Skip to main content

บล็อกกาซีน ประชาไท

โอ ไม้จัตวา
พาไปเดินเล่นข้างเครือกล้วยดีกว่า ที่ร้านจะมีกล้วยน้ำว้าเป็นเครือแขวนไว้หน้าร้านตรงประตูทางเข้า เดินเข้ามาจะเห็นกล้วยก่อนอื่น เจ้าของร้านเธอเห็นกล้วยลูกอวบอ้วนเป็นเครือดูงามนัก เธอก็เลยซื้อมาแขวนไว้ เผื่อให้แขกที่มา หรือเด็ก ๆ ในร้านได้กินกันกล้วยน้ำว้าเป็นผลไม้บ้าน ๆ ให้ความรู้สึกเป็นบ้าน เป็นความธรรมดา แต่เมื่อนำมาแขวนไว้หน้าร้านอาหารก็ไม่ค่อยจะธรรมดา คำถามเกิดขึ้นจนเบื่อจะตอบ และจนตอบเป็นความเคยชิน ว่ากล้วยมีไว้ให้กิน ไม่ได้ขาย พอมีไว้ให้กิน เราก็เว้นวรรคไว้โดยไม่บอกว่ากินแต่พออิ่ม พอคนเท่านั้น กินข้าวเสร็จเดินออกมาเจอกล้วยน้ำว้าล้างปากช่วยท้องเป็นสิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่มีให้โดยไม่คิดอะไรเรื่องไม่จบเท่านั้น วันเวลาผ่านไปสิบกว่าปี กล้วยน้ำว้าธรรมดา ๆ กลายเป็นกล้วยโชว์นิสัยของคน บางคนถามแบบกล้า ๆ กลัว ๆ ว่ากล้วยนี้กินได้ หรือนำมาขาย เมื่อเราตอบว่ากินได้ เขาก็ปลิดไปหนึ่งลูกเดินกินกล้วยออกจากร้านไป เป็นภาพน่ารักดี บางคนกินสองลูก บางคนปลิดสามอุ้มกล้วยออกจากร้าน บางคนห้าลูก บางคนเด็ดเอาไปเป็นหวีก็มี ทั้งนี้ทั้งนั้นเจตนาของคนต่อกล้วยล้วนแตกต่างกันไป บางคนอยากได้ไปฝากลูกที่บ้าน บางคนอยากได้เพราะเห็นเป็นของฟรี บางคนขออย่างสุภาพ บางคนเกรงใจอยากได้เป็นหวีก็ขอแบ่งซื้อ บางคนเหลียวซ้ายเหลียวขวาหอบกลับไปบางวันลูกค้ากลุ่มใหญ่ซื้อของที่ระลึกจากฉันแล้วเดินไปรอรถ ระหว่างรอก็จับกลุ่มกินกล้วย ฉันได้ยินเสียงแว่ว ๆ จากเพื่อนของเธอว่ากล้วยนี่เค้าให้กินฟรี แล้วซีดีนี่เค้าไม่แจกเหรอ เธอรีบวิ่งกลับมาหาฉัน ถามว่ากินอาหารในร้านแล้ว ตรงนี้ยังต้องซื้ออีกเหรอ ซีดีนี่ไม่แถมเหรอ ฉันอึ้งเงยหน้า น้องจี๊ดวิ่งปรี๊ดขึ้นมาหาพี่อารมณ์ ชักสีหน้าสั่นศีรษะอย่างเร็วคิ้วขมวดตอบไปว่า "190 บาทเนี่ยนะ แถมเข้าไปยังไงคุณ"หลายวันก่อนมีกล้วยสีดำแขวนไว้หน้าร้าน เจ้าของร้านเธอชอบสีดำ เธอภูมิใจเสนอกล้วยสีดำเครือนี้มาก แขกไปไทยมาล้วนแต่หยุดลูบคลำถามไถ่ว่ากล้วยอะไรหนอ เป็นกล้วยต้นที่บ้านและเธอตัดมาแขวนไว้เพราะความงามและสีสัน สั่งพนักงานต้อนรับไว้ว่าห้ามใครเด็ด เพราะกล้วยยังไม่สุก ยังกินไม่ได้ ขอแขวนไว้ชื่นชมก่อน สองวันผ่านไปกล้วยยังไม่สุก แต่หายไปหนึ่งลูก เธอเริ่มหงุดหงิดเหมือนมีใครมาเด็ดกระดุมเสื้อออกไปหนึ่งเม็ด หลายวันต่อมา กล้วยหายไปครึ่งเครือ เธอสั่งให้เด็กยกขึ้นบ้านด้วยความงุนงงว่า กล้วยยังไม่สุก กินไม่ได้แล้วคนเด็ดไปทำไม ฉันแนะนำเธอให้เขียนติดไว้ว่า "กล้วยมีพิษ" ร้านอาหารที่มีกล้วยน้ำว้าให้แขกกินนั้น บางเวลาฉันก็รู้สึกเป็นกล้วยท้าทายทางธุรกิจ หลายคนเข้ามาเจอกล้วย ก็กินกล้วยก่อนลูกสองลูก แล้วจึงเข้าไปสั่งอาหารกิน มีกล้วยเข้าไปขวางทางอาหารในท้องแล้วจะสั่งอาหารกินได้น้อยลงหรือเปล่า หรือประชากรกล้วยเหล่านี้ล้วนแต่เป็นค่าใช้จ่าย เดือนหนึ่งจะว่าน้อยก็น้อย จะว่ามากก็มากขึ้นอยู่กับเดือนไหน เดือน low season ต้องตัดค่าใช้จ่ายทุกอย่าง แต่กล้วยยังอยู่ ดอกไม้สดยังมี พนักงานบางคนแอบบ่นเสียงดังว่า ร้านบอกให้ประหยัด แล้วดอกไม้นี่ซื้อมาทำไม เดือนนึงตั้งหลายพัน บางเดือนเป็นหมื่น พนักงานที่ทำงานโดยไม่เคยซึมซับว่า อาหารที่เขาทำนั้นให้ชีวิต แต่ดอกไม้นั้นให้เหตุผลที่จะมีชีวิต เขาจึงต้องออกไปใช้ชีวิตในแบบของเขา ร้านที่ไม่มีดอกไม้ทำให้นักร้องไม่มีอารมณ์ร้องเพลง ร้านมีชีวิตเพราะไม่ได้เปิดซีดีให้แขกฟัง แต่มีดนตรีและเสียงเพลงที่ร้องสด ๆ มีอารมณ์ที่เปลี่ยนไปตามสถานการณ์ บางวันนักร้องทำโทรศัพท์หาย คิดถึงข้อความหวานซึ้งที่ลูกชายส่งมาทิ้งไว้ให้อ่านยามเหงา เธอก็ร้องเพลงเศร้าแล้วร้องไห้เพราะคิดถึงโทรศัพท์!! จนแขกงงว่ามีใครเป็นอะไรหรือเปล่า ทำไมนักร้องร้องเพลงไปร้องไห้ไปกล้วยก็เช่นกัน ฉันคิดว่ากล้วยไม่ใช่แค่กล้วย แต่เป็นอาหารสำหรับหัวใจบางห้องที่ต้องแบ่งปัน และมีความสุขเมื่อเห็นคนกินอิ่มแล้วกินกล้วยเดินออกไปจากบ้านของเรา บ้านที่คนซื้อไม่ชอบกินกล้วยน่ะ!
ชาน่า
สังคมในทุกวันนี้รู้หน้าแต่ไม่รู้ใจค่ะ  ชายร้อยคนที่เดินผ่าน คุณจะรู้หรือไม่ว่าใครเป็นชายจริง หญิงเหล็ก ชายร่างหญิง หญิงร่างชาย สับสน งงงวยกันไปใหญ่นะคะ โดยเฉพาะหากคุณเป็นสาวกของสมาคมน้องนีหัวโบ(ราณ)ด้วยแล้วล่ะก็  ยากที่จะบอกได้   อันที่จริงหากเป็นชายคนอื่นก็หาได้ใส่ใจไม่ แต่วันใดที่ชายคนนั้นบังเอิ๊ญ บังเอิญอยู่ในตำแหน่งว่าที่สามีสุดเลิฟของคุณล่ะ  คงต้องผ่านกรรมวิธีการสังเกต “ชายของเราเป็นชายจริงหรือเปล่าน๊อ”วันก่อนได้รับโทรศัพท์จากน้องไก่ สาวแอร์ของสายการบินแห่งชาติญี่ปุ่น ถามว่า  “พี่ชาน่าขา  มีผู้ชายมาจีบหนู หน้าตาดี ดูดีเนี๊ยบมาก เรียบร้อย  ยังไม่เคยมีแฟนผู้หญิงเลย หลายคนบอกว่าเค้าเป็นเกย์ หนูจะรู้ได้ไงคะ” น้องไก่ มีสัญชาติญาณเรียนรู้กันก่อนแต่งดีแล้วหละค่ะ ดีกว่าเลือกคนผิด เอาผู้ชายที่รักชายมาเป็นแฟนสัปดาห์นี้ชาน่า นำข้อคิด และวิธีการเฝ้าสังเกตว่า ชายคนใดน่าจะเป็น(เกย์) หรือไม่  แม้มันอาจจะไม่ถูกต้องร้อยเปอร์เซ็นต์แต่ก็ใกล้เคียง ทั้งนี้และทั้งนั้นอย่าได้ฟันธงหรือเอาเป็นข้อสรุปที่ตายตัว  เดี๋ยวชาน่าจะได้รับบาปกรรมโทษฐานนำทางผิดๆ เผื่อคู่ครองคนไหนเค้าจะได้แฮปปี้เอนดิ้ง พอมาอ่านวิธีสังเกตการชายคนไหนน่าจะเป็นเกย์แล้ว ปักหลักเชื่อทั้งหมดจะบาปกรรมค่ะวิธีสังเกตขั้นพื้นฐาน  (ขอบอกว่าแค่พื้นฐานนะคะ)1. ชายจริงเค้าจะไม่จีบปากจีบคอ หรือพูดจาหวานเย็นยะเยือก  บางคนพูดจาแบบหน้าตา ยังกะเล่นลิเก ค่อนข้างจะเอนเอียงไปในทางดัดจริตจะก้านหน่อยๆ   หรือพูดง่าย ๆ คือ มารยาเกินชายธรรมดาพฤติกรรมตามธรรมชาติน่าจะเป็น2. ลองแกล้งให้เค้าตกใจ  “อุ๊ยยยย โตะ จายยย ม๊ดดดด เลยยยยย”  หากชายของคุณกรี๊ดดดดด  ลั่นท้องพระโรงหรือทำกริยาท่าทาง ส่อไปแบบแต๋วแตก เพราะสภาวะชงเก็ก หรือแอ๊บแมนขาดไปชั่วครู่ด้วยสถานการณ์ยามคับขันแล้วหละก็... อือออ... 3. การกินข้าว จับช้อน จับแก้ว จับสิ่งของต่างๆ หากนิ้วของเค้าขี้กระดก ยิ่งกว่าฟ้อนเล็บ จัดอยู่ในลักษณะเข้าข่ายค่ะ  เพราะชายจริง ๆ เค้าจะจับอย่างเต็มมือ ไม่ต้องลีลา ท่าทางยังกะลำพัด4. การแต่งกายสำคัญค่ะ ชาวเราเนี่ยจะพิถีพิถัน ใส่ใจ สนใจแฟชั่น ลุคส์ของเค้าจะต้องเนี๊ยบ ดูดีทุกย่างก้าว เสื้อผ้าถอดมาจากแบรนด์เนมชั้นดังของโลกแฟชั่นอย่าง ป้าดา แมงกุ๊ดจี่ เอาเธอมาบี้ เอาเธอมาถีบ   ฌอง พอล กะโดนเย  หลุยส์ ติ๊งต๊อง และอีกหลายยี่ห้อนับไม่ถ้วน ข้อนี้บางทีก็ดูยากค่ะ เพราะผู้ชายเมืองแฟชั่นอย่างอิตาลี่ เค้าจะแต่งตัวเหมือนเกย์มาก ๆ  5. เข้าฟิตเนสเพียงเพื่อจุดประสงค์ ออกกำลังกายเพื่อดูดี ดึงดูดเพศเดียวกัน  เช่นเกย์ก้ามปู  เค้าจะดูแลตัวเองเป็นพิเศษค่ะ  ไขมันส่วนเกินไม่มีสิทธิ์จะเข้าสู่เส้นเลือดของพวกเค้าได้  ต่อให้เหนื่อยแค่ไหนก็ยอมเพื่อความดูดี หุ่นเฟิร์มนักกีฬาน่าเจี๊ยะ แน่น ๆ  6. อ่านแม็กกาซีนของผู้หญิ๊ง ผู้หญิง  เช่น แอลล์  ขวัญเรือน เปรียว  ลิปส์  อิมเมจ  ชายแท้ส่วนมากเค้าจะอ่านเกี่ยวกับหนังสือ รถยนต์ คอมพิวเตอร์  กีฬา  บ้านเมือง เกษตร หุ้น เป็นต้น7.  หากคุณมีโอกาสได้ สัมผัสข้าวของเครื่องใช้ ส่วนตัว อย่างเช่น โน๊ตบุ๊ค ห้องนอน  กระเป๋า โต๊ะทำงานหากค้นพบของต้องสำแดง อย่างเช่น วีดีโอชายรักชาย  หนังสือ  แม็กกาซีนที่ส่อเสียดไปทางความต้องการของเพศเดียวกัน รับรองชัวร์ป๊าบบบค่ะ แต่วิธีการนี้คุณต้องใช้วิชานินจาอย่างเนียนนะคะ อย่าให้เค้ารู้ มิฉะนั้นอาจจะโดนข้อหาละเมิดสิทธิ์เป็นแน่แท้8.  เพื่อนสนิทของเค้า  ผู้ชายจริง ๆ เค้าจะไม่มีเพื่อนสนิทที่เป็นเกย์มากกว่าร้อยละแปดสิบ เพราะคนที่เป็นเพื่อนในกลุ่ม(เกย์) ด้วยกันจะต้องมีความชอบ  จุดมุ่งหมายเดียวกัน  ที่สำคัญมันมีมากกว่าครึ่งน่ะ  โอ๊ยยยย ...เปอร์เซ็นต์สูงเชียวค่ะ9.  เคล็ดลับเรื่องบนเตียง หากเค้าร่วมรักกับคุณอย่างจริงจังและจริงใจ ก็ไม่น่าจะเป็น แต่ถ้าหากเค้าดูเหมือนเป็นการแสดงน้ำเน่า โดยคุณอาจจะมีตัวช่วยได้เช่น  เวลาร่วมกันเค้าหลับตา เข้าใจว่าน่าจะกำลังใช้ความพยายามสูงในการจินตนาการร่วมรักกับคนอื่น  อันหมายถึงเพศเดียวกัน ชายชวนฝันก็เป็นได้  หรือแม้แต่  ทีเผลอบังเอิญเมื่ออยู่ริมฝั่งชล ครวญเป็นชื่อของชายคนอื่น  ว๊า...