Skip to main content

บล็อกกาซีน ประชาไท

กิตติพันธ์ กันจินะ
มาจนถึงวันนี้ผมยังไม่ได้พาตัวและตาของตนไปดูภาพยนตร์เรื่อง "รักแห่งสยาม" เลย แม้ว่าจะมีเพื่อนๆ หลายคนได้เชื้อเชิญแจ้งแถลงชวนให้ไปดูหลายเวลา หลายคราก็ตาม ผมก็ยังไม่ได้ไปดูเสียทีโดยส่วนตัวแล้ว ผมไม่ได้เป็นคนปฏิเสธโรงภาพยนตร์นะครับ เพราะภาพยนตร์แต่ละเรื่องที่จะทำให้ผมไปดูได้นั้น ต้องเป็นเรื่องที่ผมมีเพื่อนไปดูด้วย คือ ถ้าไปคนเดียวผมคงไม่ไปครับ เพราะไม่เคยดูหนังคนเดียว และยิ่งไม่รู้ว่าต้องซื้อตั๋ว ซื้ออะไรยังไงบ้าง เพราะปกติเวลาไปเพื่อนๆ จะเป็นคนซื้อตั๋วและขนมขบเคี้ยวเข้าไปให้สำหรับ "รักแห่งสยาม" ถือเป็นภาพยนตร์ที่มีผู้คนกล่าวถึงค่อนข้างมาก และกล่าวถึงในหลายแง่มุม เช่น เรื่องดังกล่าวนี้ส่อให้เห็นเรื่องวัยรุ่นรักเพศเดียวกัน บางคนมองว่าแสดงถึงความหวานแหววของวัยรุ่น หญิงชาย บางคนก็ชื่นชมว่าสะท้อนสัญลักษณ์เรื่องเพศในสังคมได้ดีทีเดียว บางคนมองว่าเป็นหนังหลอกเด็ก บางคนถึงกลับยกย่องให้เป็นหนังแห่งปี ฯลฯรักแห่งสยาม - ภาพยนตร์เรื่องนี้ เนื้อเรื่องเป็นอย่างไร เรื่องราวในเรื่องดำเนินแบบไหน ผมไม่ค่อยแน่ใจว่าจะสามารถเล่าออกมาได้มากน้อยเพียงใด แต่หากใครที่อยากรู้ อยากดู ก็น่าจะลองเข้าไปดูในโรงภาพยนตร์หรือไม่ก็รอให้แผ่นวิดีโอซีดีออกมาแล้วค่อยซื้อมาดูก็ได้ทั้งนี้ สิ่งที่ผมสนใจ คือ ชื่อภาพยนตร์ที่ว่า "รักแห่งสยาม" นั้น ดูเสมือนว่าไม่ใช่แค่เป็นภาพยนตร์ที่ดำเนินเนื้อเรื่องในแหล่งวัยรุ่นอย่างสยามสแควร์หรือเซนเตอร์พ้อยท์เท่านั้น หากยังสามารถอธิบายให้เห็นถึงความรักของชนสยามในอดีตได้อย่างน่าสนใจ อย่างในสังคมสยามอดีตที่ผ่านมา กรอบความคิดเรื่องเพศวิถีเป็นเรื่องที่มีความเปลี่ยนแปลงมาตลอด สิ่งที่เคยปรากฏในอดีตนั้น อาจารย์ปรานี วงษ์เทศ ภาควิชามานุษยวิทยา คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร ได้ชี้ให้เห็นถึงความคิดเรื่องเพศวิถีในอดีตว่า "สังคมไทยในอดีตไม่เหมือนสังคมตะวันตก หรือสังคมอินเดีย ที่เน้นความแตกต่างของบทบาททางเพศและมีความเหลื่อมล้ำกันมาก โครงสร้างสังคมมีลักษณะเป็นแบบให้ความสำคัญกับแม่ ในฐานะศูนย์รวมของครอบครัวมาก่อนที่จะเปลี่ยนมาเป็นการปกครองที่ชายเป็นใหญ่ เพราะฉะนั้นลักษณะโครงสร้างสังคมในอดีตหรือในสังคมชนบท จึงมีลักษณะที่ให้ความสำคัญกับผู้หญิง หรือผู้หญิงมีความสำคัญมากในครอบครัวและมีบทบาทสำคัญในชุมชนด้วย ไม่ใช่อย่างที่เห็นในปัจจุบันที่เป็นภาพของการพัฒนาที่เน้นสังคมแบบอุตสาหกรรมหรือทุนนิยมที่ให้การยกย่องเพศชายเป็นใหญ่ในการตัดสินชี้นำอำนาจ ควบคุมนโยบายต่างๆ ที่เน้นการพัฒนาที่ขับเคลื่อนโดยผู้ชาย ทำให้บทบาทของผู้หญิงลดน้อยหายไป"วิถีชีวิตทางเพศในสังคมสยาม เมื่ออดีต จึงให้ความสำคัญกับเพศหญิง หรือเพศแม่ ในฐานะศูนย์รวมของครอบครัวและสังคม การทำงานของผู้หญิง อาทิ งานบ้าน เป็นสิ่งที่มีความสำคัญเท่าเทียมกับงานของผู้ชาย อีกทั้งระบบเศรษฐกิจยังเปิดโอกาสให้ผู้หญิงเป็นเจ้าของที่ดินหรือทรัพย์สินอีกเช่นกัน ส่วนเรื่องความหลากหลายทางเพศของสยามเมื่ออดีตนั้น อาจารย์มองว่า "สังคมแต่เดิม การมีเพศที่สามหรือเพศทางเลือกเป็นสิ่งที่มีและรับรู้กันอยู่ แม้อาจไม่ถึงกับชื่นชมยกย่อง หากแต่ก็อยู่ร่วมกันได้ในฐานะมนุษย์ที่มีความเท่าเทียมกัน สังคมก็ปล่อยให้ทำงานที่พวกเขาถนัด ไม่มีการกีดกัน หรือห้ามไปคบ คนที่เป็นกะเทยในหมู่บ้านอยากทำงานผู้หญิง ชุมชนก็ปล่อยให้ทำงานของผู้หญิงได้ หรือผู้หญิงที่ชอบทำงานของผู้ชายก็จะทำไป ไม่ได้คิดว่าเป็นตัวอย่างที่ผิด การสลับบทบาททางเพศยังเห็นได้แม้กระทั่งในการเข้าทรง ผู้ชายบางคนเข้าทรงก็จะแต่งเป็นหญิง ผู้หญิงก็จะแต่งเป็นชาย เหมือนเช่นการปรับเปลี่ยนบทบาทในการทำงานในบ้านและนอกบ้านในสังคมชาวนาที่ทั้งหญิงชายทำแทนกันได้ เพราะฉะนั้นการปรับเปลี่ยนบทบาทจึงเป็นสิ่งที่เข้าใจได้"(นอกจากนี้ในคัมภีร์โบราณที่ปรากฏในสังคมไทย อาทิ คัมภีร์ปฐมมูลมูลี ก็ยังกล่าวถึงว่า เพศมิได้มีแค่สองเพศ หากแต่มีเพศซึ่งไม่เป็นหญิงและไม่เป็นชายด้วยเช่นเดียวกัน)จากข้อมูลที่ได้รับฟัง ทำให้เห็นว่า รักแห่งสยาม เมื่อคราอดีตนั้นไม่ได้มองเพศแค่ชายกับหญิงเท่านั้น แต่ปัจจุบันเรื่องเพศวิถีของคนมีความเปลี่ยนแปลงไปมากขึ้น คือมองแค่ว่ามีหญิงชาย มีความรักเฉพาะของคนรักต่างเพศเท่านั้น และมีกรอบกำหนดว่าชายหญิงควรปฏิบัติตัวอย่างไร ผู้ชายทาแป้ง แต่งหน้า ใส่เสื้อรัดรูป เดินจับมือกัน หรือจูบปากกัน - เป็นสิ่งที่คนรักต่างเพศ มองหรือรับไม่ได้เท่าใดนัก ยิ่งเมื่อพฤติกรรมทางเพศของคนรักเพศเดียวกันอย่างชายรักชายปรากฏออกมาผ่านภาพยนตร์เรื่อง "รักแห่งสยาม" แล้ว ยิ่งเป็นการท้าทายระบบความคิด วิถีปฏิบัติของคนในสังคมต่อความหลากหลายทางเพศครั้งหนึ่ง ผมเคยถูกคนที่เป็นชายรักชายเข้ามาจับมือและกอด ตอนนั้นผมรู้สึกแย่มาก บอกไม่ถูก รู้สึกว่าทำไมเขาต้องมาทำกับเราแบบนี้ด้วย แม้ว่าบางทีคนจะมองว่า ผมดูเหมือนชายรักชาย เพียงเพราะชอบทาแป้ง ไม่มีแฟน แต่ภาพที่ปรากฏทำให้ผมถูกมองเป็นชายรักชาย จนมีเกย์คนหนึ่งเข้ามาสวมกอดโดยที่ผมไม่ได้ยินยอมหรือยินดีเลยหลังจากเหตุการณ์นี้ผ่านมาหลายเดือน ผมเริ่มมองชายรักชายหรือคนรักเพศเดียวกันในมุมที่เข้าใจ คือ เข้าใจวิถีชีวิตทางเพศ เข้าใจพฤติกรรมทางเพศ ผมมองว่าท้ายที่สุดแล้วเราควรมองคนๆ หนึ่งในฐานะที่เขาเป็น "คน" เหมือนเรา และเมื่อเป็นคนเหมือนกัน ไม่ว่า ใครจะใส่เสื้อผ้าแบบไหน แต่งหน้าตาอย่างไร รักเพศเดียวกัน หรือรักต่างเพศ เราก็ไม่ควรมองว่าคนๆ นั้นจะเป็นคนรักต่างเพศ หรือรักเพศเดียวกัน แต่เราควรเคารพ เชื่อมั่น ยอมรับ และเข้าใจ เขาในฐานะคนๆ หนึ่ง ทั้งนี้ คนกับคนก็ไม่ควรจะละเมิดสิทธิของคนอื่น ไม่ว่าคุณหรือผมหรือเราจะเป็นใคร เพศไหน นับถือศาสนาอะไร เชื้อชาติใด อายุเท่าไหร่ ก็ตามวันหนึ่ง ผมและเพื่อนนั่งคุยกันที่ร้านกาแฟ แล้วเพื่อนคนนี้ก็ถามผมว่า พี่ผู้ชายคนที่เขาแอบชอบนั้น เป็นชายรักชายหรือชายรักหญิง ผมยิ้มและตอบกลับไปว่า "เขาเป็นคน" "ถ้าเราจะรักใครสักคน มันจำเป็นด้วยเหรอที่จะเลือกรักว่าเขารักเพศเดียวกัน หรือรักต่างเพศ ถ้าเราจะรักใครสักคน ก็น่าจะรักในสิ่งที่เป็นเขาและเป็นสิ่งที่เขาเป็น" ผมพูดประโยคนี้ทิ้งท้ายพลางหยิบโปสเตอร์หนังรักแห่งสยามขึ้นมา...
สุมาตร ภูลายยาว
ตะวันสายแดดส่องฟ้า เรือหาปลากับชายชรากำลังเดินทางออกจากท่า เพื่อหาปลาอีกครั้ง ในแสงแดดยามสาย ชายชรากำลังสลัดคราบไคร้ที่เกาะติดเบ็ดออก เพื่อทำความสะอาดให้มันกลับมาพร้อมใช้งานอีกครั้งสายน้ำลดระดับลงอีกครั้งหลังโถมถั่งในหน้าฝน สายน้ำเชี่ยวกรากกลับกลายเป็นแผ่วเบา และลดความเกรี้ยวกราดลง วันนี้ไม่แตกต่างจากหลายวันในช่วงเริ่มต้นฤดูหนาว ชายชรายังคงดำเนินชีวิตไปตามปกติในครรลองของคนกับเรือเหนือสายน้ำอันกล่าวได้ว่าคือสายชีวิตของชายชราด้วยสายลมแห่งเดือนมกราคมพัดมาเยือกเย็น ริมฝั่งน้ำตรงกระท่อมหาปลา ชายชรานั่งเงียบงันอยู่ข้างกองไฟ ๒ วันมาแล้วยังหาปลาไม่ได้ ช่วงนี้จึงมีเพียงกุ้งติดฟดริมฝั่งน้ำเท่านั้น กุ้งเหล่านี้แม้มันจะตัวเล็กกว่าปลา แต่ในยามหาปลาไม่ได้ นอกจากมันจะเป็นเหยื่อเบ็ดเพื่อล่อเอาปลาแล้ว มันยังกลายมาเป็นอาหารในบางมื้อสำหรับชายชราอีกด้วยคนเคยกินแต่ปลาตัวใหญ่ พอมากินกุ้งที่ตัวเองคิดเพียงว่ามันเป็นเหยื่อล่อปลา ในห้วงแห่งความรู้สึกเช่นนี้ของชายชรา แกจะรู้สึกอย่างไร เสียใจ ดีใจหรือว่าแกไม่ได้คิดอะไรเลย เรื่องราวเหล่านี้มีเพียงชายชราเท่านั้นจะเฉลยมันออกมาหลังกลับมาจากหาปลาในตอนใกล้ค่ำ วันนี้ก็เหมือนเดิมกับเมื่อวาน เมื่อลงมือทำอาหารชายชราก็มุ่งหน้าลงไปยังท่าน้ำ เพื่อเอากุ้งมาทำเป็นอาหาร หลังได้กุ้งพอกับความต้องการ ชายชราก็นำกุ้งมาคดเอาแต่ตัวขนาดนิ้วหัวแม่มือ เพราะถ้าเอากุ้งตัวใหญ่มันก็จะไม่เปลืองมาก แต่ถ้าเอากุ้งตัวเล็กมา เราก็ต้องใช้กุ้งเยอะ ชายชราเองก็ไม่แน่ใจนักว่าหลังจากไม่ได้ปลาอาจจะไม่ได้กุ้งด้วย เพราะกุ้งจะติดฟดก็ในช่วงข้างขึ้นเท่านั้น การดักฟดกุ้งก็ไม่ได้ต่างจากการลอบหมึกในทะเลเท่าใดนัก ในช่วงที่กุ้งได้เยอะก็ได้เยอะ แต่ในช่วงที่ไม่ได้เลยแม้แต่จะพอเอาให้แมวกินก็ยังยาก เมื่อกลับขึ้นมาถึงกระท่อม ชายชรามุ่งหน้าไปยังเตาไฟ ไม่นานนักไฟก็สว่างขึ้นมา หลังจากชายชราง่วนอยู่กับกองไฟ พอไฟสว่างโพลงขึ้นมา ฟืนชิ้นเล็กไปจนถึงชิ้นใหญ่ก็ถูกใส่เข้าในกองไฟ จากไฟกองเล็กก็กลายเป็นไฟกองใหญ่ ขณะไฟจากท่อมฟืนกำลังคุได้ที่ชายชราก็เดินไปยังถังน้ำแล้วกลับมาพร้อมกับหม้อหนึ่งใบที่มีกุ้งอยู่ในนั้น พอมาถึงชายชราก็จัดแจงเอาหม้อขึ้นวางบนก้อนหินที่วางอยู่ข้างกองไฟ หลังหม้อเดือด ชายชราก็หยิบเกลือมาใส่ลงไปในหม้อ หลังใส่เกลือลงไปไม่นาน ชายชราก็ยกหม้อออกมาวางไว้บนพื้น ก่อนจะเดินไปหยิบจานมาใส่กุ้งคั่วเกลือ อาหารทุกอย่างถูกจัดแจงมาวางบนพื้นระเบียงกระท่อม เมนูหลักเป็นกุ้งคั่วเกลือ เมนูรองลงมาเป็นน้ำพริกกับผักกาดลวกที่เหลือจากตอนเช้า แล้วมื้อค่ำของชายชราก็เริ่มขึ้น หลังจากมื้อค่ำผ่านไป ชายชราก็ออกมานั่งม้วนบุหรี่ดูดอยู่ตรงระเบียงกระท่อม หลังดีดก้นบุหรี่ทิ้งไป ชายชราก็นั่งเหม่อมองออกไปนอกกระท่อม ไม่มีใครรู้ว่าในห้วงเวลาเช่นนี้ชายชราคิดเรื่องใดอยู่ในใจลมหนาวพัดเข้ามาวูบหนึ่ง ชายชราก็ขัยบตัวลุกขึ้นเดินถือตะเกียงเข้าไปในกระท่อม จากนั้นก็จัดที่หลับที่นอนให้เข้าที่เข้าทาง ก่อนจะสวดมนต์ไหว้พระ เมื่อสวดมนต์ไหว้พระเสร็จสิ้น แสงตะเกียงก็ดับวูบลง ทุกอย่างในกระท่อมจึงเดินทางไปสู่ความมืดเมื่อจมลงสู่ความหลับไปเนิ่นนาน ชายชราก็สะดุ้งตื่นขึ้นมากลางดึก ในลมดึกนั้น ชายชราลุกขึ้นมานั่งทบทวนความฝันที่เพิ่งเกิดขึ้น มันเป็นความฝันที่ชายชราไม่เคยฝันเลยแม้แต่ครั้งเดียว และชายชราจึงคิดว่าความฝันที่เกิดขึ้นเป็นความฝันประหลาด ชายชราฝันไปว่า มีปลาใหญ่รูปร่างประหลาดมาติดเบ็ด ปลาใหญ่ตัวนั้นมันดิ้น เพื่อจะให้ตัวเองหลุดจากเบ็ด ทุกครั้งที่มันดิ้น น้ำจะแตกกระจายขึ้นไปในอากาศ รูปร่างของปลาตัวนี้ชายชราไม่เคยเห็นมาก่อน ส่วนหัวของมันสีขาวคล้ายปลาเลิม ส่วนตัวมีลายคล้ายหินอยู่เต็มตัว มีหางคล้ายปลากระทิง เมื่อลากเส้นผ่าสูญกลางผ่านมุมปากเส้นผ่าสูญกลางจะผ่ากลางดวงตาของปลาตัวนี้พอดี ในฝันนั้นชายชราเห็นตัวเองกำลังดึงปลาตัวนั้นเข้าฝั่ง ทุกครั้งที่ดึงมันเข้าฝั่ง มันก็จะดึงชายชรากลับลงไปในน้ำ ชายชรากับเจ้าปลาประหลาดตัวนั้นต่อสู้กันเนิ่นนาน แต่ไม่มีผู้ใดยอมแพ้ เมื่อตะวันสายโด่ง ความร้อนได้ทำให้ชายชราเหนื่อยหอบ เรี่ยวแรงเคยมีก็ค่อยๆ หายไป ขณะชายชรานั่งพักเหนื่อยอยู่ริมฝั่ง ปลาประหลาดตัวนั้นก็กระโดดขึ้นเหนือสายน้ำ ก่อนมันจะตกลงไปในน้ำ สีของมันได้เปลี่ยนเป็นสีทอง เมื่อมันจมลงสู่น้ำ ก็เป็นเวลาที่ชายชราหายจากการตกตะลึง เมื่อตั้งสติได้ ชายชราก็แก้เชือกสายเบ็ดและลองดึงเจ้าปลาประหลาดตัวนั้น หลังชายชราใช้มือสาวเชือก ๒-๓ ครั้ง เชือกสายเบ็ดเบาโหวง แรงดึงที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้เหมือนว่ามันไม่เคยเกิดขึ้นหลังสาวเชือกขึ้นมาบนฝั่งจนหมด ชายชราก็พบว่า ตรงปลายเชือกผูกเบ็ดมีเพียงเบ็ดดวงเดียว ปลาประหลาดตัวนั้นหายไปแล้ว ขณะชายชราตะลึงงันอยู่ ลมหนาววูบใหญ่ก็พัดมาอย่างแรง ลมนั้นพัดชายชราจนล้มลง เมื่อนอนกองอยู่กับพื้นความทรงจำของชายชราก็ดับวูบลง หลังคววามจำสุดท้ายดับวูบลง ชายชราก็สะดุ้งตื่น...สิ้นเสียงไก่ขันครั้งที่ ๒ ของค่ำคืน ชายชราก็ตัดสินใจลุกจากที่นอน เพราะหลังจากความฝันประหลาดผ่านพ้นไป ชายชราก็ไม่สามารถข่มตาให้หลับได้ เมื่อตื่นขึ้นมาชายชราก็นั่งเรียบเรียงความฝันประหลาดนั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า ชายชรามึนงงกับความฝันเป็นอย่างมาก ในชีวิตแกไม่เคยฝันอะไรแปลกประหลาดอย่างนี้ แต่ยิ่งคิดก็ยิ่งมึนงงสับสน เมื่อความมึนงงสับสนไม่มีทีท่าว่าจะหาย สุดท้ายชายชราจึงหยุดคิดถึงความฝันประหลาด หลังความมึนงงสับสนหายไป ชายชราก็ลุกออกจากกระท่อมเดินไปท่าน้ำ เมื่อไปถึง ชายชราก็เดินขึ้นไปบนเรือ และพายเรือออกไปจากท่าน้ำตะวันสายโด่งแล้ว ชายชรากับเรือหาปลาได้เดินเข้ากลับเข้าฝั่ง หลังจากออกไปเก็บกู้เบ็ด สีหน้าของชายชราหม่นเศร้าลง เพราะไม่มีปลาแม้แต่ตัวเดียวติดเบ็ด เมือเรือเข้าถึงฝั่ง ชายชราก็ผูกเรือกับเสาไม้ไผ่ เมื่อผูกเรือเรียบร้อย ก็ลุกขึ้นเดินไปปลดเครื่องยนต์ตรงท้ายเรือ จากนั้นก็ยกขึ้นบนบ่า ก่อนจะค่อยๆ เดินออกจากเรือขึ้นไปบนกระท่อมหลายวันมาแล้วที่หาปลาไม่ได้ วันนี้ชายชราจึงตัดสินใจกลับบ้าน หลังจากเก็บของทุกอย่างบริเวณกระท่อมไว้อย่างดีแล้ว ชายชราก็แบกถุงปุ๋ยใส่เสื้อผ้าเดินจากกระท่อมขึ้นมาตามทางเดินแคบ และชันไปบนถนน เพื่อรอรถโดยสารกลับบ้านบรรยากาศของพลบค่ำเริ่มมาเยือน ท้องฟ้าในฤดูหนาวมืดเร็วกว่าฤดูอื่น ขณะตะวันใกล้ลับตา ผมได้รู้จากแม่เฒ่าว่าชายชรากลับมาแล้ว ผมก็เลยตัดสินใจไปหาชายชรา เพราะยากได้ปลาไปลาบสักตัวอยู่พอดี พอเดินไปถึงบ้าน ชายชราก็ชวนนั่งบนเตียงหน้าบ้าน ถัดมาจากผมและชายชราไป แม่เฒ่ากำลังล้างทำความสะอาดปลา เพื่อทำอาหารเย็น หลังผมนั่งลงเรียบร้อย ชายชราก็ยกน้ำใสแจ๋วออกมา ชายชราบรรจงรินมันใส่แก้วใบเล็กแล้วยื่นให้ผม หลังรับมาผมก็ยกครั้งเดียวหมด หลังน้ำใสแจ๋วผ่านลำคอ ไปสู่กระเพาะ ความร้อนจากแรงดีกรีก็เริ่มทำงาน เมื่อผลยื่นแก้วกลับไปให้ชายชราผมก็ถามชายชราว่า “วันนี้ได้ปลาอะไรบ้างพ่อเฒ่า”“ได้ปลาสะโม้ตัวเดียว ขายไปแล้ว ตอนแรกว่าจะไม่ขายแต่กลัวไม่มีค่าน้ำมันเรือขึ้นไปเก็บกู้เบ็ดก็เลยขาย ปลานี่มันใจเสาะตายเร็วถ้าได้มาต้องรีบขาย หรือไม่ก็เอาแช่น้ำไว้ ถ้าตายมันได้ราคาไม่ดี ปลาอะไรไม่รู้พอได้มาเราต้องรีบเอาไปทำอย่างอื่น จับปลาเหมือนจับไฟเลย มันคงร้อนตอนอยู่ในมือเรา มันก็เลยให้เรารีบปล่อยมัน ถ้าไม่ปล่อยมันตายเลย”“ได้เงินมาเท่าไหร่พ่อเฒ่า”เมื่อผมถามถึงจำนวนเงินจากการขายปลา ชายชราไม่ตอบ แต่ลุกเดินไปหยิบเงินในกระเป๋าเสื้อออกมาให้ดู“ได้เท่านี้แหละ ไม่รู้ว่าพรุ่งนี้จะได้ปลาหรือเปล่าหรือจะกลับมามือเปล่าอีกก็ไม่รู้”พอพูดคำนี้ออกมา แกก็หันหน้าไปทางอื่นไม่ยอมหันมาสบตากับผม ในแววตาของชายชราหม่นเศร้าลงชั่วขณะ “พรุ่งนี้จะขึ้นไปหาปลาอยู่หรือเปล่า”“ไปอยู่ ตอนแรกว่าจะไม่ไป พอคิดไปคิดมา ถ้าเราไม่ไปใครจะเปลี่ยนเหยื่อเบ็ดให้”“แล้วไปเช้าไหมพ่อเฒ่า”“เช้าอยู่ แต่ถ้าไปครั้งนี้พรุ่งนี้ไม่ได้ปลาอีกจะไม่เอาเรือลงมาแล้ว จะมากับรถโดยสาร มันถูกกว่า เอาเรือมาจ่ายค่าน้ำมันทั้งไปและกลับแพงกว่าค่ารถโดยสารเท่าตัว”“ถ้าว่างก็ขึ้นไปเที่ยวหาสิ” เสียงของแม่เฒ่าเชิงแสดงความคิดเห็นดังเล็ดลอดออกมาจากในครัว หลังจากปลาปิ้งเริ่มส่งกลิ่นหอมเมื่อแม่เฒ่าพูดจบ ผมก็ตอบแม่เฒ่ากลับไปว่า“พรุ่งนี้ผมจะขึ้นไปเที่ยวหาพ่อเฒ่าอยู่บอกแกแล้ว”ตอนนี้เสียงทำอาหารในครัวเงียบลงแล้ว ตรงหน้าประตูห้องครัว แม่เฒ่ากำลังถือจานปลาปิ้งเดินออกมา หลังวางจานปลาปิ้งลง แม่เฒ่าก็เดินกลับไปในครัวอีกครั้ง แล้วก็กลับออกมาพร้อมด้วยกระติ๊บข้าวและถ้วยน้ำพริก มื้อเย็นสำหรับสองผู้เฒ่าในวันนี้คือ ปลาตากแห้งปิ้งกับน้ำพริกปลาร้าแม่เฒ่าชวนผมกินข้าวด้วย แต่เพราะความเกรงใจผมจึงบอกปฏิเสธ และขอตัวกลับบ้าน ก่อนจะกลับ ชายชราได้ยื่นแก้วใบเดิมมาให้ ผมรับแก้วมาจากชายชราแล้วยกขึ้นแก้วขึ้นดื่มน้ำในแก้วรวดเดียวหมด หลังน้ำในแก้วหมด ผมก็ยื่นแก้วกลับคืนไปให้ชายชรา จากนั้นก็เดินจากบ้านหลังนั้น และผู้เฒ่าทั้งสองมาตามถนนกลับไปสู่บ้านพักเมื่อวงข้าวเริ่มต้นขึ้น ผมจึงตัดสินใจร่ำลาผู้เฒ่าทั้งสอง เพื่อปล่อยให้บรรยากาศแห่งความสุขในยามค่ำคืนของผู้เฒ่าทั้งสองกลับมาอีกครั้ง เพราะวันพรุ่งนี้คนหนึ่งต้องเดินทางออกจากบ้าน เพื่อไปทำมาหากิน และไม่รู้ว่าวันพรุ่งนี้ ผู้เฒ่าทั้งสองจะได้ร่วมวงกินข้าวมื้อเย็นด้วยกันอีกหรือไม่ หลังผมกลับมาถึงบ้านพักก็หวนคิดถึงคำพูดของเพื่อนคนหนึ่งที่บอกว่า หากเราไม่จากกัน เราคงไม่ได้พบกัน ในยามจากถึงแม้เราต้องเดินทางไปส่งกันไกลเพียงไหน สุดท้ายเราก็ต้องจากกันอยู่ดี และความจริงก็คงเป็นเช่นนั้น โดยเฉพาะกับผู้เฒ่าทั้งสองคน เมื่อยามเช้าเดินทางมาถึง ห้วงยามแห่งการจากลาระหว่างก็จะเดินทางมาถึง ในความจริง ยามเช้าอาจหมายถึงการเริ่มต้นในหลายๆ สิ่ง แต่ในขณะที่บางคนต้องตื่นมาพบกับยามเช้าอันจบลงด้วยการพรัดพราก หากว่ายามเช้าคือความเศร้าของชีวิต โลกยามเช้าจะเป็นโลกชนิดใด จังหวะชีวิตอันเกิดขึ้นจากโลกอันโศกเศร้าจะเป็นเช่นไรคงยากจะคาดเดาได้...
ฐาปนา
 ผมเพิ่งจะไปเที่ยววัดพระธาตุดอยสุเทพมาครับ หลังจากไม่ได้ไปมาเป็นเวลาร่วมสิบปี  ครั้งสุดท้ายที่ขึ้นไปคือตอนที่เรียนมหาวิทยาลัย พอย้ายมาอยู่ทางเหนือก็ไม่ได้โอกาสเสียที มาสบโอกาสเอาก็ตอนลมหนาวเริ่มมาเยือนนี่เอง ขับมอเตอร์ไซต์ขึ้นดอยตอนเช้า อากาศเย็นสบาย ใช้เวลาสัก 20-30 นาทีเท่านั้นวัดพระธาตุดอยสุเทพเป็นสถานที่อันดับแรกที่ใครต่อใครที่มาเชียงใหม่จะต้องมาเยือนมาชม มากราบไหว้ เพื่อเป็นศิริมงคลแก่ตนเอง ที่นี่จึงเต็มไปด้วยผู้คนมากมายตลอดเวลา ยิ่งในช่วงฤดูหนาวซึ่งเป็นฤดูท่องเที่ยว ดูเหมือนว่า ดอยสุเทพคือสถานที่แรกที่ทุกคนต้องมา ก่อนจะไปที่อื่นชาวต่างประเทศอาจต้องการชมความงามของสิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่เมืองเชียงใหม่ ชาวไทย ชาวพุทธ ก็คงต้องการมากราบไหว้บูชาพระบรมธาตุ ที่มีจุดประสงค์อื่นก็ไม่น้อย มาทำธุรกิจ มาแจกของ มาขอรับบริจาค ฯลฯ แสดงให้เห็นว่า ไม่ว่าโลกจะเปลี่ยนไปอย่างไร “วัด” ยังคงเป็นสถาบันหลักของสังคมไทยเสมอวันที่ผมขึ้นไปนั้นเป็นวันอาทิตย์ ขณะที่ขับรถตามทางขึ้นดอยไปเรื่อยๆ ก็มีรถวิ่งสวนขึ้นสวนลงอยู่ตลอดเวลา ทั้งรถส่วนตัว รถทัวร์ รถตู้ รถมอเตอร์ไซค์ รถจักรยาน แม้แต่คนที่เดินขึ้นก็ยังมี เมื่อขึ้นไปถึงก็พบกับรถจำนวนมากแทบจะเต็มลานจอดรถ กับผู้คนมหาศาลราวกับกำลังมีงานเทศกาล ซึ่งก็คงจะเป็นเรื่องปกติสำหรับที่นี่ขณะที่พิจารณาจำนวนรถและจำนวนคน ผมก็คิดของผมไปเรื่อยว่า ในสถานะหนึ่ง ที่นี่คือวัด แต่อีกสถานะหนึ่งที่นี่เป็นสถานที่ท่องเที่ยว ถ้าว่ากันตามความน่าจะเป็น สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ควรจะเป็นที่ๆ เต็มไปด้วยความสงบเงียบ แต่ด้วยบริบทของสังคมที่เปลี่ยนไป เราก็ต้องยอมรับความต่างนี้ในที่สุด นานๆ ไปเราก็เริ่มชินกับสถานภาพที่แตกต่างแต่มาอยู่รวมกัน ทว่าเมื่อเกิดปัญหาอันเนื่องมาจากความลักลั่นอักเสบ เราก็อาจสูญเสียความสามารถที่จะแยกแยะความเหมาะกับไม่เหมาะไปเสียแล้ว สิ่งเหล่านี้เราไม่ใช่ผู้กำหนดขึ้น เราเพียงแต่อยุ่ในระบบที่เป็นมาและเป็นไปเท่านั้นเดินขึ้นบันไดพญานาคทดสอบกำลังกายกำลังใจกันแล้วก็ขึ้นไปถึงลานด้านหน้า ซึ่งมีรูปปั้นของ ครูบาศรี วิชัย นักบุญผู้ยิ่งใหญ่แห่งล้านนา ผู้นำในการสร้างถนนขึ้นสู่ดอยสุเทพ เป็นจุดแรกที่คนส่วนใหญ่จะมาจุดธุปเทียนสักการะบูชาผมเดินวนไปทางซ้ายเที่ยวชมสิ่งต่างๆ ที่อยู่รอบๆ  สังเกตว่า สัดส่วนของนักท่องเที่ยวชาวไทยกับชาวต่างชาติแทบจะครึ่งต่อครึ่ง และไม่ใช่เรื่องแปลกที่ชาวชาติจะให้ความสนใจกับทุกสิ่งทุกอย่างมากกว่าคนไทย แม้แต่ต้นไม้ ดอกไม้ รายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ทุกอย่าง เขาก็ดูจะตื่นเต้นตื่นตาตื่นใจไปเสียทั้งหมด  เพราะหากว่าเราไปเที่ยวเมืองนอกเราก็คงไม่ต่างจากเขา แต่สิ่งที่ไม่ว่าใครก็ไม่สนใจก็มีอยู่เหมือนกัน ทั้งที่มันเป็นสิ่งที่ผมคิดว่า ผู้ที่เรียกตัวเองว่า ชาวพุทธ น่าจะให้ความสนใจไม่น้อยกว่าสิ่งอื่นป้ายพลาสติกสีแดงเป็นภาษาบาลีและมีคำแปลเป็นภาษาไทยที่ติดอยู่ราวเหล็กกั้น คงเป็นสิ่งสุดท้ายที่ใครจะหันมอง จะเป็นเพราะมันไม่สะดุดตา ไม่มีใครมาจุดธูปเทียนกราบไหว้ หรือ จะเป็นเพราะความเคยชินไปที่ไหนก็เจอ หรือจะเป็นเพราะอ่านไปก็ไม่เข้าใจและไม่คิดจะเข้าใจ หรือจะเป็นเพราะเหตุอื่นใด ผมก็ไม่อาจทราบได้ แต่สิ่งที่ผมแน่ใจคือ ข้อความเหล่านี้ คือ “ธรรม” อันสำคัญยิ่ง ที่จะทำให้ผู้ปฏิบัติอยู่เหนือพ้นจากความทุกข์ได้ และการไปให้พ้นจากความทุกข์คือเป้าหมายสูงสุดของชาวพุทธทุกคนมิใช่หรือ ?ขนตี ปรม ตโป ตีติกขาความอดทนคือความอดกลั้นเป็นธรรมเผาบาปอย่างยิ่งนิพพาน ปรม วทนติ พุทธาพุทธบุคคลทั้งหลายย่อมกล่าวถึงพระนิพพานว่า เป็นธรรมชาติอันสูงสุดผมยืนอ่านอยู่พักหนึ่ง หวังว่าอาจจะมีใครให้ความสนใจมาหยุดอ่านเช่นเดียวกับผม แต่ก็ไม่มี ผมจึงเดินต่อไป ชมพิพิธภัณฑ์,จุดชมวิวเมืองเชียงใหม่,ตัวมอม และจุดตีฆ้องใหญ่ (ซึ่งมีป้ายระบุว่า อย่าตีแรง และ ห้ามลูบฆ้อง) ก็เข้าไปในบริเวณลานรอบองค์พระธาตุฯ องค์พระธาตุดอยสุเทพเมื่อสะท้อนแสงแดด เหมือนจะเปล่งแสงสีทองออกมาอาบทั่วบริเวณ หลังจากสักการะบูชาแล้ว หากใครได้ลองหยุดนั่งพิจารณาสักครู่จะรู้สึกได้ถึงความสงบและความอิ่มเอมที่เกิดขึ้นภายใน  รอบองค์พระธาตุ มีพระพุทธรูปตั้งเรียงรายอยู่เป็นจำนวนมาก ทั้งองค์ใหญ่องค์เล็ก ทั้งที่อยู่ในตัวอาคารและที่อยู่นอกตัวอาคาร ความแตกต่างก็คือ พระพุทธรูปที่อยู่ในตัวอาคาร จะมีผู้คนเข้าไปกราบไหว้อยู่ตลอดเวลา ส่วนพระพุทธรูปที่อยู่นอกตัวอาคาร แทบจะไม่มีคนให้ความสนใจเลยผมเกิดคำถามขึ้นในใจอะไรคือความต่างของพระพุทธรูปเหล่านี้ ที่ทำให้คนเลือกที่จะเคารพบูชา ?  ขนาด, ที่ตั้ง, มีชื่อ-ไม่มีชื่อ, เสียงเล่าลือถึงความศักดิ์สิทธิ์, พุทธลักษณะ  ฯลฯและแท้จริงแล้วเรากราบไหว้อะไรในพระพุทธรูป ? ตัวแทนของพระพุทธเจ้า, ความศักดิ์สิทธิ์ในเชิงปาฏิหาริย์, ความเชื่อว่าจะได้บุญ หรือเพราะเคยทำมาก็ทำต่อไปอย่างที่ไม่ต้องการจะตั้งคำถามผมตั้งคำถามเหล่านี้ ไม่ใช่เพราะจิตใจที่มืดดำหรือต้องการจะหมิ่นศาสนาอย่างที่ใครบางคนอาจกำลังคิดว่าผมกำลังจะทำ ผมเพียงแต่เกิดความสงสัยว่า คำว่า “พุทธะ” ในความหมายที่แท้จริงนั้นคือสิ่งใดกัน  พุทธะ อาจไม่ได้หมายถึงเพียงแค่ พระพุทธเจ้า หรือ พระพุทธรูป ธรรมะ อาจไม่ใช่แค่คำบาลีในพระไตรปิฎก และ สังฆะ(สงฆ์) ก็ไม่อาจใช่แค่นักบวชในศาสนาพุทธ  หากพิจารณาถึงความหมายที่ว่า พุทธะ คือ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ขอบเขตนิยามของคำว่า พุทธะ ธรรมะ และสังฆะ น่าจะกว้างมากกว่านั้น บางที อาจจะเป็นนามธรรมในลักษณะของปัจเจกด้วยซ้ำไป ทว่า ผมเองไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญทางศาสนา ไม่อาจวิเคราะห์อะไรเป็นหลักเป็นเกณฑ์ได้ เพียงแต่ความรู้สึกนั้นบอกว่า ทุกสิ่งทุกอย่าง แท้จริงไม่ใช่อยู่ภายนอก แต่อยู่ภายในตัวเรานี่เองคำสอนสำคัญอันหนึ่งของพระพุทธเจ้าคือ คำสอนที่ว่า ให้เราพึ่งตนเอง ไม่ใช่พึ่งสิ่งภายนอก แต่ดูเหมือนทุกวันนี้เราจะไม่เชื่อกันว่า “พุทธ”เกิดจากภายใน แต่กลับจะเชื่อว่าพุทธะนั้นอยู่ภายนอก เราจึงมุ่งแสวงหาคำตอบของโลกและชีวิตจากภายนอก แต่ไม่เคยคิดว่าคำตอบทั้งหมดนั้นอยู่ภายในตัวเราผมกลับลงมาจากดอยสุเทพด้วยคำถามในใจหลายข้อ ทั้งที่เมื่อก่อนไม่เคยมีคำถามอย่างนี้ อาจเป็นเพราะวัยที่เปลี่ยน ความคิดที่เปลี่ยน คำถามของผมไม่ได้มีเจตนาจะลดทอนหรือทำให้คุณค่าของศาสนาด้อยลงแม้แต่น้อย เพียงแต่คิดว่า หากมองด้วยขอบเขตที่กว้างกว่า อาจทำให้เรามองทะลุความซับซ้อนและเปลือกหนาไปจนเห็นแก่นที่เรียบง่ายและยิ่งใหญ่ได้ศาสดาและบรมครูผู้ยิ่งใหญ่แห่งศาสนาพุทธ ค้นพบหนทางพ้นทุกข์และมุ่งหวังให้ผู้คนได้ข้ามพ้นสังสารวัฏ พ้นการเกิด การดับ สิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงค้นพบคือสัจจะ คือความจริงสูงสุดของธรรมชาติ และเมื่อพระองค์นำมาเผยแพร่ พระองค์ก็สื่อด้วยความเรียบง่าย เข้าถึงคนหมู่มาก ทำให้ผู้คนต่างลัทธิ ต่างความเชื่อ ต่างยอมรับในธรรมด้วยความจริงเช่นนี้ ผมจึงเชื่อว่า แท้จริงแล้ว เราทุกคนสามารถเข้าถึงความรู้ในการพ้นทุกข์ได้ตามระดับความเข้าใจและการปฏิบัติของแต่ละคน ในเมื่อ “ธรรม” นั้นมีอยู่ตามธรรมชาติ ดังนั้น หากเราแสวงหา เราย่อมจะมองเห็นหนทาง แต่หากเราไม่แสวงหาเราก็ไม่อาจมองเห็นคนที่มาเที่ยววัดพระธาตุดอยสุเทพ แม้ดูเหมือนจะมีจุดประสงค์เดียวกัน คือมาเที่ยว แต่ผมคิดว่า ประสบการณ์ที่แต่ละคนได้รับอาจแตกต่างกันมาก บางคนผ่านมาแล้วก็ผ่านไป เป็นเพียงสถานที่หนึ่งที่เคยไปเยือน แต่บางคนอาจซึบซับบางสิ่งบางอย่างที่ทำให้ภายในเปลี่ยนแปลง อย่างน้อยที่สุด หากศรัทธาจากการสักการะบูชา จะทำให้เราได้หวนคืนสู่หนทางแห่ง “พุทธะ” ได้บ้าง แรงและเวลาก็คงไม่เสียเปล่า แน่นอน ศรัทธาเป็นสิ่งจำเป็น แต่หากไม่เป็นไปเพื่อสร้างปัญญา หนทางแห่งความพ้นทุกข์จะมีประโยชน์ต่อเราหรือ ?ผมไม่รู้แสงสีทองจากองค์พระธาตุจะส่องเข้าไปถึงใจใครได้บ้าง
มาลำ
พ่อหลับอยู่อย่างนั้นทั้งคืน มีเพียงเสียงหายใจและเสียงพลิกตัวเท่านั้นบอกเราว่า พ่อยังหลับอยู่ พ่อไม่ได้พูดอะไรที่ฉันฟังไม่เข้าใจอีกแล้ว พ่อหลับเงียบแน่นิ่ง ถึงกระนั้นฉันก็นั่งเฝ้าพ่อแบบตาไม่กระพริบ พ่อหลับโดยที่มีฉันนั่งจ้องพ่ออยู่อย่างนั้น นอกเหนือจากการเช็ดตัวให้พ่อ ดูยาที่หยดลงในสายน้ำเกลือ วัดความดันเลือดแล้ว ฉันไม่ได้ทำอย่างอื่นอีก นอกจากจ้องมองพ่อ   บางเวลาที่ดึกมากๆ ฉันง่วงมาก เผลอหลับฟุบลงบนเตียงพ่อ ข้างๆ มือที่มีสายน้ำเกลือระโยงระยาง  ฉันหลับอยู่ในท่านั้นจนสะดุ้งตื่น ทันที่ที่รู้สึกตัว ฉันลนลานจ้องมองพ่อ ดูที่หน้าอกพ่อว่าขยับเคลื่อนไหวหายใจอยู่หรือเปล่า หัวใจของฉันเต้นแรงจนแทบออกมานอกอก เห็นว่าพ่อยังหลับอยู่เหมือนเดิม ฉันจึงค่อยๆนั่งลง ถอนใจ บอกตัวเองว่าอย่าหลับอีกเลยนะ แล้วฉันก็นั่งอยู่อย่างนั้นจนแดดมาเยือน ทั้งที่ง่วงแสนง่วงจนปวดหัวไปหมด แต่ตาของฉันยังจับอยู่ที่หน้าพ่อตลอดเวลาหลังเช็ดตัวให้พ่อในตอนเช้า เปลี่ยนผ้าปูและเสื้อผ้าชุดใหม่ พ่อดูหน้าตาสดชื่นแม้อยู่ในอาการหลับ แม่เป็นคนรูดม่านเก็บเมื่อมาถึงในเช้ามืด แม่ถามฉันว่าเป็นอย่างไรบ้างลูก ไม่ได้นอนเลยหรือ ตาลูกเขียวลึกเลยหล่ะ พ่อเป็นอย่างไรบ้าง ฉันตอบแม่ว่าพ่อหลับตลอดเวลา ความดันเลือดดีขึ้นมาก หมอคงหยุดยาเพิ่มความดันได้ ที่สำคัญพ่อไม่ได้เพ้อเหมือนที่ผ่านมา พ่อหลับเงียบแน่นิ่ง  วันนี้พ่อคงจะตื่นเสียที  ลูกเลยไม่กล้าหลับเลยใช่ไหมเมื่อคืน แม่ถามฉัน ลูกกลัวที่เห็นพ่อหลับอย่างนั้นหรือเปล่า ฉันยิ้มและเงียบ รู้สึกปวดหัวและกระบอกตาจนบอกไม่ถูกฉันเดินสะโหลสะเหลไปที่โรงอาหาร ร้านอาหารเจเจ้าเดียวในโรงอาหารของโรงพยาบาลเป็นร้านเดียวที่ฉันนั่งตลอดมานับตั้งแต่พ่อป่วย เจ้าของร้านเป็นมุสลิมที่ทำอาหารเจแบบปักษ์ใต้ขาย ฉันนั่งลงก้มหน้าก้มตากิน เจ้าของร้านเอากับข้าวมาวางให้ พร้อมเอ่ยถามว่าใครไม่สบายหรือ พี่เห็นน้องเฝ้าอยู่นานเป็นเดือนแล้ว ฉันยิ้มให้พลางบอกว่า พ่อถูกรถชน ที่จริงดีขึ้นและกลับบ้านแล้ว กลับมานอนใหม่  ดีขึ้นแล้วเหมือนกัน  จริงๆ แล้วฉันกลับไปแล้วหนึ่งรอบคราวนี้มาใหม่สงสัยหลายวันอีกเหมือนกัน  เธอบอกนับว่ายังเป็นโชคดีของพ่อยังมีลูกสาวอย่างฉันมาเฝ้า ขอให้พ่อหายเร็วๆ นะ ฉันยิ้มให้เธอพร้อมคำขอบคุณกลับจากโรงอาหาร ฉันเดินไปดูพ่อ พ่อยังหลับอยู่อย่างนั้น หมอยังเดินมาไม่ถึงเตียงพ่อ  ฉันจึงเลือกที่จะมานอนอยู่ตรงระเบียงตึกที่พ่อนอนอยู่ เพราะไม่อยากกลับไปนอนที่บ้านพักน้องชายอีกแล้ว ฉันรู้สึกว่ามันทำให้ฉันกับพ่อห่างไกลกัน หลังปูเสื่อลงไปบนระเบียง  เอาผ้าคลุมหัวไว้แล้วฉันก็หลับลงไปในทันทีที่ล้มตัวลงนอน ฉันตื่นขึ้นมาในตอนบ่ายมากแล้ว แดดบ่ายร้อนแรงส่องมากระทบบนเสื่อที่ฉันนอนอยู่ทำให้ฉันลุกมานั่งอย่างงงๆ หลังรู้ตัวว่านอนอยู่ไหน ฉันลุกเดินอย่างรวดเร็วไปยังเตียงของพ่อ  พ่อส่งยิ้มให้ฉันมาแต่ไกล หน้าตาพ่อสดชื่น สายน้ำเกลือและสายออกซิเจนหายไปแล้ว เหลือเพียงจุดฉีดยาเล็กๆที่ข้อมือ เข่าขวาของพ่อปิดผ้าก็อสใหม่  หมอว่าพ่อดีขึ้นมากแล้วลูก หมอมาทำแผลแล้วบอกพ่ออย่างนั้น วันนี้พ่อหายเพลีย หายเหนื่อยสบายขึ้นมากๆเลย  พ่อให้แม่เดินไปดูลูกเห็นหลับสนิทเลยไม่ได้กวนใจ พ่อรู้ว่าลูกไม่ได้หลับเลยในเวลากลางคืน พ่อเห็นลูกนั่งจ้องพ่ออยู่อย่างนั้นตลอดเวลา ฉันยิ้มให้พ่อ  แสดงว่ามีบางเวลาที่พ่อตื่นมาดูฉัน อย่างน้อยพ่อก็ไม่ได้หลับตลอดเวลาอย่างที่ฉันคิด ลูกคงเพลียน่าดู  พ่อพูดต่อ พ่อกลัวลูกจะไม่สบายไป พ่อดีขึ้นมากแล้วคืนนี้กลับไปนอนกับน้องชายเถอะ พ่ออยู่คนเดียวได้แล้วแข็งแรงขึ้นมากแล้วลูก  ฉันยิ้มให้พ่อแล้วบอกว่า พรุ่งนี้ก็แล้วกันพ่อจ๋า วันนี้ขอนอนอยู่ใกล้ๆพ่ออีกคืน ไม่เป็นไรหรอก ลูกเคยชินแล้วกับการนั่งหลับ คงเหมือนพ่อ ลูกไม่เคยเห็นพ่อนอนเลยตลอดมา พ่อทำงานหนักตลอดเวลา ตอนนี้มีเวลานอนแล้วนะพ่อ เวลาที่เป็นของเราแล้ว ดีแล้วที่พ่อได้หลับยาวนานอย่างนี้ สามวันสามคืนของการนอนหลับของคนที่ไม่เคยได้หลับอย่างแท้จริง  พ่อคงสบายขึ้นมากแล้วแล้วฉันก็พยุงพ่อออกเดินในตอนเย็น  เราหัดเดินกันตรงริมระเบียงของตึกใกล้ที่ๆฉันปูเสื่อนอนตอนเช้า  แดดอ่อนตอนเย็นโรยลงบนทางเดิน ลมเย็นโชยมาพร้อมใบไม้ที่ปลิวผ่านหน้า พ่อหายใจแรงขณะยกที่ช่วยพยุงเดินไปทีละก้าว  พ่อดูเหนื่อยอ่อน หายใจหอบจนต้องหยุดเมื่อเดินได้เพียงสองสามก้าว ฉันจับแขนของพ่อไว้ กล้ามเนื้อของพ่อเริ่มเหี่ยวแห้งลง ฉันมองหน้าพ่อแล้วมองอีก ในใจของฉันนึกย้อนไปแสนไกลภาพพ่อหาบข้าวผ่านหน้าฉันไป แสกหาบเป็นหวายสูงกว่าหัวฉันอีกเมื่อจับแสกยืนขึ้น ทั้งที่ข้าวเต็มหาบ แต่พ่อแบกเหมือนมันไร้น้ำหนัก พ่อเดินผ่านหน้าฉันไปเหมือนมีวิชาตัวเบา แต่เสียงเอี๊ยดอ๊าดของหาบ ผ่านหูเมื่อพ่อมาอยู่ใกล้ทำให้ฉันรู้ว่ามันหนักเหลือเกิน เมื่อพ่อกองข้าวที่หาบมาฉันรู้ว่ามันเกือบสูงท่วมหัวฉัน  เลียงข้าวที่พ่อเรียงบนแสกบานเหมือนกลีบดอกไม้สี่กลีบ มันสวยจับใจ  พ่อหาบข้าวแสกแล้วแสกเล่า วันแล้ววันเล่าจนกองข้าวที่นาทั้งหมดมาอยู่ที่ลอมข้าวตรงหน้าฉันในโรงที่พ่อทำมันขึ้นเพื่อเก็บข้าวที่เรากินทั้งปี  ฉันเป็นคนโยนเลียงข้าวให้พ่อจากกองที่หาบมาเป็นลอมข้าวที่พ่อวางเรียง ลอมข้าวจะสูงใหญ่ขึ้นไปเรื่อยๆในขณะที่กองข้าวที่หาบมาจะเล็กลงไปเรื่อยเช่นกัน เมื่อลอมข้าวสูงขึ้นจนท่วมหัวฉัน ฉันต้องออกแรงจนสุดเพื่อโยนเลียงข้าวให้ถึงมือพ่อบนลอมข้าวนั้น  ในตอนนั้นฉันหอบหายใจจนตัวโยน ภาวนาให้เลียงข้าวหมดก่อนที่ฉันจะหมดแรง แล้วมันก็เสร็จลงจนได้เมื่อเรี่ยวแรงของเราไม่มีเหลือ แล้วฉันนอนลงมองลอมข้าวที่สูงลิบเหนือหัวของฉันสองสามช่วงตัว ในใจฉันนึกแปลกใจที่สุด พ่อทำมันเพียงลำพังได้อย่างไร พ่อก่อลอมข้าวที่สูงใหญ่ขึ้นด้วยสองมือ  ก่อนพลบค่ำของวันนี้  เมื่อเราต่างหยุดเดินฉันพยุงพ่อนอนบนเตียง แล้วจับมือพ่อไว้  วันนี้ของเราดีหนักหนาพ่อจ๋า เราได้เดินอยู่ด้วยกันและพ่อกำลังแข็งแรงขึ้นแล้ว เป็นสิ่งที่ฉันดีใจที่สุดแล้ว ไม่ว่าพรุ่งนี้ของเราจะหนักหนาอย่างไร เราจะมีกำลังใจนะพ่อ แล้วฉันกอดพ่อไว้ด้วยหัวใจที่เข็มแข็ง บอกตัวเองว่าแม้จะเหนื่อยหนักอย่างไรฉันจะไม่หวั่น เหมือนพ่อก่อกองข้าวไว้ให้พวกเราทุกคน กองไว้ในใจฉันเสมอมา
ชิ สุวิชาน
หลังจากดูสารคดีด้วยกันจบ “ผมอยากฉายสารคดีชุดนี้สู่สาธารณะ เพื่อสร้างความเข้าใจแก่คนทั่วไปในสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ผมอยากให้คุณมาร่วมเล่นดนตรีด้วย คุณ โอ เค มั้ย” เขาถามผมผมนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง เพราะผมไม่รู้จะปฏิเสธอย่างไร  ผมรู้สึกว่า มันเป็นสิ่งที่ต้องทำ  ผมบอกกับตัวเองว่า เพียงแค่เห็นใจและเข้าใจอาจไม่เพียงพอ   หากสามารถเป็นส่วนหนึ่งที่จะช่วยสื่อสารเรื่องราวของผู้ทุกข์ยาก โดยเฉพาะคนชนเผ่าเดียวกันได้  มันก็ควรทำไม่ใช่หรือหลังจากผมตอบตกลงเขา เราทั้งสองได้พูดคุยประสานงานกันเกี่ยวกับงานอยู่เรื่อย ๆ จนเวลาลงตัวในวันที่ 21 ธันวาคม ศกนี้ ณ สมาคม AUA เชียงใหม่ ในหัวข้อ “ดนตรีและหนังสารคดีเพื่องานบรรเทาทุกข์”  ผมอยากเชิญชวนประชาชน  ผู้รักประชาชนด้วยกัน  ประชาชน ผู้เข้าใจประชาชนด้วยกัน ประชาชน ผู้ทนทุกข์ภัยใต้อำนาจของชนชั้นปกครองด้วยกัน เผื่อเกิดแรงกระตุ้นที่จะทำอะไรบางอย่างเพื่อประชาชนด้วยกันผมขออนุญาตนำเสนอรายละเอียดของงาน ทั้งเวลาและสถานที่ตามโปสเตอร์ข้างล่างนี้แล้วเจอกันในงานนะครับ มาดูสารคดีและ ฟังดนตรีเพื่องานบรรเทาทุกข์แก่ประชาชนร่วมกันต่าบลื๊อ ครับ
แสงพูไช อินทะวีคำ
ที่ ESCUDERO, ประเทศ Philippines“ไปทานข้าวกันเถอะ!”..............เธอเป็นคนค่อนข้างอ้วนท้วน  ยักไหล่เบาๆ...ปล่อยคำทักทายเหมือนกับเธอมีอำนาจสูงสุด ใช่จริงด้วยเพราะเวลานี้มันเลยเที่ยงไปแล้ว หลายคนท้องร้อง คอยให้ผู้รับผิดชอบงานสัมมนาบอกให้หยุดพักได้“วันนี้ไปรับประทานอาหารในสถานที่แปลกๆ กันนะ”....เธอร้องบอก ขณะที่ทุกคนเร่งเดินออกจากห้องประชุมมุ่งหน้าไปที่ร้านอาหาร......“เขาบอกว่าจะทานข้าวบนผิวน้ำ!”....หนุ่มฟิลิปปินส์คนหนึ่งเดินเข้ามาพูดกับผม“อ้าว! จะไปทานได้ไงล๋ะ?”“ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน”ผมมองหน้าเขา แล้วหนุ่มคนนั้นก็มองหน้าผม ในที่สุดเราทั้งสองก็หัวเราะ เพราะไม่รู้จะพูดอะไรอีก เมื่อมันแปลกถึงขั้นนั้น. ผมและเขาเดินขนานกันไป แล้วผมก็เลี้ยวช้าย เขารีบมาดึงแขนผมไว้“ไม่ใช่ที่ร้านอาหาร...ไปทางนี้”แกบอกพร้อมดึงมือผมไปเบาๆ.......ที่นั้น....ต้องเดินลงตามบันไดคอนกรีต พอถึงริมน้ำ ผมทอดสายตามองรอบๆ นี่คือลานหินที่กว้างมาก โดยเจ้าของร้านใช้ไม้มาทำเป็นเสาค้ำ ด้านบนมีแผ่นสี่เหลี่ยมรองพื้นเพื่อใช้วางจานอาหาร ผู้คนที่มาทานอาหารจะต้องเดินค่อยๆ เดินอย่างระมัดระวังไปตามลานหินที่มีน้ำไหลลื่น...ผมถอดรองเท้าออก ค่อยๆ เดินลงสู่ผิวน้ำบนลานหิน ค่อยๆ ทอดน่องไปข้างหน้า จิกนิ้วเท้าลงกับลานหินเพื่อกันลื่น เมื่อได้อาหารแล้วก็ค่อยๆ เดินไปหาที่นั่ง ทานอาหารไป สายตาก็มองไปรอบๆ  หลายคนหัวเราะเบาๆ....บางคนหัวเราะชอบใจเมื่อมองเห็นคนลื่นลงไปที่พื้นลานหินใต้ผิวน้ำผมทานข้าวไป นึกถึงภาพของหลายๆ คนที่ลื่น หลายคนล้มลง แขนกระแทกกับหินทำให้แขนหัก หลายคนล้มหัวกระทบกับหินจนหัวแตก มองดูสายน้ำที่มีหยดเลือดสีแดงเข้มปะปน เพื่อนบางคนต้องช่วยเพื่อนที่ได้รับบาดเจ็บ ขณะที่ช่วยอยู่นั้นตัวเองก็ล้มลง เข่ากระแทกกับหินจนเข่าแตกไปอีก...“นี่...คุณคิดอะไรถึงดูเศร้าสร้อยขนาดนั้น?”“ไม่มีอะไรหรอก......” ผมเงยหน้ามองเพื่อนแล้วตอบเหมือนร่างที่ไร้วิญญาณ“มองดูหน้าคุณ มันฟ้องให้เห็นว่า คุณกำลังมีปัญหา...”“โอ...งั้นหรือ?”...ผมเดินออกจากร้านอาหารบนผิวน้ำ โดยไม่รอใครเลย แม้กระทั้งเพื่อนชาวอินโดนีเซียที่สนิทที่สุด เดินไปก็คิดไปด้วย“เอ่อ....กูบ้าหรือเนี่ย.....ทำไมต้องคิดอย่างนั้นด้วย”“ไม่....กูไม่ได้บ้า....”  คิดตอบเอง“ถ้างั้น....ผมบ้าหรือเปล่า?.......”
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
ผมเป็นคนที่วิตกกังวลกับทุกสิ่งทุกอย่าง ผมวิตกว่าตัวผมผอมไป วิตกว่าผมจะร่วงจนหมดศีรษะ กลัวไปว่าแต่งงานแล้วจะหาเงินเลี้ยงครอบครัวได้ไม่พอ กลัวว่าจะเป็นพ่อที่ดีของลูก ๆ ไม่ได้ และเพราะเหตุที่ตัวผมเองมีชีวิตไม่ค่อยเป็นสุขนัก ผมจึงวิตกกังวลเกี่ยวกับภาพพจน์ของตัวเองที่ปรากฏต่อคนอื่นเพราะความวิตกกังวล ทำให้ผมเกิดแผลในกระเพาะอาหาร ผมทำงานไม่ไหวอีกต่อไปต้องหยุดงานอยู่กับบ้าน ผมวิตกกังวลมากเกินไปจนเลยขีดขั้นจำกัด คล้ายกับหม้อน้ำเดือดที่ปราศจากวาล์วปิดกั้น จนทำให้ผมต้องเป็นโรคประสาทอย่างหนัก ผมไม่สามารถพูดกับใครได้เลย แม้แต่กับคนในครอบครัวของผมเอง ผมควบคุมความคิดของตัวเองไม่อยู่ และรู้สึกหวาดกลัวไปหมด ผมสะดุ้งสุดตัวแม้เพียงได้ยินเสียงเบาที่สุด และคอยหลบหลีกการเผชิญหน้ากับใคร ๆ ทุกคนในบางครั้ง ผมร้องไห้ออกมาโดยไม่มีเหตุผลใด ๆ เลย ผมรู้สึกราวกับถูกทุก ๆ คนทอดทิ้งให้อยู่คนเดียว และอยากจะจบชีวิตด้วยการกระโดดลงแม่น้ำให้จมหายไป...วันหนึ่งผมจึงตัดสินใจออกเดินทางไปฟลอริดา โดยหวังว่า การเปลี่ยนสถานที่จะทำให้ผมรู้สึกดีขึ้น ขณะที่กำลังจะขึ้นรถไฟ พ่อของผมได้ยื่นจดหมายให้ฉบับหนึ่ง และสั่งผมไม่ให้เปิดออกอ่านจนกว่าจะถึงฟลอริดา ผมมาถึงฟลอริดาในขณะที่กำลังเป็นหน้าท่องเที่ยว ผมจึงหาโรงแรมพักไม่ได้ ต้องอาศัยเช่าโรงรถแห่งหนึ่งอยู่ผมพยายามหางานเป็นคนส่งของอยู่นอกเมืองไมอามี่ แต่ก็ไม่ได้งาน ดังนั้นผมจึงใช้เวลาอยู่ที่ชายหาด  ผมรู้สึกย่ำแย่มากกว่าอยู่ที่บ้านเสียอีก ดังนั้นผมจึงเปิดจดหมายพ่อออกอ่าน ข้อความในจดหมายมีว่า“ลูกเอ๋ย ตอนนี้เจ้าอยู่ห่างจากบ้านถึง 1500 ไมล์ แต่เจ้าก็ยังไม่รู้สึกดีขึ้นเลยใช่ไหม พ่อรู้ว่าเจ้าจะต้องรู้สึกเช่นนั้นแน่ เพราะเจ้าได้นำเอาตัวการที่ทำให้เจ้าไม่สบายใจติดตัวไปด้วย นั่นก็คือตัวเจ้าเองยังไงละ ไม่มีอะไรผิดปรกติเกิดขึ้นกับร่างกายหรือจิตใจของเจ้าหรอก ไม่ใช่สถานการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นทำให้เจ้าเป็นเช่นนี้หรอก แต่ความคิดที่เจ้ามีต่อสถานการณ์พวกนั้นต่างหาก ที่ทำให้เจ้าต้องเป็นทุกข์ ดังนั้นเมื่อเจ้าได้ตระหนักถึงความจริงข้อนี้แล้ว พ่ออยากให้เจ้ากลับบ้าน แล้วหายจากอาการเหล่านั้นเสียที ”จดหมายของพ่อทำให้ผมโกรธมาก เพราะผมหวังว่าจะมีใครสักคนสงสารผม ไม่ใช่มาสั่งสอน ผมโกรธมากจนตัดสินใจจะไม่กลับไปบ้านอีกเลย ในคืนนั้นเอง ขณะที่ผมกำลังเดินอยู่บนถนนในไมอามี่ ผมได้มาถึงโบสถ์ซึ่งกำลังมีการทำพิธีกันอยู่ เนื่องจากผมไม่มีที่จะไปอยู่แล้ว จึงแวะเข้าไปในโบสถ์นั้น เพื่อฟังบทเทศน์ในบทที่กล่าวว่า“ผู้ที่เอาชนะใจตนเองได้นั้น ยิ่งใหญ่กว่าผู้รบชนะได้เมืองทั้งเมือง”เมื่อเข้ามานั่งในโบสถ์และได้ยินคำสอน เช่นเดียวกับที่พ่อผมได้กล่าวไว้ในจดหมาย