Skip to main content

บล็อกกาซีน ประชาไท

นาลกะ
อาการป่วยของแม่ทุเลาลง แต่ยังไม่หายเป็นปกติเพราะโรคฉวยโอกาสบางชนิดที่ยังทำให้แม่อ่อนเพลีย คุณหมอมาดูแลอาการของแม่บ่อยครั้ง คุณหมอจะยิ้มอย่างปลอดโปร่งใจทุกครั้งเมื่อตรวจดูอาการของแม่เสร็จ สายรุ้งไม่แน่ใจว่ารอยยิ้มของคุณหมอมีความหมายว่าอะไร อาจหมายถึงว่าแม่จะกลับมามีสุขภาพแข็งแรงดังเดิมหรือเพื่อปลอบใจสายรุ้งกันแน่ หรือว่าคุณหมอที่ไหน ๆ ต่างก็มีรอยยิ้มลักษณะเช่นนี้“แม่ผมเป็นยังไงบ้างครับ”คุณหมอทำท่าตรึกตรองราวกับกำลังหาคำอธิบายที่เหมาะ ๆ นั่นยิ่งทำให้สายรุ้งรู้สึกกังวลหนักขึ้น“หนูต้องดูแลแม่ดี ๆ นะ” คุณหมอตอบ “หนูรู้ไหมว่าหนูมีส่วนอย่างมากในการทำให้คุณแม่หายจากอาการป่วยไว ๆ” “แล้วแม่ผมจะหายเหมือนเดิมหรือเปล่าครับ”“ขึ้นอยู่กับอะไรหลาย ๆ อย่าง เช่น การดูแลเอาใจใส่ของคนรอบข้าง ความเข้มแข็งของผู้ป่วยและสภาพแวดล้อม เอ่อ อากาศ อาหารการกินและอะไรต่าง ๆ อีกหลายปัจจัย”     “แม่ผมเป็นโรคอะไรครับ”“อือ คือแม่ของหนูไม่สบายเพราะร่างกายอ่อนแอ ได้รับเชื้อโรคเข้าสู่ร่างกายมากเกินไปจนร่างกายต้านทานไม่ไหว”“ทำไมร่างกายจึงอ่อนแอได้”“เข้าใจถามแฮะ” คุณหมอทำท่าครุ่นคิด “ร่ายกายอ่อนแอก็มีหลายสาเหตุ บางคนอาจเป็นเพราะภูมิแพ้ แพ้แดด แพ้อากาศ บางคนนอนน้อยเกินไป บางคนก็ไม่ได้ทานอาหาร เหล่านี้ก็ทำให้ร่างกายอ่อนแอได้ทั้งนั้น”“แล้วความอ่อนแอของแม่เกิดจากอะไร ทั้งที่แม่ไม่ได้นอนน้อย แม่ทานอาหารที่อร่อยและมีประโยชน์เสมอ”“ยังไงดีล่ะ” หมอตอบ “ขอหมอกลับไปคิดหาสาเหตุก่อนก็แล้วกัน”
สุรีรัตน์ ตรีมรรคา
อวัยวะที่แสดงเพศหญิงและส่งผลต่อความสามารถสืบทอดเผ่าพันธุ์คืออวัยวะที่เกี่ยวข้องกับการเจริญพันธุ์  ทำให้ต้องมีการพูดถึงการอนามัย [1] เจริญพันธุ์ คือการไม่มีโรค มีสุขภาพดีของอวัยวะสืบพันธุ์  

ในเพศหญิงมีมากกว่าหนึ่งอวัยวะ นั่นคือตั้งแต่ปากช่องคลอด ช่องคลอด ปากมดลูก มดลูก รังไข่ ปีกรังไข่ เต้านม  รวมถึงการหลั่งฮอร์โมนเพศ การมีประจำเดือน การเจริญพันธุ์จะเกิดได้ก็เมื่อมีเพศสัมพันธ์ แต่เพศสัมพันธ์ไม่ได้มีไว้เพื่อการเจริญพันธุ์ล้วนๆ  มีเพศสัมพันธุ์เพื่อความรัก เพื่อครอบครัว เพื่อความรื่นรมย์ เพื่อเศรษฐกิจ เพื่อแสดงอำนาจ เพื่อการควบคุม และอื่นๆ  การมีเพศสัมพันธุ์จึงเกิดขึ้นได้ในหลายสถานการณ์รวมถึงเมื่ออยู่ในวัยรุ่น จนเลยวัยเจริญพันธุ์ได้  สำหรับเพศหญิง การดูแลอวัยวะสืบพันธุ์เป็นเรื่องยุ่งยาก เนื่องจากมีหลายอวัยวะ และการไม่สามารถควบคุมการมีเพศสัมพันธ์ของตนได้ ทำให้มีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคจากการมีเพศสัมพันธ์ ได้ตลอดเวลา เช่น มะเร็งปากมดลูก มะเร็งรังไข่ ปีกรังไข่ การได้รับผลข้างเคียงจากการใช้ยาคุมกำเนิด เอดส์  หูด หนองใน ผลข้างเคียงจากการตั้งครรภ์  การแท้ง การทำแท้ง เหล่านี้เป็นต้น  
โดยการติดเชื้อโรคนั้นมาจากการมีคู่เพศสัมพันธ์ที่ติดเชื้อด้วย เช่น มะเร็งปากมดลูก มาจากการติดเชื้อไวรัสเอชพีวี (HPV:Human Papillomaviruses) ซึ่งเป็นไวรัสที่ผู้ชายมีหรือได้รับมาจากการมีเพศสัมพันธ์เช่นกัน แต่ไม่ทำอันตรายให้เพศชาย ความเสี่ยงของเพศหญิงคือ การมีเพศสัมพันธ์กับชายที่มีเพศสัมพันธ์กับคู่ที่หลากหลายมากมายมาก่อน การมีเพศสัมพันธ์กับคู่นอนหลายคน  การมีเพศสัมพันธ์เมื่ออายุน้อย เนื่องจากปากมดลูกในระยะนี้ไวต่อการติดเชื้อ เอชพีวี  การสูบบุหรี่หรือการขาดสารอาหารบางอย่างทำให้ร่างกายมีความบกพร่องของกลไกป้องกันไวรัสเอชพีวี ( pooyingnaka.com.htm )  และโอกาสรับเชื้อก็สูงมากนั่นคือมีเพศสัมพันธ์ครั้งเดียวก็มีโอกาสได้รับเชื้อ  
การะเกต์ ศรีปริญญาศิลป์
วันอมาวสีครั้งต่อไป  ที่ 8 มีนาคม 2551 นะคะ
Hit & Run
 ถ้าจะสร้างวิวาทะอะไรที่มันๆ ให้ NGO's นักวิชาการ หรือแอคทิวิสต์แนวชุมชนโรแมนติก ที่เราเรียกพวกเขาว่า "ปัญญาชน" แลกเปลี่ยนกันมันๆ นั้น วันนี้เรามาพูดถึงความดีของ "ทักษิณ ชินวัตร" กันดีกว่า...วิทยากร บุญเรืองคณะสุภาพบุรุษ (เสี่ยว) *ผมเป็นคนจน คนแถวบ้านผมก็เป็นคนจน เราเป็นคนจนกึ่งเมืองกึ่งชนบทแบบว่าไม่มีต้นทุนเป็นผืนป่า แม่น้ำ หรือภูเขาเป็นของตัวเอง ไม่มีการสร้างโครงการขนาดใหญ่จากรัฐหรือนายทุน ปัญหาที่เราต้องเจอก็มีแค่การหาเงินซื้อข้าวสารกรอกหม้อ เลี้ยงลูก เลี้ยงเมีย เลี้ยงครอบครัวไปวันๆ ซึ่งส่วนใหญ่ก็หาเลี้ยงชีพด้วยวิธีออกไปขายแรงในเมือง หรือตามเทือกสวนไร่นา แปลงเล็กๆ ที่ยังเหลืออยู่ ผมและคนแถวบ้านส่วนใหญ่เคยลงคะแนนให้ทักษิณเป็นนายก ผมจะไม่กล่าวถึงความรู้สึกถึงคนจนคนอื่น ผมไม่กระแดะไปคิดแทนเขา แต่ผมจะขออภิปรายความงี่เง่าของผมที่ได้กระทำการในสิ่งที่ชนชั้นกลางและชนชั้นนำ ไม่พอใจ ในการไปเลือกทักษิณของผม  แต่ในข้อเขียนชิ้นนี้ผมอาจจะหลุดอารมณ์เหมารวมด้วยคำว่า "คนจน" และ "เรา" ออกมาบางครั้ง ทั้งนี้ผมเขียนเผื่อไว้หากจะมีใครซักคนสองคนคิดแบบงี่เง่าแบบที่ผมคิด เพราะผมคิดว่าผมเองอาจจะไม่ใช่คนงี่เง่าวิเศษสุดที่คิดอะไรได้โคตรงี่เง่าแบบนี้คนเดียว ผมจะพยายามไม่อวดตัวว่างี่เง่าแบบถึงกึ๋นแบบนี้คนเดียว และที่สำคัญผมเชื่อในเรื่องบุพเพสันนิวาส  ผมลองสังเกตมาหลายทีแล้วว่า ถ้าคุณบอกว่าคุณชอบทักษิณคุณก็จะประสบกับความตายทันทีในวงวิชาการ หลายครั้งที่ผมได้ไปพบเจอคนประเภทสองไม่เอา ที่ชอบประกาศตัวแบบนี้  "เอ่อ คือว่าขอออกตัวก่อนนะ ครับ/คะ คือว่า ผม/ดิฉัน เกลียดทักษิณมาก แต่ก็ไม่เห็นด้วยกับการรัฐประหารครั้งนี้" ครับ! ผมก็ไม่ได้อะไรหนักหนากับพวกสองไม่เอา แต่ที่ผมติดใจ คือคุณไม่จำเป็นต้องบอกก็ได้ว่าคุณเกลียดทักษิณเพื่อสร้างภาพให้คุณเป็นเทวดา เป็นนางฟ้าลอยเหนือคนจนๆ แบบพวกผมที่มันรักทักษิณ เราไม่มีวันต่อกันติดเพราะพวกคุณมันดีแสนดีเหลือเกิน  ยิ่งพวกคุณประกาศตัวว่าเกลียดทักษิณดังเท่าไร ดังเท่ากับพวกที่เอาการรัฐประหารที่เกลียดทักษิณ เรายิ่งห่างไกลกันเกินจะเกี่ยวก้อยไขว่คว้า และมันยิ่งทำให้พวกผมใจหวิว ใจแป้ว ว่าทำไมพวกกูไม่มีพวกบ้างเลยวะ มีแต่ พี่เลี้ยบ พี่มิงค์ ยงยุทธ สมัคร เฉลิม กับเนวินเท่านั้นหรือ?  ดังที่กล่าวไป บ่อยครั้งที่ผมมักได้ไปข้องเกี่ยวกับวงสัมมนาวิชาการว่าด้วยการโจมตีระบอบทักษิณ ด้วยการไปรับจ้างแบกคอนวอยบ้าง ซ่อมแอร์บ้าง หากินเล็กๆ น้อยๆ ตามวงสัมนาเหล่านั้น ผมก็ชอบที่จะไปนั่งฟังในห้องแอร์เย็นฉ่ำ เอาเท่ๆ ฟังทฤษฎีทางการเมือง การวิเคราะห์ความเลวร้ายของทักษิณ การฆ่าคนใต้ การปราบปรามยาเสพย์ติด การสถาปนาความยิ่งใหญ่ให้แก่ตัวเองและพวกพ้อง การทำให้คนจนเป็นทาสและเป็นเหยื่อ ซึ่งผมก็คล้อยตามและเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่งในห้องแอร์อันเย็นฉ่ำนั้น แต่เมื่อก้าวออกจากห้องแอร์เย็นเจี๊ยบ มาเผชิญกับโลกความยากจนอันจนยากที่เป็นโลกจริงที่ร้อนระอุของคนจน อยู่หน้าหม้อลวกก๋วยเตี๋ยว อยู่บนนั่งร้านทาสี เดินริมฟุตบาทด้วยเงินติดตัวไม่กี่ตังค์ ผมก็พบว่าผมไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากลงคะแนนให้ทักษิณ แต่ผมก็คิดเข้าข้างปลอบใจว่า ผมไม่ได้เป็นทาสและเป็นเหยื่อทักษิณ แต่เป็นการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์กับคนที่ให้ผลประโยชน์พวกผมมากที่สุดในตอนนั้น