แย่เลย รับรองวินาทีนั้นคุณหนะอยู่นอกสายตาเค้าเป็นแน่แท้  ซึ่งก็เหมือนกับว่าตัวคุณเองเป็นแค่ตัวประกอบฉากให้สำเร็จ  เศร้ามั้ยคะ10. การนั่ง การยืน การเดิน ควรจะแมน ๆ ไม่ใช่เห็นร้อยเมตรเดินตูดบิด ล้อเบี้ยว หรือโพสท่ายังกะแคทวอร์ค ปารีส  แฟชั่น วีค  การนั่งก็ไม่ควรไขว่ห้างเรียบร้อยเกินความจำเป็น  วิธีนี้ให้ดูทีเผลอนะอย่า จ้อง หรือทำให้เป้าหมายรู้ตัวว่าเป็นเป้าสายตาหละ11. เครื่องจับความเป็นเกย์ ด้วยเกย์ด้วยกันนี่ล่ะค่ะ  เค้าเรียกว่า ทฤษฎี “ผีเห็นผี”  หาเพื่อนเกย์ที่คิดว่าเป็นมือโปร มาร่วมสังเกตุการณ์  สร้างสถานการณ์จำลอง ทดลอง เกย์ด้วยกันจะมีซิ๊กตี้ไนน์เซนส์  และรับคลื่นความถี่ของเกย์ได้อย่างง่ายดาย เครื่องจะรายงานผลที่มิเตอร์ หรือทางกล้องวงจรปิด คะแนนจะปรากฎที่หน้าจอทำให้คุณผู้ชมทางบ้านเห็นคะแนนได้อย่างง่ายโดยที่เจ้าตัวนั้นไม่รู้   12. ปากจัด จู้จี้จุกจิก  เรื่องมาก มากเรื่อง เอาเรื่องง่าย   ลักษณะนิสัยเหมือนผู้หญิง  วีนแตกโดยไม่มีเหตุผล ไม่มีความหนักแน่น  ข้อนี้เข้าข่ายง่ายในการสังเกตุค่ะ13. พฤติกรรมที่มีต่อเกย์ด้วยกัน  คนที่แอบจะเกลียดกะเทย และเกย์ด้วยกัน เพราะอะไรหรือคะ  ก็เพราะกลัวว่าเพื่อนสนิทของคุณที่เป็นเกย์ กะเทยจะจับคลื่นอีแอบของเค้าได้น่ะสิ   สังเกตเห็นว่าเค้าจะทำท่าทาง รังเกียจ ต่อต้านพวกนี้จนเว่อร์  ซึ่งชายจริง หญิงแท้ยังไม่รู้สึกขนาดนั้นเลย14. ใช้วิธีการซักประวัติ ไม่ต้องถึงขนาดไปติดต่อสถานีตำรวจ ค้นประวัติขนาดนั้น แค่คุณรู้จักกับเพื่อนเก่า หรือคนรอบข้าง เพื่อนร่วมงานเก่าๆ ของเค้าก็ได้ข้อมูลแล้วล่ะ  แต่ข้อนี้ผลเสียก็คือไม่แน่นอนเพราะเค้าอาจจะเริ่มเป็นเกย์ เมื่อวันซืนนี้เองก็ได้15. เอาเบอร์โทร อีเมล์ของเค้าให้กับเพื่อนนกต่อของคุณ  โดยสร้างสถานการณ์ให้เพื่อนคุณ โทรมาจีบ และติดต่อกันทางเน็ต เห็นรูปร่างหน้าตา (ขอคนที่แมนๆ ไม่แสดงออกเท่านั้นค่ะ ไม่งั้นแผนเสีย) ซึ่งวิธีการนี้ได้ผลนักแล เดี๊ยนรับรอง เคยใช้มาแล้ว สุดท้าย ก็เหมือนกับมิวสิควีดีโอ ของ Toni Braxton “ he doesn’t man enough for me”16. รักสวยรักงาม  เครื่องประทินผิว เครื่องสำอางยี่ห้อไหนรู้ไปหมด ผู้ชายอาไร๊ แต่งหน้า ทาปาก เขียนคิ้ว โบ๊ะแป้งตลอดสี่สิบสี่ชั่วโมง ข้อนี้ดาราหลายคนเถียงว่า  ไม่จริงหรอกครับ ผมเป็นดาราต้องแต่งให้ดูดีทุกครั้ง17. สะกดรอย ปรึกษานักสืบมืออาชีพ ข้อนี้ลงทุนนิ๊ดสสสส์นึงแต่ผลก็คุ้มนะคะ  “ตามไปดู”  ว่าสถานที่ หรือกิจกรรมยามว่างเค้าไปทำอะไรที่ไหน กับใคร หากไปซาวน่าเกย์ หรือสถานเริงรมณ์เกย์โดยที่คุณไม่รู้แล้วหละก็  “...ใช่เลยยยยยยยยย เป็นเกย์แน่เลยยยยยย ”  เรียกง่าย ๆ ว่า แอบอยู่แอบกินเรียกพี่นั่นคือขั้นพื้นฐานการเช็คสภาพจิตใจ พฤติกรรมและความเป็นชายของใครบางคน แต่การจะตัดสิน ฟันธงว่าใครเป็นชายแท้ ชายเทียมนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย และก็ไม่ได้ยากนักหนาในการตรวจสอบ แน่นอนมันอาจจะไม่ง่ายเหมือนเช็คสภาพรถ แต่สภาพจิตใจของคนที่เป็นเกย์ บางทีดูยาก รูปร่างหน้าตาอย่างนี้ ถามหน่อยเถอะพี่  “เป็นเกย์มั้ยยยยค๊า”  ตอบยากค่ะ  ใครจะลองเอาไปใช้ ไม่สงวนลิขสิทธิ์ได้ผลเช่นไรบอกกล่าวกันได้ค่ะ
กิตติพันธ์ กันจินะ
ต้นเดือนเมษายน – เทศกาลปีใหม่เมืองหรืองานสงกรานต์ใกล้เข้ามาถึงในอีกไม่กี่วัน วันหนึ่งพี่เหน่งโทรศัพท์มาหาผมเพื่อชวนผมไปเยี่ยมรุ่นน้องคนหนึ่งที่คุกแห่งหนึ่งในเชียงใหม่ ผมไม่ปฏิเสธ และได้ตระเตรียมข้าวของต่างๆ เพื่อไปเยี่ยมรุ่นน้องพี่เหน่งไม่บอกว่าใครอยู่ในคุก เพราะอยากให้ผมได้รู้ด้วยตัวเองว่ามาหาใคร ไม่กี่นานพี่เหน่งก็มารับผมที่บ้านพัก แล้วรีบบึ่งรถไปยังจุดหมายโดยเร็วแดดร้อนแผดเผาไปทั่วใบหน้า รถชอบเปอร์คันโตของพี่เหน่งพาเราสองคนมาถึงคุกในไม่กี่อึดใจ พี่เหน่งเดินบ่ายหน้าเข้าไปติดต่อเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์เพื่อขอเยี่ยมผู้ต้องขัง ส่วนผมนั่งรอที่เก้าอี้ของคนที่มาเยี่ยมญาติภายในคุกพี่เหน่งเดินมาที่เก้าอี้ “คงอีกซักพักว่ะ ถึงจะได้เยี่ยม คนเยอะมาก ไม่รู้ว่าจะเจอมันมั้ย” “น่าจะไม่นานนะครับ ว่าแต่ใครอยู่ในนี้เหรอพี่” ผมตอบและถามด้วยความสงสัย “อ๋อ ก็ไอ้ก้องไง จำมันได้มั้ย มันโดนคดีปืน โดนจับข้อหามีปืนและทำร้ายร่างกายคนอื่น ไอ้คู่ กรณียังไม่ออกโรงบานเลย” พี่เหน่งเล่าที่มาที่ไป “พี่ไปหามันที่โรงพักแล้วแต่ไม่ทัน มันถูกส่งมาที่คอกนี่ก่อนนะสิ เลยต้องให้แกมาเป็นเพื่อนด้วย” ชายวัยกลางคนเล่าเสริมเมื่อมาถึงตรงนี้ ผมก็พอเข้าใจแล้วว่า มาเยี่ยมใคร พี่ก้อง – ชายหนุ่มที่เคยมีเรื่องกับคนต่างถิ่นจนหนังสือพิมพ์ที่ลงข่าวต่างเรียกพวกเขาว่าแก๊ง ผมเองก็เคยมีโอกาสได้เจอพี่ก้อง ไม่กี่ครั้ง แต่ทุกครั้งที่เจอกัน เขามักจะเป็นคนจ่ายเงินค่าอาหารเสมอ และยังถามไถ่ว่าเมาขนาดไหน เพื่อเขาจะได้ไปส่งที่บ้านพักพวกเราสองคนนั่งรอคิวเพื่อนที่จะเข้าไปพบพี่เก่งที่ด้านในที่เยี่ยมญาติ ไม่กี่นาทีหลังจากที่นั่งรอ เสียงประกาศของโฆษกก็เรียกให้ญาติของผู้ต้องขังแต่ละคนเข้าพบ และหนึ่งในนั่นก็รวมเราสองคนด้วยพวกเราเข้ามาในส่วนของพื้นที่เยี่ยมญาติซึ่งจัดแจงเป็นกรงลวดกั้นระหว่างผู้ต้องขังกับคนที่มาเยี่ยม, ผู้ต้องขังบางคนมีหญิงแก่วัยชรามาหา บางคนเป็นหญิงสาว, บางคนก็เป็นชายกลางคน - และชายวัยกลางคนกับเด็กวัยรุ่นสองคนก็เป็นที่ถูกมองของคนอื่นๆ ด้วยเช่นกัน“มันมีทีวีวงจรปิดด้วย เหมือนในหนังเลย” ผมกระซิบพี่เหน่งก่อนที่พี่ก้องจะเข้ามาครู่หนึ่ง ชายหนุ่มวัยยี่สิบกว่า ผมเกรียนสั้นเหมือนทหารเกณฑ์ก็เดินเข้ามายังจุดที่นั่ง เสื้อผ้ากางเกงสีเทาขาวสั้น นำร่างผอมบางของเขามาอยู่ตรงหน้าพวกเรา“เป็นไงบ้างพี่” ผมเริ่มทักทายเป็นคนแรก ก่อนที่พี่เหน่งจะถามต่อว่า “ทุกอย่างโอเคดีนะ” พี่ก้องขานรับด้วยรอยยิ้ม “ดีมากเลยพี่ ผมนึกว่าจะแย่กว่าที่สถานพินิจที่ไอ้โน่ (รุ่นน้องแถวบ้านพี่ เก่ง) เคยเข้าอีก แต่ดีที่เข้ามาแล้วเจอคนที่รู้จัก เลยไม่ค่อยโดนแกล้งเท่าไหร่” “แล้วคนอื่นๆ มาหาแกบ้างยังว่ะ” พี่เหน่งถามขึ้น “ก็มี แต่ไม่มาก คงไม่มีใครรู้มั้ง ผมโดนคดีนี้คงจะหลายปีอยู่ แต่ถ้ามีเงินหลายแสนก็คงจะอามา ประกันตัวได้ เพราะเขาตั้งวงเงินประกันสูงอยู่ ไม่รู้พวกพ่อจะเอายังไง” น้ำเสียงอ่อนๆ ของพี่ ก้องบอกให้รู้ถึงการยอมรับในสภาพที่ตัวเองเผชิญในวันนั้นเอง พวกเราสามคนคุยกันหลายเรื่อง แต่ส่วนมากเป็นบทสนทนาระหว่างพี่เหน่งกับพี่ก้องมากกว่า ผมไม่ค่อยได้คุยอะไรมาก ทำได้ก็แต่จดรายการข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ ที่พี่ก้องต้องการจะใช้แล้วค่อยหามาให้ตอนมาอีกทีเราใช้เวลาไม่กี่นาที ก็หมดเวลาในการเยี่ยมญาติ พี่ก้องเดินหันหลังแล้วย่างเท้ากลับเข้าไปสู่ดินแดนที่เขาเดินออกมาเมื่อไม่กี่นานที่ผ่านมา “ถ้ามีอะไรพี่จะส่งเข้าให้แกนะ” พี่เหน่งตะโกนบอกก่อนที่ผู้คุมร่างโตจะประคองตัวพี่ก้องเข้าไป ในคุกคนนอกคุกมีวัยรุ่นที่อายุไล่เลี่ยกันกับผมหลายคนที่ออกจากสถานพินิจและต้องกลับใช้ชีวิตแบบเดิม คือ เที่ยว ทะเละวิวาท และใช้ความรุนแรงต่างๆ อีกมากบางคนเข้าไปเพื่อเปลี่ยนแปลงนิสัยตัวเอง จากที่เคยก้าวร้าวก็เปลี่ยนเป็นอ่อนโยมมากขึ้น ขณะที่บางคนก็ยิ่งเพิ่มความก้าวร้าวเข้าไปอีกมาก เนื่องจากมีเพื่อนหลายๆ คนในสถานพินิจที่คบกัน และระบบในนั้นยังเป็นการสร้างความรุนแรงเข้าไปอีก ทำให้วัยรุ่นหลายคนเมื่อออกจากสถานพินิจแล้วกลับยิ่งเพิ่มทวีความก้าวร้าวขึ้นอย่างเห็นได้ชัดเมื่อออกมาสู่สังคมภายนอกยิ่งแล้วใหญ่ เมื่อคนที่อยู่ในสังคมมองคนที่เคยเข้าคุกด้วยสายตาเหยียดหยามและไม่ค่อยจะยอมรับเท่าไหร่แม้ว่าโดยส่วนมาก หากวัยรุ่นมีอายุมากขึ้น มีความรับผิดชอบมากขึ้น ก็จะทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงในการใช้ชีวิต ซึ่งบางคนก็ไม่มีเรื่องทะเลาะชกต่อย ไม่นิยมความรุนแรง เพราะต่างมีความรับผิดชอบอื่นๆ มากยิ่งขึ้น จึงทำให้วิถีชีวิตเปลี่ยนไป –ความสุข สนุกสนานที่เคยมีในวัยรุ่นด้วยสภาพแวดล้อมนี้ก็เกิดความเปลี่ยนแปลงตามกาลเวลาหลายคนมีความตั้งใจและความฝันต่อการใช้ชีวิตในอนาคตได้อย่างน่าสนใจ คือ มีความต้องการหรือความหวังในอนาคตไม่แตกต่างจากเยาวชนทั่วๆ ไปที่ไม่สังกัดกลุ่ม สังเกตได้จากการจัดกิจกรรมและคำถามถึงความต้องการของกลุ่มว่าอยากมีอาชีพต่างๆ ซึ่งวัยรุ่นหลายคนสะท้อนว่า อยากเป็นนายกรัฐมนตรี เพราะว่าต้องการบริหารประเทศ อยากเป็นตลก อยากมีกิจการเป็นของตัวเอง และอยากมีครอบครัวที่อบอุ่น ซึ่งอาชีพดังกล่าวถือเป็นอาชีพที่ทำประโยชน์ให้กับสังคม ไม่ว่าจะเป็นด้านการให้ความบันเทิง หรือการทำประโยชน์ต่อสาธารณะ ดังนั้นวัยรุ่นในกลุ่มต่างๆ ต้องการที่จะมีครอบครัวที่อบอุ่น และประกอบอาชีพที่สุจริต หากได้รับโอกาสจากคนรอบข้างและคนในสังคมมีองค์กรพัฒนาเอกชนบางแห่ง ที่ให้วัยรุ่นที่เข้าร่วมกิจกรรม ส่งเสริมอาชีพ ให้มีส่วนร่วมในการรับผิดชอบ ล้างทำความสะอาดบ่อเลี้ยงปลา และให้อาหาร โดยมีการจดบันทึกการทำหน้าที่ประจำวัน จากการสังเกตสมุดบันทึกประจำวัน พบว่าวัยรุ่นมีความกระตือรือร้นและมีความรับผิดชอบในหน้าที่มากขึ้น โดยเห็นได้จากเวลาการให้อาหาร และความถี่ในการล้างทำความสะอาดบ่อเลี้ยงกิจกรรมส่งเสริมอาชีพนี้ แสดงให้เห็นว่าวัยรุ่นที่รวมตัวกันเป็นกลุ่มแก๊ง มีความรับผิดชอบไม่ต่างจากเยาวชนที่ไม่สังกัดกลุ่มแก๊งทั่วไป อีกทั้งยังสามารถรับผิดชอบหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายเป็นอย่างดี หากเขาเหล่านี้ได้รับโอกาสหรือความไว้วางใจ จากผู้คนรอบข้างหรือผู้ใหญ่ เขาก็สามารถรับผิดชอบหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายได้ ยิ่งไปกว่านั้น คำชมเชยหรือน้ำใจเล็กๆ น้อยจากคนรอบข้างก็สามารถพัฒนา หรือดึงศักยภาพในตัวของเยาวชนออกมาได้เป็นอย่างดีอย่างไรก็ตาม มีรุ่นพี่เล่าถึงการสมัครงานที่ยังมีปัญหา เนื่องเพราะ แม้ว่าจะทำกิจกรรมดีก็ยังถูกมองเป็นลบ โดยสื่อมวลชนไม่เคยนำเสนอกิจกรรมด้านดีของกลุ่ม เช่น การเข้าค่ายกิจกรรมกับองค์กร/สถาบัน/หน่วยงายราชการ การแข่งกีฬาประจำปี การเล่นดนตรี หรือการเล่นกีฬากลางแจ้ง ในทางตรงกันข้ามหากมีการทะเลาะวิวาทซึ่งเป็นเรื่องธรรมดาในกลุ่มวัยรุ่นกลับนำไปเสนอข่าวและขยายภาพเชิงลบเกินความจริง ทำให้เด็กที่รวมกลุ่มกันไม่ว่าจะทำกิจกรรมที่ดีหรือไม่ดี ถูกมองเหมารวมในทางเสื่อมเสีย ถูกตำรวจและสังคมจ้องจับผิดมาตลอด“เมื่อสื่อมวลชนไม่แยกแยะ พอผู้ใหญ่รวมกันเป็นตั้งวงดื่มเหล้าหรือบางครั้งก็มีการทะเลาะกันไม่ต่างจากกลับไม่เรียกว่าเป็นแก๊ง มุ่งนำเสนอความรุนแรงโดยยัดเยียดให้กับกลุ่มวัยรุ่น เสนอภาพและข่าวเกินจริง เพื่อขายข่าว”ทั้งนี้สำหรับคนที่เคยเข้าคุกมากแล้วยิ่งถูกกีดกันมากเพิ่มขึ้น คือ เวลาที่ไปสมัครงานเพื่อหารายได้พิเศษ หรือสมัครเพื่อขอคัดเลือกทำกิจกรรมระดับโรงเรียน อำเภอ หรือระดับจังหวัด รวมทั้งตามองค์กรของรัฐ เอกชนต่างๆ ผู้ใหญ่มักตัดสินคัดเลือกเด็กจากรูปลักษณ์ภายนอก ไม่มองที่ความสามารถ และความตั้งใจของเด็กเป็นสำคัญ เด็กที่มีรอยสัก ผมยาว เจาะหู แต่งตัวไม่เรียบร้อย จะถูกคัดออกเป็นลำดับต้น “เด็กที่มีลักษณะแตกต่าง เป็นตัวของตัวเอง ย่อมไม่มีพื้นที่แสดงความสามารถของตัวเอง จึงตั้งคำถามเป็นข้อสังเกตว่า ความนิยมของเด็กหากสวนทางกับค่านิยมของผู้ใหญ่ จะไม่ถูกยอมรับและให้โอกาสใช่หรือไม่” รุ่นพี่ผู้หญิงที่ทำงานกับกลุ่มเด็กแก๊งตั้งคำถาม“คนนอกคุก เมื่อเคยอยู่ในคุกแล้วออกมาสู่ภายนอก เราไม่ต้องการอะไรมากหรอก ขอแค่ทำกับเราเหมือนอย่างที่เราเป็นคนเหมือนอย่างคนทั่วไปก็พอ เราไม่ใช่ใครอื่น เราเป็นคน มีชีวิตจิตใจ แม้ว่าจะทำอะไรไม่ดีมามากแต่โอกาสและการยอมรับเป็นสิ่งที่จำเป็นต่อพวกเรามาก” ชายหนุ่มที่เคยเข้าออกสถานพินิจอยู่บ่อยๆ เสนอความเห็น ก่อนที่เขาจะถูกย้ายจากสถานพินิจของเด็กไปอยู่กับคุกของผู้ใหญ่ในอีกไม่กี่วัน“ผมคงได้เจอรุ่นพี่ที่คุกใหญ่อีกหลายคนแน่ๆ” เขาย้ำด้วยใบหน้าหมอง “สังคมในคุกยอมรับกันดีกว่าข้างนอกมากมาย ชีวิตข้างนอกมันโหดร้ายมากกว่านี้อีก” เขาเผยอย่างหนักแน่นผมทำได้แต่ฟังและพยักหน้ารับคำพูดของเขาอย่างสงบโปรดตามติดอ่านตอนต่อไป....
พระกิตติศักดิ์ กิตฺติโสภโณ
หลายองค์กรชาวพุทธออกมา “คัดค้าน”การประกวด การตัดสิน และการให้รางวัล ผลงานศิลปะชิ้นหนึ่งอย่างรุนแรง และต่อเนื่องกล่าวโทษถึงขั้นมุ่งร้าย และ/หรือ ทำลายพระพุทธศาสนาค่าที่ศิลปินผู้นั้นเขียนภาพ “ภิกษุสันดานกา”ในลักษณะอาการ ตำหนิ หรือติเตียน การกระทำสำหรับพฤติกรรมอันน่ารังเกียจอย่างที่ชาวโลกเห็นว่าผู้เป็น “สมณะ” ไม่ควรประพฤติแต่ในที่สุด กลุ่มบุคคล หรือองค์กร รวมทั้งหน่วยงานรัฐ เช่น สำนักงานพุทธศาสนาแห่งชาติก็ได้พบว่า…มีชาวพุทธจำนวนหนึ่งเช่นกันที่ไม่เห็นด้วย เอือมระอา หรือรังเกียจ “การแสดงออก” ของตน หรือของพวกตน และมีบ้าง ที่ถึงขั้นกล่าวว่าเป็นอาการ “ร้อนตัว” “วัวสันหลังหวะ” หรือ “กินปูนร้อนท้อง” ทำนองว่ากลัวคนอื่นจับได้ไล่ทัน จึงออกมาปกป้อง “หม้อข้าว” ของตน และพรรคพวกนี่คงไม่ใช่ครั้งแรกหรือครั้งสุดท้าย…สำหรับการแสดงออก และการมีความเห็นที่แตกต่างต่อสิ่งที่เรียกว่า “การปกป้องพระศาสนา” และ/หรือ “ความยึดมั่นถือมั่น” เพราะด้านหนึ่งชาวพุทธและสังคมของพวกเขา ในฝ่ายอนุรักษ์นิยมจะตามไม่ทัน และขัดแย้ง กับ “สังคมสมัยใหม่” (หรือสังคมหลังสมัยใหม่?) พร้อมๆ กับอีกด้านหนึ่ง ที่ “พุทธนอนุรักษ์นิยม” ก็ขัดแย้ง หรือตามไม่ทัน “พุทธก้าวหน้า” ที่พยายามแก้ปัญหาหรือนำเสนอทางออก ให้ “พระพุทธศาสนา” อยู่ในโลกที่เป็นจริงชนิดที่สามารถนำพาสังคม หรือเสนอทางออกให้สังคม และสมาชิกในสังคมได้เช่นเดิมแน่ล่ะว่าการ “ปกป้อง-รักษา” เป็นภารกิจสูงเกียรติ และน่ายกย่อง แต่ใช่หรือไม่ว่า หากพลั้งพลาด สะดุดเท้าตนเองเข้าก็จะกลายเป็น “ยึดมั่น-ไร้เดียงสา” ไปได้โดยง่าย และอย่างคาดไม่ถึง…อยากให้กำลังใจกับทุกฝ่ายว่าการ “แสดงออก” อย่าง “เปิดเผย สงบ และสันติ” ล้วนแต่เป็นเรื่องที่ดี โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากประกอบไปด้วย “สติ ปัญญา สัมปชัญญะ และสมาธิ” ตลอดจนมีกระบวนการศึกษา วิเคราะห์ และสรุปบทเรียน ที่เหมาะสมการเอาชนะคะคานนั้นมีรสชาติ แต่ท้ายสุด ก็แค่การ “สร้างผู้แพ้” จำนวนหนึ่งขึ้นมาเท่านั้น และจับพลัดจับผลู ดีไม่ดีจะแพ้ “กิเลส” เอาทุกฝ่ายเสียด้วยซ้ำพุทธธรรมมีไว้ปฏิบัติ และปฏิบัติเพื่อดับทุกข์เท่านั้น !!!
มูน
อยู่ดีๆ ฉันก็เหลือมือที่ใช้การได้ข้างเดียว แถมเป็นข้างซ้ายที่ไม่ถนัดเสียด้วยมือขวาหายไปไหนล่ะ ไม่หายหรอกค่ะ ยังอยู่ แต่มันยื่นใบลาพักชั่วคราว ฉันจำต้องอนุมัติ เพราะมันอ้างว่าเป็นคำสั่งแพทย์สาเหตุการป่วยของมือขวามาจากตัวฉันเอง มีแมวน้อยน่ารักสองตัวเป็นส่วนประกอบเสือจิ๋วกับสตางค์เป็นลูกแมวกำพร้าที่ถูกทิ้ง ความจริงมันมีพี่น้องสี่ตัว แต่อดตายไปสอง มันโชคดีที่ได้เจอฉัน หรือว่าฉันโชคดีที่มีโอกาสได้ช่วยมันก็ไม่รู้ สองแมวเลยมาอยู่บ้านสี่ขา ได้ป้อนน้ำป้อนนมกันจนโตความที่ไม่รู้ว่าแมวทั้งสองตัวเกิดเมื่อไร การคาดเดาอายุของมันจึงคลาดเคลื่อนไม่มากก็น้อย ฉันตั้งใจจะจับมันไปทำหมันก่อนวัยกลัดมันจะมาถึง แต่เกิดมีหมาๆ พากันเจ็บป่วยต่อเนื่องกันถึงห้าตัวในช่วงสามเดือนที่ผ่านมา ทำให้เกิดบ้านสี่ขาเกิดภาวะ "วิกฤติเศรษฐกิจ" โครงการทำหมันแมวประสบภาวะชะงักงัน เนื่องจากการเงินของเจ้าของแมวขาดสภาพคล่อง เพื่อความปลอดภัย ฉันตัดสินใจเอาเสือจิ๋วกับสตางค์ใส่กรงไว้ก่อน เพราะมีแมวสาวๆ ที่ยังไม่ทำหมันอยู่หลายตัว สองแมวน้อยไม่มีทีท่ารังเกียจกรง แถมยังรักกันนักหนา เดี๋ยวเล่นเดี๋ยวเลียเนื้อตัวให้กัน กอดปล้ำกันจนกรงสะเทือน บางทีมีส่งเสียงเหมียวๆ คุยกันเสียด้วย ยามนอนก็กอดกันหลับปุ๋ยทุกคืน ใครจะนึกว่า ระหว่างแมวตัวผู้ "ไม่มีมิตรและศัตรูที่ถาวร"เช้าวันหนึ่ง ฉันจึงตื่นด้วยเสียงแหบห้าวสองเสียงที่แผดใส่กันดังสนั่น ตอนแรกนึกว่าฝันไป เฮ้ย ไม่ใช่นี่หว่า เสียงมาจากกรงแมว ลุกไปดูด้วยความแปลกใจ ไม่ทันคิดว่าลูกแมวน้อยจะแตกเนื้อหนุ่มในช่วงข้ามคืนเสือจิ๋วกับสตางค์เบียดพิงกรงอยู่คนละด้าน กำลังโก่งตัวพองขน ส่งเสียงเถียง(หรือท้ารบก็ไม่รู้) กันอย่างเอาเป็นเอาตาย ยังไม่ทันที่ฉันจะประเมินสถานการณ์ สองแมวก็พุ่งใส่กันเหมือนคู่ชกมุมแดงและมุมน้ำเงินบนเวทีมวยราชดำเนิน โรมรันพันตูอยู่ในกรงจนขนกระจุยกระจาย ฉันกลัวสตางค์ที่ตัวเล็กกว่าจะโดนฟัดตาย จึงเปิดกรงเอื้อมมือเข้าไปดึงสตางค์ออก พริบตานั้น เสือจิ๋วที่กำลังเมามันกับการต่อสู้ก็กระโจนเข้าขย้ำมือขวาของฉันเต็มที่ ฉันสะบัดมือขึ้นด้วยความเจ็บปวด เขี้ยวที่ยังฝังอยู่จึงแหวกเนื้อเป็นทางยาว เสือจิ๋วถอนเขี้ยวแล้วกัดซ้ำ ทั้งกัดและตะกุยด้วยกรงเล็บตั้งแต่หลังมือจนถึงข้อศอก พริบตาเดียว มือฉันก็พรุน เลือดพรูออกมาจากทุกๆ รอยแผลเหมือนถุงใส่น้ำที่มีรูรั่ว ฉันร้องไม่ออกเพราะตกใจ ผงะหงายหลังออกจากกรงจนเกือบหกล้ม รีบใช้ชายเสื้ออุดปากแผล แต่เอาไม่อยู่ (เพราะมีหลายรูเกินไป) เลือดไหลจนชุ่มเสื้อ บางส่วนหยดเป็นดวงๆ บนพื้นบ้าน ฉันก้มหน้าเห็นเลือดก็ตาลาย นึกได้ว่าต้องล้างแผลเป็นอันดับแรก รีบตะกายไปเปิดก็อกน้ำใส่มือและแขน เลือดไหลพลั่กๆ ปนกับน้ำจนแดงเต็มพื้น สีเข้มยิ่งกว่ายาอุทัยทิพย์ฉันตกใจเสียดายเลือดตัวเองจนใจสั่นหวิวๆ รีบเอามือซ้ายรัดข้อมือขวาเพื่อห้ามเลือด เดินโซเซกลับมาล้มนอนบนแคร่เพราะหน้ามืด รู้สึกปวดแผลจนจะเป็นลม แต่ไม่กล้าเป็น เพราะกลัวว่ามือที่กดแผลไว้จะหลุด แล้วเลือดจะไหลหมดตัว จินตนาการว่าถ้าตายไปใครจะให้ข้าวหมาแมวนอนหลับตากดแผลอยู่ราวห้านาที นึกได้ว่ากรงเปิดอยู่ ตายละ เดี๋ยวมันกระโจนไล่กันข้าวของพังหมด (ยังอุตส่าห์ห่วงสมบัติ) ฝืนสังขารลุกมาดู เห็นกรงว่างเปล่า ปรากฏว่าสองแมวไปแอบหลบกันอยู่คนละมุมบ้าน จานอาหารกับอ่างน้ำหกกระจายระเนระนาดเจ้าน้อยหน่า หมาในบ้านตัวหนึ่งกระโดดไปนั่งอยู่บนเก้าอี้ ส่วนโมเม หมาพิการผู้น่าสงสารของฉันอุตส่าห์กระเสือกกระสนไปซุกอยู่ใต้แคร่ เลยจำต้องเลิกหน้ามืด กัดฟันล่อให้เสือจิ๋วเข้ากรง ไล่สตางค์ลงตะกร้าแล้วปิดฝา รู้สึกปวดแผลจนหน้ามืดอีกรอบหนึ่ง กลั้นใจดูสภาพยับเยินของมือและแขนแล้วก็เห็นว่าต้องไปโรงพยาบาลสถานเดียว กัดฟัน(จนเกือบหัก) อีกครั้ง ซมซานขี่รถออกไป ไม่รู้ว่าขี่ได้ยังไงโดยไม่ตกถนน แต่แล้วฉันก็ฝืนไปโรงพยาบาลไม่ไหว เพราะอยู่ห่างออกไปกว่าสิบกม.