พะเลอโดะพูดกับพวกเราว่า ถ้าไม่มาถึงในเดือนกันยายน เราคงไม่ได้เห็นน้ำโข่โละโกรเต็มฝั่ง แล้วยังพูดถึงแม่น้ำใหญ่อีกว่า ดูราวอวัยวะภายในขับเคลื่อนด้วยเครื่องจักรกลโบราณ ท้องไส้เต็มไปด้วยโขดหินแหลมคม ประกอบขึ้นเป็นผนังแม่น้ำ เครื่องกลโบราณที่มีอายุใช้งานเก่าแก่เต็มที พัดน้ำปั่นหมุนน้ำวนขึ้นผิวน้ำเป็นรูปดอกเห็ดบานเต็มที่ วนไหลต่อเนื่องดอกต่อดอกสะพรั่งตามน้ำไปอย่างน่าเกรงขาม ท้องไส้ภายในโข่โละโกรบิดเกลียวไปตามท้องร่องอันเต็มไว้ด้วยซากไม้ตาย ท่อนซุงไร้สัญชาติ หินไหล กรวดทรายปลิว ซากศพคนนิรนามตามน้ำ ปลาหน้าตารูปร่างประหลาดเหมือนแมงมุมหากินอยู่ใต้ท้องน้ำหมุนวนแรง
ใครบางคนเปรียบเทียบโข่โละโกรเช่นซากศพคนตาย ไม่มีใครปรารถนาให้มันฟื้นคืนชีพเพื่อบอกที่มาที่ไปของตัวเอง ปล่อยให้ไหลไปอย่างคลุมเครืออย่างนั้น มิหนำซ้ำกลับอุดมไปด้วยสิ่งมีชีวิตประเภทกินซาก ผ่านมาเก็บกินซากเน่าๆ กินไม้ กินปืนสงคราม กินข้าวสาร กินเกลือ กินน้ำตาล เป็นอย่างนั้นมาหลายศตวรรษ
ผมไม่รู้หรอกว่าแสงไฟหน้ารถ จะไปหยุดลงที่ใด ผมเห็นแต่ทางเป็นร่องดินน้ำขังเป็นทางยาว แสงไฟสะท้อนน้ำเป็นเส้นแสงคู่ขนาน อย่างกับรางรถไฟที่ปราศจากไม้หมอน ปล่อยให้โบกี้ตกจากรางอย่างที่พะเลอโดะพูดจริงๆ มันค้างเติ่งอยู่ริมน้ำ นานวันเข้า โบกี้ยาวเหยียดจึงงอกรากออกมาค้ำโบกี้ไม่ให้ตกน้ำ พะเลอโดะบอกว่า รากงอกยาวขึ้นลงตามระดับน้ำ ชุมชนแห่งนี้จึงไม่มีวันตกลงน้ำได้ง่ายๆ
พอแสงไฟรถเบี่ยงลงต่ำ พลันปรากฏลำน้ำเล็กๆสะท้อนกับแสงไฟ มันดูราวกับไม่มีตลิ่ง ไหลมาบนกรวดทรายและส่งเสียงดังมาก หัวรถพุ่งไปเสียบไว้กลางดงสาปเสือ ดับเครื่องยนต์ ดับไฟรถทุกดวง พะเลอโดะเดินฝ่าความมืดไปยังบ้านไม้หลังหนึ่ง ซึ่งซ่อนลึกอยู่ในความมืด พอเสียงรถเงียบลง เราทั้งหมดก็กลายเป็นแมลงไม่รู้อิโหน่อิเหน่ เกาะนิ่งเหนียวหนึบอยู่ตามพื้นรถ ไม่ได้ยินเสียงอื่นใดอีกแล้วนอกจากเสียงน้ำ
พะลอโดะกลับมาพร้อมร่างตะคุ่มๆ ในมือถือไฟฉายส่อง ผมเห็นร่างนั้นอย่างกับสัตว์เสียเปรียบในนิทานอีสป สัตว์เล็กเสียเปรียบทุกทาง สงบปากสงบคำ กล้าๆกลัวๆ แม้มันจะเป็นฝ่ายถูกต้องชอบธรรมเพียงใดก็ตาม ไม่แคล้วโดนขู่ตะปบทำร้ายจากสัตว์ใหญ่จนถึงแก่ชีวิต