ในตอนที่อยู่ในคูหาลงคะแนนตามระบอบประชาธิปไตย ส่วนเรื่องจริยธรรมอรหันต์แบบในวงวิชาการนั้นลืมไปได้เลย เพราะไม่เคยมีตัวแทนแนวคิดแบบท่านนักวิชาการผู้ดีทั้งหลาย ในคูหาเลือกตั้งให้พวกเราไปกาสักครั้ง ซึ่งถ้ามีก็คงเลือกแหละครับ เพราะพวกท่านแต่ละคนพูดได้ดีๆ ทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็น พลังของภาคประชาชน, การเมืองของคนรากหญ้า, โปร่งใส เป็นธรรม, เสมอภาคแบบอยู่ดีกินดี ฯลฯ ถ้าไม่เลือกสิ่งเหล่านี้ก็บ้าแล้ว ติดตรงอย่างเดียวสำหรับผู้เสนอแนวคิดและยุให้ใครก็ไม่รู้ลงมือทำ ติดตรงที่พวกท่านเกลียดการลงเลือกตั้ง เพราะมันจะทำให้พวกท่านหมองหม่นสำหรับกิจกรรมในคูหาเลือกตั้งในโลกจริง เราได้ผลประโยชน์มากมายกับการแลกหนึ่งเสียงที่เราไปกาให้ทักษิณ สวัสดิการ แบบ 30 บาทรักษาทุกโรค ซึ่งถึงแม้มันจะเห่ยมันก็ดีกว่าไม่มี เพราะในขณะเมื่อเราเจ็บป่วยเราไม่สามารถขับลมปราณรักษาตัวเองได้แบบในหนังจีนกำลังภายใน หรือแม้แต่เงินกู้ในระบบเงินล้านทุกหมู่บ้าน และแพ็คเกจเอื้ออาทรทั้งหลาย สำหรับการกู้เงินมาเป็นหนี้มาให้พวกท่านทั้งหลายด่าเรื่องวินัยการคลัง หรือการเป็นทาสบริโภคนิยมนั้น - ที่กู้มาก็เพราะพวกท่านชนชั้นนำ ชนชั้นกลางมันได้ทำให้พวกเราดูเป็นตัวอย่างหนิ เราก็มีความเป็นคน ความเป็นคนที่อยากไขว่คว้าเครื่องอำนวยความสะดวกมาบริการชีวิตเราบ้างที่เรากู้เงินล้านมาซื้อโทรศัพท์มือถือ ก็เพราะหน่วยงานทางด้านโทรศัพท์พื้นฐานไม่กล้าไปลงทุนในละแวกบ้านของเรา (แต่ในตัวเมืองบางบ้านมีถึง 3-4 คู่สาย) เราต้องกู้ไปซื้อมอเตอร์ไซด์ ก็เพราะเป็นพาหนะที่ถูกที่สุดที่ไม่ต้องเหนื่อยกำลังตีนในการไปมาทำมาหากิน และเราก็ไม่มีรถไฟฟ้าสายสีแดง สีม่วง หรือสีสวาด ผ่านบ้านเราซักขบวนซักยวงและแทบที่จะเรียกได้ว่าทักษิณเคยทำให้เรารู้สึกภูมิใจในความเป็นคน เอาเงินให้ไพร่จนๆ แบบพวกเรากู้ กู้แบบมีศักดิ์ศรีไม่โดนตามต่อยเตะกระทืบแบบพวกเงินกู้นอกระบบร้อยละยี่สิบ ไม่ต้องไปแบมือขอสังคมสงเคราะห์ หรือจากคุณหญิงคุณนายหัวฟูทั้งหลายในเมื่อเราเลือกทักษิณแล้วได้เศษเงินมากที่สุดมาประทังชีวิต โดยที่ทักษิณและพวกพ้องจะรวยๆ ยิ่งขึ้นๆ ไป ไม่ใช่ว่าเราไม่เข้าใจ เราเข้าใจดีแต่เราไม่สน ในเมื่อชนชั้นนำและชนชั้นกลางคนอื่นๆ อาจจะรวยๆๆๆ ขึ้นไปโดยไม่ให้อะไรเราซักอย่าง หนำซ้ำยังมีความคิดเพี้ยนๆ ที่จะสต๊าฟคนจนๆ อย่างพวกเราไว้ปลูกเผือก ปลูกมัน ในพื้นที่ขนาดกว้างวา ยาววา ข้างบ้านรูหนู ด้วยอภิปรัชญาว่าด้วยความจนแบบพอเพียง  อย่างน้อยทักษิณยังเคารพพวกเราด้วยการเปิดประตูทุนนิยมให้พวกเรา ให้พวกเราเข้าไปตายเอาดาบหน้า ไปเสี่ยง ไปวัดดวง ไปเรียนรู้ ในระบบเศรษฐกิจที่เป็นแกนหลักของโลกปัจจุบัน ต่างจาก NGO's แสนดีทั้งหลายที่พยายามปกป้อง ป้องกันความเจริญ กลัวเราชาวบ้านไม่รู้เท่าทัน และพวกเขาคงรู้สึกภูมิใจ ที่ได้ช่วยป้องกันไม่ให้นายทุนเข้าทำลายความเป็นชุมชนของเราไป.. โรแมนติคเหลือหลาย พ่อพระแม่พระ NGO's ที่แสนดี สำหรับเราชาวบ้านโง่ๆ เซื่องๆ แบบเรา ความเจริญทางทุนนิยมมันมีแต่จะทำลายเรา ขอบคุณมากที่มาชี้นำเราให้เข้าป่าเข้าพงตลอดเวลาคำตอบของพวกผม คนจนที่ดันไปลงคะแนนให้ทักษิณ ก็คือ ทักษิณเป็นคนที่รวยที่สุดที่กล้าลงมาแลกเปลี่ยนผลประโยชน์กับพวกเรา แล้วชนชั้นกลางและชนชั้นนำคนอื่นล่ะ ที่พวกคุณด่าๆ คนจนและทักษิณนั้น พวกคุณมีอะไรให้พวกผมบ้าง (แต่คำที่พวกเขาใช้ไม่ได้ด่าคนจนออกมาตรงๆ ว่าโง่หรอก พวกเขาด่าเราอ้อมๆ ด้วยความเอ็นดู ว่า ‘เป็นเหยื่อ' หรือ ‘ขาดข้อมูล' อะไรประมาณนี้)  แต่รัฐประหารที่ผ่านมา ก็เหมือนการเอาตีนลูบหน้าคนจนๆ ชนชั้นนำและชนชั้นกลางไม่ต้องการให้คนจนแลกเปลี่ยนผลประโยชน์กับใครหน้าไหนเกินหน้าเขา ไม่ให้คนจนเผยอหน้าขึ้นมาดูโลกกว้างใหญ่ไพศาล และเราก็ได้รับคำตอบแล้วว่า ประชาธิปไตยที่เห็นหัวคนจนนั้น สำหรับพวกท่านมันคือของแสลง   ดอกไม้ ธูปเทียน และสาวโคโยตี้ ที่ได้ไปประเคนให้รถถังและทหารในช่วงเวลาที่ประชาธิปไตยโดนย่ำยีนั้น มันยิ่งทำให้พวกเราเห็นธาตุแท้ของพวกท่าน ว่าประชาธิปไตยอันดีเลิศที่พวกท่านต้องการนั้นมันเป็นอย่างไร ประชาธิปไตยที่ชนชั้นนำและชนชั้นกลางต้องการคือ การลงประชามติการลงคะแนน หรืออาจจะไม่ต้องมีการลงอะไรก็ตามแต่มีอิทธิพลในการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองนั้น ถ้าเราสมมติว่ามันคือคะแนน  คะแนนเสียงของเราคนไทยจะต้องไม่เท่ากัน คนจนได้ไปแค่หนึ่งคนต่อหนึ่งคะแนนหรือน้อยกว่านั้น แต่พวกท่านชนชั้นนำและชนชั้นกลาง หนึ่งคนของพวกท่านอาจจะมีร้อยคะแนนบ้าง มีพันคะแนนบ้าง หมื่นคะแนนบ้าง บางคนไม่ต้องไปเลือกตั้งก็อาจจะมีเป็นร้อยล้านคะแนนก็เป็นได้ - นี่แหละประชาธิปไตยแบบสุดพิเศษที่พวกท่านใฝ่ถึง ทั้งนี้ใช่ว่าเราคนจนหัวจะไม่ก้าวหน้าเกินกว่าต้องเลือกมนุษย์ที่ชื่อทักษิณเพียงคนเดียว แต่ในเมื่อเหตุการณ์ที่ผ่านมา (ตอนทักษิณขึ้นมา) และเป็นอยู่นี้ ตัวเลือกเดียวที่มีคือมหาเศรษฐีทักษิณ (คราวนี้ลุงหมักเมถุนโตเป็นร่างทรง) แต่มันไม่มีตัวเลือกแบบที่ว่า จะนำชนชั้นนำที่ครองปัจจัยส่วนใหญ่มากๆ มากุดหัวให้หมด แล้วเอาปัจจัยมาแบ่งกันให้เท่าเทียม ให้คนหายจนให้หมด ซึ่งสิ่งนี้ที่แล้วมาและตอนนี้ยังไม่มีใครเสนอ แล้วพวกผมจะมีปัญญาทำอะไรมากกว่าเลือกทักษิณและลุงหมัก  ถ้ามีการเสนอการทำให้เศรษฐกิจเท่าเทียมแบบที่กล่าวไป ดูสิว่าพวกเราเหล่าคนจนจะเลือกไหม? มันเป็นสิ่งที่พวกเราอยากให้มันเกิดในชาติภพนี้มากที่สุด ให้ตายสิพับผ่า! คนจนจะได้หายจน เพราะผมมั่นใจว่าปัจจัยที่กลุ่มคนชั้นนำถือครองอยู่นั้น เมื่อนำมันมาแบ่งเฉลี่ยกัน พวกเราจะหายหิวกันทั่วหน้า ทำให้พอจะมีกำลังกาย มีแรงสมองช่วยกันพัฒนาประเทศชาติรวมถึงโลกให้มันดีกว่าโลกเส็งเคร็งที่เป็นอยู่นี้ วันนี้ทักษิณกลับมาแล้ว .. มามะ มาช่วยกันทำให้เขาเป็นผู้วิเศษกันเถิด ในสังคมเส็งเคร็งนี้มันจะเพิ่มผู้วิเศษอีกซักคนมันจะเป็นไรไป.. ฤๅษี หลวงพ่อ เกจิอาจารย์ ผู้วิเศษในอดีต ล้วนมีเกลื่อนเกร่อตามแผงพระเครื่อง หนำซ้ำผู้วิเศษในตำนานคนอื่นๆ ต่างเคยเข่นฆ่า ขูดรีดประชาชน บังคับให้เราเชิดชู และไม่เคยผ่านความเห็นมติส่วนใหญ่ของประชาชนด้วยวิธีประชาธิปไตยเลย ใช้แต่หอก ดาบ ปืน และช้างมาไล่เหยียบไพร่ๆ อย่างเราอย่างน้อยทักษิณเป็นผู้วิเศษได้ด้วยการถูกเลือกเข้ามาตามระบอบประชาธิปไตย และได้เชื้อเชิญให้คนจนเข้าไปเป็นฐานกำลังทางการเมืองด้วยการแลกเปลี่ยนกับนโยบายประชานิยมและมันจะเป็นแบบอย่างให้ผู้วิเศษที่จะมีขึ้นอีกในอนาคตว่า มันคือยุคสมัยที่คุณต้องเห็นหัวคนจนให้มากๆ และต้องเคารพระบอบประชาธิปไตย รู้จักแลกเปลี่ยนผลประโยชน์กับคนส่วนใหญ่เราก้าวไปอีกขั้น หมดยุคของการบังคับขืนใจคนด้วยวิธีดึกดำบรรพ์แล้ว! เอาหล่ะ! เพ้อฝันจนหลุดประเด็น ประเด็นที่แท้จริงผมคือแค่อยากมากราบตีนขอโทษชนชั้นนำและชนชั้นกลางทั้งหลาย ที่ผมเคยเลือกทักษิณเป็นนายก ผมขอก้มกราบตีนงามๆ กราบขอโทษที่ผมมันโง่งี่เง่า บัดซบ สมควรตาย ขอกราบตีนขออภัยทุกท่านที่ผมมันทำให้ไม่สบอารมณ์ไว้ ณ ที่นี้ด้วย .................* สาบานได้ ว่าจะเปลี่ยนชื่อกลุ่มเป็นครั้งสุดท้าย ...ถ้าผมเปลี่ยนชื่อกลุ่มอีกคราวหน้าให้เรียกผมหมาได้เลย!
new media watch
 เท่าที่สังเกตโดยอาศัยประสบการณ์ส่วนตัวและคนรอบข้าง ดูเหมือนว่า ‘นักจัดรายการวิทยุ' หรือ DJ ในยุคมิลเลนเนียม จะต้องมีคุณสมบัติคล้ายๆ กัน คือ พูดเก่ง ยิงมุขฮากระจาย ชวนคนฟังเล่นเกม และท่องจำรายชื่อสปอนเซอร์ได้อย่างชัดเจนไม่มีตกหล่น หรือกรณีที่คนฟังวิทยุไม่นิยมดีเจพูดมาก ก็จะมีรายการอีกประเภทไว้คอยท่า คือรายการวิทยุที่ ‘ไม่มีดีเจ' แต่จะมีเพลงเปิดให้ฟังสลับกับโฆษณา และรายการทั้ง 2 ประเภทที่ว่ามาก็ได้รับความนิยมสูงเสียด้วย ส่วนเรื่องที่ว่า-ดีเจแต่ละคนมีภูมิรู้เรื่องดนตรีแน่นแค่ไหน หรือมีวิธีพูดคุยถึงเรื่องในสังคมและชีวิตประจำวันให้คนฟังได้คิดตามหรือรู้สึกเพลินๆ ได้หรือเปล่า กลับไม่ค่อยมีใครพูดถึงสักเท่าไหร่ก็เป็นเรื่องที่น่าสงสัยเหมือนกันว่ามาตรฐานนักจัดรายการวิทยุแบบหลังเริ่มหายหน้าหายตาไปตอนไหน? แล้ววันหนึ่งรายการวิทยุ The Radio คลื่น 99.5 FM ซึ่งเป็นแหล่งรวมของดีเจรุ่นใหญ่ (อาทิ มาโนช พุุฒตาล, วาสนา วีระชาติพลี หรือ วิโรจน์ ควันธรรม ฯลฯ) ไม่ค่อยเปิดเพลงตาม ‘รีเควสท์' ของคนฟัง แถมยังไม่มีค่ายเพลงค่ายไหนสนับสนุนเป็นพิเศษ (แต่ ‘รู้ลึกรู้จริง' เรื่องดนตรีกันทุกคน)-ก็หลุดจากผังไปเมื่อปลายปี 2550 ด้วยเหตุผลว่า ‘เรตติ้งไม่ดีพอ' ที่สปอนเซอร์จะให้การสนับสนุน ฟังดูเป็นเรื่องเข้าใจได้ เพราะวัฏจักรของธุรกิจดนตรีในโลกทุนนิยมก็เป็นแบบนี้มาแต่ไหนแต่ไร เพียงแต่ครั้งนี้คนฟังที่เคยเป็น ‘พลังเงียบ' มาตลอด กลับลุกขึ้นมาทักท้วงและเรียกร้องให้รายการ The Radio ได้กลับมาออกอากาศอีกครั้ง เพราะนี่คือรายการวิทยุที่พวกเขาเห็นว่า ‘มีคุณค่า' และ ‘มีสาระหลากหลายมากกว่าการเปิดเพลงตามคำขอ' ที่มีอยู่เกลื่อนแผงหน้าปัดวิทยุบล็อกจำนวนหนึ่งจึงเกิดขึ้นเพื่อรายการวิทยุแห่งนี้ ไม่ว่าจะเป็น Save the Radio หรือ The Radio Live และ Radio Star ที่เคยเป็นบล็อกดั้งเดิมของเดอะเรดิโอ บล็อกเหล่านี้เป็นศูนย์กลางสำหรับคนฟังที่ต้องการให้เดอะเรดิโอกลับมาออกอากาศ ลงชื่อเรียกร้องกับทางสปอนเซอร์ ซึ่งเป็นเรื่องที่ ‘นานๆ ที' จะเกิดขึ้นสักครั้งใครสนใจลองเข้าไปเข้าไปดูได้ตามอัธยาศัย เผื่อบางทีปรากฎการณ์ที่ ‘คนชั้นกลาง' ลุกขึ้นมาเคลื่อนไหวเพื่อรายการวิทยุเล็กๆ รายการหนึ่ง อาจต่อยอดไปสู่การเคลื่อนไหวในเรื่องอื่นๆ ที่เป็นประเด็นโครงสร้างมากขึ้นก็ได้...ใครจะรู้...เพราะอย่างน้อยครั้งนี้ ทุนนิยมก็ไม่ได้ชนะขาดลอยเหมือนที่แล้วๆ มา   
Music
  "ผมคงจัดเป็นพวกปีกซ้ายนั่นแหละ และพอเวลาผ่านไปผมก็รู้สึกแข็งแกร่งขึ้น ผมให้ความสำคัญกับความเป็นมนุษย์มากกว่าอิฐบล็อกหรือกำแพงศักดิ์สิทธิ์ ผมเชื่อในการมีชีวิตอยู่ ผมคิดว่าแทนที่คำถามจะเป็น ‘พวกคุณเชื่อในพระเจ้าหรือเปล่า' มันควรจะเป็นว่า ‘พระเจ้าเชื่อในพวกเราหรือเปล่า' ต่างหาก ใครจะรู้ได้"- Aviv Geffen - Memento Mori"Officer, it's better to be a coward that is alivethan to be a dead heroYou fight with tanks and gunsI fight with pen and paperYou call me a draft dodgerMemento Mori..."- Memento Mori (2)จริงๆ แล้ว ไม่เพียง Aviv Geffen เท่านั้นที่เป็นที่รู้จักของชาวอิสราเอลโดยทั่วไป พ่อของเขาเอง Yehonatan Geffen (เป็นที่รู้จักในนาม Jonathan Geffen เสียมากกว่า) ก็มีชื่อเสียงอยู่เหมือนกันผู้คนรู้จักพ่อของ Aviv ในฐานะของ นักเขียน, กวี, นักหนังสือพิมพ์, นักแต่งเพลง และ ผู้แต่งบทละคร ซึ่งเขาได้แต่งเอาไว้ ทั้งเรื่องสำหรับเด็กและสำหรับผู้ใหญ่ประวัติของโจนาธานผู้เป็นพ่อก็มีอะไรเศร้าๆ ปนอยู่ หนึ่งในนั้นคือเรื่อ่งที่แม่ของ Jonathan (ย่าของ Aviv) เสียชีวิตเพราะกินยามากเกินขนาด ขณะที่เขามีตำแหน่งเป็นเจ้าหน้าที่ทหาร ซึ่งเขาเชื่อว่าแม่เขาฆ่าตัวตาย หลังจากนั้นสองปี เขาก็เลิกเป็นทหารแล้วย้ายมาอยู่ที่เมือง Tel-Aviv เริ่มต้นเขียนบทกวี ก่อนที่ต่อมาโจนาธานจะหันมายึดอาชีพเป็นผู้สื่อข่าวให้กับหนังสือพิมพ์รายสัปดาห์ที่ชื่อ Maariv เรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน เขามักจะโดนวิจารณ์ในเรื่องทัศนะซ้ายจัดของเขาอยู่เสมอ จนบางครั้งก็ถึงขั้นถูกข่มขู่เอาชีวิต ซึ่งนอกจากรุ่นพ่อเขาจะโดนแล้ว Aviv Geffen ผู้เป็นรุ่นลูกก็โดนอย่างเดียวกัน แต่พวกเขาทั้งสองต่างก็ไม่แคร์ในคำขู่ ยังคงยืนยันทำในสิ่งที่ตนเชื่อต่อไปAviv Geffen เคยพูดไว้ว่า "มีการขู่เอาชีวิตผมอยู่หลายครั้งมาก บางคนก็ขอให้เพลงของผมถูกแบนไปเสีย แต่ผมคิดว่าผมมีข้อความสำคัญมากๆ ที่จะส่งไปยังผู้คน"พ่อของ Aviv Geffen มีชีวิตอยู่ในยุคสมัยที่ความขัดแย้งเรื่องดินแดนทวีความรุนแรงและซับซ้อนขึ้น และคนรุ่นเดียวกันที่ดำรงชีวิตอยู่ร่วมยุคสมัย ต่างก็มีบาดแผลความทรงจำจากการประหัตประหารกัน เช่นเดียวกับที่รุ่นปู่ของเขาก็มีความทรงจำจากสงครามโลกก่อนหน้าที่จะมาร่วมกับโปรเจกท์วง Blackfield ตัว Aviv Geffen ได้เป็นปากกระบอกเสียงให้วัยรุ่นหนุ่มสาวระบายความคับข้องใจจากคนในยุคสมัยเดียวกันผ่านทางบทเพลง และบทเพลงหนึ่งในนั้นคือ Cloudy Now ซึ่งเพลงนี้ทำให้มีเสียงตอบรับจากวัยรุ่นอิสราเอลจำนวนมากหันกลับมาถามเขาว่า "คุณต้องการจะเปลี่ยนแปลงหรือเปล่า?"