ทำให้ผมได้คิดอย่างมีเหตุผลเป็นครั้งแรกในชีวิต ผมช่างเป็นคนโง่เขลาอะไรเช่นนั้น ที่พยายามจะเปลี่ยนแปลงโลกและมนุษย์ทุกคน ในขณะที่มีสิ่งเดียวเท่านั้นที่ต้องเปลี่ยนนั่นคือทัศนคติการมองโลกของผมนั่นเองเช้าวันต่อมาผมจึงจัดของลงกระเป๋าเดินทางกลับมาบ้าน และอีกอาทิตย์หนึ่งต่อมา ผมก็ได้งานทำ ต่อมาอีกเดือนหนึ่ง ผมได้แต่งงานกับผู้หญิงที่ผมเคยหวาดกลัวว่าจะต้องสูญเสียเธอไป ซึ่งขณะนี้เรามีชีวิตครอบครัวที่ผาสุกร่วมกัน พร้อมกับลูก ๆ อีกห้าคน โลกดูสดใสและเป็นมิตรยิ่งขึ้น ผมมีความสุขกับชีวิตขณะนี้อย่างมาก และเมื่อใดก็ตามที่ผมเริ่มไม่รู้สึกสบายใจขึ้นมา ผมจะบอกกับตัวเองว่า ให้ปรับทัศนคติ เกี่ยวกับสิ่งนั้นเสียใหม่ และทุกอย่างก็จะกลับดีเช่นเดิมผมอยากจะบอกคุณตามตรงว่า ผมดีใจที่ได้เคยเป็นโรคประสาท เพราะสิ่งนี้ทำให้ผมได้ค้นพบว่า ความคิดและจิตใจของมนุษย์เรานั้นมีพลังเหนือร่างกาย ตอนนี้ผมสามารถใช้ความคิดทำประโยชน์ให้กับตัวเอง แทนที่จะทำให้มันต่อต้านผม พ่อพูดถูกที่ว่าสถานการณ์ภายนอกทั้งหลาย ไม่ได้เป็นต้นตอของความทุกข์ทรมานของผม และในทันทีที่ผมได้ตระหนักถึงความจริงข้อนี้ ผมก็ได้หายจากอาการทุกข์ทรมาน และอยู่เป็นสุขมาจนบัดนี้คุณผู้อ่านครับเรื่องจดหมายของพ่อ ที่คุณผู้อ่านได้อ่านนี้ ไม่ใช่เรื่องราวของผม ผู้เขียนคอลัมน์นี้หรอกครับ แต่เป็นเรื่องเล่าของลูกศิษย์คนหนึ่งในชั้นเรียนของ เดล คาร์เนกี นักเขียนเชิงจิตวิทยาที่เก่าแก่และโด่งดังคนหนึ่งของโลก ได้เล่าเอาไว้ในหนังสือเล่มหนึ่งของ เดล คาร์เนกี ที่ชื่อว่า “วิธีกำจัด ความวิตกกังวลและมีชีวิตที่ผาสุก” ที่แปลและเรียบเรียงโดย เรณู สุเสวี ซึ่งตีพิมพ์ โดยสำนักพิมพ์ วลัยลักษณ์ เมื่อเดือน มีนาคม 2532 บรรณาธิการโดย แดนอรัญ แสงทอง ที่โปรยปก ถัดลงมาจากชื่อรวมเล่มเอาไว้ว่า “แบบฉบับของหนังสือคู่มือ ในการจัดการปัญหาชีวิต ขายไปแล้วกว่า หกล้านเล่ม”ผมตัดทอนเรื่องนี้นำมาเผยแพร่ที่นี่ (และขออนุญาตคุณเรณูผู้แปลและเรียบเรียงในที่นี้ด้วยนะครับ) ก็เพราะเดือนเต็ม ๆ ที่ผ่านมา ผมมีเรื่องต้องวิ่งเข้า ๆ ออก ๆ ทั้งโรงพยาบาลและคลินิกเกี่ยวกับโรคจิตและประสาท เพื่อส่งพี่น้องของผมคนหนึ่งไปทำการบำบัดรักษา อาการป่วยทางจิตประสาท ที่มีอาการเช่นเดียวกับเจ้าของเรื่อง “จดหมายของพ่อ” ที่เนื่องมาจากความวิตกกังวลในชีวิตมากเกินไป จนกลายเป็นโรคซึมเศร้า ย้ำคิดย้ำทำ หวาดกลัวไปหมดทุกอย่าง แม้แต่ความคิดของตัวเอง จนต้องเอาปืนไปฝากเพื่อน เพราะกลัวว่าตัวเองจะคิดฆ่าตัวตาย แล้วลงมือทำจริง ๆตอนนี้ หลังจากหอบหิ้วกันไปรักษาอย่างต่อเนื่องที่คลินิกเฉพาะทางแห่งหนึ่ง อาการของเขากลับคืนมาสู่สภาพปกติเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์แล้ว คิดว่าอีกสองสามวันคงกลับไปทำงานได้ตามปกติ ที่ผมนำเรื่องจดหมายของพ่อมาลง ก็เพราะต้นเหตุแห่งความวิตกกังวลจนเกินเหตุของเขาที่ทำให้เขาเป็นเช่นนี้ ผมฟัง ๆ ดูจากการวิเคราะห์ของหมอ ผ่านคำบอกเล่าของเขา ก็คือเรื่องทัศนคติในการมองโลกแบบทำร้ายตัวเอง เช่นเดียวกับเจ้าของเรื่องจดหมายของพ่อนั่นเองผมจึงนำเรื่องนี้มาลงเพื่อยังประโยชน์ประการใดประการหนึ่งแก่ท่านผู้อ่าน โดยเฉพาะในสังคมปัจจุบัน คุณหมอเจ้าของคลินิกที่ผมหอบหิ้วเขาไปบำบัดรักษาจนผมเกือบจะประสาทแดกไปกับเขาได้บอกว่า คนเป็นโรคนี้กันเยอะมาก และเผื่อถึงคิวของเราบ้าง เราจะไม่ได้เสียเวลาวิ่งเข้าไปหาหมอผิดที่ผิดทาง หรือก่นด่าตัวเองเหมือนลูกศิษย์ของ เดล คาร์เนกี ด่าตัวเองว่า“ผมช่างเป็นคนโง่เขลาอะไรเช่นนี้ ที่พยายามจะเปลี่ยนแปลงโลกและมนุษย์ทุกคน ในขณะที่มีสิ่งเดียวเท่านั้นที่จะต้องเปลี่ยน นั่นคือทัศนะคติในการมองโลกของผมนั่นเอง”                                                                     5 ธันวาคม 2551กระท่อมทุ่งเสี้ยว เชียงใหม่** ภาพประกอบจากหนังสือ ไม่รักไม่บอก 
ชนกลุ่มน้อย
พะเลอโดะพูดกับพวกเราว่า  ถ้าไม่มาถึงในเดือนกันยายน  เราคงไม่ได้เห็นน้ำโข่โละโกรเต็มฝั่ง   แล้วยังพูดถึงแม่น้ำใหญ่อีกว่า  ดูราวอวัยวะภายในขับเคลื่อนด้วยเครื่องจักรกลโบราณ  ท้องไส้เต็มไปด้วยโขดหินแหลมคม  ประกอบขึ้นเป็นผนังแม่น้ำ  เครื่องกลโบราณที่มีอายุใช้งานเก่าแก่เต็มที  พัดน้ำปั่นหมุนน้ำวนขึ้นผิวน้ำเป็นรูปดอกเห็ดบานเต็มที่  วนไหลต่อเนื่องดอกต่อดอกสะพรั่งตามน้ำไปอย่างน่าเกรงขาม  ท้องไส้ภายในโข่โละโกรบิดเกลียวไปตามท้องร่องอันเต็มไว้ด้วยซากไม้ตาย   ท่อนซุงไร้สัญชาติ  หินไหล กรวดทรายปลิว   ซากศพคนนิรนามตามน้ำ  ปลาหน้าตารูปร่างประหลาดเหมือนแมงมุมหากินอยู่ใต้ท้องน้ำหมุนวนแรง    ใครบางคนเปรียบเทียบโข่โละโกรเช่นซากศพคนตาย  ไม่มีใครปรารถนาให้มันฟื้นคืนชีพเพื่อบอกที่มาที่ไปของตัวเอง   ปล่อยให้ไหลไปอย่างคลุมเครืออย่างนั้น  มิหนำซ้ำกลับอุดมไปด้วยสิ่งมีชีวิตประเภทกินซาก  ผ่านมาเก็บกินซากเน่าๆ  กินไม้  กินปืนสงคราม  กินข้าวสาร  กินเกลือ  กินน้ำตาล  เป็นอย่างนั้นมาหลายศตวรรษ  ผมไม่รู้หรอกว่าแสงไฟหน้ารถ  จะไปหยุดลงที่ใด   ผมเห็นแต่ทางเป็นร่องดินน้ำขังเป็นทางยาว  แสงไฟสะท้อนน้ำเป็นเส้นแสงคู่ขนาน  อย่างกับรางรถไฟที่ปราศจากไม้หมอน  ปล่อยให้โบกี้ตกจากรางอย่างที่พะเลอโดะพูดจริงๆ  มันค้างเติ่งอยู่ริมน้ำ  นานวันเข้า  โบกี้ยาวเหยียดจึงงอกรากออกมาค้ำโบกี้ไม่ให้ตกน้ำ  พะเลอโดะบอกว่า  รากงอกยาวขึ้นลงตามระดับน้ำ  ชุมชนแห่งนี้จึงไม่มีวันตกลงน้ำได้ง่ายๆพอแสงไฟรถเบี่ยงลงต่ำ  พลันปรากฏลำน้ำเล็กๆสะท้อนกับแสงไฟ  มันดูราวกับไม่มีตลิ่ง  ไหลมาบนกรวดทรายและส่งเสียงดังมาก  หัวรถพุ่งไปเสียบไว้กลางดงสาปเสือ ดับเครื่องยนต์  ดับไฟรถทุกดวง   พะเลอโดะเดินฝ่าความมืดไปยังบ้านไม้หลังหนึ่ง  ซึ่งซ่อนลึกอยู่ในความมืด  พอเสียงรถเงียบลง  เราทั้งหมดก็กลายเป็นแมลงไม่รู้อิโหน่อิเหน่  เกาะนิ่งเหนียวหนึบอยู่ตามพื้นรถ  ไม่ได้ยินเสียงอื่นใดอีกแล้วนอกจากเสียงน้ำพะลอโดะกลับมาพร้อมร่างตะคุ่มๆ  ในมือถือไฟฉายส่อง   ผมเห็นร่างนั้นอย่างกับสัตว์เสียเปรียบในนิทานอีสป สัตว์เล็กเสียเปรียบทุกทาง  สงบปากสงบคำ  กล้าๆกลัวๆ  แม้มันจะเป็นฝ่ายถูกต้องชอบธรรมเพียงใดก็ตาม  ไม่แคล้วโดนขู่ตะปบทำร้ายจากสัตว์ใหญ่จนถึงแก่ชีวิต   สุดท้ายนิทานอีสปมักจะบอกเพียง เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า...  ผู้แข็งแรงย่อมมีชัยเหนืออธรรม ...  ผมเพ่งตามองร่างดำๆเตี้ยๆเคลื่อนไหวเงอะงะอย่างคนไม่สมประกอบ  ราวกับว่าถ้าไม่มีความมืด  เขาคงไม่กล้าออกมาปรากฏตัว   ในช่วงเวลานี้เอง  พื้นรถใต้หน่อมะพร้าวก็เคลื่อนไหวขึ้นครั้งแรก   พลันปรากฏสองร่างค่อยๆบิดตัวแทรกขึ้นมาท่ามกลางข้าวของอย่างเหนื่อยหน่ายผมไม่แปลกใจ  แต่ลุงเวยซายังเชื่อเต็มเปี่ยมว่าศาลเจ้าช่วยเอาไว้คนละมือมือช่วยกันหยิบฉวยข้าวสาร   เกลือ  หน่อกล้วย  มะพร้าวแตกหน่อ  และพันธุ์ไม้อื่น  เดินตามกันไปในความมืด   ผมไม่รู้อะไรเป็นอะไรอีกแล้ว  นอกจากเดินตามแสงไฟฉาย  ในหูผมได้ยินแต่เสียงพูดคุยเป็นภาษาอื่น  ฟังดูเหมือนคนโหวกเหวกโวยวาย   พะเลอโดะพูดได้กลมกลืน   เหมือนว่าดินแดนลับๆขยายหดสั้นยาวได้  ตราบเท่าที่ภาษาประหลาดนั้นยังอยู่ตะเกียงน้ำมันก๊าดลุกแดงขึ้น  ผมเห็นใบหน้าชายเตี้ยม่อต้อเจ้าของบ้านเป็นครั้งแรก  เขามองมาด้วยสายตาขลาดๆ  ไม่สบตานาน  มองพวกเราผ่านๆ  พะเลอโดะกวาดตามองผ่านความมืด  เหมือนมีสิ่งเคลื่อนไหว  มองจ้องเหล่าผู้มาใหม่เราวางสิ่งของลงบนพื้นกระดาน   เมล็ดพันธุ์เดินทางไปถึงปลายทาง    แต่จะนำไปปลูกที่ไหนนั่นหรือ   ผมยังนึกไม่ออก  ตลอดการเดินทางมา  ผมเห็นแต่ความมืด  ผมรู้มาเพียงว่าภูเขาต่อภูเขาต่อเนื่องไม่สิ้นสุด   ยังมีที่ราบอยู่อีกหรือพอนึกถึงริมฝั่งแม่น้ำ  เหมือนมีบางอย่างกระเพื่อมไปตามเนื้อตัว  ต้องตื่นเช้าๆแล้วเดินไปหา  เก็บรูปให้หนำใจ  คิดได้แค่นั้นฝนก็ตกลงมาห่าใหญ่  ตกต่อเนื่องจนไม่มีทีท่าว่าจะหยุดง่ายๆ  ผมทิ้งตัวลงนอนฟังเสียงฝน  มองไฟตะเกียงที่มีคนนั่งรุมล้อม  สองคนในนั้นเป็นพะเลอโดะกับลุงเวยซา   กะฌอกับซอมีญอหายตัวไปฝนตกถึงเช้า  ทุกอย่างรอบตัวซึมเซาอยู่ในม่านสีเทา  เสียงน้ำในลำห้วยไหลแรง  แต่รถบรรทุกยังแล่นข้ามผ่านมาได้  ผมนั่งมองรถบรรทุกหกล้อหุ้มตาข่ายแล่นมาช้าๆ  พอข้ามฝั่งมาได้ก็ดับเครื่อง  มีคนสองคนออกมาจากรถ  ก้มๆมองๆไปใต้ท้องรถ  ปีนดูในคอกไม้บรรทุก“เขามาทำอะไร”  ผมพูดเปรยๆ“วัว” ..เสียงชายเตี้ยม่อต้อที่มองดูอยู่ด้วยตอบด้วยน้ำเสียงไม่ตื่นเต้น  ผมถามอีกว่าวัวจากไหน  จะไปไหน  คราวนี้พะเลอโดะช่วยตอบแทน“พม่า  พ่อค้าวัวมารอซื้อวัวควายกันที่นี่  วัวบางส่วนมาไกลจากอินเดีย  บังคลาเทศ   ขายต่อกันมาเป็นทอดๆ  ไปโรงฆ่าสัตว์ทั้งนั้น” ราวกับว่ารถไฟกำลังจะมา  นายสถานียกธงให้รถไฟหยุดโบกี้ยาวเหยียดไปตามฝั่งแม่น้ำ  อันที่จริงทุกอย่างน่าจะผ่านไปด้วยดี  แต่นายสถานีในชุดพลางนั่นสิ  เรียกลุงเวยซาให้หยุด  ลุงเวยซาพูดเสียงดัง  ผมได้ยินแต่เสียงโข่โละโกรๆ  พะเลอโดะต้องรีบเดินเข้าไปหา  พร้อมกับบอกยืนยันว่า  มาด้วยกัน  ผู้เฒ่ามาจากแม่น้ำเงา  อยากมาดูน้ำโข่โละโกรสักครั้ง  สายๆก็กลับไปแล้ว“ทำไมเขาทำอย่างนั้น”  ผมนึกสงสัย“อยากแสดงอำนาจมั้ง  งานพวกเขาก็อยู่กันอย่างนี้  คอยดูคนเข้าคนออก”  พะเลอโดะพูดตรงๆ ผมสัมผัสได้ถึงความรู้สึกไม่ปกติ  ผ่านสถานีมาได้ก็เข้าสู่ร้านค้าเรียงรายอยู่ในโบกี้  เปิดประตูโบกี้ออกกว้างขวาง  สารพัดสารเพวางขาย  ของคาวหวาน  เสื้อผ้า  น้ำมันพืช  รองเท้า  พริก  เกลือ  เชือก  ของเล่นเด็ก ฯลฯ พูดง่ายๆก็คือร้านค้าหัวเมืองมีอะไรบ้าง  ในโบกี้ก็มีไม่ต่างกันราวกับว่าหัวรถจักรเสียมาหลายสิบปี   จอดแน่นิ่งตากแดดตากฝน  มันกำลังเดินไปสู่ของเก่า   ไม่นานก็กลายเป็นซากอีกชิ้นหนึ่ง  รอช่างซ่อมที่ไม่อาจคาดเดาว่าจะผ่านมาเมื่อไหร่   ลุงเวยซาเดินล่วงหน้าไปก่อน  เราเดินตามไปห่างๆ  เหมือนพะเลอโดะจะรู้ว่ากะฌอกับซอมีญออยู่ที่ไหน  พะเลอโดะบอกผมแต่เพียงว่า  เดี๋ยวคงตามมาหากจะมีเสียงเพลงบรรเลงผ่านมายามนี้  ผมนึกถึงเสียงร้องบ่นฮึมฮัมด้วยเสียงโทนต่ำ  ดังสลับกับก้าวย่างไปบนพื้นดินแฉะ  ข้างในผมเพริดออกหน้าออกตา  ยามเห็นโข่โละโกรเต็มฝั่ง  อย่างที่พะเลอโดะพูดไว้จริงๆ  โข่โละโกรเต็มฝั่งเดือนกันยายนหินก้อนใหญ่ริมน้ำ  เหมือนถูกจัดวางไว้ถูกที่ถูกทาง   ลุงเวยยืนนิ่งด้วยอัศจรรย์ใจอยู่ตรงนั้น  ยืนมองแม่น้ำใหญ่ยักษ์ไหลเย็นไหลนิ่ง  
Hit & Run
