหญิงชายเพื่อเปล่งแสงแห่งความหมาย- -ความเท่าเทียม !เธอคือหญิงนักสู้ผู้ยิ่งใหญ่มีจิตใจกล้าหาญชาญยอดเยี่ยมเธอประกาศยืนหยัด...“ความเท่าเทียม”ให้เต็มเปี่ยมคุณค่าความเป็นคน !“ความเท่าเทียม ใช่มาจากประกาศิตเบื้องบนหากเราได้มันจากผลของการต่อสู้ !!” ** ถ้อยคำของหญิงนักรบของขบวนการซาปาติสตา ของชาวพื้นเมืองในเม็กซิโกเขียนขึ้นด้วยแรงบันดาลใจหลังอ่านบทความของ ‘ภัควดี วีระภาสพงษ์’  : 8 มีนาคม วันสตรีสากล          ในหนังสือเนื่องในวันสตรีสากล,กลุ่มประชาธิปไตยเพื่อรัฐสวัสดิการ,มี.ค.2551ที่มาภาพ www.psunews.net/409200713333.jpg www.oknation.net/blog/home/blog_data/145/6145/images/Zapagirlrgb.jpg
พันธกุมภา
มีนา
ฉันดีใจ...ที่เธอมีคนดูแลระหว่างการเดินทาง แม้ว่าเราจะเดินทางเพื่อไปปฏิบัติธรรม คนส่วนมากเขาก็มองว่าเราเติบโตมาในสังคมที่เห็นว่าการชวนดื่มเหล้า การกินอาหารร่วมกันเป็นการให้เกียรติกับผู้มาเยือน การที่เธอกล้าปฏิเสธและอธิบายความเป็นตัวเธอ นับว่าเป็นความกล้าที่จะบอกความเป็นตัวตนด้านดีของตัวเองคนจำนวนมากเกรงใจคนอื่นอย่างน่าเป็นห่วง ฉันเอง...บางครั้งยังไม่กล้าที่จะบอกถึงความเป็นตัวตน หรือความคิดจริงๆ ในเรื่องงาน หลายครั้งเป็นข้อจำกัดขององค์กร สถาบัน และเส้นแบ่งหลายๆ อย่างที่ทำให้เรา...ไม่กล้า ไม่กล้าที่จะบอกว่า เราอยากทำงานเพราะคิดถึงคนที่ลำบาก แต่องค์กรของเราอาจจะต้องการทำงานเพื่อตอบสนองคนที่ให้เงินเรามาทำงาน คนส่วนมากก็เป็นเช่นนั้นหากเพิ่มเรื่องความเกรงใจเข้าไปด้วย โดยที่ไม่ได้ตระหนักรู้ว่า แท้จริง ความเกรงใจนั้นเกิดขึ้นเพราะเราเกรงใจเขา หรือทำไปเพราะอยากให้เขาเกรงใจเราเช่นเดียวกัน...อาหารที่บำรุงกายเนื้อของเรา มีส่วนจริงที่เนื้อสัตว์ เหล้า จะทำให้เราเสริมพลังงานค่อนข้างมาก นอกจากการที่เราต้องการงดเนื้อสัตว์เพื่อให้ปฏิบัติได้ดี สิ่งสำคัญคือการลดความกังวลของเรานั่นเอง เรายังดีที่เป็นคนธรรมดา กล้าที่จะบอกว่าเราเลือกที่จะไม่กินอะไร หากเป็นพระ แม้จะไม่อยากกินแต่พุทธบัญญัติก็จะต้องรับและฉันท์อาหารที่คนนำมาถวายอยู่ดี หลายวัดจึงต้องบอกว่าหลักปฏิบัติของแต่ละที่เป็นอย่างไร เพื่อให้คนทำบุญไม่ต้องเบียดเบียนสัตว์เพื่อมาทำบุญคนธิเบตที่นับถือศาสนาพุทธ ก่อนที่ประเทศจีนจะเข้ามาปกครองก็กินเนื้อสัตว์ แต่เขาไม่ได้ฆ่าสัตว์ เขารอให้สัตว์เหล่านั้นตายเอง จากที่ถึงอายุขัยของมัน อุบัติเหตุ จึงจะนำมาเป็นอาหาร เอาเข้าจริงแล้วมนุษย์ก็ไม่ได้พัฒนาตนเองขึ้นมาด้วยพันธุกรรมที่เป็นสัตว์ที่กินสัตว์อื่นเป็นอาหาร โรค ภัย ไข้ เจ็บ สมัยใหม่หลายๆ อย่างจึงเนื่องมาจากอาหารที่เกินความต้องการของร่างกายจริงๆ   

แท็กล่าสุด

แท็กยอดนิยม