ผมรู้สึกเฉยๆ กับการประกาศจุดยืนที่จะอยู่กับฝ่ายซ้ายของเขา แต่กลับรู้สึกดีกว่าในแง่ของการที่เขาใช้ความป๊อบปูล่าให้เป็นประโยชน์ ใช้มันเป็นกระบอกเสียงให้กับอุดมการณ์ที่ตนมี เพราะผมเชื่อทั้งในแนวทาง "ศิลปะเพื่อศิลปะ" และ "ศิลปะเพื่อสังคม" ขณะที่ "ศิลปะเพื่อศิลปะ" ที่เน้นด้านรูปแบบและการแสดงออกทางความรู้สึก ไม่จำเป็นต้องเป็นที่นิยมก็ได้ จะสามารถตอบสนองคนจำนวนมากหรือน้อยเพียงใดก็ไม่มีปัญหา แต่โดนส่วนตัวคิดว่า "ศิลปะเพื่อสังคม" มันต้องมีรูปแบบที่เป็น Mass Appeal เพื่อที่จะสื่อสารกับคนในสังคมให้เข้าใจได้ และผมจะเกลียดมากถ้ามันเป็นศิลปะกึ่งขู่เข็ญแข็งกระด้างไร้ความเป็นมนุษย์พอมาถึงรุ่นลูก กระแสการเรียกร้องสันติภาพในหมู่หนุ่มสาว อาจจะทำให้ภาพเสมือนฝันร้ายแต่ครั้งก่อนพร่าเลือนไป แต่จะแน่ใจได้ล่ะหรือว่าฝันร้ายจบลงแล้วจริงๆ หรือเพียงแค่เปลี่ยนโฉมหน้า ให้คนในยุคปัจจุบันรับกับมันได้เพียงเท่านั้น เพราะไซออนนิสท์ ที่เต็มไปด้วยความเชื่อมั่นว่าตนถูก และแฝงฝังด้วยความคิดเชื้อชาตินิยมก็ยังคงมีอยู่ถ้ามองในอีกทาง จะไปโทษชาวอิสราเอลในรุ่นหลังๆ คงไม่ได้เหมือนกัน เพราะพวกเขาไม่ได้มีส่วนในประวัติศาสตร์ทำให้เกิดความวุ่นวายนี้ขึ้น แค่บังเอิญมีเชื้อชาตินี้มาตั้งแต่เกิดเท่านั้น นอกจากนี้ชาวอิสราเอลในระดับล่างยังเชื่อว่า บาดแผลของพวกเขาจากสงครามโลกครั้งที่สองมีมากพออยู่แล้ว แค่อยากมีแผ่นดินอยู่ไว้ทำมาหากินอย่างสงบสุขบ้าง และดูเหมือนแรงงานข้ามชาติที่อพยพเข้าไปอยู่ในสถานที่นั้นคงต้องการอย่างเดียวกันการที่ Geffen ไม่เห็นด้วยกับการที่ชาวอิสราเอลเข้ายึดครองปาเลสไตน์ ถึงควรถูกตั้งคำถามว่า จริงๆ แล้วชาวอิสราเอล รวมถึงแรงงานอพยพหลายคน ไม่มีทางเลือกอื่นที่ดีกว่าหรือเปล่าCloudy Now"In a violent place we call our countryIs a mixed up man and I guess that's meThe sun's in the sky but the storm never seems to end"-Cloudy Now -ในภาพยนตร์ฮอลลิวูดหลายเรื่อง มักจะพูดถึงชาวยิวที่ถูกกระทำจากสงครามโลกครั้งที่สอง และประเด็นที่ยกมาเล่นกันมากที่สุดคงหนีไม่พ้นการล่าล้างเผ่าพันธุ์จากเผด็จการเชื้อชาตินิยมนาซี ถ้าพูดในเชิงมนุษย์ธรรม มันเป็นเรื่องที่ชวนให้รู้สึกเห็นอกเห็นใจพวกเขาอยู่ไม่น้อย แต่ต้องไม่ลืมว่าการผลิตซ้ำความรู้สึกเห็นอกเห็นใจแบบนี้ออกมา มันจะกลายเป็นการให้ความชอบธรรมไซออนนิสท์ที่หลายคนก็มีแนวคิดแบบเชื้อชาตินิยมเช่นเดียวกันหรือไม่ และคงไม่ต้องนับว่าประวัติศาสตร์ที่ถูกเขียนโดยผู้ชนะสงครามนี้ ต้องอาศัยการตรึกตรองกันเสียหน่อยว่ามันจะไม่กลายเป็นโฆษณาชวนเชื้อของประเทศมหาอำนาจประเทศใดไปเสียและหากใครศึกษาประวัติศาสตร์มาบ้างคงพอจะทราบว่า แต่เดิมชาวยิวไม่ได้อยู่ในแผ่นดินผืนนี้อย่างหนาแน่น จะมีอยู่ก็เพียงเป็นชุมชนเล็กๆ ที่กระจัดกระจาย จนกระทั่งชาวยิวได้ถูกรวมเข้ามาในดินแดนครั้งหนึ่งเมื่อสมัยตุรกีเข้ามามีอำนาจก่อนที่ต่อมาประเทศในยุโรป (รวมที่ไม่ใช่ยุโรปอย่างรัสเซียไปอีกหนึ่งประเทศ) ได้พยายามเข้ามามีอำนาจในปาเลสไตน์ เพราะในสมัยก่อนบางประเทศในยุโรปต้องการดินแดนนี้เป็นเส้นทางลำเลียงสินค้าไปสู่ทวีปเอเชีย แต่พวกเขาก็ทำอะไรไม่ได้มาก ทำให้ประเทศเหล่านี้ (โดยเฉพาะอังกฤษ) หันมาผลักดันสนับสนุนการถือสิทธิครองดินแดนของชาวยิวในอิสราเอลแทน กลุ่มขบวนการไซออนนิสท์เอง ก็เกิดจากการหนุนหลังของประเทศอังกฤษด้วยเช่นกันแต่ผมก็ไม่อยากให้มองว่าใครเป็นฝ่ายดี ใครเป็นฝ่ายร้าย เพราะเกมการแย่งชิงที่ชนชั้นนำใช้พวกเราเป็นตัวเบี้ยตัวหมากมาต่อสู้กันเอง ได้ทำให้เราต้องมาละเลงเลือดและน้ำตา มากมายเกินอสงไขย ผ่านยุคสมัยมาถึงปัจจุบัน มันก็ได้กลั่นตัวขึ้นไปเป็นเมฆทึบหนา มันบดบังสายตาจนมองเห็นได้ยากว่าอะไรดี? อะไรร้าย? อะไรที่ควรปกป้อง? อะไรที่ควรทำลาย? อะไรคือฉัน? อะไรคือเธอ? อะไรคือพวกเรา? อะไรคือพวกมัน? อะไรคือความสงบสุข? อะไร...อะไรกันที่มันเดือดพล่านอยู่ในใจเรา!?ผมจึงไม่แปลกใจเลยว่าทำไมหนุ่มสาวร่วมสมัยเดียวกัน ถึงนึกอะไรไม่ออก นอกจากการเฝ้าฝันถึงสันติภาพลมๆ แล้งๆ เพราะว่า เมฆหมอกทึบๆ มันทำให้อะไรๆ มืดดำเกินกว่าจะมองได้ชัดแจ้งว่าพวกเขาควรจะไปทางทิศไหน ตัวผมเองก็อยากให้ทุกคนตื่นขึ้นมา ลุกขึ้นมา มาช่วยกันมองหาทางภายใต้ท้องฟ้ามืดครื้มนี้แต่ถ้าหากคุณบอกว่านักสันติภาพทั้งหลายกำลังเพ้อฝันแล้วล่ะก็ ผมก็อยากจะบอกว่า พวกเราล้วนเพ้อฝันพอๆ กันหมดไม่ว่าจะเป็นผู้ที่กระทำการโดยไม่นึกถึงว่าใครเป็นศัตรูใครเป็นผู้บริสุทธิ์ ใช้ความเจ็บปวดของผู้คนเป็นเครื่องมือสร้างความชอบธรรมในการตอบโต้อีกฝ่าย รวมถึงคนที่คลั่งชาติแล้วเกลียดชังแบบเหมารวมอย่างไม่ลืมหูลืมตา ไม่เลือกที่จะแยกแยะ และคิดว่าว่าหากพวกนี้ถูกกำจัดไปให้หมด (โดยรัฐที่ไม่ค่อยน่าไว้วางใจ) ไปแล้วความสงบสุขจะบังเกิดได้มันจะเป็นอย่างนั้นจริงๆ น่ะหรือ จะบอกไว้ตรงนี้ก็ได้ว่า...พวกคุณก็เพ้อฝันสิ้นดี! 
สวนหนังสือ
นายยืนยง ชื่อหนังสือ : ช่อการะเกด ๔๒ ( ตุลาคม – ธันวาคม พ.ศ.๒๕๕๐ ) ประเภท : นิตยสารเรื่องสั้นและวรรณกรรมรายสามเดือน บรรณาธิการ : สุชาติ สวัสดิ์ศรี จัดพิมพ์โดย : พิมพ์บูรพา สาเหตุที่วรรณกรรมแนวเพื่อชีวิตยังคงมีลมหายใจอยู่ในหน้าหนังสือ มีหลายเหตุผลด้วยกัน เริ่มตั้งแต่ตัวนักเขียนเองที่อาจมีรสนิยม ความรู้สึกฝังใจต่อวรรณกรรมแนวนี้ว่าทรงพลังสามารถขับเคลื่อนเปลี่ยนแปลง แก้ปัญหาสังคมได้ ในที่นี้ขอกล่าวถึงเหตุผลนี้เพียงประการเดียวก่อน คำว่า แนวเพื่อชีวิต ไม่ใช่ของเชยแน่หากเราได้อ่านเพื่อชีวิตน้ำดี ซึ่งเห็นว่าเรื่องนั้นต้องมีน้ำเสียงของความรับผิดชอบสังคมและตัวเองอย่างจริงใจของนักเขียน อันนี้คงพิจารณายาก ลำพังอาศัยเสียงจากความรู้สึกเข้าจับ แต่หากพิจารณาจากองค์ประกอบอื่นที่หลอมเป็นเรื่องสั้นหรือเรื่องยาวนั้น ก็พอจะสรุปได้ นอกจากนั้นแนวเพื่อชีวิตต้องไม่สักแต่สะท้อนภาพปัญหาเท่านั้น ขณะเดียวกันต้องไม่เทศนาอย่างไร้ศรัทธา เหมือนดั่งที่สุชาติ สวัสดิ์ศรี เคยเตือนว่า อย่าเทศนาในสิ่งที่ตนไม่เชื่อ เพราะสิ่งหนึ่งที่ต่อลมหายใจให้แนวเพื่อชีวิต คือการชี้นำ หรืออภิปลายให้เห็นถึงแนวทางในการแก้ไขปัญหาที่นำเสนอนั้นด้วย มิเช่นนั้น แนวเพื่อชีวิตอาจกลายเป็น แนวเขียนที่เร่อร่าล้าสมัย หรือบ้องตื้นกว่ารายการโทรทัศน์ จากการกลับมาของ ช่อการะเกด ฉบับที่ ๔๒ ปี ๒๕๕๐ นี้ คำว่าเพื่อชีวิตที่มีชีวิตและลมหายใจของวันนี้ได้กลับมาให้เราได้เชยชมกันแล้วในเรื่องสั้นเด็ดดวงของ เดช อัคร ขอกล่าวถึงสักเล็กน้อยเกี่ยวกับช่อการะเกด เผื่อว่าจะเป็นเกร็ดเล็กน้อยสำหรับผู้ที่ยังไม่ทราบความเป็นมา ช่อการะเกด เป็นหนังสือต่อเนื่อง ( pocket magazine ) ถือกำเนิดครั้งแรกในรูปเล่มของ “โลกหนังสือ” ฉบับ “เรื่องสั้น” เมื่อเดือนพฤษภาคม พ.ศ.๒๕๒๑ เพื่อให้เป็นเวทีเผยแพร่ผลงานเรื่องสั้นของผู้สนใจและรักการเขียนในขอบเขตทั่วประเทศโดยไม่จำกัดรุ่นวัยใหม่เก่า ทั้งไม่จำกัดรูปแบบและเนื้อหา ช่อกำเนิดใหม่อีกครั้งโดยฝีมือศิษย์เก่าอย่างเวียง-วชิระ บัวสนธ์ และสุทธิพงษ์ ธรรมวุฒิ ซึ่งเราไม่ขอกล่าวถึง เนื่องจากมีเรื่องสั้นมือสังหาร ของเดช อัครรอให้กล่าวถึงอย่างไม่อาจระงับใจได้ มือสังหาร เขียนเป็นแนวเพื่อชีวิตเหมือนต้นฉบับแต่แตกแขนงใหม่ได้ชัดเจน แต่ทำไมต้องยกย่องกันปานนี้ เพราะประเด็นที่เดช อัครพูดถึงเป็นเรื่องหนักหน่วงและเร่งเร้าเหลือเกิน มันร้อนมากเมื่อกล่าวถึงปัญหาชายแดนใต้ ที่ถูกคลุมโปงให้อยู่ใต้รักแร้ของรัฐบาลหน้าสื่อแทบทุกประเภท เรื่องเขียนถึงครอบครัวหนึ่งที่ไทยพุทธกับไทยมุสลิมร่วมชีวิตสมรส ฝ่ายสามี คืออับรอมานกับภรรยา คือลิมะ (แต่เดิมชื่อมะลิ แต่เมื่อแต่งงานและเข้ารับศาสนาอิสลาม โต๊ะอีหม่ามก็ตั้งให้ใหม่) เราจะพบจุดขัดแย้งในตั้งแต่นาทีแรกและดำเนินต่อไปอย่างบีบคั้นกดดันยิ่ง อับรอมานมีอาชีพฆ่าวัว เขาไม่กินไก่ส่วนลิมะไม่กินเนื้อวัว ทุกครั้งที่อับรอมานกลับมาหลังจากฆ่าวัวพร้อมเนื้อ ลิมะจะมีอาการแพ้ท้องรุนแรงสาหัส ขณะที่อับรอมานไม่กินไก่ แต่มะลิกลับฆ่าไก่กินเพื่อประชดเขา (หน้า ๔๙) อาการแพ้ท้องอย่างรุนแรงของลิมะใช่ว่าจะเพิ่งเกิดขึ้นกับลูกคนนี้ มันเป็นตั้งแต่ท้องลูกคนแรกได้เพียงห้าเดือน วันก่อนที่จะรู้ว่าพี่ชายของตัวเองเสียชีวิต ซึ่งดูเหมือนจะรุนแรงกว่าครั้งนี้ด้วยซ้ำ เพราะนอกจากจะอาเจียนอย่างหนักแล้ว นางยังนึกอยากกินเนื้อคนที่เป็นตำรวจ เมื่อเห็นอับรอมานหิ้วเนื้อสด ๆ เลือดแดงยังไหลเยิ้มกลับมา ทั้งที่เป็นคนไม่กินเนื้อ ลิมะวิ่งเข้าไปแย่งเนื้อในมือสามีมายัดใส่ปาก เคี้ยวอย่างเอร็ดอร่อยราวกับกระสืออดอยาก ชั่วพริบตาเนื้อพร่องไปครึ่งพวง ...ฯลฯ... อาการอยากกินเนื้อมนุษย์ของลิมะเกิดขึ้นอีกครั้งเมื่อท้องยูนุส (ลูกคนที่สอง)ได้สามเดือน ก่อนที่สานุดิงถูกยิงเพียงสองวัน คราวนี้นางไม่ได้อยากกินเนื้อตำรวจเหมือนครั้งก่อน แต่กลับเป็นเนื้อคนที่เป็นทหาร ...ฯลฯ... กระทั่งลิมะมีอาการแพ้ท้องครั้งใหม่ นางเหม็นแม้กระทั่งเสื้อที่เขานำกลับมาจนแทบทนไม่ไหว ...ฯลฯ... เค้าโครงเรื่องผูกโยงถึงสถานการณ์ที่ญาติของสองสามีภรรยาถูกสังหารด้วยฝีมือผู้ที่ต้องการให้เกิดความแตกแยกระหว่างศาสนา ขณะอาการแพ้ท้องรุนแรงของลิมะก็ถูกนำมาร้อยเข้าด้วย เหล่านี้อาจแสดงให้เห็นถึงสัมพันธภาพระหว่างการตายและการเกิดของคนในสังคมที่มีพันธะร่วมระหว่างกัน เหมือนเครือข่ายทางจิตวิญญาณ ทั้งนี้ เดช อัครได้สรุปข้อขัดแย้งระหว่างสองสามีภรรยาต่างความเชื่อนี้ในตอนจบว่า “ หยุดเถอะ ” เขาพึมพำออกมาพอให้ตัวเองได้ยิน ทั้งที่ไม่รู้ว่าทำไมถึงหลุดคำนี้ออกมา แต่พลันนึกได้ว่า หากเขาหยุดเอาเนื้อกลับมาบ้าน ลิมะก็คงหยุดฆ่าไก่ เพราะที่นางต้องฆ่านั้นไม่ใช่ว่าฆ่าเพราะอยากกิน แต่เพื่อต้องการที่จะเอาคืน... ปัญหาที่เดช อัครมองอย่างใคร่ครวญและถ่ายทอดออกมาอย่างตรงไปตรงมาคือความขัดแย้งระหว่างความเชื่อในเชิงจิตวิญญาณ ที่ถูกกระทำมารุ่นต่อรุ่น ราวกับเป็นมรดกตกทอดอันบัดซบ ทางออกก็คือหยุดนั่นเอง กล่าวถึงกลไกของการสำแดงพลังของเรื่องนี้โดยย่นย่อได้ว่า เดช อัครถ่ายทอดคู่ขัดแย้ง (ที่อยู่ในกระแสสถานการณ์ปัจจุบัน) อาศัยภาพลักษณ์ภายนอกที่ห่อหุ้มไว้ด้วยความเชื่อทางศาสนา พุทธ –อิสลาม นั่นคือปมปัญหาแรกที่เป็นสัญลักษณ์ร่วมระหว่างผู้เขียนกับผู้อ่าน แล้วนำเอาเหตุการณ์ปัจจุบันที่อยู่ในอารมณ์ร่วมเชิงสังคม (ปัญหาชายแดนใต้) มาเชื่อมต่อเข้ากับสถาบันครอบครัว สร้างตัวละครที่สดใหม่ คืออยู่ในเหตุการณ์จริงของอารมณ์ร่วมเชิงสังคมดังกล่าว ผูกปมขัดแย้งย่อยที่สอดคล้องกับปมแรก แล้วดำเนินเรื่องไปพร้อมกับปลุกเร้าความสนใจของผู้อ่านด้วยปัญหาครอบครัวนั้น เมื่อถึงจุด climax เรื่องก็พร้อมคลี่คลายตามปมย่อยที่ผูกไว้ ทำไมปมย่อยที่คลี่คลายแล้ว คือ “หยุด”จะเชื่อมโยงให้ปมใหญ่คลี่คลายตามไปด้วย นั่นคือเรื่องที่ผู้อ่านต้องครุ่นคิดต่อไปเพราะผู้เขียนได้บอกแล้วว่าปัญหาต้องแก้ไขจากจุดเล็ก ๆ ที่เป็นปัจเจกเสียก่อน ซึ่งการณ์นี้ต้องอาศัยกระบวนการแบบพลวัต แม้เรื่องมือสังหารจะโดดเด่นดังกล่าวมาแล้วเพียงไร เราก็ไม่ควรละเลยจะกล่าวถึงข้อบกพร่องสักเล็กน้อย เนื่องจากเรื่องสั้นที่ดีเด่นและทรงพลังนั้น ต้องอาศัยเครื่องมือ คือภาษา เพื่อถ่ายทอด โดยการใช้คำระหว่าง ๓,๐๐๐ –๑๐,๐๐๐ คำตามรูปแบบของเรื่องสั้นนั้น คือใช้คำน้อยแต่กินความมากนั่นเอง ดังนั้นการเขียนเรื่องสั้นที่ดีนักเขียนจำต้องประหยัดคำ ขัดเกลา ตัดทอน คำซ้ำ คำซ้อน เพราะเรื่องสั้นที่ดีก็มีคุณค่าเทียบเท่ากวีนิพนธ์ได้เช่นกัน สำหรับเรื่องสั้นที่ไม่ใช้คำฟุ่มเฟื่อย แต่ขณะเดียวกันก็เป็นเรื่องสั้นขนาดยาวเหยียดชนิดที่เรียกได้ว่าถั่งโถมออกมาอย่างหมดเปลือก คือ เรื่องผู้ไร้เหย้าของ ภาณุ ตรัยเวช ผู้ไร้เหย้า เป็นเรื่องสั้นที่ให้เกร็ดความรู้แก่ผู้อ่านไปพร้อมด้วย ซึ่งต้องยอมรับว่าเรื่องสั้นวรรณกรรมไทยเรานี้ ยังมุ่งเน้นให้แสดงทัศนคติ อุดมคติ หรือสำแดงอารมณ์กันจนสนุกสนาน หลงลืมไปว่าโลกนี้ยังมีสรรพวิทยาการอีกท่วมท้นที่จะจำนัลแด่ผู้อ่าน ไม่เท่านั้น เรื่องนี้ยังเป็นเรื่องเทียบเคียงประวัติศาสตร์ที่หาอ่านยากในสังคมวรรณกรรมไทยอีกด้วย ขณะเดียวกันความยาวของเรื่องเป็นความต่อเนื่องที่กระชับรัดกุม การใช้ภาษาก็ไม่ฟุ่มเฟื่อยเรื้อยเจื้อยแต่อย่างใด นอกเสียจากขาดการขัดเกลาให้เกิดสำนวนโวหาร เพื่อเปรียบเทียบ หรือตัดทอนเนื้อเรื่องให้แน่นขึ้น ช่อการะเกด เล่มนี้ บรรจุเรื่องสั้นไว้ทั้งหมด ๑๒ เรื่อง จะน่าอ่านชวนชื่นเพียงไร ขอบอกว่า ราคาไม่ใช่ปัจจัยสำคัญ ไม่ต้องนำมาคำนวณ เพราะนอกจากจะทำให้รู้ซึ้งว่าสถานการณ์เรื่องสั้นวรรณกรรมไทยเป็นเช่นไรแล้ว อาจทำให้บางคนที่ชื่นชอบเขียนเรื่องสั้นเกิดลำพองใจ คิดจะเขียนส่งตรงถึงรสนิยมของบรรณาธิการในฉับพลันก็เป็นได้ พิจารณาจากเล่มนี้แล้วเชื่อว่ารสนิยมของบรรณาธิการช่อการะเกดในยุคนี้ อาจไม่ได้เป็นความหวังสูงส่งอะไรนักที่จะ สร้างสรรค์ ส่งเสริมวรรณกรรมไทยให้เลิศเลอนักทั้งนี้ก็ต้องฝากความหวังไว้กับนักเขียนด้วย ต้องติดตามในเล่มต่อไป หากใครมีรสนิยมเคี้ยวข้าวโพดคั่วขณะอ่านหนังสือ ช่อการะเกดก็มีของแถมให้ในรูปแบบบทความของมุกหอม วงษ์เทศที่ตั้งข้อสังเกตแบบกระจายกระจาดเกี่ยวกับงานเขียนร่วมสมัย ส่วนที่พลาดไม่ได้คือ บทความวรรณกรรม ของ นพพร สุวรรณพานิชในบทความเรื่อง วรรณกรรมและ “กำเนิดเรื่องผี” ในเมืองไทยและวรรณกรรมสายรอบโลก โดย เฟย์ บางทีเกร็ดความรู้ก็สำคัญกว่าทัศนคติหากเราเองก็คิดวิเคราะห์เองได้ แต่อย่าลืม มือสังหาร และ ผู้ไร้เหย้าก็แล้วกัน.