เลยไปหมดแรงแค่สถานีอนามัยตำบล“แผลลึกนะคะนี่ ต้องรักษากันยาวเลย” เจ้าหน้าที่พยายามยัดผ้าก็อซชุบยาลงไปในแผลจนหมดทั้งชิ้น ฉันมองดูกรรมวิธีทำแผลที่ดูเหมือนการยัดนุ่นใส่หมอนแล้วก็เกือบเป็นลมอีกครั้งกว่าจะเสร็จเรื่อง วันนั้นหมาแมวได้กินข้าวเกือบเที่ยงคืนเพราะฉันหิ้วหม้อข้าวไม่ไหวผ่านไปสองวัน มือและแขนของฉันก็อักเสบ บวมเป่งเหมือนใส่นวมนักมวย ลองกดดูก็นิ่มๆ เหมือนลูกโป่งที่ใส่น้ำเข้าไปจนพองแทนการเป่าลม  มองอีกทีก็เหมือนแขนป๊อบอายหลังกินผักโขม ดูแล้วตลกดีนึกถึงปฏิกิริยาของบางคนที่รับรู้เหตุการณ์ระทึกใจในบ้านสี่ขาคนที่ทำแผลให้ฉันบอกว่า “ยังจะเลี้ยงมันไว้อีกหรือคะ น่าจะทิ้งๆ ไปซะ เดี๋ยวก็ถูกกัดอีกหรอก”เพื่อนบ้านคนที่เคยเอาหมาแลกถังถึงกับเดินมาขอดูบาดแผล แล้วแสดงทัศนะส่วนตัวว่า “เป็นฉันหน่อยไม่ได้ จะทุบหัวให้ตายคามือเดี๋ยวนั้นเลย”อีกคนบอกว่า “บอกแล้วไง อย่าไว้ใจสัตว์หน้าขน เลี้ยงยังไงก็ไม่เชื่อง” แถมอาสาว่า “ถ้าไม่กล้า จะจัดการให้เอามั้ย”ทำไมบางคนจึงชอบแก้ปัญหาด้วยความรุนแรง ฉันโทรศัพท์เล่าให้แม่ฟัง แม่(ซึ่งถือหางข้างแมว)บอกว่า “จะเอาสำนึกอะไรนักหนากับหมาแมว อยู่ๆ มันมากัดเล่นๆ เมื่อไหร่ เราไปยุ่งกับมันเองแท้ๆ ทีคนมีสมองมากกว่ายังทำผิด แล้วก็ไม่ใช่จะประหารชีวิตกันง่ายๆ นะ ยังมีขออภัยโทษ นี่อาไร้ เป็นสัตว์เข้าหน่อย เอะอะก็จะฆ่าจะแกง” แล้วแม่ก็สรุปว่า “คนใจดำ”ในเรื่องร้ายๆ ฉันพบว่ามีหลายเรื่องดีๆ การที่มือขวาใช้ไม่ได้ ทำให้ฉันค้นพบศักยภาพของมือซ้ายที่ทำอะไรได้มากกว่าที่คิดชีวิตประจำวันของบ้านสี่ขา อันประกอบไปด้วย ก่อไฟ หุงข้าว(ให้หมา) ซักผ้า ล้างจาน หิ้วน้ำรดต้นไม้ เผาขยะ กวาดอึหมา เก็บอึแมว และอีกร้อยเรื่องจิปาถะ ฉันพบว่ามือซ้ายก็ทำได้ แม้จะไม่เรียบร้อย และใช้เวลามากกว่ามือขวาหลายเท่า รู้สึกว่าตัวเองใจเย็นขึ้นอีกเยอะเป็นช่วงเวลาที่เรียกได้ว่า “ปากกัดตีนถีบ” จริงๆ อะไรที่มือเดียวทำไม่ได้หรือไม่ถนัด ฉันจำเป็นต้องใช้ทั้งปากและเท้าช่วยใครอยากรู้ว่ายากแค่ไหน ลองนุ่งผ้าถุงด้วยมือข้างเดียวดูนะคะ มือข้างที่ไม่ถนัดนั่นละค่ะ ใครนุ่งได้ง่ายๆ และรวดเร็วช่วยบอกวิธีให้ด้วยมีคนถามว่าฉันจัดการยังไงกับเสือจิ๋ว ฉันว่า หาวิธีจัดการกับตัวเองสนุกกว่าสิ่งหนึ่งที่ฉันคิด ขณะที่กำลังพยายามเขียนเรื่องนี้ให้สำเร็จด้วยมือซ้าย ก็คือ ถึงแม้เราจะรักและหวังดีต่อชีวิตแมว หรือชีวิตใครก็ตาม ในบางวิถี เราก็ไม่มีสิทธิยื่นมือเข้าไปแทรกขอบใจเขี้ยวและเล็บของเสือจิ๋ว ที่ทำให้คน(บางคน)ตระหนักในที่ทางและศักยภาพของตัวเอง
เตือนใจ ดีเทศน์ กุญชร ณ อยุธยา
ยามปลายฝนต้นหนาว ช่วงเดือนตุลาคม ต้นปีบขาว (กาสะลองเงิน) กำลังออกดอกสีขาวบริสุทธิ์ กลิ่นหอมเย็นชื่นใจ ชวนให้คิดถึงการมาเยือนภาคเหนือเพื่อชื่นชมธรรมชาติและวิถีชีวิตที่สงบสุขของชนชาติพันธุ์ต่าง ๆ ซึ่งชาวกะเหรี่ยงเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่มีประชากรมากที่สุดในภาคเหนือ และสามารถรักษาเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมที่อยู่ร่วมกับธรรมชาติอย่างพอเพียงและเรียบง่าย ยิ่งเป็นชุมชนที่อยู่ห่างไกลจากอิทธิพลสังคมเมือง เช่น อ.อุ้มผาง จ.ตาก จะยิ่งมีการสืบทอดภูมิปัญญาจากรุ่นพ่อแม่สู่รุ่นลูกได้โดยไม่ขาดสายคุณแมว – จันทราภา (นนทวาสี) จินดาทอง มีเรื่อง “การสืบสานผ้าทอต่อจากแม่” มาฝากท่านผู้อ่าน เชิญติดตามค่ะเสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่ม หนึ่งในปัจจัยสี่ที่มนุษย์ต้องการเป็นพื้นฐาน นอกเหนือจากอาหาร ยารักษาโรคและที่อยู่อาศัย คนในอดีตใช้ประโยชน์จากเสื้อผ้าในฐานะที่เป็นเครื่องปกปิดร่างกายไม่ให้ดูอุจาดตา เครื่องแต่งกาย เครื่องนุ่งห่มเมื่อครั้งกระนั้นจึงมีลักษณะเรียบง่ายวิวัฒนาการแต่ละยุคที่ผ่านมา ทำให้เสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่ม ค่อย ๆ กลายเป็นส่วนสำคัญที่บ่งบอกถึงอารยธรรมของผู้คน และยังเป็นตัวชี้วัดฐานะความยากดีมีจน รวมทั้งสถานภาพทางสังคม ยิ่งอยู่ในระดับชนชั้นปกครอง เครื่องแต่งกายยิ่งต้องวิจิตรบรรจงปัจจุบันเสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่ม ยังสามารถบอกรสนิยมของผู้สวมใส่และแสดงให้เห็นถึงความสามารถในการแผ่ขยายอิทธิพลของอารยธรรมที่เจริญทางวัตถุไปสู่ทั่วทุกพื้นที่ โดยเฉพาะในสังคมเมืองใหญ่ที่ผู้คนต้องรีบเร่งวิ่งตามแฟชั่นเพื่อไม่ให้ตกยุค ส่วนในสังคมชนบทรวมถึงสังคมของพี่น้องชนเผ่า แม้จะอยู่ห่างไกล แต่สื่อต่าง ๆ ที่ซอกซอนไปทุกหย่อมหญ้าก็ยังส่งผลกระทบไปถึงวัฒนธรรมการแต่งกายอยู่ไม่น้อยเอกลักษณ์ที่เป็นรูปธรรมโดดเด่นให้คนภายนอกรับรู้ได้ทันทีถึงความเป็นพี่น้องแต่ละชนเผ่า คือ เสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย ในประเทศไทยประกอบไปด้วยชนเผ่ามากมาย เฉพาะในภาคเหนือของประเทศมีผู้คนต่างเผ่าพันธุ์ อาทิ กะเหรี่ยง ม้ง ลาหู่(มูเซอ) อาข่า(อีก้อ) ลีซู(ลีซอ) เมี่ยน(เย้า) ลัวะ มลาบรี ไทลื้อ ไทใหญ่ จีนฮ่อ เป็นต้น การจำแนกแยกแยะโดยสายตาในสมัยก่อน วิธีที่ง่ายที่สุดดูได้จากเสื้อผ้าที่พวกเขาสวมใส่สมัยนี้แทบทุกชนเผ่าในเวลาปกติ จะแต่งกายด้วยเสื้อผ้าเหมือนคนพื้นราบทั่วไป โดยเฉพาะผู้ชายและเด็กวัยรุ่น ไม่ว่าหญิงหรือชายจะไม่ค่อยแต่งชุดชนเผ่าดั้งเดิมของตน หากไม่ใช่การต้องร่วมงานพิธีสำคัญ ผิดกับผู้หญิงวัยกลางคนขึ้นไป ที่ยังคงใส่ชุดประจำเผ่ายามใช้ชีวิตประจำวันเป็นปกติพื้นที่ผืนป่าอุ้มผาง ประชากรเกือบทั้งหมดเป็นชาวปกาเกอญอ(กะเหรี่ยง) มีชนเผ่าม้งอาศัยอยู่เพียงหมู่บ้านเดียว คือ บ้านแม่กลองใหญ่ ตำบลโมโกร ชาวปกาเกอญอดั้งเดิมส่วนใหญ่ เป็นสะกอ หรือที่คนอุ้มผางเรียกว่า กะเหรี่ยงดอย มีบางส่วนที่อพยพเข้ามาภายหลังจากจังหวัดกาญจนบุรีและจากประเทศพม่า เป็น โปว์ หรือ กะเหรี่ยงน้ำ ซึ่งการแต่งกายของทั้งสองกลุ่มจะแตกต่างกันในส่วนของสะกอเอง ยังมีกลุ่มย่อยที่มีความเชื่อต่างออกไป คือ กลุ่มที่นับถือฤาษี โดยเฉพาะที่บ้านเลตองคุ และ บ้านซอแหมะ  ทำให้มีรายละเอียดปลีกย่อยของเสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่ม ผิดแผกจากหมู่บ้านอื่น ๆการเก็บข้อมูลงานผ้าทอของโครงการฟื้นฟูภูมิปัญญาปกาเกอญอในผืนป่าอุ้มผาง จึงสุ่มตัวอย่างสามหมู่บ้าน ได้แก่ บ้านทีจอชี หมู่ที่ 11 ตำบลแม่จัน ที่เป็นหมู่บ้านนำร่อง และเป็นชุมชนที่ผู้หญิงทั้งหมู่บ้าน ตั้งแต่เด็กเล็ก ๆ หญิงสาว แม่บ้านแม่เรือนหรือหญิงชรา ล้วนแล้วแต่แต่งกายด้วยชุดปกาเกอญออยู่ตลอดเวลาบ้านยะแมะคี หมู่ที่ 7 ตำบลโมโกร เป็นหมู่บ้านที่ตั้งอยู่ห่างจากถนนสายแม่สอด-อุ้มผางเพียง 6 กิโลเมตร จะเห็นว่า ผู้ชายและคนในวัยหนุ่มสาวจนถึงเด็ก ๆ แต่งกายด้วยเสื้อผ้าเหมือนคนพื้นราบโดยทั่วไปในการใช้ชีวิตปกติประจำวัน แต่ทุกคนก็ยังมีชุดปกาเกอญอสำหรับใส่ในพิธีการสำคัญ และเด็กสาวทุกคนยังสามารถทอผ้าอย่างง่าย ๆ ได้ เช่น ย่าม เสื้อที่ไม่มีลวดลายมากนักขณะที่บ้านซอแหมะที่ประชากรเกือบทั้งหมดนับถือฤาษี จะสวมเสื้อผ้าปกาเกอญอเหมือนทั่วไป มีพิเศษในส่วนของเสื้อคลุมฝ่ายหญิง เป็นเสื้อที่มีส่วนลำตัวสั้นแต่แขนยาว และมีผ้าโพกศรีษะของทั้งหญิงชายในตอนร่วมงานหรือพิธีการสำคัญ ผู้ชายที่นับถือฤาษีจะไว้ผมยาวและเกล้าจุกไว้ด้านหน้ากระบวนการสืบค้นข้อมูลเชิงลึกของงานผ้าทอจากหมู่บ้านทีจอชี ได้รับคำยืนยันว่า งานผ้าทอไม่มีวันสูญหายไปแน่นอน เพราะเป็นภาระหน้าที่สำคัญประการหนึ่งของหญิงผู้เป็นแม่ที่ต้องถ่ายทอดการทอผ้าต่อไปยังบุตรสาว แม้กระทั่งเด็กสาวที่ออกจากหมู่บ้านไปเรียนหนังสือที่โรงเรียนบ้านกล้อทอ ที่ห่างออกไป 12 กิโลเมตร จะกลับบ้านเฉพาะวันหยุดเสาร์-อาทิตย์และช่วงปิดเทอม ก็ยังถูกสั่งสอนให้ต้องทอผ้าอย่างง่าย ๆ ให้เป็นผ้าทอของทีจอชี นอกเหนือจากเสื้อผ้าของหญิงสาว (ชุดเชวาสีขาวหรือสีอื่น ๆ ที่ทอยาวเป็นชุดกระโปรง) เสื้อของหญิงที่แต่งงานแล้ว (เชซู เสื้อแขนสั้นพื้นสีดำ ทอลวดลายด้านล่าง) ผ้าถุง ชุดยาวของผู้ชายสำหรับใส่ในพิธีกรรม เสื้อผู้ชายแขนสั้น เสื้อและชุดสำหรับเด็กชายหญิง ชาวปกาเกอญอบ้านทีจอชี ยังใช้ย่าม ผ้าโพกหัว ผ้าห่ม (สามารถใช้เป็นผ้าสำหรับแบกลูกน้อยได้ด้วย) ที่ทอกันเองภายในหมู่บ้านลักษณะของเสื้อผ้าที่คนปกาเกอญอทุกกลุ่มสวมใส่ ไม่มีกระดุม ซิป หรือผ้าผูก ใช้เพียงผ้าทอหน้าแคบที่อาศัยเพียงอุปกรณ์การทออย่างง่าย ๆ สามารถทำได้เองในครัวเรือน โดยใช้ผ้าสองผืนมาเย็บติดกัน เวลาใส่ก็สวมผ่านศีรษะ เสื้อผ้าของเด็ก ผู้ใหญ่ ชายหรือหญิงก็มีลักษณะเดียวกัน แตกต่างกันเฉพาะสีสันและลวดลายเท่านั้นความแตกต่างที่สำคัญอีกประการหนึ่งของเสื้อผ้าผู้ชายที่ใช้พิธีกรรม กล่าวคือ ชาวปกาเกอญอในอุ้มผาง จะใส่ชุดยาวสีชมพูสดหรือสีอื่น ๆ คล้ายชุดเชวาของหญิงสาว ขณะที่หากเป็นเวลาปกติ ผู้ชายจะสวมโสร่งแทนกางเกง ซึ่งเป็นการรับอิทธิพลมาจากประเทศพม่า ซึ่งไม่เหมือนกับปกาเกอญอในพื้นที่ภาคเหนือตอนบนที่จะใส่เสื้อสั้นสีแดงกับกางเกงลวดลายที่ใช้บนผืนผ้ามีทั้งลายดั้งเดิมที่สืบต่อกันมาตั้งแต่อดีต แม่เฒ่าคนหนึ่งเล่าว่า ส่วนใหญ่ลายของปกาเกอญอมาจากของใช้ในชีวิตประจำวัน เช่น ลายกระบุง ตะกร้าที่สานด้วยไม้ไผ่ น่าเสียดายที่ประวัติความเป็นมา สัญลักษณ์และเรื่องราวจากลายผ้าถูกลบเลือนไปตามกาลเวลา ลวดลายใหม่ ๆ ที่นำเสนอรูปธรรมตรง ๆ เช่น ลายนกคู่ รูปหัวใจ มักได้มาจากผ้าทอฝั่งพม่า  ซึ่งชาวบ้านหลายคนในทีจอชียังมีเครือญาติและการไปมาหาสู่กันอย่างสม่ำเสมอ เช่นเดียวกับสีของชุดเชวาที่แต่เดิมมีเพียงสีขาว ในยุคหลัง ๆ นี้เริ่มมีสีอื่น ๆ เช่น เขียว น้ำเงิน ดำ แต่ยังคงรูปแบบเป็นชุดกระโปรงยาวความเปลี่ยนแปลงสำคัญที่เกิดขึ้นกับผ้าทอ นอกเหนือจากลวดลายใหม่ ๆ ที่นำเข้ามา คือ ด้ายที่ใช้เป็นวัตถุดิบในการทอ แต่ก่อนชาวบ้านจะปลูกต้นฝ้ายไว้ในไร่ข้าว แล้วนำมาตี ปั่นและกรอจนเป็นเส้นด้าย โดยเครื่องมือพื้นบ้านที่ผลิตกันเอง จากนั้นนำด้ายมาย้อมด้วยสีที่ได้จากธรรมชาติ จึงจะนำมาทอเป็นผืนผ้า ซึ่งแต่ละขั้นตอนต้องอาศัยเวลาและความพากเพียรของผู้ทอเป็นอย่างยิ่งปัจจุบันมีทางเลือกที่สะดวกสบาย โดยการซื้อด้ายสำเร็จรูปที่ย้อมด้วยสีเคมีฉูดฉาด ราคาไม่สูงนัก เดิมทีต้องเดินทางออกมาซื้อถึงตัวอำเภออุ้มผางที่อยู่ไกลถึง 60 กิโลเมตร เดี๋ยวนี้ชาวบ้านสามารถเดินทางเพียง 10 กิโลเมตรเพื่อซื้อหาด้ายจากศูนย์อพยพนุโพที่มีตลาดค้าขายข้าวของแทบทุกชนิดเหมือนในตัวอำเภอแกนนำอาวุโสของบ้านทีจอชี มีความเป็นห่วงว่า ภูมิปัญญาในการผลิตวัตถุดิบสำหรับทอผ้าจะสูญหายไป ทั้งการปลูกฝ้าย การย้อมด้วยสีธรรมชาติ ตลอดจนลายผ้าเก่า ๆ จึงตกลงร่วมกันรื้อฟื้นการปลูกฝ้ายในไร่ข้าวขึ้นมาอีกครั้ง พร้อมทั้งจัดเตรียมเครื่องไม้เครื่องมือสำหรับตีฝ้าย เครื่องกรอฝ้ายเป็นเส้นด้ายโดยช่างฝีมือในหมู่บ้านที่เหลืออยู่เพียงไม่กี่คนส่วนการย้อมสีธรรมชาติพบว่า เหลือเพียงแม่เฒ่าคนเดียวซึ่งแก่มากแล้วที่มีความรู้ความชำนาญในเรื่องนี้ บรรดาเยาวชนและแกนนำหมู่บ้านได้หารือว่าน่าจะมีการเรียนรู้เรื่องย้อมสีธรรมชาติจากชุมชนที่ทำกันเป็นประจำมาเป็นพื้นฐานก่อน แล้วค่อยขอคำปรึกษาจากแม่เฒ่าเพิ่มเติมกิจกรรมการแลกเปลี่ยนเรียนรู้งานผ้าทอ โดยเน้นเรื่องการย้อมสีธรรมชาติจากบ้านโป่ง  หมู่ที่ 12  ตำบลบ้านกาศ อำเภอแม่สะเรียง จังหวัดแม่ฮ่องสอน จึงเกิดขึ้น มีการพาตัวแทนแกนนำเยาวชนและผู้นำของหมู่บ้านไปศึกษาถึงวัตถุดิบในการย้อมผ้าจากป่าของแม่สะเรียง อุปกรณ์การย้อมผ้า ลวดลายต่าง ๆ การผลิตผ้าทอให้สวยงามหากจะนำมาจำหน่าย รวมทั้งได้ฝึกปฏิบัติจริงในเรื่องการย้อมสีธรรมชาติ     ซึ่งรายละเอียดกิจกรรมดังกล่าวปรากฏอยู่ในบทความเรื่อง “เส้นใย ปกาเกอญอที่ทอถัก จากอุ้มผางสู่แม่สะเรียง”ภายหลังกลับจากการเรียนรู้ แกนนำที่มีโอกาสออกไปศึกษาดูงาน ได้จัดให้มีการสาธิตย้อมสีธรรมชาติขึ้นในหมู่บ้านทีจอชี โดยเชิญแม่เฒ่าผู้รู้เรื่องการย้อมสีธรรมชาติมาร่วมให้คำแนะนำด้วย ซึ่งได้รับความสนใจ ความร่วมมือช่วยเหลือจากชาวบ้านทุกคนเป็นอย่างดี สิ่งที่พบจากการเสาะหาวัตถุดิบในการย้อมผ้า คือ ต้นไม้ที่ให้สีตามธรรมชาติในป่ารอบ ๆ หมู่บ้านทีจอชี มีความหลากหลายของชนิดและมีปริมาณมากกว่าที่พบในป่าของแม่สะเรียง เนื่องจากผืนป่ายังคงมีความอุดมสมบูรณ์มากกว่า แกนนำเยาวชนจึงขอร้องให้ชาวบ้านช่วยกันดูแลผืนป่า เพื่อให้มีวัตถุดิบในการย้อมสีธรรมชาติต่อเนื่องไปตลอดนอกเหนือจากการแสดงออกถึงความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันของคนทั้งหมู่บ้าน การจัดให้รื้อฟื้นงานผ้าทอ ยังช่วยชาวบ้านได้ฉุกคิดเรื่องราวของบทบาทหญิงชาย โดยเฉพาะในกลุ่มเยาวชนชาย ที่ก่อนหน้านี้เมื่อพูดถึงการทอผ้า พวกเขาจะไม่สนใจและคิดว่าเป็นงานของผู้หญิง แต่หลังจากมีการร่วมกันปลูกฝ้ายในไร่ ช่วยกันเสาะหาวัตถุดิบสำหรับใช้ในการย้อมสีธรรมชาติ รวมถึงการสร้างเครื่องมือทอผ้าอันเป็นบทบาทเฉพาะที่สำคัญของฝ่ายชาย จึงทำให้การพูดคุยเรื่องงานผ้าทอในช่วงหลัง มีผู้ชายเข้าร่วมมากขึ้นและมีส่วนในการแลกเปลี่ยนมากกว่าเดิมสิ่งที่ยังคงเป็นความคาดหวังของแม่เฒ่าและแกนนำอาวุโสของบ้านทีจอชี คือ การให้เยาวชนรื้อฟื้นและสืบค้นเรื่องราวของลายผ้าปกาเกอญอโบราณที่อาจต้องเสาะหาจากชุมชนอื่น แล้วนำมาฝึกทอ ทั้งนี้อยากให้เน้นการทอผ้าจากฝ้ายที่ย้อมสีธรรมชาติ เพื่อใช้เองในวิถีชีวิตประจำวันแทนการซื้อเสื้อผ้าสำเร็จรูป อันเป็นพึ่งพาตนเองเสียก่อน หากในอนาคตงานผ้าทอถูกพัฒนาจนมีคุณภาพ จึงค่อยคิดถึงการนำออกจำหน่ายหากเสื้อผ้าเป็นอีกหนึ่งเครื่องมือที่บ่งบอกตัวตนและอุปนิสัยของผู้สวมใส่ การแต่งกายของคนปกาเกอญอ      แสดงให้เห็นถึงความเรียบง่ายแต่ประณีตบรรจงจากลวดลายที่ถักทอ บ่งบอกถึงความสามารถในการพึ่งพาตนเองของกลุ่มชาติพันธุ์นี้ และเป็นความภาคภูมิใจของหญิงปกาเกอญอโดยเฉพาะผู้เป็นแม่   ที่มีโอกาสส่งผ่านวิถีอันงดงามต่อไปยังบุตรสาวของตนรุ่นแล้วรุ่นเล่าอย่างไม่มีวันสิ้นสุด
กฤนกรรณ สุวรรณกาญจน์
หลายเสียงเล่าว่า สถานการณ์ในพม่ากำลังเข้าสู่ภาวะปกติ(เพราะกลัวตาย)ขณะแนวร่วมทั่วโลกกำลังหยุดส่งเสียง ปล่อยเป็นเรื่องระหว่างรัฐบาลและการเมืองระดับภูมิภาคหรือระดับโลกเจรจากดดันกันไปดูรายการชีพจรโลกของคุณสุทธิชัย หยุ่น นั่งคุยกับอุปทูตอเมริกา จีนและอังกฤษ ที่ต่างสงวนท่าทีต่อการแทรกแซงกิจการภายในหรือใช้มาตรการเด็ดขาดกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในพม่า โดยเฉพาะท่าทีของอุปทูตจีนที่ระล่ำระลักพูดออกมาอย่างเห็นได้ชัดเจนประมาณว่า ทางการจีนคงจะไม่ทำอะไรอีกต่อไปเพราะเราเชื่อมั่นในพลังประชาชน และไม่คิดว่าการแทรกแซงจะเป็นการช่วยเหลือประชาชนผู้รักประชาธิปไตย หนำซ้ำยังเป็นการดูถูกพลังของประชาชนและการต่อสู้ของพวกเขาจะกลายเป็นเรื่องล้มเหลวลงอย่างสิ้นเชิงมีตลกเศร้าเรื่องหนึ่งที่พอจะบอกได้เลาๆ ว่า หากแนวร่วมรอบบ้านไม่ช่วยเหลือชาวพม่าแล้วจะเกิดอะไรต่อไป...ระหว่างที่นายทหารสามนาย จากประเทศไทย เกาหลีและพม่าพร้อมด้วยทหารติดตามโดยสารรถไฟสู่กรุงย่างกุ้ง (ปัจจุบัน เนปิดอว์) หลังจากไปเยี่ยมค่ายทหารแห่งหนึ่งนอกเมืองด้วยกันเมื่อถึงเวลาอาหารเที่ยง ทหารไทยสั่งให้ทหารติดตามหยิบเอากุ้งทะเลตัวเบ้อเริ่ม 2 ตัว ออกมาจากกระเป๋าเดินทาง กินไปได้เพียง 2 คำ นายทหารไทยก็โยนกุ้งทั้ง 2 ตัว ออกทางหน้าต่างรถไฟนายทหารพม่ามองด้วยความเสียดาย เพราะเป็นที่รู้ๆ กันว่า ในพม่านั้นแม้แต่นายทหารก็ยังต้องอยู่กันอย่างอดๆ อยากๆ “เมืองไทยบ้านผม อาหารแบบนี้มีเหลือเฟือ คนไทยกินทิ้งกินขว้างเป็นประจำแหละครับ” นายทหารไทยตั้งใจคุยข่มอย่างชัดเจนนายทหารจากเกาหลีไม่ยอมน้อยหน้า  ขอโทรศัพท์มือถือจากนายทหารติดตาม คุยได้ไม่กี่ประโยค ก็โยนโทรศัพท์ทิ้งออกทางหน้าต่าง “โทรศัพท์มือถือที่เกาหลีถูกเสียยิ่งกว่าโสร่งพม่า ผมใช้เสร็จก็โยนทิ้ง” นายทหารยิ้มเยาะหลังทิ้งกังวานเสียงนายทหารพม่ารู้สึกตัวว่ากำลังถูกทหารไทยและเกาหลีลูบคมข่มถึงในบ้านตัวเอง จึงคิดหาทางเอาคืนแต่คิดเท่าไรก็คิดไม่ออกเพราะทุกอย่างในพม่ามันขาดแคลนไปเสียทั้งหมดจะทำตามอย่างก็รู้สึกเสียดายและแล้วความคิดที่แหลมคมก็เกิดขึ้น“ขอวิสกี้แก้ว” นายทหารพม่าตะโกนเรียกทหารติดตามทันทีที่ซดเหล้าหมดแก้ว นายทหารพม่าลุกขึ้น ก้าวออกมากระชากคอเสื้อทหารติดตาม จับตัวโยนออกนอกหน้าต่างรถไฟท่ามกลางความตื่นตะลึงของนายทหารไทยและเกาหลี“ไม่ต้องตกใจครับ” นายทหารพม่าอธิบาย“ในพม่าชีวิตคนถูกมาก ใช้งานแค่ครั้งเดียวก็โยนทิ้งได้แล้ว”นั่นแหละครับBurma must be free
สุมาตร ภูลายยาว
“เอยาวดี” เป็นชื่อท้องถิ่นของแม่น้ำสายสำคัญสายหนึ่งของพม่า แต่คนภายนอกทั่วไปรู้จักชื่อของแม่น้ำสายนี้ในนาม “อิรวดี” แม่น้ำเอยาวดีเป็นแม่น้ำใหญ่สายหลักของประเทศสหภาพพม่าต้นน้ำ และปลายทางของแม่น้ำอยู่ในประเทศพม่า ไม่แตกต่างกับแม่น้ำเจ้าพระยาแม่น้ำเอยาวดีไหลผ่านกลางประเทศจากเหนือจรดใต้ แบ่งประเทศพม่าออกเป็นสองส่วน แม่น้ำในตอนบนเกิดจากการละลายของหิมะ นอกจากแม่น้ำเอยาวดีจะเกิดจากการละลายของหิมะแล้ว ยังมีแม่น้ำสาขาที่คอยเติมน้ำให้กับแม่น้ำสายนี้จนกลายเป็นแม่น้ำสายใหญ่ แม่น้ำสาขาที่คอยเติมน้ำให้กับแม่น้ำเอยาวดีคือ แม่น้ำมาลี และแม่น้ำมายที่อยู่ทางตอนเหนือสุดของประเทศ รวมระยะทางจากต้นน้ำถึงปากน้ำ ๒,๑๗๐ กิโลเมตร แม่น้ำเอยาวดีจึงเป็นเสมือนเส้นเลือดใหญ่ที่คอยหล่อเลี้ยงคนพม่ามาหลายชั่วอายุคน มีเรื่องเล่าสืบต่อมาหลายชั่วอายุคนเช่นกันว่า คนพม่าต่างค้อมคารวะแม่น้ำเอยาวดีในฐานะผู้ให้กำเนิดแผ่นดิน และยังให้ประโยชน์ในด้านต่างๆ กับชาวพม่าเสมือนมารดาผู้ให้กำเนิด และชุบเลี้ยงดูลูกของตัวเอง คนพม่าจำนวนไม่น้อยได้อาศัยแม่น้ำสายนี้ในด้านต่างๆ แตกต่างกันออกไป ในอดีตแม่น้ำสายนี้ก็มิได้ยังประโยชน์ให้กับคนพม่าเพียงอย่างเดียว ครั้งหนึ่งเมื่อราว ๑๐๐ กว่าปีก่อน แม่น้ำเอยาวดีได้ถูกแปรสภาพให้เป็นเส้นทางลำเลียงกองกำลังทหารของอังกฤษ ผู้หมายมั่นปั้นมือว่าว่าจะครอบครองแผ่นดืนเหนือริมฝั่งเอยาวดี ภายหลังเมื่อแม่น้ำกลายเป็นชนวนอันนำผู้คนไปสู่สงคราม อังกฤษก็ได้กลายเป็นเจ้าอาณานิคมเหนือริมฝั่งเอยาวดีสมใจ แต่ก็นั้นแหละด้วยความเป็นเผด็จการของผู้นำพม่าหลายยุคหลายสมัย เรื่องเล่าริมฝั่งเอยาวดีเรื่องนี้จึงถูกทำให้เลือนหายไปจากความทรงจำของผู้คนในพม่า และยังมีเรื่องเล่าอันไม่น่าฟังอีกหลายเรื่อง