สุดท้ายนิทานอีสปมักจะบอกเพียง เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า... ผู้แข็งแรงย่อมมีชัยเหนือ
อธรรม ... ผมเพ่งตามองร่างดำๆเตี้ยๆเคลื่อนไหวเงอะงะอย่างคนไม่สมประกอบ ราวกับว่าถ้าไม่มีความมืด เขาคงไม่กล้าออกมาปรากฏตัว ในช่วงเวลานี้เอง พื้นรถใต้หน่อมะพร้าวก็เคลื่อนไหวขึ้นครั้งแรก พลันปรากฏสองร่างค่อยๆบิดตัวแทรกขึ้นมาท่ามกลางข้าวของอย่างเหนื่อยหน่าย
ผมไม่แปลกใจ แต่ลุงเวยซายังเชื่อเต็มเปี่ยมว่าศาลเจ้าช่วยเอาไว้
คนละมือมือช่วยกันหยิบฉวยข้าวสาร เกลือ หน่อกล้วย มะพร้าวแตกหน่อ และพันธุ์ไม้อื่น เดินตามกันไปในความมืด ผมไม่รู้อะไรเป็นอะไรอีกแล้ว นอกจากเดินตามแสงไฟฉาย ในหูผมได้ยินแต่เสียงพูดคุยเป็นภาษาอื่น ฟังดูเหมือนคนโหวกเหวกโวยวาย พะเลอโดะพูดได้กลมกลืน เหมือนว่าดินแดนลับๆขยายหดสั้นยาวได้ ตราบเท่าที่ภาษาประหลาดนั้นยังอยู่
ตะเกียงน้ำมันก๊าดลุกแดงขึ้น ผมเห็นใบหน้าชายเตี้ยม่อต้อเจ้าของบ้านเป็นครั้งแรก เขามองมาด้วยสายตาขลาดๆ ไม่สบตานาน มองพวกเราผ่านๆ
พะเลอโดะกวาดตามองผ่านความมืด เหมือนมีสิ่งเคลื่อนไหว มองจ้องเหล่าผู้มาใหม่
เราวางสิ่งของลงบนพื้นกระดาน เมล็ดพันธุ์เดินทางไปถึงปลายทาง
แต่จะนำไปปลูกที่ไหนนั่นหรือ ผมยังนึกไม่ออก ตลอดการเดินทางมา ผมเห็นแต่ความมืด ผมรู้มาเพียงว่าภูเขาต่อภูเขาต่อเนื่องไม่สิ้นสุด ยังมีที่ราบอยู่อีกหรือ
พอนึกถึงริมฝั่งแม่น้ำ เหมือนมีบางอย่างกระเพื่อมไปตามเนื้อตัว ต้องตื่นเช้าๆแล้วเดินไปหา เก็บรูปให้หนำใจ คิดได้แค่นั้นฝนก็ตกลงมาห่าใหญ่ ตกต่อเนื่องจนไม่มีทีท่าว่าจะหยุดง่ายๆ ผมทิ้งตัวลงนอนฟังเสียงฝน มองไฟตะเกียงที่มีคนนั่งรุมล้อม สองคนในนั้นเป็นพะเลอโดะกับลุงเวยซา กะฌอกับซอมีญอหายตัวไป
ฝนตกถึงเช้า ทุกอย่างรอบตัวซึมเซาอยู่ในม่านสีเทา เสียงน้ำในลำห้วยไหลแรง แต่รถบรรทุกยังแล่นข้ามผ่านมาได้ ผมนั่งมองรถบรรทุกหกล้อหุ้มตาข่ายแล่นมาช้าๆ พอข้ามฝั่งมาได้ก็ดับเครื่อง มีคนสองคนออกมาจากรถ ก้มๆมองๆไปใต้ท้องรถ ปีนดูในคอกไม้บรรทุก
“เขามาทำอะไร” ผมพูดเปรยๆ
“วัว” ..