กฤนกรรณ สุวรรณกาญจน์
         
รวิวาร
 บางครั้งหมอกก็ไหลมาตั้งแต่ดื่นดึก ห้อมล้อมบ้านของเราไว้เหมือนกองทัพสีขาวหนาวเย็น แล้วเมื่อแสงแรกจากเรือนจุดสว่างขึ้นยามสาง ลำแสงสีส้มก็ผ่าละอองหมอกออกเป็นทาง ธรรมชาติของหมอกนั้นอย่างไร บางคราว เราตื่นขึ้น แลเห็นรอบตัวได้ชัดเจนเป็นรูปเป็นร่าง เห็นชายฟ้าด้านตะวันออกหลังแนวไผ่คู่หน้าประตูเป็นสีชมพูอ่อนๆ แต่แล้วไม่นาน สายธารแห่งหมอกกลับไหลรินสู่หุบเขา ทั้งจากด้านดงดอย ยอดเขาสูง แม่น้ำ ที่ลุ่ม และถนนจากเมือง ดาหน้ามาจากทุกทิศทาง ปิดกั้นบ้านน้อยของเราไว้ บางทีความคิดของเราก็ทำทีอย่างหมอก มียามที่มองอะไรไม่เห็น นอกจากฝ้าละอองเปียกชื้นเยียบหนาว ยามเดินออกจากตัวบ้าน จับมือลูกเล็ก ๆ ออกไปรอรถรับส่งตั้งแต่ฟ้ายังไม่สว่าง เราเดินไปยังไม่ถึงประตูรั้วดี พอหันหลังกลับ บ้านก็หายวับเสียแล้ว เมฆหมอกมากมายในชีวิตยามพร้อมใจรินไหล ทำให้เรามองไม่เห็นสิ่งใดดุจกัน ความหวาดหวั่นพรั่นใจในยามยาก ทำให้เรามองไม่เห็นหลักที่ตั้งของตัวเอง แม้ภูเขาจะยังอยู่ ดอยหลวงเชียงดาวสูงตระหง่านเด่นสง่าไม่เคยวับหาย บ้านที่ปลูกสร้าง รวงรังทั้งหลังยังตั้งมั่นอยู่ ทว่า หมอกสีเทาในรอยต่อของรัตติกาลและรุ่งอรุณกลับปิดบังทุกสิ่ง ทุกทัศนียภาพคือกลุ่มหมอก เหน็บหนาว อับจน ไร้หนทาง ไม่ว่าจะเดินไปทิศใด กระนั้น สายหมอกก็อยู่เพียงชั่วครู่ ไม่ช้าไม่นาน เพียงสองสามชั่วโมง ดวงตะวันก็เป็นฝ่ายชนะ ริ้วหมอกขาวลอยรี่ราวถูกขับไล่ ถอยร่นหวั่นหวาด สะเปะสะปะ เหนือพื้นหญ้ารอบบ้าน ละไอหมอกสลายเป็นควันขาวอยู่ทุกหย่อม บนยอดดอย หมอกหลอมละลาย รวมเป็นเมฆก้อนย่อม รุกไล่กันลงมาตามไหล่เขา แล้วลอยหาย เผยโฉมหน้าขุนเขาอย่างรวดเร็ว ในที่สุดแสงสว่างก็แผ่เต็มที่ราบ ตะวันดุจกระจกส่อง ทำให้เรามองเห็นขุนเขาได้กระจ่าง เห็นชัดทั้งริ้วทิวธงบริเวณจุดพักแรม เห็นร่องเหลี่ยมผาสีส้ม และสันเขาสูงต่ำเหยียดชัน .................................................. เรามาอยู่ที่นี่ มิใช่เยี่ยงผู้ยึดมั่นอุดมการณ์ เราเพียงใช้ชีวิตตามที่คิด เชื่อ และรู้สึก บางคราวรู้สึกมาดมั่น บางครั้งถูกป่าหมอกห้อมล้อม ละอองหมอกแห่งความสับสนอันเหน็บหนาว สายหมอกที่พันริ้วปิดบังนัยน์ตา และบางคราวรัดรอบหัวใจ ที่เราทำทั้งหมดนั้นเต็มที่ดีชอบทั่วถ้วนแล้วหรือไม่ จะทำเช่นไร หากปราศจากอาหารยาไส้ ไม่มีขนมนมเนยให้ลูกยา? เวลาเช่นนั้นหลงลืมว่า เคยรู้สึกขอบคุณเป็นล้นพ้น จนร้องเอ็ดอึงอยู่ในใจ ที่นี่ที่ไหนกัน ถ้าหากไม่ใช่สรวงสวรรค์ เราคงได้ประกอบคุณงามความดีที่ตัวเองไม่รู้มาก่อนหรือคิดไม่ถึงเป็นแน่ ถึงได้มาอยู่ในที่ที่งดงามดุจดั่งสรวงสวรรค์เช่นนี้ ยามเช้า อากาศสดชื่นบริสุทธิ์ แสงแดดอบอุ่นสาดส่องเข้าไปถึงใจ นกน้อยร้องรำพัน จนถึงยามสาย โผบินเริงร่า ร่อนระบำให้เราดู ร่าเริงเสียจนการตื่นขึ้นเพื่อจิกหาอาหารประทังชีวิตของมันเหมือนเป็นคนละสิ่งกับการทำมาหาเลี้ยงชีพของมนุษย์ มันร้องว่า ฉันไม่กังวล ไม่มีภาระ ไม่หนักใจ และก็ไม่ทอดถอนใจว่า ...เฮ้อ! อีกวันแล้วหรือนี่ วันนี้จะหาอะไรกินดี ถ้าหากไม่มีหนอนแถวนี้ เราจะทำอย่างไร กลางวัน... กลางวัน เสียงระฆังชายคากรุ๋งกริ๋งกังวาน สายลมหอบเสียงใสเหมือนแก้วพลิ้วเสนาะทั่วทุ่ง สายลมโชยพัดไม่หยุด จากฟากดอยเทือกโน้น ส่งข่าวสารสู่สันเขาเทือกนี้ ลอยข้ามชายแดนไปไกลก่อนวกกลับมา ระเรื่อยแผ่วผิวเนื้อตลอดบ่าย ไม่ให้รุ่มร้อนจากแรงตะวัน เย็นย่ำเมื่อพระอาทิตย์ลับลา แมวหมาพากันออกมานอกชาน นอนบิดตัวเหยียดยาว ดูเกียจคร้านและสุขสงบ พวกมันมาส่งอำลาวันแสนดีงามอีกวันหนึ่ง สนธยาซึ่งสงบ ลาละ วางมือและประโลมใจ งดงามไม่แพ้ยามอื่น เย็นพิเศษบางวัน เด็กน้อยได้โลดเต้นกับเมฆดอกกุหลาบที่ปลิดออกจากสวรรค์ ระบายด้วยสีแสงตะวันที่สะท้อนดวงจากหลังภูเขา เป็นสีกุหลาบแก่ก่ำงามวิจิตร ฟ้าเหนือดอยหลวง หนึ่งวันในหนึ่งปี หรือสิบปี ร้อยปี มีดอกกุหลาบที่เทวีแห่งเบื้องบนปลิดโปรยเล่นให้คนชม มียามเช้า สาย บ่าย กลางวัน กลางคืน และฤดูกาล หมอกสีขาวละลายเป็นไอต่อหน้าต่อตาเราทุกเช้า แล้วความทุกข์ความหวั่นใจของเราเล่า กาลเวลาทำให้เราเป็นทุกข์ หรือว่าการรับรู้ถึงเวลาที่ทำให้เป็นทุกข์? สรรพสิ่งหมุนวนไป ไม่มีอะไรคงรูปถาวร เมื่อเราพยายามหยุดบางอย่างไว้ด้วยความคาดหวัง นั่นหาใช่นิรันดร์ ไม่ใช่ปัจจุบัน ไม่อนิจจัง เรากลายเป็นทุกข์ ฉันต้องก้าวออกมา สายหมอกอยู่ที่นั่น แต่ไม่ช้าไม่นานมันจะสลายไป บ้านของเรายังอยู่ เบื้องหลังเมฆหมอกมืดทึบ สิ่งที่ได้เลือกโดยผ่านกระบวนการตรวจสอบจากชีวิตดีแล้วย่อมทนทานไม่อาจเปลี่ยนแปร ทางของฉันซึ่งไม่แตกต่างจากของเธอ และทุกคน เราล้วนมองหาเส้นทางที่สามารถเดินไปด้วยหัวใจเป็นสุข ทางซึ่งชีวิตทุกวันไม่ต้องฝืนใจ การงานที่ไม่ต้องอดทนทำไปเพื่อความสุขในวันข้างหน้า ทว่า ทุกข์ทรมานและเสียน้ำตาในวันนี้ ความลับของชีวิตมีหลายข้อเสียจนผู้คนพากันกล่าวว่า “ชีวิตคือสิ่งลี้ลับ มหัศจรรย์” เมื่อเราคิดว่าได้ยินเสียงเรียก และก้าวตามมันไป บางครั้งกลับมีทางแยกสายเล็กสายน้อยลวงให้เราเลือก เธอจะเดินทางใดล้วนไม่ผิด หากแต่ละทางย่อมนำพาไปสู่สิ่งหนึ่ง แล้วพอเราคิดว่า อืม ..ฉันพอจะรู้แล้วล่ะว่า ทางไหนจะนำไปสู่สิ่งที่ปรารถนามากที่สุด มันกลับเฉลยขึ้นว่า ถนนทุกสายมุ่งไปสู่สิ่งเดียว ซ่อนที่หมายและไม่ใช่ที่หมายไว้ในหนทางเสียอย่างนั้น...   ถึงอย่างไร เราคงไม่อาจพลัดหลงไปไหน นอกเหนือจากบ่อโคลนดูดแห่งการลืมหรือทะเลทรายแห่งความไร้ชีวิต เราอาจหยุดพัก สับสน หรือมึนงงบ้าง อย่างไร เรายังคงสัญจรไปใน “ชีวิต”
กิตติพันธ์ กันจินะ