   พงษ์พันธุ์ ชุ่มใจใครที่ไม่ได้มาเชียงใหม่หลายปี หากมาเยือนปีนี้ คงผิดหูผิดตาเลยทีเดียวไม่ใช่แค่งานพืชสวนโลก ไม่ใช่แค่ ‘ช่วง ช่วง' หรือ ‘หลิน ฮุ่ย' ไม่ใช่แค่ร้าน ‘ไอเบอรี่' ของโน้ต อุดม ที่ทำให้ ‘หน้าตา' เมืองเชียงใหม่เปลี่ยนไปหากแต่ยังมีเจ้าสิ่งก่อสร้างขนาดยักษ์ ที่ชื่อว่า ‘ทางลอด' ผุดขึ้นทุกมุมเมือง ซึ่งเบื้องหลังของมัน ยังมีเรื่องราวอันยาวนานของการพัฒนา ‘เมือง' อีกด้วย!หลายปีมานี้ ยวดยานใน จ.เชียงใหม่ ต้องประสบกับความทุลักทุเลในการข้ามสี่แยก เนื่องจากมีโครงการก่อสร้างทางลอดแยก ผุดขึ้นบนถนนสายหลักของเมืองเชียงใหม่ เช่น การก่อสร้างทางลอด 7 แห่ง บนถนนสมโภชเชียงใหม่ 700 ปี หรือถนนวงแหวนรอบกลาง ซึ่งเพิ่งแล้วเสร็จในเดือนตุลาคม 2548 และทางลอดแยก บริเวณสี่แยกสันกำแพงสายเก่า (สี่แยกปอยหลวง) สี่แยกศาลเด็ก และสี่แยกข่วงสิงห์ บนถนนซุปเปอร์ไฮเวย์ ซึ่งใช้เวลาก่อสร้างอย่างยาวนานหลายรัฐบาลนับตั้งแต่ปี 2546 และเพิ่งแล้วเสร็จ เปิดให้คนเชียงใหม่ใช้เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา โดยทางลอดบริเวณสี่แยกสันกำแพงสายเก่า หรือสี่แยกปอยหลวง สร้างโดยบริษัทเชียงใหม่คอนสตรัคชั่น วงเงินก่อสร้าง 379 ล้านบาท ซึ่งเริ่มสัญญาเมื่อ 3 พฤศจิกายน 2548 และสร้างเสร็จก่อนสิ้นสุดสัญญาในวันที่ 25 มิถุนายน 2550ส่วนทางลอดบริเวณสี่แยกศาลเด็ก และสี่แยกข่วงสิงห์ ก่อสร้างโดย หจก.จิระเทพ โดยสี่แยกศาลเด็กประมูลได้ 268.8 ล้านบาท จากราคากลาง 347.6 ล้านบาท และสี่แยกข่วงสิงห์ ประมูลได้ในวงเงิน 243 ล้านบาท จากราคากลาง 310 ล้านบาทซึ่งสัญญาก่อสร้างทางลอดทั้งสองเริ่มวันที่ 26 กันยายน 2546 กำหนดสิ้นสุดวันที่ 19 พฤษภาคม 2549 แต่ หจก.จิระเทพ ต้องหยุดพักการก่อสร้างเป็นช่วงๆ ช่วงละหลายเดือนตั้งแต่กลางปี 2548 ให้เหตุผลว่า ต้นทุนค่าวัสดุเพิ่มขึ้นมากจากวันยื่นประมูล และขาดเงินทุน หมุนเวียนเนื่องจากสถาบันการเงินที่สนับสนุนคือธนาคารกรุงไทย ไม่ปล่อยกู้เพิ่มกรมทางหลวงให้ต่อสัญญาใหม่ถึง 2 ครั้ง และให้ก่อสร้างได้จนถึง 10 เมษายน 2550 แต่ผู้รับเหมาก็ทิ้งงาน เก็บอุปกรณ์ก่อสร้างไปตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2550 ทำให้ศูนย์ก่อสร้างและบูรณะสะพานที่ 2 ขอนแก่น และศูนย์ก่อสร้างและบูรณะสะพานที่ 1 พิจิตร เข้ามาดำเนินการแทนโดยนายทรงศักดิ์ แพเจริญ อธิบดีกรมทางหลวง เคยระบุว่าผู้รับเหมาต้องเสียค่าปรับ 50 ล้านบาท ขณะนี้ชำระค่าปรับแล้ว 8 ล้านบาท และกรมทางหลวงจะฟ้องร้องผู้รับเหมารายนี้เพื่อเรียกคืนเงินค่าส่วนต่างที่กรมทางหลวงต้องใช้เพื่อให้การก่อสร้างแล้วเสร็จ ค่าเสียหายที่เกิดจากการทิ้งงานด้วย และตัดออกจากบัญชีผู้รับเหมางานภาครัฐโดยทางลอดบริเวณสี่แยกข่วงสิงห์ก็แล้วเสร็จจนได้ในเดือนพฤศจิกายน และล่าสุดทางลอดบริเวณสี่แยกศาลเด็กก็แล้วเสร็จให้รถวิ่งลอด เมื่อวันที่ 11 ธันวาคมที่ผ่านมา 000 อันที่จริงเจ้าสิ่งก่อสร้างขนาดยักษ์ ที่ชื่อว่า ‘ทางลอด' อาจไม่มีทางเกิดขึ้นเลยในเมืองเชียงใหม่หากในปี 2543 ไม่มีการถกเถียงกันว่า ‘เห็นด้วย' หรือ ‘ไม่เห็นด้วย' กับโครงการก่อสร้างสะพานลอยข้ามจุดตัดและทางแยกสี่แยก ถ.มหิดล ใกล้สนามบินเชียงใหม่ อันเป็นถนนวงแหวนรอบเมืองสายสำคัญในครั้งนั้น กรมทางหลวงทำการศึกษาพบว่า เส้นทางสาย 108 หางดง - เชียงใหม่ มีปริมาณการจราจรสูงถึง 45,232 คัน/วัน ขณะที่ถนนมหิดลซึ่งตัดผ่านกันมีปริมาณราว 25,597 คัน/วัน กรมทางหลวงจึงออกโครงการก่อสร้างสะพานลอยข้ามจุดตัดและทางแยกดังกล่าว โดยให้เหตุผลว่าเพื่อแก้ปัญหาการจราจรแออัด คับคั่งและป้องกันปัญหาอุบัติเหตุบริเวณทางแยกของทางหลวงหมายเลข 108 ตัดกับถนนมหิดล รวมทั้งทางเชื่อมเข้าสู่สนามบินเชียงใหม่โดยเริ่มเซ็นสัญญาโครงการเมื่อวันที่ 19 พ.ค. 2543 ด้วยงบประมาณ 236 ล้านบาท และเริ่มดำเนินการก่อสร้างเมื่อวันที่ 17 มิ.ย. 2543 ตามกำหนดจะต้องแล้วเสร็จวันที่ 8 ธ.ค. 2544แต่อย่างที่กล่าวเอาไว้โครงการนี้มีทั้งเสียง ‘เห็นด้วย' และ ‘ไม่เห็นด้วย'ฝ่ายเห็นด้วยกับการก่อสร้างทางข้ามแยกแบบ ‘ยกระดับ' ให้เหตุผลว่าเพื่อให้เมืองเชียงใหม่ขยายตัว แก้ปัญหาจราจรติดขัด เศรษฐกิจเจริญก้าวหน้า ฝ่ายค้าน ซึ่งอันที่จริงก็ไม่ถึงกับค้านการก่อสร้าง พวกเขาเสนอเหตุผล ของการไม่สร้างทางยกระดับ 11 ข้อ เช่น จะบดบังทัศนียภาพของเมืองเชียงใหม่ ไม่สามารถแก้ปัญหาการจราจรได้จริง ฯลฯ ทั้งยังเสนอให้มีการปรับแผนก่อสร้างใหม่ จาก โครงการทางยกระดับ มาเป็น โครงการทางลดระดับ หรือเป็นโครงการอุโมงค์ใต้ดินทั้งหมด ตามโครงการเดิมก่อนที่จะประสบปัญหาเรื่องวิกฤติเศรษฐกิจกระทั่งทำให้งบประมาณถูกตัดทอนแต่ที่สุดแล้ว ทิศทางการพัฒนาเมืองเชียงใหม่ในครั้งนั้น ก็เป็นไปตามฝ่ายเห็นด้วยกับการสร้างทางยกระดับ ด้วยถือคติที่ว่าอะไรที่คว้ามาไว้เชียงใหม่ได้ ขอให้คว้าไว้ก่อน ผิด ถูก ผลกระทบว่ากันทีหลัง [1]อย่างไรก็ดี แม้ว่าทางยกระดับหน้าสนามบินเชียงใหม่ และอีก 2 แห่งในถนนมหิดล คือทางยกระดับสี่แยกหนองหอย ตัดกับ ถ.เชียงใหม่-ลำพูน และ ทางยกระดับข้ามทางรถไฟ จะเกิดขึ้นจนได้ และเมื่อเวลาผ่านไปไม่นานก็พบว่าทางยกระดับข้ามสี่แยกสนามบิน ไม่ได้ช่วยบรรเทาการจราจรมากอย่างที่คิด แถมยังทำให้เสียทัศนียภาพของเมืองไปอีก แต่หลังจากเสียงค้านเล็กๆ ที่สี่แยกสนามบินดังขึ้น ก็ทำให้ต่อมา กรมทางหลวง และกรมทางหลวงชนบท ต่างปรับแบบการก่อสร้างจุดตัดทางแยกสำคัญในเขตเมืองเชียงใหม่ ให้กลายเป็นทางลดระดับหรือทางลอดทั้งหมด อย่างที่เห็นในปัจจุบัน000 ในแง่หนึ่งทางลอดข้ามแยก คือผลผลิตจากการถกเถียงขอพลเมืองในเมือง เป็นความสำเร็จระดับหนึ่งของพลเมืองเชียงใหม่ อย่างน้อยก็ทำให้ทิศทางการพัฒนาเมืองพอจะอยู่ในการควบคุมของประชาชนได้บ้าง แต่นี่ก็มิใช่ชัยชนะสมบูรณ์ เมื่อข้าม ‘ทางลอด' นี้ไปแล้ว ใช่ว่าจะถึงจุดหมาย ทิศทางการพัฒนาเมืองเชียงใหม่อย่าง ‘ยั่งยืน' ยังต้องเดินทางอีกยาวไกลแม้ว่าทางลอดข้ามแยก จะไม่บดบังทัศนียภาพของเมืองเชียงใหม่ แม้ว่าทางลอดข้ามแยกทำให้การจราจรคล่องตัวขึ้น แต่ที่สุดแล้วการแก้ปัญหาจราจรของเชียงใหม่ก็ยังไม่ตรงจุด ต้องไม่ลืมว่ายิ่งขยายถนน ก็ยิ่งสร้างแรงจูงใจให้คนหันมาใช้รถยนต์มากขึ้น ยิ่งถนนกว้างขึ้น ติดไฟแดงน้อยครั้งลง รถยนต์ รถคันใหญ่ ก็ยิ่งเป็นเจ้าถนน เบียดขับให้มอเตอร์ไซต์ พาหนะคนยากนับล้านคันในเชียงใหม่ ตกอยู่ในอันตรายมากขึ้นซึ่งทิศทางการแก้ปัญหาจราจรด้วยการขยายถนน สร้างทางข้ามแยกนี้ ยังเป็นวิธีแก้ปัญหาการจราจรไม่ถูกจุด ไม่ผิดกับประสบการณ์ของกรุงเทพมหานครในปลายทศวรรษที่ 2520 ที่เลือกสร้าง ‘ทางด่วน' ทั้งขั้นที่ 1 และขั้นที่ 2 จนเพิ่งจะมารู้ตัวเมื่อไม่นานมานี้ ว่าการแก้ปัญหาการจราจรหัวใจอยู่ที่ระบบขนส่งมวลชน แต่บัดนี้ กรุงเทพฯ มีถนนและทางด่วนเป็นระยะทางรวมกัน 4,000 กว่ากิโลเมตร ขณะที่มีรางสำหรับรถไฟฟ้า เพื่อขนส่งมวลชนทั้งใต้ดินและลอยฟ้ามีเพียง 65 กิโลเมตร [2]ชะตากรรมของเชียงใหม่เอง ก็กำลังเดินตามกรุงเทพฯ เผลอๆ จะยิ่งหลงทางกว่าด้วยซ้ำเพราะทุกวันนี้ เชียงใหม่เป็นเมืองใหญ่ติดอันดับของประเทศก็จริง แต่ล้มเหลวด้านการจัดระบบขนส่งมวลชน ปี พ.ศ.2538 ‘รถเมล์เหลือง' ที่วิ่งประจำทางในตัวเมืองเชียงใหม่ขาดทุนเลิกกิจการ ปล่อยให้ ‘สี่ล้อแดง' ผูกขาดวิ่งรับ-ส่งผู้โดยสารในเมือง ไม่มีการจัดเส้นทางการเดินรถแน่นอน ผู้โดยสารกับคนขับต้องต่อรองราคากันเอง และหากเป็นเส้นทางที่ไม่มีผู้โดยสารอื่นร่วมทางมากนัก คนขับก็มักเรียกร้องราคาเกินกว่า 15 บาท ที่ขนส่งจังหวัดกำหนดล่าสุด ในปี 2548 มี ‘รถเมล์ขาว' รถปรับอากาศของเทศบาลนครเชียงใหม่ แต่ก็ไม่ได้ทำให้สถานการณ์ขาดแคลนระบบขนส่งมวลชนในเมืองเชียงใหม่ดีขึ้น เพราะรถเมล์ขาววิ่งในเส้นทางอ้อม วน และการปล่อยรถชั่วโมงละคัน-สองคัน หลังสองทุ่มรถเมล์หยุดเดิน ทำให้เชียงใหม่อยู่ในสภาพ ‘มี เหมือน ไม่มีรถเมล์'!ทางออกสำหรับคนเชียงใหม่ ใครที่พอมีปัญญาผ่อนรถก็ผ่อนทั้งรถยนต์ รถกระบะ มือหนึ่ง มือสอง แล้วแต่ทุนทรัพย์ ทำให้เมืองนี้มีรถจักรยานยนต์จดทะเบียนกว่า 1 ล้านคัน ใครที่ไม่มีปัญญาผ่อนส่งก็ต้องทนต่อรองรถแดงเอาเอง เท่ากับรัฐบาลสร้างถนนให้ทุกคนแล้ว แต่ที่เหลือคือ ‘ราคา' ที่ทุกคนต้องจ่ายเอาเอง ทุกคนต้องลงไปขับขี่บนท้องถนนเอง ทุกคนต้องแบกรับความปลอดภัยในการเดินทางกันเอาเอง ทุกคนต้องแบกรับต้นทุนดูแลรักษายานพาหนะ น้ำมันเชื้อเพลิงกันเอาเอง และทุกคนต้องดูแลชีวิตกันเอาเอง000มี ‘ทางลอด' ให้คนเชียงใหม่ลอดกันแล้ว แต่ยังไม่เจอ ‘ทางรอด' เรื่องปัญหาจราจรสักที เพราะเมืองนี้ยังแก้ปัญหาจราจรแบบเกาไม่ถูกที่คันเมื่อ 7 ปีก่อน อาจารย์ดวงจันทร์ อาภาวัชรุตม์ นักวิจัยสถาบันพัฒนาสังคม มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และคณะทำงาน ‘ศูนย์ศึกษาปัญหาเมืองเชียงใหม่' (ปัจจุบันคือมูลนิธิสถาบันพัฒนาเมือง) เคยเสนอความเห็นไว้ในเวทีสาธารณะ "ทางยกระดับในเมืองเชียงใหม่" ซึ่งจัดที่ศูนย์สตรีศึกษา เมื่อวันที่ 9 ก.ย. 2543 ว่าปัจจุบันการแก้ไขปัญหาการจราจรเมืองเชียงใหม่มองแค่ความต้องการของผู้ใช้รถ แต่ไม่ได้มองว่าถนนในเมืองเชียงใหม่ไม่สามารถเพิ่มได้อีก เพราะจะทำลายสภาพความเป็นเมืองเก่าแก่ทางประวัติศาสตร์ ที่มีอายุถึง 700 ปี ซึ่งเป็นปัจจัยที่ดึงดูดนักท่องเที่ยว ที่ไม่ได้หวังมาดูสิ่งก่อสร้างที่ทันสมัย แต่มาดูความเป็นเมืองล้านนา ทางที่ดีทางการควรจะมีการพิจารณาทบทวนการแก้ปัญหาจราจรในรูปแบบเดิม  และหันมาส่งเสริมให้มีการสร้างระบบขนส่งมวลชนที่สมบูรณ์แบบมากขึ้น [3]อาจารย์ดวงจันทร์พูดไว้ 7 ปี เอามาพูดอีกทีตอนนี้ก็ยังอินเทรนด์!แล้วเมื่อไหร่เชียงใหม่จะมีระบบขนส่งมวลชนดีๆ บ้างล่ะ จะต้อง ‘ขี่รถเครื่อง'/‘ขับรถยนต์' ลอดอุโมงค์เช้า-เย็น ไปอีกนานสักเท่าไหร่กัน ^_^ เล่าสู่กันฟังเพิ่มเติม[1] โศกนาฏกรรม ‘ผิด, ถูก, ขอคว้าไว้ก่อน' นี้เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่ากับเมืองเชียงใหม่ เหมือนกับ การ ‘คว้า' โครงการเชียงใหม่ไนท์ซาฟารี และโครงการพืชสวนโลก ไว้ก่อน ซึ่งเมื่อ 2 เมกะโปรเจคนี้เกิดขึ้น ก็สร้างผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมไว้ให้กับคนเชียงใหม่สารพัด ส่วนผลประโยชน์ กำไร ที่จะตกแก่ปากท้องคนเชียงใหม่ ก็เป็นเพียงเศษเนื้อ หาได้มากมายอย่างที่ผู้สร้างโฆษณาเอาไว้[2] อ่านบทความที่สะท้อนความล้มเหลวของการแก้ปัญหาการจราจรที่: น้ำมันแพง ทางด่วน และระเบิดเวลา, โดย วันชัย ตัน http://www.onopen.com/2006/01/573 ตีพิมพ์ครั้งแรก: หนังสือพิมพ์มติชนรายวัน ฉบับวันที่ 14 พฤษภาคม 2549[3] วุฒิต้านเส้นก๋วยเตี๋ยวเชียงใหม่, ไทยโพสต์ 10 กันยายน 2543 http://www.thaipost.net/index.asp?bk=sunday&post_date=10/Sep/2543&news_id=19248&cat_id=110100