เสียงชายเตี้ยม่อต้อที่มองดูอยู่ด้วยตอบด้วยน้ำเสียงไม่ตื่นเต้น ผมถามอีกว่าวัวจากไหน จะไปไหน คราวนี้พะเลอโดะช่วยตอบแทน
“พม่า พ่อค้าวัวมารอซื้อวัวควายกันที่นี่ วัวบางส่วนมาไกลจากอินเดีย บังคลาเทศ ขายต่อกันมาเป็นทอดๆ ไปโรงฆ่าสัตว์ทั้งนั้น”
ราวกับว่ารถไฟกำลังจะมา นายสถานียกธงให้รถไฟหยุดโบกี้ยาวเหยียดไปตามฝั่งแม่น้ำ อันที่จริงทุกอย่างน่าจะผ่านไปด้วยดี แต่นายสถานีในชุดพลางนั่นสิ เรียกลุงเวยซาให้หยุด ลุงเวยซาพูดเสียงดัง ผมได้ยินแต่เสียงโข่โละโกรๆ พะเลอโดะต้องรีบเดินเข้าไปหา พร้อมกับบอกยืนยันว่า มาด้วยกัน ผู้เฒ่ามาจากแม่น้ำเงา อยากมาดูน้ำโข่โละโกรสักครั้ง สายๆก็กลับไปแล้ว
“ทำไมเขาทำอย่างนั้น” ผมนึกสงสัย
“อยากแสดงอำนาจมั้ง งานพวกเขาก็อยู่กันอย่างนี้ คอยดูคนเข้าคนออก” พะเลอโดะพูดตรงๆ ผมสัมผัสได้ถึงความรู้สึกไม่ปกติ
ผ่านสถานีมาได้ก็เข้าสู่ร้านค้าเรียงรายอยู่ในโบกี้ เปิดประตูโบกี้ออกกว้างขวาง สารพัดสารเพวางขาย ของคาวหวาน เสื้อผ้า น้ำมันพืช รองเท้า พริก เกลือ เชือก ของเล่นเด็ก ฯลฯ พูดง่ายๆก็คือร้านค้าหัวเมืองมีอะไรบ้าง ในโบกี้ก็มีไม่ต่างกัน
ราวกับว่าหัวรถจักรเสียมาหลายสิบปี จอดแน่นิ่งตากแดดตากฝน มันกำลังเดินไปสู่ของเก่า ไม่นานก็กลายเป็นซากอีกชิ้นหนึ่ง รอช่างซ่อมที่ไม่อาจคาดเดาว่าจะผ่านมาเมื่อไหร่
ลุงเวยซาเดินล่วงหน้าไปก่อน เราเดินตามไปห่างๆ เหมือนพะเลอโดะจะรู้ว่ากะฌอกับซอมีญออยู่ที่ไหน พะเลอโดะบอกผมแต่เพียงว่า เดี๋ยวคงตามมา
หากจะมีเสียงเพลงบรรเลงผ่านมายามนี้ ผมนึกถึงเสียงร้องบ่นฮึมฮัมด้วยเสียงโทนต่ำ ดังสลับกับก้าวย่างไปบนพื้นดินแฉะ ข้างในผมเพริดออกหน้าออกตา ยามเห็นโข่โละโกรเต็มฝั่ง อย่างที่พะเลอโดะพูดไว้จริงๆ โข่โละโกรเต็มฝั่งเดือนกันยายน
หินก้อนใหญ่ริมน้ำ เหมือนถูกจัดวางไว้ถูกที่ถูกทาง ลุงเวยยืนนิ่งด้วยอัศจรรย์ใจอยู่ตรงนั้น ยืนมองแม่น้ำใหญ่ยักษ์ไหลเย็นไหลนิ่ง