  หลังจากที่โครงการเยาวชนไทยไม่ทอดทิ้งสังคม หรือ โครงการเยาวชน1000ทาง 1 ได้ดำเนินการมาจนจบวาระหนึ่งปีก็ถือว่าเรียนจบครบเทอมพอดี เพื่อนๆ พี่ๆ ทีมงานหลายคนต่างได้รับความรู้และประสบการณ์ในการทำงานเพื่อสนับสนุนให้เด็กและเยาวชนเข้ามาทำกิจกรรมเพื่อสังคมมากยิ่งขึ้น แม้ว่าโครงการเยาวชน1000ทาง จะเกิดจากความร่วมมือของเครือข่ายเยาวชนที่ทำกิจกรรมเพื่อสังคมมาหลายปี แต่สำหรับประเทศไทยนั้นนับว่ามีโครงการที่สนับสนุนกิจกรรมของเยาวชน "มือใหม่" ไม่มากนัก ฉะนั้นโครงการเยาวชน1000ทาง ถือว่าเป็นโครงการที่ภาครัฐสนับสนุนให้เกิดการทำงานโดยเยาวชนดำเนินการ มีผู้ใหญ่ทั้งภาครัฐและเอกชนเป็นที่ปรึกษาการทำงาน เพื่อให้เยาวชน "มือใหม่" เข้ามาทำกิจกรรมเพื่อสังคมมากยิ่งขึ้น ปี 2550 ที่ผ่านมา มีโครงการที่ได้รับการสนับสนุนให้ดำเนินการทั่วประเทศมากกว่า 300 โครงการและแต่ละโครงการเยาวชนจะเป็นคนที่คิดเองโดยมีงบประมาณสนับสนุนกลุ่มละไม่เกิน 8,000 บาท และมีการพิจารณาจากกรรมการที่แต่ละภาคได้สรรหามา หลังจากนั้นเยาวชนก็ดำเนินการตามแผนการที่วางไว้ ในตัวโครงการเยาวชน1000ทาง นอกจากจะมีการสนับสนุนงบประมาณแล้ว ยังมีระบบการให้คำปรึกษา การติดตามสนับสนุน การพัฒนาเครือข่ายความร่วมมือ การรณรงค์ประชาสัมพันธ์ และการพัฒนางานวิจัยเพื่อรองรับการทำงาน ตลอดจนการพัฒนาองค์ความรู้ในการทำงานเพื่อพัฒนาเยาวชนต่อๆ ไป  อย่างก็ตาม อยากจะนำเรื่องราวดีๆ ของเพื่อนๆ พี่น้อง เยาวชนที่ได้ดำเนินการมาเผยแพร่ในที่นี่ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นโครงการที่มาจากภาคอีสาน.... มาที่โครงการแรกคือ โครงการ "เพื่อนยามเหงา" เป็นโครงการของนักศึกษาสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี ที่เริ่มมาจากการที่เพื่อนๆ ได้พบเจอผู้ป่วยตามโรงพยาบาลต่างๆ บางคนก็มีญาติมาเยี่ยม บางคนก็ไม่มี เพื่อนๆ จึงบอกว่า อยากจะใช้เวลาว่างในช่วงปิดเทอมของเขาเป็นเพื่อนยามเหงาให้กับคนป่วยที่ขาดเพื่อน ขาดการเอาใจใส่จากคนที่รัก และมอบสิ่งดีๆ ให้กับคนเหล่านั้น  ส่วนโครงการ "ปาท่องโก๋ร่วมใจต้านภัยหนาว" นั้น ก็เป็นอีกโครงการ ที่น้องๆ เยาวชนจากนครราชสีมา อยากทำกิจกรรมสักอย่างหนึ่งในช่วงปิดเทอมและหารายได้เสริม และน้องๆ ก็บอกว่า หน้าหนาวแล้ว จึงอยากจะมอบผ้าห่มให้กับผู้สูงอายุในหมู่บ้าน โดยนำเงินที่ได้จากการทำปาท่องโก๋ไปจัดซื้อผ้าห่มกันหนาวมาให้ น้องในทีมงานโครงการ 2 บอกเหตุผลที่ทำปาท่องโก๋ขายว่า เพราะสงสารผู้สูงอายุในชุมชนที่ต้องทนกับอากาศหนาว "บ้านเราเวลาอากาศหนาว มันหนาวมาก และคนที่เดือดร้อนที่สุดคือคนแก่ยากจน เวลาหนาวๆ พวกท่านมักจะห่มผ้าห่มผืนเก่าๆ ขาดๆ มานั่งผิงไฟหน้าบ้าน เห็นแล้วก็อดสงสารไม่ได้" น้องอาย สมาชิกในทีม ยังเล่าต่ออีกว่า "แต่ละวันขายปาท่องโก๋ได้ 200-300 บาท ทำอย่างนี้อยู่ 1 เดือน ตอนแรกๆ เหนื่อยมาก ไหนจะต้องขายปาท่องโก๋ ไหนจะต้องเรียน แต่พอคิดว่าทำเพื่อคนแก่ ก็มีกำลังใจขึ้นมา เพราะที่ผ่านมาพวกท่านเมตตาเรามาก เหนื่อยแค่นี้ทนได้ค่ะ" หลังจากที่ทำเสร็จน้องๆ ก็นำเงินไปซื้อผ้าห่มให้กับผู้สูงอายุในชุมชน...ต่อมาก็เป็นโครงการอื่นๆ เช่น3 โครงการแลกเปลี่ยนความรู้สู่น้องในหมู่บ้านห้องสมุดของเรา ของเยาวชนจากขอนแก่น ที่ใช้เวลาว่างของตนเองสอนหนังสือให้กับเด็กในหมู่บ้านที่ไม่ได้มีโอกาสเรียนพิเศษเหมือนกับเด็กในตัวอำเภอคนอื่น ๆ เนื่องจากหมู่บ้านนี้เป็นหมู่บ้านที่อยู่ค่อนข้างไกลจากตัวอำเภอ จึงได้รวมกลุ่มกันเพื่อสอนหนังสือให้กับน้องๆ ทุกๆ วันเสาร์และอาทิตย์โดยไม่คิดค่าใช้จ่ายโครงการธนาคารขยะรีไซเคิลของเยาวชน 1000 ทางจากจังหวัดพะเยา ที่เห็นว่าปัญหาขยะในชุมชนมีมากเลยอยากจะปลูกฝังให้กับเด็กเรื่องการทิ้งขยะจึงคิดโครงการนี้ขึ้นมา นอกจากจะเป็นการช่วยปลูกฝังการรักษาความสะอาดแล้ว การนำขยะกลับมาขายยังเป็นการสร้างแรงจูงใจที่ดีด้วยเนื่องจากเพิ่มรายได้ให้กับชุมชนโครงการร้อยฝัน ของเยาวชนจากสิงห์บุรี ที่นำความรู้และภูมิปัญญาที่ตนเองมีมาถ่ายทอดให้กับเพื่อน ๆ ในโรงเรียน นั่นคือความรู้ด้านการปักและซ่อมแซมเสื้อผ้า โดยน้อง ๆ นักเรียนอาข่าส่วนใหญ่ค่อนข้างขาดแคลนทุนทรัพย์ เวลาที่เสื้อผ้าขาดก็ไม่สามารถซื้อใหม่ได้ น้อง ๆ กลุ่มนี้จึงนำความรู้ความสามารถที่มีมาสอนเพื่อนๆ และน้องๆ ในโรงเรียน รวมไปถึงการสอนการปักผ้าในลวดลายของชาวอาข่าอีกด้วยเนื่องจากบางครั้งมีชาวต่างชาติเข้ามาเยี่ยมโรงเรียนก็เกิดความสนใจและขอซื้อในราคาที่ค่อนข้างสูง จึงเป็นอีกทางที่จะเพิ่มรายได้ให้กับเด็ก ๆ ชาวอาข่านี่เป็นแค่โครงการตัวอย่างบางส่วนที่นำมานำเสนอ ทว่า มีหลายโครงการที่ได้สร้างความเปลี่ยนแปลงของเพื่อนๆ น้องๆ พี่ๆ เยาวชน เช่น โครงการเสียงร้องจากเหรียญสตางค์ ที่ทีมงานบอกว่า "ได้รู้จักการเอื้อเฟื้อเผื่อแพร่ให้กับผู้อื่น การเป็นผู้ใหญ่มากกว่าผู้รับ การได้ทำประโยชน์เพื่อสังคม การได้ช่วยเหลือผู้อื่นที่ตกทุกข์ได้ยาก เรียนรู้ความไม่เห็นแก่ตัว เรียนรู้ถึงความสุขที่ได้รับจากคนหลายคนที่จริงใจและไม่จริงใจ ได้เพื่อนๆ เยอะ" เยาวชนจากโครงการ "น้ำส้มควันไม้" บอกว่า ได้พัฒนาความรับผิดชอบในตัวเองและหน้าที่การงานมากขึ้น มีความสามัคคีในกลุ่มเพื่อน ความอดทน ขยันมากขึ้น ได้เป็นตัวอย่างในการนำไปขยายผลต่อในโรงเรียนอื่นๆ นอกจากการได้เพื่อนใหม่ การได้พัฒนาทักษะ ประสบการณ์ บทเรียนชีวิตแล้ว เยาวชนหลายๆ โครงการจากทั่วประเทศ ยังได้บอกเป็นเสียงทำนองเดียวกันว่า การทำกิจกรรมเพื่อสังคมผ่านโครงการเยาวชน1000ทาง ทำให้พวกเขาได้เรียนรู้การให้ และความรับผิดชอบของตัวเองต่อสังคม  ทั้งนี้ พี่หนึ่ง ผู้จัดการภาคอีสานตอนล่างเขียนในบันทึกไว้ว่า 4 "น้อง ๆ ขยันขันแข็งกันน่าดู บางกลุ่มทำกิจกรรมในโครงการเสร็จแล้วก็โทรมาถามเกี่ยวกับเรื่องเอกสารสรุปว่าต้องทำอย่างไรบ้าง.....บางกลุ่มก็เข้ามาที่บ้านเลย....อันนี้ต้องเลี้ยงข้าวด้วย..เฮ้อ...ยิ่งเหนื่อยหนัก....แต่โดยรวมพอใจกับน้อง ๆ โครงการมากถึง 80 % เลยทีเดียว น้องๆ ตั้งอกตั้งใจทำกิจกรรมกันทุกๆ คน มีบ้างที่เหนื่อยหน่อย อย่างเช่น ปาท่องโก๋ร่วมใจ...ต้านภัยหนาว.....กว่าจะได้มาซึ่งผ่าห่ม..ดูน้องๆ เหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้ากับการทำ....การขาย....พักผ่อนน้อย เวลาทั้งหมดที่เคยเล่น ๆ กลับถูกนำมาใช้เพื่อคนอื่นๆ....แต่น้องๆ ก็ทำได้และก็ประสบผลสำเร็จด้วย....ส่วนโครงการอื่นๆ ก็ดีทีเดียวมีปัญหาอุปสรรคบ้างแต่ก็ฝ่าฟันไปได้ด้วยดี...เห็นความตั้งในของน้อง ๆ แล้วรู้สึกหายเหนื่อย...โดยเฉพาะเวลาที่มีผู้ใหญ่ พูดถึงน้องๆ โครงการเยาวชน1000ทาง....มีความรู้สึกว่าทุนทางสงคมเพิ่มขึ้น ....มีผู้ที่พร้อมจะมาเป็นแรงสนับสนุน..เป็นเพื่อนร่วมทางในการกรุยทางให้กับน้อง ๆ โครงการเยาวชน1000ทางในรุ่นๆ ต่อ ๆ ไป"ใช่, อย่างที่พี่หนึ่งได้บันทึกไว้ ว่าการทำงานของเยาวชนที่ตั้งใจนี้ จำเป็นที่ผู้ใหญ่ควรจะสนับสนุนให้มีพื้นที่สำหรับเยาวชน ทั้งพื้นที่สร้างสรรค์ในเชิงกายภาพ และพื้นที่สร้างสรรค์ในเชิงโอกาส กล่าวคือ ควรมีการพัฒนาเยาวชนจากมุมที่เป็นการส่งเสริมเยาวชนมากกว่าเป็นการควบคุมจำกัดสิทธิ และควรส่งเสริมให้เยาวชนมีโอกาสในการสื่อสารกับผู้ใหญ่ ส่งเสียงต่อสาธารณะในประเด็นที่เกี่ยวข้องสิ่งเหล่านี้เป็นไปได้ - ความฝันเหล่านี้เป็นไปได้ เพียงแค่ว่าผู้ใหญ่จะเห็นความสำคัญมากน้อยเพียงใด และความท้าทายที่สำคัญคือ เป็นไปได้หรือไม่ที่นอกจากผู้ใหญ่จะให้เยาวชนมีส่วนร่วมแล้ว จะมอบ "อำนาจ" ในการตัดสินใจให้แก่เยาวชนด้วย 1 โครงการเยาวชน 1000ทาง เป็นการรวมตัวของเครือข่ายเยาวชนจากทั่วประเทศ โดยได้รับการสนับสนุนจากสำนักส่งเสริมและพิทักษ์เยาวชน (สทย.) สำนักงานส่งเสริมสวัสดิภาพและพิทักษ์เด็ก เยาวชน ผู้ด้อยโอกาส คนพิการและผู้สูงอายุ (สท.) กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ร่วมกับสภาองค์การพัฒนาเด็กและเยาวชนในพระราชูปถัมภ์สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี (สอ.ดย.) ดูเวบไซต์ได้ที่ http://www.1000tang.net/ 2 อ่านต่อได้ที่มติชนออนไลน์ http://matichon.co.th/matichon/matichon_detail.php?s_tag=01lad03250151&day=2008-01-25§ionid=0115 3 อ่านต่อที่เดลินิวส์ ออนไลน์http://www.dailynews.co.th/web/html/popup_news/Default.aspx?Newsid=153444&NewsType=1&Template=1 4 บันทึกของพี่น้อยหนึ่ง อ่านได้ที่ http://gotoknow.org/blog/node-esandown/146409