new media watch
  นักเดินทาง, นักท่องเที่ยว, นักทัศนาจร, ตัวฤทธิ์ ฯลฯ รวมถึงคนที่คิดจะหนีบ้านหนีช่องไปท่องโลก เชิญลับสมองกับเกม Traveler IQ เพื่อทดสอบความรู้เบื้องต้นว่า ‘คุณรู้จักโลกใบนี้ดีแค่ไหน' เข้าไปลองเล่นเกมออนไลน์ฟรีๆ ดูได้ที่ travelpod.com ซึ่งเป็นเว็บไซต์รวบรวมข้อมูลการท่องเที่ยวที่น่าสนใจอีกเว็บหนึ่ง ถึงจะเป็นเกมวัดไอคิวและความรู้รอบตัว แต่ก็ไม่ได้ยากจนหืดขึ้นคอ พอเล่นเพลินๆ เป็นเกมฆ่าเวลา และคนเล่นเกมก็จะได้ศึกษาแต่ละซอกมุมของโลกไปด้วยในตัว เพราะเกมนี้จะมี ‘แผนที่โลก' ขึ้นมาโชว์ที่หน้าจอ พร้อมชุดคำสั่งในเกมที่เปิดโอกาสให้เลือกได้ว่าจะเล่นเกมอะไร เช่น อยากได้ชุดคำถามเกี่ยวกับทวีปไหน (มีทุกทวีป), เมืองหลวง หรือว่าธงชาติที่โชว์ให้ดูเป็นของประเทศอะไร ฯลฯวิธีเล่นก็ง่ายๆ แค่คลิกเมาส์ลงบนแผนที่โลกเป็นการระบุคำตอบ แต่ที่ทำให้เกมตื่นเต้นขึ้นมาอีกนิด คือการจับเวลาและการสะสมคะแนน ใครที่สะสมแต้มได้ตามระดับที่กำหนดไว้ ก็จะผ่านไปเล่นเกมในระดับที่สูงขึ้นไปเรื่อยๆ แต่เล่นจนจบเกมแล้วจะเป็นยังไง สารภาพว่าไม่รู้เหมือนกัน เพราะยังไม่เคยไปถึงระดับนั้นซะที    
Music
นึกย้อนไปถึงวันที่ได้เข้ามหาวิทยาลัยวันแรกๆ ชุดยูนิฟอร์มถูกระเบียบกับตำราเรียนเล่มใหญ่ๆ หอพักในมหาวิทยาลัยที่ทำให้พานพบกับผู้คนมากหน้าหลายตา ความรู้สึกอย่างหนึ่งที่ต่างไปจากตอนเรียนในโรงเรียนมัธยม คือความรู้สึกว่า ที่นี่ ฉันจะมีเสรีภาพมากขึ้น มีชีวิตที่หลากหลายกว่าเก่า และพื้นที่ทางความคิดที่จะปลดปล่อยฉันจากกรงขังอันแปลกแยกของโลกใบเดิมได้แต่แล้วก็ได้พบว่า สิ่งที่คาดหวังเอาไว้มันเป็นความจริงเพียงแค่บางส่วน นอกนั้นเป็นมายาภาพที่ฉันนึกฝันเอาเองใช่ๆ ฉันเคยถูกเสี้ยมสอนเช่นเดียวกับอีกหลายๆ คนว่าผู้ใหญ่เป็นผู้มีประสบการณ์ สิ่งที่พวกเขามอบให้เราต้องเป็นสิ่งที่ดีแน่ๆ แต่มันเป็นเช่นนั้นจริงหรือ ในเมื่อผู้คนล้วนผ่านประสบการณ์มาไม่เหมือนกัน ประสบการณ์ของใครบางคนอาจจะช่วยสอนสิ่งที่ดีกับเราได้ แต่กับบางคนอาจจะไม่ สิ่งที่เลวร้ายสำหรับฉันคือการยัดเยียดสิ่งต่างๆ ให้พวกเราโดยอ้างความเป็น ‘ผู้ใหญ่มีประสบการณ์' โดยที่ไม่เคยถามเราเลยว่า เราคิดอย่างไร"Don't do this and don't do thatWhat are they tryin' to do ?Make a good boy of you,Do they know where it's at?Don't criticise they're ols and wiseDo as they tell you to,Don't want the devil to,Come and pull out your eyes.""อย่าทำอย่างนั้น อย่าทำอย่างนี้พวกเขาพยายามจะทำอะไรกันแน่ปั้นให้เธอกลายเป็นเด็กดีพวกเขารู้หรือไม่ว่ามันอยู่หนใดอย่าได้วิจารณ์ เพราะพวกนั้นแก่และมีประสบการณ์ทำตามที่พวกเขาสั่งซะเถอะเธอคงไม่อยากให้ปีศาจมาควักลูกตาเธอ"- Schoolวง Art rock ยุค 70's ที่ชื่อ Supertramp เคยเขียนเพลงเกี่ยวกับระบบการศึกษาไว้สองเพลงคือ School กับ The Logical Song เพลง School นั้นพูดถึงการถูกสอนให้เชื่อฟัง ‘ผู้ใหญ่' เพื่อที่จะเติบโตไปเป็นแบบเดียว พิมพ์เดียวกับพวกเขา ผลิตซ้ำมนุษย์รูปแบบเดิม ๆ ไม่ให้สังคมหันหน้าไปสู่ทิศทางอื่น นอกจากทิศทางที่ถูกครอบงำมาแล้วเท่านั้นฉันได้เจออะไรพวกนี้บ้างในห้องเรียน ฉันยอมรับว่าผู้ใหญ่บางคนก็ใจกว้างพอจะเปิดรับอะไร ๆ ที่ไม่ตรงกับทัศนะของเขา แต่ ‘ผู้ใหญ่' อีกกลุ่มหนึ่งที่ทำให้ฉันระอามาตั้งแต่เริ่มมหาวิทยาลัยมาจนบัดนี้ อย่าให้ฉันได้บอกเลย พวกเขาคือ ‘ผู้ใหญ่' ตัวจริงที่มีอำนาจควบคุมมหาวิทยาลัย (และเผลอ ๆ จะรู้วิธีสืบทอดอำนาจเสียด้วย)คนพวกนี้คิดว่ามหาวิทยาลัยเป็นแค่ของพวกเขาเพียงอย่างเดียวเท่านั้น ใช่ ๆ พวกเขาทำทีเป็นเรียกตัวแทนนักศึกษา (2-3 คนหรืออาจจะมากกว่านี้อีกไม่เกินหลักหน่วย) ไปหาข้อตกลงเวลาจะทำอะไร แต่จริง ๆ แล้วพวกเขามีพรรคนักศึกษาบางพรรคไว้ในอุ้งมือ นักศึกษาบางคนแม้จะไม่เห็นด้วยกับพวกเขาขนาดไหนก็ไม่มีสิทธิมีเสียงจะคัดค้านอะไรมาก เหมือนแค่ไปรับฟังอะไร ๆ แล้วยอมรับมันเท่านั้นนี่คือสิ่งที่ฉันเรียนรู้มาสำหรับความตอหลดตอแหลของ ‘ผู้ใหญ่' บางกลุ่ม แล้วพวกเขาก็รักษาความตอหลดตอแหลนี้มาจนถึงบัดนี้ ในช่วงเวลาที่ฉันได้แต่คอยมองน้อง ๆ ต่อสู้กับอะไรแบบเดียวกัน ฉันเองก็จนปัญญา บางครั้งฉันเห็นน้องพวกนี้เสียกำลังใจ พวกเขาแปลกแยก อยู่ในพื้นที่ที่ไม่มีใครเข้าใจ เป็นกลุ่มคนที่มีความคิดเป็นของตัวเองแต่กลับเสี่ยงต่อการถูกมองว่าเป็นพวกหัวรุนแรง ไอ่คำว่า ‘หัวรุนแรง' นี้เองเป็นคำที่พวกบ้าอำนาจใช้อ้างความชอบธรรมในการข่มเหงคนที่คิดต่างมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ขณะที่คนที่เชื่อง ยอมเชื่อฟังและคล้อยตาม จะได้ชื่อว่าเป็น ‘คนน่านับถือ'"Now watch what you say or they'll be calling you a radical, liberal, fanatical, criminal.Won't you sign up your name, we'd like to feel you'reacceptable, respectable, presentable, a vegetable""ระวังหากเธอจะเอ่ยสิ่งใด ไม่อย่างนั้นพวกเขาจะเรียกเธอว่า พวกหัวรุนแรง, เอาแต่ใจ, บ้าคลั่ง, อาชญากรเธอจะไม่เลือกมาสักชื่อหนึ่งหรือ แต่พวกเราน่ะ อยากให้เธอเป็นที่ยอมรับ, น่านับถือ, ไม่อายใคร และเหมือนเป็นเพียงผักปลา"- Logical Songและเรื่องที่เป็นประเด็นมายาวนานจนมาบูมอีกครั้งไม่นานมานี้คือเรื่องที่มหาวิทยาลัยจะออกนอกระบบ ซึ่งพวกผู้ใหญ่ได้ทำสิ่งที่น่าสงสัยมากคือการพยายามผลักดันให้ร่างกฏหมายฉบับที่จะทำให้เกิดการแปรรูปมหาวิทยาลัยให้ผ่านร่างทั้งสามวาระก่อนจะถึงการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 23 ธันวาฯ ผู้ใหญ่บางคนอ้างว่าเขาพยายามดันเรื่องนี้ 10 ปีมาแล้วแต่ไม่ว่าจะ 10 ปีหรือ 10 นาที การลักลอบกระทำกันในแต่พวกเบื้องบน ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่รับไม่ได้สำหรับสังคมประชาธิปไตย และที่น่าสงสัยไปกว่านั้นคือการที่ผู้ใหญ่บางคนมีที่นั่งอยู่ในสภานิติบัญญัติฯ ซึ่งหมายความว่า เขาจะทำการร่างเอง ให้ผ่านเอง ชงเอง กินเอง เสร็จสรรพ ซึ่งไม่ว่าเขาจะอ้างความชอบธรรมมาจากการแต่งตั้งยังไงก็ตาม แบบนี้พอได้รู้แล้วมันชวนให้คลื่นเหียนไหมสิ่งที่พวกเขาอ้างกันมาตลอดก็คือเรื่องของคุณภาพอย่างนั้นอย่างนี้ ซึ่งมันเป็นคำลอยๆ จับต้องไม่ได้ ไม่มีอะไรมารับประกัน เรื่องค่าเล่าเรียนก็อีกเรื่องหนึ่ง ไม่ได้มีข้อบังคับใดๆ ที่จะรับประกันว่าค่าเล่าเรียนจะไม่ขึ้นเกินเท่านี้ๆ ในกฏหมายที่พวกเขาร่างเลย และพอฉันถามเขาถึงเรื่องหลักประกัน เขาก็ไล่ให้ฉันไปทำประกันชีวิตเสียอีก บ้าหรือเปล่า! ผู้ใหญ่ที่ตอบคำถามอย่างเด็กอมมือเยี่ยงนี้มีความน่านับถืออยู่หรือไม่นอกจากเรื่องค่าเล่าเรียนที่พูดกันปาวๆ ไม่รู้จบแล้ว สิ่งที่น่ากลัวยิ่งกว่าแต่น้อยคนจะได้รับรู้เพราะเป็น agenda แอบซ่อนของเหล่าผู้บริหารคือ การที่พวกเขาจะกลายเป็นผู้มีอำนาจเบ็ดเสร็จตรวจสอบไม่ได้ เอาแค่อยู่ในระบบมันก็แอบซุกแอบซ่อน ทำนั่นทำนี่กันโดยไม่เคยถามนักศึกษา (มีแต่ถามตัวแทนนักศึกษาบางพรรคที่เป็นขี้ข้ามัน) พอมีปัญหาขึ้นมาก็จะออกมาตอบวกวนแบบขอไปที แทบจะนึกไม่ออกเลยว่า พอออกนอกระบบไปแล้ว สภาพมหาวิทยาลัยที่กลายเป็นเหมือนรัฐเผด็จการคณาธิปไตยขนาดย่อมจะน่ากลัวแค่ไหนหรือจริงๆ แล้วพวกผู้บริหารมันไม่เคยเห็นนักศึกษาเป็นคน พวกนี้อาจจะเห็นนักศึกษาเป็นชิ้นส่วนการผลิตบางอย่างที่ไม่ควรจะมีสิทธิมีเสียง พร้อมที่จะประกอบแปรรูปชิ้นส่วนเหล่านี้ให้เข้าไปสู่ระบบที่ใหญ่กว่า (เผลอๆ จะไม่มีอะไรรับประกันพวกเขาด้วยว่า พวกเขาจะสามารถยอมเข้าไปเป็นชิ้นส่วนเหล่านั้นเพื่อเลี้ยงชีพตัวเองได้จริงๆ) โดยไม่ได้เห็นเลยว่านักศึกษามีเจตจำนงค์อิสระ มีมิติชีวิตในด้านอื่นๆ นอกจากการศึกษาตามตำรา มีความหลากหลายทางความเชื่อ ทัศนคติและวิถีชีวิตสภาพแบบนี้ทำให้ฉันนึกถึงมิวสิควีดิโอ Another brick in the wall ที่ตัดมาจากภาพยนตร์ "Pink Floyd - The Wall" (เป็นเพลง The happiest day of our life กับ Another Brick in the Wall (Part 2) ต่อกัน) มิวสิควีดิโอฉายภาพระบบการศึกษาแบบเปรียบเปรยว่า นักเรียนเป็นเสมือนชิ้นส่วนการผลิตที่ค่อย ๆ ถูกลำเลียงลงไปสู่เบ้าหลอมเดิม ๆ ครูอาจารย์ (อยากรวมผู้บริหารไปด้วย) กลายเป็นผู้มีอำนาจ ผู้คุมปัจจัยในการผลิตมนุษย์ เพลงที่ติดหูที่สุดในอัลบั้ม The Wall เพลงนี้ ก็มีเนื้อเพลงประท้วงระบบการศึกษาที่ไร้เสรีภาพอย่างชัดเจน อำนาจในการควบคุมระบบการศึกษากลายเป็นอิฐอีกก้อนบนกำแพง"We don't need no educationWe dont need no thought controlNo dark sarcasm in the classroomTeachers leave them kids aloneHey! Teachers! Leave them kids alone!All in all it's just another brick in the wall.All in all you're just another brick in the wall.""พวกเราไม่ต้องการให้การศึกษามาบีบเค้นเราพวกเราไม่ต้องการการครอบงำทางความคิดไม่อยากให้มีคำเย้ยหยันหม่นมืดในห้องเรียนผู้บริหารทั้งหลาย อย่าได้มาจุ้นจ้าน!เฮ้ย! ได้ยินไหม! บอกว่าอย่าจุ้นจ้าน!