Skip to main content

I HAVE NOTHING (Whitney Houston)

Share my life,
Take me for what I am.
'Cause I'll never change
All my colors for you.

Take my love,
I'll never ask for too much,
Just all that you are
And everything that you do.

I don't really need to look
Very much further/farther,
I don't wanna have to go
Where you don't follow.
I will hold it back again,
This passion inside.
Can't run from myself,
There's nowhere to hide.
(Your love I'll remember forever.)

Chorus:
Don't make me close one more door,
I don't wanna hurt anymore.
Stay in my arms if you dare,
Or must I imagine you there.
Don't walk away from me.
(No, don't walk away from me. Don't you dare walk away from me.)
I have nothing, nothing, nothing
If I don't have you, you (you, you, you./If I don't have you, oh, oo.)

You see through,
Right to the heart of me.
You break down my walls
With the strength of your love.

I never knew
Love like I've known it with you.
Will a memory survive,
One I can hold on to?

I don't really need to look
Very much further/farther,
I don't wanna have to go
Where you don't follow.
I will hold it back again,
This passion inside.
Can't run from myself,
There's nowhere to hide.
(Your love I'll remember forever.)

(เนื้อเพลง http://www.romantic-lyrics.com/li107.shtml และมิวสิควิดีโอ http://www.youtube.com/watch?v=oMvsg0Ny5OY&mode=related&search=)

หลายวันก่อนผู้เขียนกับคนสนิทไปทานข้าวกัน เรานั่งทานข้าวแล้วก็คอยฟังเพลงกัน นักร้องร้องดีมาก และนักดนตรีก็เล่นได้ดี ไม่เสียดายค่าอาหารเลยแม้จะแพง เพราะสถานที่นั้นมีเพลงสมัยที่ผู้เขียนในวัยที่มีกำลัง แต่คนสนิทเพิ่งเกิดได้ไม่นานรวมทั้งยังไม่ได้เกิดเลยด้วยถือว่าได้ฟังเพลงที่มีคุณภาพ เอาเป็นว่ามีความสุขพอสมควร

เพลงหนึ่งที่นักร้องร้องคือเพลงที่ผู้เขียนเอามาเกริ่นข้างต้น ร้องได้ดีมากแล้วก็ทำให้ผู้เขียนระลึกได้ถึงสมัยคราวที่ยังเรียนอยู่ต่างประเทศในช่วงต้นของ 1990's คราวนั้นในใจไม่ได้คิดอะไรมาก ฟังเพลงอะไรก็ไม่สนุก ไม่ไพเราะ เพราะใจมัวแต่ฝักไฝ่กับการเรียนที่หนักหนาสาหัส ความบันเทิงในชีวิตขาดหายไปมากพอสมควร และทำให้มองความบันเทิงเป็นเรื่องน่าขยะแขยงและไม่น่านิยมแต่อย่างใด

ตอนนั้นคิดอยู่อย่างเดียวว่าต้องเรียนให้มากที่สุด เก็บเกี่ยวความรู้ให้มากที่สุด ซึ่งก็ดีใจที่ได้ทำดังนั้น แล้วก็ทำให้มองว่าความบันเทิงเป็นอาวุธสำคัญในการหลอกล่อให้คนติดกับดักไม่ให้เจริญทางปัญญาเท่าไรนัก แต่มีประโยชน์ตรงที่ว่ามีไว้เพื่อหลีกลี้หนีหายจากความจริงที่ไม่สวยสดนักในโลกความจริง แต่ก็เหมือนยาเสพติด เพราะเมื่อติดแล้วก็ถอนตัวได้ยาก ดังนั้นชนชั้นปกครองจึงนิยมใช้มาปรนเปรอชาวบ้านร้านถิ่น โดยเฉพาะที่เห็นได้ชัดคือ แถวอเมริกาใต้เอง เพราะตอนนั้นอยู่ใกล้ตรงนั้น และเห็นคนภูมิภาคนั้นหลงใหลมัวเมาแต่เรื่องเปลือกๆ