องค์ บรรจุน
ภาสกร อินทุมาร“วันรำลึกชนชาติมอญ” ที่จัดขึ้นทุกปีนั้น ปีนี้ จัดขึ้นระหว่างวันที่ ๒-๓ กุมภาพันธ์ ณ วัดบ้านไร่เจริญผล ตำบลพันท้ายนรสิงห์ อำเภอเมือง จังหวัดสมุทรสาคร ด้วยความร่วมมือของชมรมเยาวชนมอญกรุงเทพ วัดบ้านไร่เจริญผล และพี่น้องชาวมอญจากหลายๆ พื้นที่ก่อนงานจะเริ่ม พวกเรา-คณะเตรียมงาน ประมาณ ๑๐ คน ได้เดินทางไปยังสถานที่จัดงานตั้งแต่วันที่ ๑ เพื่อเตรียมความพร้อมต่างๆ ตั้งแต่การตกแต่งบริเวณงานด้วยธงราวรูปหงส์ที่พวกเราทำขึ้น, การผูกผ้าและจัดดอกไม้, การตกแต่งเวที, การติดตั้งนิทรรศการเคลื่อนที่, การเตรียมสถานที่สำหรับทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้บรรพชนมอญ ฯลฯ โดยทั้งหมดนี้ได้รับความช่วยเหลือเป็นอย่างดีจากวัดบ้านไร่เจริญผลคณะกรรมการจัดงานกำลังซิลสกรีนกระดาษทำธงราวรูปหงส์สัญลักษณ์ของชาวมอญ ธงราวที่ทำด้วยน้ำพักน้ำแรงขึงตกแต่งอาคารสถานที่เช้าวันที่ ๒ เราตื่นขึ้นมาพบกับเหตุการณ์ไม่พึงปรารถนาบางอย่าง นั่นก็คือ ตำรวจและเจ้าหน้าที่จาก “กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน” (กอ.รมน.) ได้เข้ามาสอดส่องบริเวณงาน และตั้งด่านรอบวัดเพื่อตรวจสอบคนที่จะมาร่วมงาน ทำให้พี่น้องบางคนที่ตั้งใจมากต้องกลับไป (เรื่องนี้แฟนๆ “ประชาไท” คงได้รับรู้ผ่านข่าวและบทความต่างๆแล้วว่า “เกิดอะไรขึ้น”) แต่ในที่สุดเรื่องราวก็คลี่คลายได้เมื่อบรรดาพระแห่งวัดบ้านไร่เจริญผล กรรมการชมรมเยาวชนมอญกรุงเทพ และตัวแทนจากสภาทนายความและคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ได้เจรจากับตำรวจและฝ่ายความมั่นคง และในช่วงค่ำของวันนั้นเราก็มีการแสดงจากนักเรียนในพื้นที่ รวมทั้งวงดนตรีลูกทุ่งมอญจากกระทุ่มมืดก็ได้มาสร้างความครึกครื้นให้กับคนที่มาร่วมงานที่แม้จะบางตาไปบ้างเมื่อเทียบกับปีก่อนๆ (เพราะอะไรก็คงทราบกันดี) แต่ถึงคนร่วมงานจะบางตา หลายๆคนก็ยังคงลุกขึ้นมารำหน้าเวทีดนตรีเหมือนเช่นเคยหนึ่งในคณะเจ้าหน้าที่ตำรวจที่เข้ามาซักถามความเป็นไปเป็นมาภายในงานตลอดเวลาก่อนรุ่งเช้าวันที่ ๓ ฝนได้ตกลงมาอย่างหนัก ทำให้บริเวณวัดที่เราใช้จัดงานเจิ่งนองไปด้วยน้ำฝน พวกเราต่างกังวลว่าฝนจะเป็นอุปสรรคในเวลาที่เรามีกิจกรรมหรือไม่ แต่โชคดีที่ฝนไม่ตกลงมาอีกในวันรุ่งขึ้น แม้จะมีเมฆครึ้มสลับกับแสงแดดให้พอตื่นเต้นบ้าง และพอถึงเวลาประมาณ ๘ นาฬิกาเศษ พี่น้องชาวมอญจากจังหวัดต่างๆ ก็ทยอยเดินทางมาถึง และเมื่อเสียงกลองยาวจากพี่น้องอยุธยาดังขึ้น ทุกคนก็ร่วมกันรำและจัดขบวนแห่หงส์และธงตะขาบเข้ามาบริเวณหน้าเวทีเพื่อรอการเปิดงาน โดยในปีนี้เราได้รับเกียรติจาก คุณเตือนใจ กุญชร ณ อยุธยา ดีเทศน์ สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ผู้ซึ่งทำงานเพื่อกลุ่มชาติพันธุ์มากว่า ๓๐ ปี รวมทั้งยังมีเชื้อสายมอญทางราชสกุลกุญชร ณ อยุธยา ให้เกียรติมาเป็นประธานกล่าวเปิดงานนางเตือนใจ กุญชร ณ อยุธยา ดีเทศน์ ประธานเปิดงาน กับผู้สูงอายุชาวมอญจากนั้นจึงเป็นพิธีสงฆ์เพื่ออุทิศส่วนกุศลให้แก่บรรพชนมอญ โดยในพิธี คุณสุณี ไชยรส คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ให้เกียรติเป็นประธาน รวมทั้งผู้มีบทบาททางสังคม เช่น ครูประทีป อึ้งทรงธรรม, สภาทนายความ และนักวิชาการอีกหลายท่าน ก็มาร่วมทำบุญกับพี่น้องชาวมอญ เมื่อทำบุญเสร็จ พี่น้องที่เตรียมการแสดงมา ไม่ว่าจะเป็นวงปี่พาทย์จากปทุมธานี, ซอมอญจากลพบุรี, สะบ้าหนุ่มสาวและทะแยมอญจากสมุทรสาคร ก็เริ่มเปิดเวทีของตน ทำให้บรรยากาศของงานเป็นไปด้วยความครึกครื้น ระหว่างนี้หากใครหิว ก็สามารถเดินไปยังโรงทานและซุ้มอาหารที่พี่น้องจากที่ต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งพี่น้องละแวกวัดบ้านไร่เจริญผล เตรียมอาหารมาอย่างหลากหลาย (ซึ่งเราก็เชิญตำรวจมากินด้วย)นางสุนี ไชยรส ประธานในพิธีสงฆ์ ถวายเครื่องไทยทานแด่พระภิกษุสงฆ์ การแสดงทางวัฒนธรรมกับผู้ชมชาวมอญที่เป็นกันเองแม้ผู้คนจะบางตา และงานของเราก็จบลงในช่วงบ่ายของวันนั้น ถึงแม้ว่าวันรำลึกชนชาติมอญในปีนี้จะมีอุปสรรคอยู่บ้าง แต่เราก็ยังคงดำเนินงานไปอย่างราบรื่นอย่างที่เคยเป็นมา และทุกคนก็คงรอคอยที่จะได้พบกันใหม่ในปีหน้า ซึ่งจริงๆแล้วก็อีกไม่นานเลย...
ประสาท มีแต้ม
ผมว่างเว้นจากการเขียนบทความมานานกว่าสองเดือนแล้ว จนอันดับบทความของผมที่เรียงตามเวลาที่เขียนในเว็บไซต์ “ประชาไท” ตกไปอยู่เกือบสุดท้ายของตารางแล้ว สาเหตุที่ไม่ได้เขียนเพราะผมป่วยเป็นโรคที่ทันสมัยคือ “โรคคอมพิวเตอร์กัด” ครับ มันมีอาการปวดแสบปวดร้อนไปทั่วทั้งหลัง พอฝืนทนเข้าไปทำงานอีกไม่เกินห้านาทีก็ถูก “กัด” ซ้ำอีก ราวกับมันมีชีวิตแน่ะที่นำเรื่องนี้มาเล่าก่อนในที่นี้ไม่ใช่อยากจะเล่าเรื่องส่วนตัว แต่อยากนำประสบการณ์ที่ผิดๆ ของผมมาเตือนท่านผู้อ่านโดยเฉพาะคนที่อยู่ในวัยหนุ่มสาว ท่านผู้อ่านที่สนใจจะเก็บเรื่องของผมไปเป็นบทเรียน โปรดอ่านที่หมายเหตุในตอนท้ายบทความนี้ก็แล้วกันครับเมื่อเริ่มกลับมาเขียนใหม่ จะเขียนเรื่องพลังงานตามที่สนใจก็ขาดข้อมูล เพราะไม่ได้ติดตามมานาน จึงขอนำเรื่องใกล้ๆตัวมาเล่าสู่กันฟังก็แล้วกันครับ คือเรื่องงานปัจฉิมนิเทศนักศึกษาของภาควิชาทีผมทำงานอยู่ คือภาควิชาคณิตศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตหาดใหญ่ปีนี้เรามีว่าที่บัณฑิตประมาณ 90 คน แต่เข้าร่วมงานได้จริงเพียง 75 คน บางคนติดสอบเรียนต่อ บางคนญาติเสียชีวิต บางคนเบี้ยวเอาดื้อๆ สิ่งที่ผมจะนำมาเล่าเป็นเพียงบางส่วนของงาน ไม่ใช่ทั้งหมด

แท็กล่าสุด

แท็กยอดนิยม