ภายหลังการเข้าครอบครองของเจ้าอาณานิคม เรื่องที่ต้องป้องปากกระซิบกันก็คือ ภายหลังการเข้าครอบครองของเจ้าอาณานิคมทัรพยากรจำนวนดิน-แร่ พลอย ป่า-ไม้สัก จำนวนมากถูกเจ้าอาณานิคมนำกลับไปใช้ประโยชน์ หลังสิ้นยุคของเจ้าอาณานิคมเก่า เมื่อพม่าได้รับเอกราชจากอังกฤษผู้เป็นเจ้าอาณานิคมเก่า จากนั้นไม่นาน พม่าก็ได้มีโอกาสต้อนรับเจ้าอาณานิคมใหม่ ผู้ไม่ได้มาพร้อมกับกองกำลังทหารเช่นในอดีต แต่มาพร้อมการร่วมมือทางธุรกิจกับทหารกลุ่มคนที่ได้รับการขนานนามจากนานาประเทศว่า มือเปื้อนเลือดมากที่สุด เจ้าอาณานิคมใหม่มาพร้อมเงินตราอันสามารถทำให้คนไม่กี่กลุ่มในพม่ามีความร่ำรวยขึ้น ภายหลังการเข้าครอบครองของเจ้าอาณานิคม พม่าก็ไม่ได้แตกต่างเมื่อครั้งที่เจ้าอาณานิคมเก่าเช่นอังกฤษเข้าครอบครองเท่าใดนัก ทรัพยากรของพม่าจำนวนไม่น้อยถูกขนถ่ายออกนอกประเทศเป็นว่าเล่น สุดท้ายยังไม่มีผู้ใดรู้แน่ชัดว่า หากคิดเป็นจำนวนเงินที่ถูกดึงออกไปจากสองฝั่งของแม่น้ำเอยาวดีแล้วเป็นจำนวนเงินมากน้อยเพียงใดต่อปีแต่ก็นั้นแหละในสิ่งที่เราไม่เคยได้รับรู้ก็มีสิ่งใหม่ให้รับเราได้รับรู้เพิ่มขึ้น ภายหลังการได้รับเอกราชจากอังกฤษ แผ่นดินริมฝั่งเอยาวดีทั้งสองฝั่ง ก็เดินทางไปสู่สนามรบอันไม่รู้จบสิ้นมาถึงปัจจุบันการปกครองภายใต้คอมแบตบนริมฝั่งเอยาวดี ไม่อนุญาตให้ผู้คนกลุ่มใดตัดเฉือนสหภาพพม่าออกเป็นสหพันธรัฐ แต่อย่างไรก็ตาม ภายใต้คอมแบตอันทรงพลานุภาพยิ่งใหญ่ ในปี ๒๕๓๑ การลุกฮือครั้งใหญ่ของผู้คนริมฝั่งเอยาวดีจึงเกิดขึ้น การลุกฮือขึ้นในครั้งนั้นล้วนหมายยกคอมแบตออกจากการปกครองอันเป็นอยู่ยาวนาน เหตุการณ์ในครั้งนั้นจึงกลายเป็นความทรงจำอันหลากหลายให้กับผู้คนริมฝั่งเอยาวดี เรื่องเล่าจากริมฝั่งเอยาวดีในปี ๒๕๓๑ จึงเป็นเรื่องเล่าอันเต็มไปด้วยความเจ็บปวด คราบน้ำตา ภายใต้การปกครองของคอมแบต ผู้คนจำนวนมากริมฝั่งเอยาวดีที่ลุกฮือขึ้นต่อต้าน บางคนถูกจองจำ บางคนกลายเป็นศพลอยอืดในเอยาวดี บางคนสูญหายไม่เหลือร่องรอยใดไว้ให้ผู้คนได้เห็นอีก ภายหลังการลุกฮือ และมีผู้คนล้มตายในครั้งนั้นทำให้บางคนนึกถึงคำพูดของคนเฒ่าคนแก่ที่คอยย้ำเตือนลูกหลานแห่งริมฝั่งน้ำอยู่เสมอ ผู้เฒ่ารุ่นเก่าก่อนใช้แม่น้ำเอยาวดีเป็นเครื่องเตือนใจลูกหลานให้สามัคคีกันประดุจสายน้ำ เพราะแม่น้ำเอยาวดีกำเนิดเป็นแม่น้ำสายใหญ่ด้วยแม่น้ำสาขาหลายสายเช่นกันสหภาพพม่ากว้างใหญ่ได้ก็เพราะคนหลายเผ่าพันธุ์เช่นกัน แต่เรื่องเล่านี้หาได้ทะลุไปสู่หูข้างใดข้างหนึ่งของเผด็จการทหารพม่าไม่ ท้ายสุดการบุกเข้ายึดครองเพื่อกลืนความหลากหลายจึงเกิดขึ้น เมื่อเผด็จการภายใต้การปกครองของคอมแบตยึดพื้นที่หลายส่วนไว้เด็ดขาด การกอบโกยเพื่อตัวเองของเหล่านักรบสวมคอมแบตจึงเกิดขึ้น นักรบสวมคอมแบตหลายคนกลายเป็นผู้ร่ำรวย แต่ประชาชนพลเรือนริมฝั่งเอยาวดีผู้อยู่ใต้การปกครอง บางคนยังจนไม่มีแม้กระทั่งข้าวกินครบ ๓ มื้อ บางคนกลายเป็นคนพลัดถิ่นในแผ่นดินเกิดของตัวเองลุมาถึงปี ๒๕๕๐ ที่ริมฝั่งเอยาวดีมีเรื่องเล่าอันน่าสะพรึงกลัวเรื่องหนึ่งเกิดขึ้น ในสายฝนพรำของเดือนกันยายน หลังแถวของพระสงฆ์นับหมื่นเดินลงสู่ถนน เพื่อประท้วงการขึ้นค่าน้ำมัน และค่าก๊าช อันเป็นปัจจัยพื้นฐานที่ผู้คนได้ใช้ประโยชน์ของมันเพื่อสนองความสะดวกสบายของตัวเอง เสียงปืนที่ริมฝั่งเอยาวดีก็ดังขึ้นอีกครั้ง ในสายฝน เลือดจำนวนไม่น้อยจึงไหลรวมกับสายฝนสู่เอยาวดี ความเศร้าริมฝั่งเอยาวดีได้ถูกนำกลับมาเล่าอีกครั้ง การเล่าถึงความเศร้าในครั้งนี้คงไม่ใช่การเล่าครั้งสุดท้าย ตราบใดที่เหล่านักรบสวมคอมแบตยังคงเชิดหน้าชูคอล้อลมเหนือริมฝั่งเอยาวดี ตราบนั้นเรื่องเล่าถึงความเศร้าในการสูญเสียจากการลุกฮือขึ้นต่อต้านจะยังคงมีอยู่ไปตราบนานเท่านาน... บนโลกใบเดียวกันแผ่นดินระอุเดือดด้วยเปลวไฟในใจคนยอดดอยจึงหม่นเศร้าหลังลมหนาวแห่งสายฝนพัดเยี่ยมเยือนเสียงปืนสงบเงียบลงแล้วเหนือริมฝั่งเอยาวดีที่ล่องไหลในความงามของแผ่นดินล้วนหมุดหมายการเติบโตของมวลเมล็ดพันธุ์ในความงดงาม-เท่าเทียมของผู้คนล้วนหมุดหมายคือร้างไร้การทุบตี-เข่นฆ่าสายน้ำ และผืนดินไม่เคยแบ่งแยกผู้ใดมนุษย์ต่างหากที่สร้างกฎเกณฑ์เพื่อแบ่งแยกมนุษย์ต่างหากที่สร้างกฎเกณฑ์เพื่อทำลายล้างทิ้งอาวุธในมือแล้วปลอดปล่อยการลุกฮือของความงามในหัวใจให้ลุกโชนกลบฝังความทรงจำอันโหดร้ายด้วยดอกไม้สีขาว-จดจำเรื่องราวเหล่านั้นไว้ในใจเพื่อปลอดปล่อยให้นกพิราบเดินทางสู่สันติ..***คารวาลัยให้กับเสรีภาพเหนือริมฝั่งเอยาวดีอันดับลงภายใต้การปกครองของนักรบสวมคอมแบต
วาดวลี
----------ภายใต้แสงจันทร์  ที่ริมฝั่งนั้นพี่ยังจำได้ จงกลับคืนมาหารักดังเก่า  ลืมเรื่องร้ายคลายเศร้า เจ้าอย่าทำเมินไฉน พะเยารอเธอ  รอรักด้วยความห่วงใย  จะนานแสนนานเท่าไหร่  ขอให้เธอนั้นกลับมา----------“เพลงแปลกหูดีนะ ร้องเพลงอะไรเหรอ” “เพลงของเมืองที่เรากำลังจะไปนี่ไงล่ะ”คนตอบหักพวงมาลัย ซ้ายที ซ้ายที ขณะรถของเรากำลังไต่อยู่บนเส้นทางคดโค้งโอบล้อมไปด้วยภูเขา ฉันพยายามเอียงตัวเพื่อจะถ่ายรูป ฟ้ายามบ่ายสดใสเหมือนไม่มีเค้าฝน ฟังเพลงนั้นอย่างตั้งใจ “อ๋อ เพลงพะเยารอเธอ ใช่ไหม” ฉันถามอีกครั้งให้แน่ใจ คนร้องพยักหน้าหงึกหงัก ความทรงจำเก่าๆ ของเพลงต้นฉบับล่องลอยมาแต่ไกล ดนตรีเชื่องช้าที่ชวนให้นึกถึงรักอันแสนเศร้า ใบหน้าเศร้าหมองของใครคนหนึ่ง ลอยเข้ามาด้วย“ถ้าไปพะเยาเมื่อไหร่ บอกนะ จะพาไปเที่ยว” ชายหนุ่มคนหนึ่งเคยบอกไว้แบบนั้น เขาเป็นคนพะเยา เกิดที่นั่น โตที่นั่น หากแต่วันนี้เขามาอยู่เชียงใหม่ได้หลายปีแล้ว ไม่มีทีท่าว่าจะกลับบ้านเขาเลือกจะไม่อยู่เมืองนั้น ตรงข้ามกันกับบทเพลง ส่วนเหตุผลอื่น เขาบอกว่า พะเยาเป็นเมืองที่เดินช้า ใช้นาฬิกาคนละอันกับเมืองอื่น หนุ่มสาวเดินทางไปแสนไกล ทิ้งเมืองไว้เพียงเพื่อระลึกถึงวัยเยาว์ หากอยู่ที่นี่ ชีวิตไม่ค่อยเปลี่ยนแปลงอะไรนัก ไม่ทันได้ถามว่าแล้วอยากให้เมืองเปลี่ยนไปแบบไหนเขาก็สรุปด้วยเหตุผลส่วนตัวว่า“ไม่อยากอยู่ อยู่แล้วได้แต่รอ ใครแต่งเพลงไว้ไม่รู้  อยู่พะเยาแล้วต้องรอทุกที”เขาบอกแบบนี้ พาใจอกหักดวงหนึ่งเร่ร่อนไปหลายเมือง ใช้ชีวิตกิน ดื่ม เมาไปตามประสาคนโสด แต่ครั้งไหนเขาได้กลับบ้านที่พะเยา เขาก็จะโทรมาทุกครั้ง แล้วเอ่ยถ้อยคำเดิมๆ“มาพะเยาบอกนะจะพาไปดูพระอาทิตย์ตกน้ำ”เขาบอกฉันไว้อย่างนี้ แต่พอถึงเวลาจริงๆ เมื่อคิดจะไปพะเยา เขากลับปฏิเสธที่จะไปด้วย “ยังไม่อยากไปตอนนี้ ช่วงนี้ใกล้หนาว หัวใจไม่แข็งแรง”หนุ่มพะเยาให้เหตุผลพร้อมหัวเราะ ไม่ว่ากัน ฉันและเพื่อนจึงเดินทางกันมาอย่างเงียบๆ เราเดินทางไปหลายอำเภอ ทั้งดอกคำใต้ เมืองกระถินสีเหลือง ซึ่งมีคนเคยบอกว่ามีกลิ่นหอมกรุ่นละไม ปลายฝนแบบนี้น่าจะมีให้เห็น แต่ก็มองไม่ค่อยเห็น ส่วนเชียงคำ เป็นเมืองแห่งวัด มีวัดมากมายในอดีต ศูนย์กลางของชาวไทยลื้อ ฉันแวะไปดูผ้าสวยๆ ที่ศูนย์ศิลปวัฒนธรรม แต่ก็ปรากฏว่าเขาปิด สุดท้ายเราก็มายืนอยู่ในเวลาใกล้ค่ำ ที่กว๊านพะเยาผืนน้ำสีฟ้า ที่ไกลเกือบสุดสายตา ดวงตะวันที่ว่ากันว่า จะแตะลงผืนน้ำในองศาเดิม ทุกวัน เรือลำน้อยที่แล่นผ่านไปมา ในเงาของแสงอาทิตย์ ชีวิตของพ่อค้าและแม่ค้า ที่พึ่งพิงผืนน้ำและสวนสาธารณะเลี้ยงครอบครัว คนหนุ่มสาวที่มาแวะชมบรรยากาศ และนั่งท่องเที่ยวที่มาแสวงหาความสุข“เรารู้แล้วล่ะ ว่าทำไมต้อมเขาไม่อยากมารอใครที่นี่อีก”“ทำไมล่ะ” คนข้างๆ นั่งลง ขณะพระอาทิตย์กำลังเลื่อนต่ำลงมาเรื่อยๆ“ก็ดูบรรยากาศสิ เราว่ามันเหงานะ”“อือ”เขาตอบสั้นๆ เหมือนว่าจะเห็นด้วย“ที่นี่สวยนะ สวย และงดงาม แต่ก็อ้างว้างจนน่าใจหาย ถ้าหากต้องมานั่งรอใครสักคนที่นี่ นานเป็นเดือนเป็นปี คงนึกอยากกระโดดน้ำไปให้รู้แล้วรู้รอด”ฉันพูดเล่นๆ พลางหัวเราะ คนฟังก็ขำไปด้วย หยิบกล้องถ่ายรูปออกมา กดบันทึกภาพตรงหน้าเอาไว้ก่อนฟ้าจะมืด ได้ยินเสียงดังแว่วมา“ถ้างั้นก็รู้แล้วล่ะ ว่าทำไมพะเยาต้องรอเธอ”“หือ ทำไมล่ะ”คนตอบทำหน้าจริงจังบอกว่า“ก็มันเหงาแบบนี้ไง ใครๆ ก็อยากหนีพะเยาไปหมด พะเยาก็เลยต้องรอเธอ”“อ๋อ..เหรอ..อืม..”ทั้งเข้าใจและไม่เข้าใจ แต่ก็พยักหน้า เงียบงันไปกับสายน้ำที่ไหลเอื่อย เวียนวนอยู่ในกว๊าน จนแสงตะวันสุดท้ายแตะลงไป นึกถึงใครต่อใคร และนึกถึงเมืองหลายๆ เมือง ที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วแม้การเปลี่ยนแปลงอาจจะไม่ทันใจใครบางคน  แต่ฉันก็คิดว่า บางที การเดินช้าของที่นี่ น่าจะเป็นเรื่องที่ดีกว่าเมืองอื่นๆ ที่เดินทางไปอย่างรวดเร็ว และมองไม่เห็นทิศทาง ความนึกฝันของผู้คนโลดเล่นอยู่รายรอบ ความปรารถนาที่แตกต่าง และการเดินทางของความหวังมีให้เห็นอยู่ทุกหนทุกแห่งขณะดวงตะวันหล่นลงแม่น้ำไปแล้วนั้น ฉันก็กลายร่างเป็นสิ่งมีชีวิตตัวเล็กๆ ที่มองเห็นสิ่งเร้นลับมากมายในจักรวาล อันหาคำตอบได้ไม่เคยหมดและอย่างไม่มีเหตุผล เพลงพะเยารอเธอก็ยังดังแว่ว อยู่ในความคิดนั้น อยู่อีกหลายวัน..ในเวลาต่อมาว่าพะเยารอเธอ  รอรักด้วยความห่วงใย  จะนานแสนนานเท่าไหร่  ขอให้เธอนั้นกลับมา….