หนังเรื่องบอดี้การ์ดเข้าฉายตอนนั้น เป็นช่วงที่เรียนหนักอย่างที่สุด มีรุ่นน้องเอาเพลงมาฟัง มีมิวสิควิดีโอบนเคเบิ้ลทีวี เห็นวิทนี่ย์ร้องเพลงอื่นๆของหนัง แล้วมีปากสั่นๆ จนน่าตลกและตลกไทยก็เอามาล้อต่อมาในสังคมไทย ผู้เขียนไม่ได้ชื่นชมกับความบันเทิงแบบนี้ แต่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เพื่อนๆคนไทยที่เรียนด้วยอินไปกับความบันเทิงแบบนี้ ผู้เขียนก็ไม่ขัด แต่ผู้เขียนไม่สนุกด้วย ตอนนั้นฟังเพลงอื่นๆบ้างเท่านั้น เพราะเมืองนอกมีวิทยุคลื่นช่องที่มีแต่เพลงร่วมสมัยอย่างเดียว เปิดตลอดวันและคืน ซึ่งเดี๋ยวนี้เมืองไทยมีแล้ว สมัยก่อนไม่มี มีการซื้อซีดีบ้าง แต่ไม่เรียกว่าเยอะเพราะแพง แล้วก็ไม่ได้สมัครเป็นสมาชิกพวกร้านค้าซีดี ที่จะซื้อได้ทางเมล์ออร์เดอร์ราคาถูก สมัยนี้ทันสมัยกว่าเดิมแยะ ดาวน์โหลดกันง่ายดาย

เพราะว่าไม่ได้ใส่ใจนักกับความบันเทิง เหมือนว่าตนเองมัวแต่เดินเพื่อให้ถึงจุดหมายจนลืมว่าข้างทางก็พอมีอะไรน่าสนใจอยู่บ้าง แต่นั่นก็ไม่ใช่เรื่องที่จะต้องเสียใจ การทำงานไม่ได้ทำให้เราเลวร้าย แต่ยิ่งจะทำให้เราแกร่งขึ้น เสียดายที่ความคิดแบบนี้ไม่เกิดในสังคมไทยเท่าไรนัก หลายคนนึกว่าตนเองมีคุณภาพและความเพียรในการทำงาน แต่ที่แท้ไม่ได้มี หลายคนทำงานสำเร็จแค่ชิ้นเดียวก็กลายเป็นพระเอกนางเอก ความเพียรไม่มี ไม่ได้โชว์อย่างแท้จริง หลายคนมีตัวช่วยแยะเหลือเกิน หลายคนก็มีผลงานไม่ติดต่อกัน

เพลงที่ได้ฟังวันนั้น สอนผู้เขียนได้หลายแง่ ไม่ว่าเรื่องการมองย้อนกลับไปในวันนั้นในอดีต แล้วกลับมามองในวันนี้ของปัจจุบัน เนื้อเพลงให้ความรู้สึกว่าในการดำเนินชีวิตของเรา เราต้องพึ่งพาความรู้สึกของคนอื่นด้วย หากเราต้องการความสัมพันธ์ให้เกิดขึ้น เนื้อเพลงนี้อาจจะเน่าไปสักหน่อย แต่ความจริงของชีวิตก็มีในนั้น ในฐานะที่เป็นปุถุชนธรรมดา เราอยู่คนเดียวไม่ได้ในโลกนี้ ยิ่งแก่ตัวยิ่งเข้าใจว่าทำไม สมัยหนุ่มๆสาวๆ มีแรงมาก ทำให้ไม่ง้อใครนัก เมื่อแก่ตัวลง แรงถอย เมื่อนั้นการคำนึงถึงคนรอบข้างมีความจำเป็นและสำคัญมาก

คนสนิทของผู้เขียนได้กระตุกความคิดของผู้เขียนหลายอย่าง โดยเฉพาะในเรื่องของค่านิยมของสังคมไทยที่ได้บรรจุในคนรุ่นใหม่ๆ คนรุ่นใหม่ส่วนมากสรรหาความสบายมากจนไม่ยอมรับความกดดันได้ หลายครั้งที่บุคคลเหล่านี้ขาดการมองที่ครบด้าน และปฏิเสธที่จะมองเพราะพอใจกับวันนี้จุดนี้เท่านั้น อันนี้แหละที่น่ากลัว ความใจดีของสังคมไทยแบบฉาบฉวยทำให้คนรุ่นใหม่หลายคนกลายเป็นคนสุขนิยมไปเสียมาก