ทั้งหมดทั้งมวลแล้ว มันก็แค่อิฐอีกก้อนบนกำแพงทั้งหมดทั้งมวลแล้ว พวกคุณก็แค่อิฐอีกก้อนบนกำแพง"- Another Brick in the Wall (Part 2)คิดต่อไปอีกว่า หลังจากที่พวกท่านทั้งหลายได้อำนาจเบ็ดเสร็จตรวจสอบไม่ได้ แทรกแซงไม่ได้ ไปแล้วนั้น หลักสูตรการศึกษาจะเป็นเช่นไร คงจะกลายเป็นเพียงเครื่องมือที่เขาใช้ประกอบชิ้นส่วนพวกเรา ละเลยความเป็นมนุษย์ ความหลากหลาย มิติชีวิตด้านอื่นๆ ของพวกเรา ตัวเรียนในสายสังคม วัฒนธรรม ปรัชญา คงจะกลายเป็นส่วนเกินสำหรับพวกผู้ใหญ่ใจแคบเหล่านี้ ไม่พักต้องพูดถึงกิจกรรมที่มีแต่การสนับสนุนกิจกรรมสร้างภาพให้มหาวิทยาลัยและตัวพวกผู้บริหารเองเท่านั้น องค์กรนักศึกษาก็เหมือนเพียงทำงานตามใบสั่ง ไม่อาจให้ความเป็นธรรมแก่นักกิจกรรม หรือแม้กระทั่งนักศึกษาทั่วไปได้ไม่พักต้องพูดถึงการตัดขาดจากสังคมภายนอก จริงอยู่ที่ภาพของนักศึกษาในปัจจุบันนี้ก็เหมือนเป็นอภิสิทธิชนผู้ตัดขาดตัวเองจากปัญหาของสังคม แต่นั่นเป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น นักศึกษาที่ยังไม่ตัดขาดตัวเองออกจากสังคมโดยสิ้นเชิงก็ยังมีอยู่ แต่พวกเขาจะหลงเหลือพื้นที่ให้ได้ออกมาเรียกร้องอะไรเพื่อสังคมที่เขาอาศัยอยู่อีกหรือไม่ ในเมื่อขนาดเรื่องที่เป็นผลประโยชน์ของพวกเขาเอง ไอ่พวกผู้บริหารใจแคบก็รับฟังไปเพียงผ่านๆ หูการพัฒนาเป็นสิ่งที่ดี แต่การพัฒนาไปด้วยการขับเคลื่อนของกลุ่มผู้มีอำนาจเบ็ดเสร็จจำนวนไม่กี่คนนั้น มันไม่คับแคบไปหน่อยหรือ พวกท่านจะรับประกันได้อย่างไรว่าจะไม่ละเลยความคิดเห็นที่แตกต่าง ไม่ละเลยมิติชีวิตด้านอื่นๆ ไม่ละเลยความหลากหลายทางวัฒนธรรม ไม่ละเลยผู้ขาดโอกาสทางการศึกษา ฯลฯถ้าหากพวกท่านยังคงอยากเดินดุ่มต่อไป ผมก็จะเลิกพูดกับคนหูทวนลมเช่นพวกท่าน แล้วหันมาให้กำลังใจน้องๆ ทั้งหลายว่า"ไปเถิด ไปยืดอำนาจจากพวกผู้ใหญ่ใจแคบเหล่านี้แย่งชิงไป กลับมาคืนให้กับพวกเราทุกคน!""The present curriculumI put my fist in ‘emEurocentric every last one of ‘emSee right through the red, white and blue disguiseWith lecture I puncture the structure of liesInstalled in our minds and attemptingTo hold us backWe've got to take it backHoles in our spirit causin' tears and fearsOne-sided stories for years and years and yearsI'm inferior? Who's inferior?Yeah, we need to check the interiorOf the system that cares about only one cultureAnd that is whyWe gotta take the power back""หลักสูตรในทุกวันนี้ฉันสอยหมัดใส่พวกมันพวกมันเผยความรู้แบบรวมศูนย์ทั้งนั้นมองผ่านเส้นสีลวงๆ ของพวกมันได้เลยด้วยการเรียนรู้ฉันทิ่มแทงโครงสร้างแห่งความโป้ปดที่ติดตั้งเข้าไปในความคิดพวกเรา แล้วก็คอยดึงพวกเรากลับหลังพวกเราจะต้องนำมันกลับคืนมารูโหว่ในจิตวิญญาณของพวกเรานำมาซึ่งน้ำตาและความกลัวรับรู้เรื่องราวจากความข้างเดียว มาเป็นปี หลายปี หลายๆ ปีฉันคือชนที่ด้อยกว่าหรือ? ใครกันที่ด้อยกว่าใคร?ใช้เราต้องคอยดูเรื่องความด้อยกว่าของระบบที่สนใจแค่วัฒนธรรมหนึ่งเดียวเท่านั้นและนั้นคือสาเหตุว่าทำไมเราถึงต้องยืดอำนาจกลับคืนมา"- Take the Power BackTake the Power Back เป็นหนึ่งในเพลงประท้วงระบบการศึกษา มาจากวง Rage against the Machine วงที่นำเอา Rap Rock มาผสมกับดนตรี Alternative Metal เนื้อเพลงนี้พูดถึงการครอบงำเนื้อหาในระบบการศึกษา ที่สร้างวาทกรรมครอบงำจากฝ่ายผู้มีอำนาจ ไม่สนใจวัฒนธรรมหรือแนวคิดอื่นที่แตกต่าง ฝังหัวให้ผู้คนเชื่อในอะไรบางอย่าง ที่จะไม่เป็นอันตรายต่อการสืบทอดอำนาจของพวกเขาเองหมายเหตุ (1) : เขียนจากประสบการณ์ร่วมเกี่ยวกับสถานการณ์ ม.นอกระบบ ในมหาวิทยาลัยชื่อดังแห่งหนึ่งของเชียงใหม่ (ไม่รู้เล้ยยย) ตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบันหมายเหตุ (2) : การแปลเนื้อเพลงในครั้งนี้จงใจดัดแปลงให้เข้ากับเหตุการณ์ ยุคสมัย และบริบททางสังคม
อิทธิฤทธิ์ ประคำทอง
“เราคิดว่ามันอาจจะเร็วเกินไปไม่ว่าจะสำหรับนักท่องเที่ยว การลงทุนหรือความช่วยเหลือ... ตราบใดที่มีเงินก้อนใหม่เข้ามาในประเทศ ก็ยิ่งจะทำให้รัฐบาลทหารเพิกเฉยต่อแรงจูงใจที่จะทำให้ความเปลี่ยนแปลง”ออง ซาน ซูจี 2538“เราหวังว่าคุณจะไม่เข้ามาเที่ยวพม่ากับการมีกล้องในมือและแค่เพื่อการเก็บรูปถ่ายเท่านั้น เราไม่ต้องการนักท่องเที่ยวแบบนั้น จงพูดคุยกับคนที่คุณอยากจะคุยด้วย ปล่อยให้เขาได้เรียนรู้เงื่อนไขข้อจำกัดในชีวิตของคุณบ้าง”ชาวย่างกุ้งผู้สนับสนุนพรรคสันนิบาตแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตย 2547 สายตาที่สื่อส่งมาดูเหมือนรู้จัก รอยยิ้มที่ค่อยๆ คลี่คลายบนใบหน้าแลดูคุ้นเคย ไม่นับวงแขนหรือเอื้อมมือที่ไม่รอช้าที่จะยื่นมาจับมือถือแขนทักทายราวกับเพื่อนเก่าผู้ห่างหายไปนาน ทุกสายตาทุกวงหน้าพรักพร้อมที่จะทักทายและหยิบยื่นสิ่งหนึ่งสิ่งใดให้กับพวกเรา...ซึ่งแท้จริงแล้วอยู่ในฐานะนักท่องเที่ยวการเดินทางในประเทศสหภาพพม่า 14 วันเพื่อ ‘เยี่ยมไข้’ เพื่อนบ้านผู้ขาดไร้บรรยากาศเสรีภาพและประชาธิปไตย เกิดขึ้นในห้วงเวลาที่ข่าวคราวของการปราบปรามพระสงฆ์และประชาชนชาวพม่า ที่ออกมาเรียกร้องความรับผิดชอบของรัฐบาลทหารพม่าที่ขึ้นราคาน้ำมันและแก๊สจากราคาเดิมหลายเท่าตัว จนกระทั่งลุกลามบานปลายกลายเป็นการเรียกร้องให้นำประชาธิปไตยกลับคืนมาสู่พม่าอีกครั้งหนึ่ง เป็นไปด้วยความรุนแรงในช่วงกลางเดือนสิงหาคมเรื่อยมาจนกระทั่งกลางเดือนตุลาคม 2550การเดินทางในประเทศที่ปิดตัวเองมายาวนาน ซ้ำยังถูกนานาอารยะประเทศที่ได้ชื่อว่าโปรประชาธิปไตยคว่ำบาตรทางการค้า ภายหลังจากเหตุการณ์ความรุนแรงซึ่งถือว่าเป็นการปราบปรามประชาชนครั้งใหญ่ในพม่า หลังจากเหตุการณ์เรียกร้องประชาธิปไตยเมื่อวันที่ 8-8-88 (8 สิงหาคมปี 2531) ถือเป็นการเดินทาง ‘เข้าไปใกล้’ ประเทศเพื่อนบ้านประเทศนี้ ซึ่งเกือบตลอดเวลาที่ผ่านมาของความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับพม่าไม่ว่าจะเป็นในแง่มุมประวัติศาสตร์หรืออคตินิยม ที่คนไทยมีต่อความคิดแบบเห็นคนพม่าเป็นศัตรูที่ปรากฏอยู่เรื่อยมา โดยเฉพาะในหนังสงครามหรือความสัมพันธ์ทางการค้าและการเมืองของไทยที่มีต่อพม่า ย่อมถือได้ว่าแม้จะวางตัวเป็นเพื่อนบ้านที่แนบชิดชายแดนด้านตะวันตกของไทยมาช้านาน แต่ก็นับได้ว่าเป็นประเทศเพื่อนบ้านผู้ห่างเหินและห่างไกลจากการรับรู้ของคนไทยมาโดยตลอดประเทศพม่าหลังควันปืนและคาวเลือดของผู้บริสุทธิ์หลังการลุกฮือทางการเมืองอีกครั้ง ยังคงคึกคักในภาคของเมืองอย่างเมืองหลวง (เก่า) ย่างกุ้งหรือมัณฑะเลย์ ยังคงงดงามเงียบสงบและเปี่ยมด้วยพลังศรัทธาของประชาชนชาวพม่าที่มีต่อพระพุทธศาสนาอย่างเมืองพุกาม หรือกระทั่งดินแดนห่างไกลและมีธรรมชาติเฉพาะตัวที่ยิ่งใหญ่อย่างทะเลสาบอินเลและชาวบ้านรอบๆ ทะเลสาบที่ดำเนินชีวิตไปโดยไม่สนใจต่อความเปลี่ยนแปลงหรือกระแสร้อนแรงทางการเมืองใดๆ มาเนิ่นนานเมื่อตกเป็นนักท่องเที่ยวในท่ามกลางกระแสที่ผู้คนหวาดกลัวการเดินทางในพม่า ด้วยเกรงว่าจะเสี่ยงภัยนานาประเภท (พม่าเพิ่งจะยกเลิกคำสั่งประกาศเคอร์ฟิวเป็นเวลาสามเดือน นับแต่เกิดเหตุการณ์ความไม่สงบเมื่อปลายเดือนกันยายน) จนทำให้จำนวนนักท่องเที่ยวที่ควรจะมีดังที่เคยเป็นมาในช่วง “ไฮซีซั่น” หดหายไปจนแทบจะนับหัวได้ นอกจากจะทำให้รูปแบบการเดินทางจากที่เคยคาดการณ์หรือวางแผนไว้ต้องปรับเปลี่ยนออกไปแล้ว ยังมีผลทำให้ต้องเผชิญกับชาวบ้านธรรมดาๆ ที่แปรผันตัวเองมาทำมาหากินกับนักท่องเที่ยวในสถานที่ท่องเที่ยวชื่อดังหลายต่อหลายแห่งทั่วประเทศพม่า นับแต่บริเวณมหาเจดีย์ชเวดากองในกรุงย่างกุ้ง วัดชเวนันดอที่เก่าแก่ในเมืองมัณฑะเลย์หรือหลายๆ วิหารอันสวยงามในเมืองพุกามที่เราจะต้องรับมือ ปะทะคารมและความรู้สึกกับรูปแบบที่หลากหลายของคนพม่าที่เข้ามาหากินกับนักท่องเที่ยว ทั้งการเข้ามาขอรับบริจาคเงิน เข้ามาขายโปสการ์ดหรือสินค้าที่ระลึกแบบที่แทบจะยัดเยียดขาย ให้หรือเดินตามตื้อโดยที่เราไม่ต้องการ จนทำให้แต่ละฝ่ายต้องอึดอัดหรือเสียความรู้สึกต่อกันไปเรียกแท็กซี่ออกจากสนามบินได้คนที่แฝงตัวเป็นไกด์ติดตามมาด้วยรู้ดีว่าไม่จำเพาะแต่การเดินทางท่องเที่ยวในประเทศพม่าดอกที่นักท่องเที่ยวจะถูกตอมหรือตามตื้อเช่นที่เราประสบที่พม่า หากเป็นนักท่องเที่ยวที่เดินทางในหลายประเทศในเอเชีย (ไม่เว้นแม้แต่ในประเทศไทย) ที่เป็นประเทศที่ขึ้นชื่อว่าน่าเที่ยวหรือมีสถานที่ท่องเที่ยวชื่อดังก็ต้องพานพบกับบรรดาพ่อค้าแม่ค้าที่ดูกระหายดอลลาร์ไม่แตกต่างกัน    พระที่ชเวดากองแฝงตัวเข้ามาพูดคุย ทำพิธีให้และขอเงินบริจาคให้เหตุผลว่าเพื่อสนับสนุนศาสนาแต่หลายช่วงตอน ณ หลายจุดของสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญหรือน่าสนใจที่เราจะต้องแวะชมในพม่าทำให้เราได้พบกับเด็กผู้ชาย เด็กผู้หญิง ชายหนุ่ม หญิงสาวหรือป้าลุงหลากหลายวัย ซึ่งดูเหมือนว่าพร้อมที่จะทักทายปราศรัยแย้มยิ้มด้วยสีหน้าที่เป็นมิตร แต่เมื่อรู้ว่าเราไม่สนใจที่จะอุดหนุนสินค้าจำพวกพวงมาลัย โปสการ์ด หนังสือ ภาพเขียนที่ถูกนำมาเสนอหลังจากการชี้ชวนให้ดูสิ่งนั้นสิ่งนี้อย่างมีน้ำใจ หรือไม่ได้รับรู้ธรรมเนียมว่าจะต้องให้เงินบริจาคแก่คนที่มาเปิดประตูเพื่อให้เข้าชมวิหารบางแห่งในพุกาม แล้วต้องถูกตะโกนบอกด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าวให้ต้องบริจาคเงิน สีหน้าและท่าทางของพวกเขาก็พร้อมที่จะกลับกลายเป็นยิ่งกว่าคนแปลกหน้า และวางระยะทางห่างเหินยิ่งกว่าตอนแรกที่พบเจอกันเสียอีกเณรที่วัดชเวนันดอ มัณฑะเลย์ยิ้มสวยให้กล้องเพราะรู้ดีว่าจะได้เงินดอลลาร์ จากการได้พบพูดคุยกับคนพม่าหลายคนและจากภาพชีวิตรายรอบตัวที่ได้พบเห็น เรารู้ดีว่าความเป็นอยู่ของคนพม่าในดินแดนที่อุดมไปด้วยทรัพยากรธรรมชาติ ทั้งจากป่าไม้ แร่ธาตุ อัญมณีต่างๆ นั้นไม่ได้ช่วยให้พวกเขากินดีอยู่ดีหรือมีปัจจัยพื้นฐานแค่ชีวิตปกติวิสัยควรจะได้หรือควรจะมี เพราะการปกครองแบบเผด็จการทหาร มิหนำซ้ำกว่าจะหาเงินได้แต่ละเจี้ยด (หรือจ๊าด  - Kyat) ล้วนแต่ยากลำบากและหลายคนค้นพบวิถีทางทำมาหากินด้วยการรอการหยิบยื่นเศษเงินจากนักท่องเที่ยว ด้วยการฉ้อโกงอารมณ์หรือการบิดเบือนภาพของความมีน้ำใจไปสู่การได้มาซึ่งเงินตรา แม้สัก 500 หรือ 1,000 เจี๊ยด (ประมาณสิบสามบาทหรือยี่สิบเจ็ดบาท) จากการเดินตามตื้อขายสินค้าที่ไม่น่าสนใจหรือไม่เป็นที่ต้องการให้แก่นักท่องเที่ยวเด็กหญิงหน้างอขายพวงมาลัยที่ชเวนันดอ ยายแก่ขายมาลัยที่วัดชเวสิกอง พุกามเมื่อแรกที่จะก้าวเท้าออกจากบ้านเพื่อไปเดินทาง 14 วันในประเทศพม่าเราคาดเดาเตรียมตัวเตรียมใจเอาไว้ว่าจะได้พบภาพที่หดหู่ หรือความเป็นอยู่ที่ไม่เป็นไปตามปกติวิสัย ที่คนเราควรจะมีอยู่ท่ามกลางปัจจัยพื้นฐานที่ชีวิตทั่วไปต้องการของคนพม่า ทำทีว่าชี้ชวนให้ดูนู่นนี่สุดท้าย ผลักดันให้ซื้อของที่พุกาม การผลักดันให้ซื้อภาพเขียนทรายราคาไม่เป็นธรรมของแม่ค้าที่พุกามแต่เมื่อได้เดินทางขยับเข้าไปใกล้ความห่างไกลแบบพม่านั้นเราจึงได้เห็นหลายชีวิต หลายแววตาและสีหน้าของความเป็นมนุษย์ที่ไม่แตกต่างกันไม่ว่าจะเป็นในความเป็นคนพม่า คนไทย คนแขกหรือคนฝรั่งผิวขาวตาน้ำข้าวที่ล้วนแต่แสวงหาและกระหายปัจจัยเทียมๆ ที่เรียกว่าเงินตรา จนไม่สนใจที่มาหรือฉวยใช้โอกาสจากความน่าสงสารน่าเห็นใจ มาแปรเปลี่ยนให้เป็นรายได้ที่ได้มาง่ายดายกว่าการลงน้ำพักน้ำแรงทำกินอย่างสุจริตในรูปแบบอื่นๆ

แท็กล่าสุด

แท็กยอดนิยม