แพ็ท โรเจ้อร์
I HAVE NOTHING (Whitney Houston) Share my life, Take me for what I am. 'Cause I'll never change All my colors for you. Take my love, I'll never ask for too much, Just all that you are And everything that you do. I don't really need to look Very much further/farther, I don't wanna have to go Where you don't follow. I will hold it back again, This passion inside. Can't run from myself, There's nowhere to hide. (Your love I'll remember forever.) Chorus: Don't make me close one more door, I don't wanna hurt anymore. Stay in my arms if you dare, Or must I imagine you there. Don't walk away from me. (No, don't walk away from me. Don't you dare walk away from me.) I have nothing, nothing, nothing If I don't have you, you (you, you, you./If I don't have you, oh, oo.) You see through, Right to the heart of me. You break down my walls With the strength of your love. I never knew Love like I've known it with you. Will a memory survive, One I can hold on to? I don't really need to look Very much further/farther, I don't wanna have to go Where you don't follow. I will hold it back again, This passion inside. Can't run from myself, There's nowhere to hide. (Your love I'll remember forever.) (เนื้อเพลง http://www.romantic-lyrics.com/li107.shtml และมิวสิควิดีโอ http://www.youtube.com/watch?v=oMvsg0Ny5OY&mode=related&search=)หลายวันก่อนผู้เขียนกับคนสนิทไปทานข้าวกัน เรานั่งทานข้าวแล้วก็คอยฟังเพลงกัน นักร้องร้องดีมาก และนักดนตรีก็เล่นได้ดี ไม่เสียดายค่าอาหารเลยแม้จะแพง เพราะสถานที่นั้นมีเพลงสมัยที่ผู้เขียนในวัยที่มีกำลัง แต่คนสนิทเพิ่งเกิดได้ไม่นานรวมทั้งยังไม่ได้เกิดเลยด้วยถือว่าได้ฟังเพลงที่มีคุณภาพ เอาเป็นว่ามีความสุขพอสมควรเพลงหนึ่งที่นักร้องร้องคือเพลงที่ผู้เขียนเอามาเกริ่นข้างต้น ร้องได้ดีมากแล้วก็ทำให้ผู้เขียนระลึกได้ถึงสมัยคราวที่ยังเรียนอยู่ต่างประเทศในช่วงต้นของ 1990's คราวนั้นในใจไม่ได้คิดอะไรมาก ฟังเพลงอะไรก็ไม่สนุก ไม่ไพเราะ เพราะใจมัวแต่ฝักไฝ่กับการเรียนที่หนักหนาสาหัส ความบันเทิงในชีวิตขาดหายไปมากพอสมควร และทำให้มองความบันเทิงเป็นเรื่องน่าขยะแขยงและไม่น่านิยมแต่อย่างใดตอนนั้นคิดอยู่อย่างเดียวว่าต้องเรียนให้มากที่สุด เก็บเกี่ยวความรู้ให้มากที่สุด ซึ่งก็ดีใจที่ได้ทำดังนั้น แล้วก็ทำให้มองว่าความบันเทิงเป็นอาวุธสำคัญในการหลอกล่อให้คนติดกับดักไม่ให้เจริญทางปัญญาเท่าไรนัก แต่มีประโยชน์ตรงที่ว่ามีไว้เพื่อหลีกลี้หนีหายจากความจริงที่ไม่สวยสดนักในโลกความจริง แต่ก็เหมือนยาเสพติด เพราะเมื่อติดแล้วก็ถอนตัวได้ยาก ดังนั้นชนชั้นปกครองจึงนิยมใช้มาปรนเปรอชาวบ้านร้านถิ่น โดยเฉพาะที่เห็นได้ชัดคือ แถวอเมริกาใต้เอง เพราะตอนนั้นอยู่ใกล้ตรงนั้น และเห็นคนภูมิภาคนั้นหลงใหลมัวเมาแต่เรื่องเปลือกๆหนังเรื่องบอดี้การ์ดเข้าฉายตอนนั้น เป็นช่วงที่เรียนหนักอย่างที่สุด มีรุ่นน้องเอาเพลงมาฟัง มีมิวสิควิดีโอบนเคเบิ้ลทีวี เห็นวิทนี่ย์ร้องเพลงอื่นๆของหนัง แล้วมีปากสั่นๆ จนน่าตลกและตลกไทยก็เอามาล้อต่อมาในสังคมไทย ผู้เขียนไม่ได้ชื่นชมกับความบันเทิงแบบนี้ แต่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เพื่อนๆคนไทยที่เรียนด้วยอินไปกับความบันเทิงแบบนี้ ผู้เขียนก็ไม่ขัด แต่ผู้เขียนไม่สนุกด้วย ตอนนั้นฟังเพลงอื่นๆบ้างเท่านั้น เพราะเมืองนอกมีวิทยุคลื่นช่องที่มีแต่เพลงร่วมสมัยอย่างเดียว เปิดตลอดวันและคืน ซึ่งเดี๋ยวนี้เมืองไทยมีแล้ว สมัยก่อนไม่มี มีการซื้อซีดีบ้าง แต่ไม่เรียกว่าเยอะเพราะแพง แล้วก็ไม่ได้สมัครเป็นสมาชิกพวกร้านค้าซีดี ที่จะซื้อได้ทางเมล์ออร์เดอร์ราคาถูก สมัยนี้ทันสมัยกว่าเดิมแยะ ดาวน์โหลดกันง่ายดายเพราะว่าไม่ได้ใส่ใจนักกับความบันเทิง เหมือนว่าตนเองมัวแต่เดินเพื่อให้ถึงจุดหมายจนลืมว่าข้างทางก็พอมีอะไรน่าสนใจอยู่บ้าง แต่นั่นก็ไม่ใช่เรื่องที่จะต้องเสียใจ การทำงานไม่ได้ทำให้เราเลวร้าย แต่ยิ่งจะทำให้เราแกร่งขึ้น เสียดายที่ความคิดแบบนี้ไม่เกิดในสังคมไทยเท่าไรนัก หลายคนนึกว่าตนเองมีคุณภาพและความเพียรในการทำงาน แต่ที่แท้ไม่ได้มี หลายคนทำงานสำเร็จแค่ชิ้นเดียวก็กลายเป็นพระเอกนางเอก ความเพียรไม่มี ไม่ได้โชว์อย่างแท้จริง หลายคนมีตัวช่วยแยะเหลือเกิน หลายคนก็มีผลงานไม่ติดต่อกัน เพลงที่ได้ฟังวันนั้น สอนผู้เขียนได้หลายแง่ ไม่ว่าเรื่องการมองย้อนกลับไปในวันนั้นในอดีต แล้วกลับมามองในวันนี้ของปัจจุบัน เนื้อเพลงให้ความรู้สึกว่าในการดำเนินชีวิตของเรา เราต้องพึ่งพาความรู้สึกของคนอื่นด้วย หากเราต้องการความสัมพันธ์ให้เกิดขึ้น เนื้อเพลงนี้อาจจะเน่าไปสักหน่อย แต่ความจริงของชีวิตก็มีในนั้น ในฐานะที่เป็นปุถุชนธรรมดา เราอยู่คนเดียวไม่ได้ในโลกนี้ ยิ่งแก่ตัวยิ่งเข้าใจว่าทำไม สมัยหนุ่มๆสาวๆ มีแรงมาก ทำให้ไม่ง้อใครนัก เมื่อแก่ตัวลง แรงถอย เมื่อนั้นการคำนึงถึงคนรอบข้างมีความจำเป็นและสำคัญมากคนสนิทของผู้เขียนได้กระตุกความคิดของผู้เขียนหลายอย่าง โดยเฉพาะในเรื่องของค่านิยมของสังคมไทยที่ได้บรรจุในคนรุ่นใหม่ๆ คนรุ่นใหม่ส่วนมากสรรหาความสบายมากจนไม่ยอมรับความกดดันได้ หลายครั้งที่บุคคลเหล่านี้ขาดการมองที่ครบด้าน และปฏิเสธที่จะมองเพราะพอใจกับวันนี้จุดนี้เท่านั้น อันนี้แหละที่น่ากลัว ความใจดีของสังคมไทยแบบฉาบฉวยทำให้คนรุ่นใหม่หลายคนกลายเป็นคนสุขนิยมไปเสียมากแต่ลักษณะดังกล่าวนี้คงเปลี่ยนไปอีก ความเป็นพลวัตของสังคมไทยคงทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของคนรุ่นต่อๆไป กว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงมากมายเกิดต่อไป ผู้เขียนก็คงไม่อยู่ในโลกนี้แล้ว อันนี้คนรุ่นใหม่คงได้เจออะไรที่ตนเองได้ทำขึ้นส่วนหนึ่ง ในวันนี้ ความคิดคำนึงของผู้เขียนค่อยๆเปลี่ยนไป ไม่ได้บันเทิงมากขึ้น แต่หันมาให้ความเข้าใจกับคนรอบตัวมากขึ้น ส่วนคุณภาพการทำงานที่เคยมีคับแก้วนั้นไม่ได้ลด แต่รู้วิธีที่ถนอมแรง ยกคนที่ควรยก ข่มคนที่ควรข่ม เรียนรู้ที่จะเข้าใจคนในสังคมนี้มากขึ้น เพราะยิ่งอยู่นานเหมือนรู้จักน้อยลง เป็นความขัดแย้งที่เกิดขึ้นทั้งที่เหมือนว่าเรารู้จักสังคมนี้มากขึ้น แต่อยู่ๆไปก็เห็นว่าสังคมนี้น่าค้นหาและไม่รีบด่วนที่จะสรุปอย่างชัดเจนมากนัก ทิ้งปริศนาให้มองต่อไปได้อีกเวลาเท่านั้นจะเป็นตัวกำหนดทุกอย่าง
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
ชีวิตของผมเป็นชีวิตที่ประสบกับภาวะขึ้น ๆ ลง ๆ เหมือนเส้นกราฟมานับครั้งไม่ถ้วน หรือถ้าจะพูดให้ชัดเจนและเข้าใจกันได้ง่าย ๆ แบบภาษาชาวบ้านก็คือ เป็นชีวิตที่ประสบกับความรุ่งเรืองและตกต่ำตามวิถีทางและอัตภาพของตัวเองสลับกันไปมา...นับครั้งไม่ถ้วน นั่นเองแต่ก็แปลก...จนป่านนี้ ผมก็ยังไม่อาจทำใจยอมรับและรู้สึกว่า มันเป็นเรื่องธรรมดาของชีวิตที่ต้องมีขึ้นมีลง นั่นคือเวลาที่ชีวิตผมขึ้นหรือรุ่งเรือง ผมก็จะรู้สึกว่าตัวเองฟูฟ่องพองโต และมองดูโลกนี้สวยงามสดชื่นรื่นรมย์ น่าอยู่น่าอาศัย...ราวกับสวรรค์บนพื้นพิภพแต่พอถึงเวลาที่ชีวิตเริ่มลงหรือตกต่ำ ผมก็จะรู้สึกว่าตัวเองเริ่มห่อเหี่ยวฟุบแฟบ เหมือนลูกโป่งสวรรค์ที่หมดลม ค่อย ๆ ร่วงลงสู่พื้นดิน และเริ่มมองดูโลกนี้ช่างเต็มไปด้วยความทุกข์ที่น่าเกลียด น่าชัง น่าเบื่อหน่าย... ไม่น่าอยู่น่าอาศัยอีกต่อไป เหมือนอย่างที่ โอมาร์ คัยยัม กวีเปอร์เชีย แสดงธรรมะกวีเอาไว้ในหนังสือ รุไบยาต อันยิ่งใหญ่และงดงามของเขาเอาไว้ว่ายามชื่นชมสมสมัครรักชีวิตยามสิ้นคิดสิ้นหวังละชังแสน…นั่นเองบางทีอาจจะเป็นเพราะว่าผมยังไม่เคยเก็บเรื่องนี้มาคิดอย่างจริงจัง และยังไม่อาจสรุปอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้ ผมจึงไม่อาจทำใจได้ว่ามันเป็นเรื่องราวธรรมดาของชีวิต แถมยังไม่รู้ด้วยว่า ควรจะเตรียมตัวเตรียมใจรับมือกับมันอย่างไร เมื่อถึงเวลาที่ชีวิตต้องตกต่ำหรือรุ่งเรือง พูดง่าย ๆ ว่า ผมยังปล่อยให้ตัวเองตกเป็นเหยื่อของมันอยู่นั่นเองจนกระทั่งเมื่อไม่นานมานี้ ผมได้อ่านเรื่อง “ความล้มเหลวของจางฉู่เม่ย” ในหนังสือที่ชื่อว่า “เจียระไนชีวิต” ที่เขียนโดย “อู๋เหม่ยซิน” ที่ผมหยิบยืมมาจากกัลยาณมิตรรุ่นน้องคนหนึ่งผมจึงได้รับคำตอบในเรื่องนี้มากเกินกว่าที่ผมคาดคิด ผมจึงขอนำเรื่องนี้มาถ่ายทอดแบ่งปันให้คนที่ยังหวั่นไหวกับประสบการณ์ขึ้นๆ ลงๆ ของชีวิตเหมือนอย่างตัวผม เผื่อว่าเรื่องนี้จะได้ช่วยเตือนสติให้ใครสักคนหนึ่ง ที่ชีวิตอาจจะกำลังรุ่งเรืองเจิดจ้าหรือว่ากำลังตกต่ำอับเฉาอย่างสุดขีด จะได้เก็บไปเป็นข้อคิดและปฏิบัติกับตัวเองในสภาวะที่กำลังเผชิญอยู่ในทางที่ถูกที่ควรเพราะผมมีความเชื่อว่า สิ่งที่ดีงามที่สุดที่มนุษย์พึงกระทำต่อกัน มีอยู่ประการเดียวเท่านั้น นั่นคือการมอบความปรารถนาดีและให้ความช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ดังต่อไปนี้ความล้มเหลวของจางฉู่เม่ยโชคชะฟ้าลิขิตยากจะคาดเดา เมื่ออยู่ในสภาพที่ราบรื่นไร้อุปสรรค์ การจะมีมารยาทต่อผู้อื่นเป็นคนรู้จักกาลเทศะนั้น ใคร ๆ  ก็ทำได้ เมื่อใดที่ความทุกข์ยากมาเยือนอย่างกะทันหันพบกับอุปสรรคมากมาย  สภาพอันยากลำบากทำให้หมดกำลังใจ บางคนท้อแท้ ทำตัวเองให้ตกต่ำ ในสภาพการณ์เช่นนี้มีแต่ผู้ที่เข้มแข็งแท้จริงที่จะยืนหยัดตระหง่านอยู่ได้โดยไม่ล้ม อุปสรรคความยุ่งยากกังวลใจในอีกแง่หนึ่งเป็นยาชูกำลัง เป็นสิ่งจำเป็นอันจะขาดไม่ได้ในชีวิตมนุษย์คนที่ไม่เคยผ่านประสบการณ์ความเจ็บปวดของการพ่ายแพ้ล้มเหลว ก็ยากจะเข้าใจรสชาติความทุกข์ โศกนั่นได้  ภาระอยู่บ่นไหล่ใครคนนั้นก็ต้องรับผิดชอบ คนที่คิดว่าจะผลักภาระไปให้คนอื่น ผลสุดท้ายจะต้องเสียใจว่า ไม่น่าเลย จะแก้ไขก็ไม่มีหนทางเสียแล้ว จางฉู่เม่ย เป็นคนสวย มีเสน่ห์ อายุยี่สิบปี ก็แต่งงานได้สามีที่ดีมีชีวิตครอบครัวมั่นคงต่างรักใคร่ปรองดองกันดี เพื่อน ๆ เห็นว่าเธอกับสามี เป็นเหมือนกิ่งทองใบหยกทีเดียว แต่แล้ววันหนึ่งเมฆหมอกสีดำก็เข้ามาเยือน สามีของเธอประสบอุบัติเหตุถูกรถบรรทุกทับตาย ฉู่เม่ยเสียใจจนเปลี่ยนไปเป็นคนละคน หน้านิ่วคิ้วขมวดอยู่ตลอดเวลา มีอะไรเข้ามากระทบนิดหน่อยก็โมโห กลายเป็นคนขี้เหล้าเมายา ถึงเพื่อน ๆ จะคอยปลอบใจ พยายามตักเตือนเธอให้ปรับปรุงตัวเสียใหม่ แล้วยังช่วยหางานเลขานุการในบริษัทให้ทำ แต่ฉู่เม่ยก็ยังคงหมกมุ่นกับความทุกข์ เอาแต่เล่นการพนันจนติดหนี้สินไปหมด ทำตัวตกต่ำ หน้าตาก็หมองคล้ำจนดูไม่ได้ ทุกครั้งที่เพื่อนมาชี้ข้อบกพร่องให้ เธอกลับตอบว่า “เธอคิดว่าฉันอยากเป็นอย่างนี้หรือ ถ้าสวรรค์ไม่แกล้งละก็ สามีของฉันคงไม่จากไปเร็วอย่างนี้และฉันคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพแบบนี้หรอก”ก็ถูกของเธอ แต่ฟ้าจะช่วยเหลือแต่คนที่รู้จักช่วยตัวเองเท่านั้น การเอาแต่นั่งรอคอยซังกะตายเป็นลักษณะของคนอ่อนแอ อย่ามัวแต่นั่งกอดเข่าเจ่าจุก คนฉลาดจะรู้จักช่วยเหลือตัวเองต่อสู้กับชีวิต และขอบคุณในสิ่งที่ตัวเองมีอยู่ความสะดวกสบายราบรื่นมิได้เป็นสิ่งที่คงทนถาวร การเจอกับอุปสรรค ความยากลำบากอยู่ตลอดเวลาก็ไม่ใช่จะตามรังควานเราตลอดชาติได้ ขอเพียงมีความอดทนไม่ยอมแพ้แก่โชคชะตาก็จะสามารถฝ่าข้ามพายุชีวิตไปได้อย่างปลอดภัยในคัมภีร์ ไช่เกินถาน “รากเหง้าแห่งสติปัญญา” ได้กล่าวเตือนไว้ว่า ขณะกำลังเดินทางสู่ความตกต่ำ ก็ให้เตรียมใจที่จะพบความรุ่งเรืองไว้ เพราะช่วงตกต่ำนั้นมักนำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงไปสู่สิ่งใหม่ ๆ  ในขณะที่ราบรื่นรุ่งเรืองก็ให้ระวังและเตรียมใจรับการเปลี่ยนแปลง บอกกับตัวเองว่า เมื่อพบกับความยากลำบากให้อดทนและอย่ายอมแพ้. หมายเหตุ : เจียระไนชีวิต อู๋เหม่ยซิน เขียน  ลีฮวง โค้วเจริญ แปลและเรียบเรียงสำนักพิมพ์ดอกหญ้าพิมพ์ ครั้งที่ 4 มิถุนายน 25386 ตุลาคม 2550กระท่อมทุ่งเสี้ยว เชียงใหม่
ฐาปนา
“...พูดอย่างกว้างที่สุดคือ สิ่งเลวร้ายทั้งหมดเกิดจากการเลือกของเธอเอง ความผิดพลาดไม่ได้อยู่ที่การเลือกนั้นแต่อยู่ที่การเรียกว่าเลวร้าย เพราะเมื่อเธอบอกว่ามันเลวร้ายก็เท่ากับบอกว่าตัวเธอเองเลวร้ายด้วย เพราะเธอเป็นคนสร้างขึ้นมาเอง เธอไม่อาจยอมรับการตราหน้านี้ได้ ดังนั้น แทนที่จะตราหน้าตัวเองว่าเป็นคนเลวร้าย เธอกลับปฏิเสธสิ่งต่างๆ ที่ตนสร้างขึ้นมาเสียเลย อสัตย์ทางสติปัญญาและจิตวิญญาณนี้เองที่ทำให้เธอยอมรับโลกอันมีสภาพอย่างนี้ หากเธอจะยอมรับหรือแม้เพียงรู้สึกลึกๆ ข้างในว่าตนมีส่วนต้องรับผิดชอบต่อโลกใบนี้บ้าง โลกจะต่างออกไปกว่านี้มาก มันจะเป็นอย่างนั้นจริงๆ หากทุกคนรู้สึกถึงความรับผิดชอบ การที่สิ่งเหล่านี้ชัดเจนเหลือเกินทำให้เป็นเรื่องสุดแสนเจ็บปวดและน่าขันสิ้นดีภัยพิบัติและหายนะภัยทางธรรมชาติต่างๆ เช่นพายุทอร์นาโด เฮอริเคน ภูเขาไประเบิด อุทกภัย หรือความโกลาหลเชิงกายภาพของโลก ไม่ได้เกิดจากเธอคนใดคนหนึ่งเป็นการเฉพาะหรอก เธอมีส่วนทำให้เกิดขึ้นมากน้อยแค่ไหนให้ดูจากระดับที่เหตุการณ์เหล่านั้นส่งผลกระทบต่อชีวิตเธอ...”(สนทนากับพระเจ้า : นีล โดนัล วอลซ์ ,รวิวาร โฉมเฉลา แปล ,สำนักพิมพ์ โอ้ มายก๊อด พิมพ์ครั้งที่ 2 มีค.50)เป็นเรื่องยากเหลือเกินที่จะยอมรับและเชื่อว่า1. สิ่งเลวร้าย เกิดขึ้นเพราะเราเรียกมันว่า เลวร้าย2. เราแต่ละคนมีส่วนรับผิดชอบต่อสิ่งเลวร้ายที่เกิดขึ้นบนโลก3. เรามีส่วนต่อความเลวร้ายที่เกิดบนโลกมากน้อยแค่ไหน ดูจากผลกระทบของมันที่มีต่อเราคำอธิบายเรื่องกรรม น่าจะใกล้เคียงที่สุดแล้วกับข้อความนี้ แน่นอน เราแต่ละคนมีสิทธิ์ไม่เชื่อ และสามารถหาเหตุผลตั้งร้อยแปดพันเก้าเพื่อโต้แย้ง แต่ข้อโต้แย้งเหล่านั้น สามารถเปลี่ยนวิธีการมองโลก และ/หรือ เปลี่ยนแปลงโลกนี้ให้ดีขึ้นกว่านี้ได้หรือไม่ ?การประณามนั้นง่ายกว่าการลงมือเปลี่ยนแปลงมากมายนัก เมื่อเกิดสิ่งใดที่ถูกเรียกว่าเลวร้ายขึ้น ผู้คนจึงยินดีที่จะกล่าวโทษ ซึ่งโดยนัยยะของมันก็คือการผลักความรับผิดชอบออกไปให้พ้นตัว เมื่อเราผลักความรับผิดชอบออกไป โดยบอกว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นเป็นผลมาจากสิ่งนั้นสิ่งนี้ ไม่ได้เกิดขึ้นจากเรา นั่นหมายความว่า เรากำลังปฏิเสธความเกี่ยวข้องกับสิ่งเลวร้ายที่เกิดขึ้น เมื่อเราปฏิเสธความเกี่ยวข้อง ปฏิเสธความรับผิดชอบเสียแล้ว เราจึงไร้พลังที่จะเปลี่ยนแปลง หรือพูดอีกอย่างหนึ่ง เรายกย่องการประณามสิ่งเลวร้าย และละอายที่จะรับผิดชอบว่าเรามีส่วนทำให้มันเกิดขึ้นเราจึงไม่อาจเปลี่ยนแปลงอะไรได้เลย ถ้าเรายังกล่าวโทษสิ่งนั้นอยู่เราจึงไม่อาจเปลี่ยนแปลงอะไรได้เลย ถ้าเราไม่เริ่มต้น รับผิดชอบมนุษย์ทุกคนบนโลกล้วนเกี่ยวข้องกันไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง เป็นเรื่องยากที่จะอธิบาย ทั้งไม่ง่ายที่จะเชื่อ และยังยากยิ่งกว่าที่จะเชื่อว่าเราทั้งหมด “ล้วนเป็นหนึ่งเดียว” แต่ความจริงที่เราต้องยอมรับคือ อำนาจแห่งการเปลี่ยนแปลงของคนๆ หนึ่งนั้นมากมายมหาศาลยิ่งนัก ทั้งยังยิ่งใหญ่และส่งผลสะเทือนต่อคนทั้งโลก ทั้งเมื่อเขายังมีชีวิตอยู่และเมื่อเขาได้สิ้นชีวิตไปแล้วหากไม่มี มหาตมคานธี ประเทศอินเดียจะเป็นอย่างไรหากไม่มี เช กูวารา เราคงไม่รู้จักคำว่า ปฏิวัติ ดีเท่านี้หากไม่มีแม่ชีเทเรซา ผู้ทุกข์ยากนับล้านๆ อาจไม่พบแสงสว่างตลอดชีวิตหากไม่มีท่านพุทธทาส สังคมไทยในช่วงห้าสิบปีที่ผ่านมา อาจมืดมนยิ่งกว่านี้บุคคลสำคัญของโลกทั้งหลายล้วนเป็นคนธรรมดาเช่นเดียวกับเรา แต่สิ่งที่ท่านเหล่านั้นมีมากกว่า คนธรรมดาคือความปรารถนาที่จะเปลี่ยนแปลง มิใช่เพื่อตัวเอง แต่เพื่อผู้อื่น บุคคลสำคัญของโลกคือผู้ลงมือเปลี่ยนแปลง มิใช่ผู้ได้แต่กล่าวประณามสิ่งต่างๆ เราทุกคนล้วนเป็นบุคคลสำคัญของโลกทั้งสิ้น หากเรามีสำนึกรับผิดชอบต่อสังคม ต่อสิ่งที่เราเรียกมันว่า เลวร้าย เลิกกล่าวโทษแล้วลงมือเปลี่ยนแปลงมัน ลงมือทำ มิใช่เพียงกล่าวประณาม โลกนี้ไม่มีวันดีขึ้นมาได้จากการกล่าวโทษกัน เมื่อถึงจุดหนึ่งของความรู้สึกรับผิดชอบ อาจต้องอาศัย ความกล้าหาญ และพลังใจอย่างมหาศาลเพื่อที่จะกระทำ แต่ทั้งสองสิ่งนี้ก็คล้ายพลังงานอย่างหนึ่ง เหมือนดวงไฟที่รอให้มีคนจุด เมื่อผู้อื่นมองเห็นเขาก็จะเดินตามมา และช่วยทำให้ไฟดวงนี้สว่างมากยิ่งขึ้นแท้จริงแล้ว มนุษย์ไม่เคยเดียวดาย แต่ความเห็นแก่ตัวมักจะทำให้มนุษย์โดดเดี่ยวตนเองอยู่เสมอ ขณะที่ถูกเหวี่ยงไปมาระหว่างขั้วของ “ความรัก” และ “ความเกลียด” เราจึงสับสนกับการแสดงออกต่อสิ่งที่เกิดขึ้น แต่หากเราเชื่อว่า ความรักเท่านั้นที่จะทำให้ทุกสิ่งดีขึ้น ไม่ใช่ความเกลียด เชื่ออย่างลึกซึ้งแท้จริง เรา และ โลก จะไม่ใช่สิ่งแปลกแยกต่อกันอีกต่อไปความรักเท่านั้น ที่จะเปลี่ยนแปลงได้ทุกสิ่ง ไม่ใช่ความเกลียด

แท็กล่าสุด

แท็กยอดนิยม