แต่ลักษณะดังกล่าวนี้คงเปลี่ยนไปอีก ความเป็นพลวัตของสังคมไทยคงทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของคนรุ่นต่อๆไป กว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงมากมายเกิดต่อไป ผู้เขียนก็คงไม่อยู่ในโลกนี้แล้ว อันนี้คนรุ่นใหม่คงได้เจออะไรที่ตนเองได้ทำขึ้นส่วนหนึ่ง

ในวันนี้ ความคิดคำนึงของผู้เขียนค่อยๆเปลี่ยนไป ไม่ได้บันเทิงมากขึ้น แต่หันมาให้ความเข้าใจกับคนรอบตัวมากขึ้น ส่วนคุณภาพการทำงานที่เคยมีคับแก้วนั้นไม่ได้ลด แต่รู้วิธีที่ถนอมแรง ยกคนที่ควรยก ข่มคนที่ควรข่ม เรียนรู้ที่จะเข้าใจคนในสังคมนี้มากขึ้น เพราะยิ่งอยู่นานเหมือนรู้จักน้อยลง เป็นความขัดแย้งที่เกิดขึ้นทั้งที่เหมือนว่าเรารู้จักสังคมนี้มากขึ้น แต่อยู่ๆไปก็เห็นว่าสังคมนี้น่าค้นหาและไม่รีบด่วนที่จะสรุปอย่างชัดเจนมากนัก ทิ้งปริศนาให้มองต่อไปได้อีก

เวลาเท่านั้นจะเป็นตัวกำหนดทุกอย่าง

บล็อกของ แพ็ท โรเจ้อร์

แพ็ท โรเจ้อร์
ช่วงนี้ได้พักบ้างหลังจากที่ไม่ได้พักเลยสัปดาห์ละ 7 วัน ทำงานมันทุกวัน พอได้เวลาอู้จึงขออู้บ้าง แท้จริงไม่ใช่อู้แต่น้อย แต่เดิมต่างหากที่โดนงานแย่งเวลาส่วนตัวออกไป
แพ็ท โรเจ้อร์
จั่วหัวแบบภาษาเก่าๆ สมัยเรียนปริญญาตรีเมื่อเกือบ30ปีที่แล้ว สมัยนั้น กรุงเทพฯ เพิ่งฉลองครบ 200 ปีใหม่ๆ สมัยนั้น คำว่า สตรอเบอร์รี่ ไม่ได้แปลว่า “สะ-ตอ-แหล” แบบปัจจุบัน เวลาคนไหนมีความรัก มักจะโดนเพื่อนๆแซวว่า กำลังกิน สตรอเบอร์รี่ มาจากคำว่า เลิฟ สตอรี่ Love Story ที่เป็นหนังฮิตในช่วงยุค 40 กว่าปีนั้น ดังนั้นเดี๋ยวนี้เวลาผู้เขียนได้ยินคำว่า สตรอเบอร์รี่ มักนึกถึงความรักมากกว่า ความไม่ดี
แพ็ท โรเจ้อร์
กลายเป็นว่าตอนนี้ผู้เขียนเกิดอาการไม่สามารถไปทำงานได้ในวันอาทิตย์ เพราะรู้สึกเหนื่อยล้าอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน  (ทั้งที่ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาลุยได้ ไม่รู้เหนื่อย) จึงอยากพักให้เต็มที่ โดยไม่ต้องออกไปผจญภัยกับมหาชนนอกบ้าน เพราะไปไหนมีคนยั้วเยี้ยไปหมด ตามประสาเศรษฐกิจที่ขยายตัวมาก่อนจนหุบไม่ลง ผู้คนต้องซื้อและจับจ่ายกันแบบบ้าคลั่งเหมือนกับว่าของนี่แจกฟรี เลยบอกกับตนเองว่าขออยู่บ้านสักวันเถิด หากไม่ต้องออกไปทำงานที่คั่งค้างหรือรู้สึกเหนื่อยจนเกินไป
แพ็ท โรเจ้อร์
วันนี้ได้โอกาสมาเยือน “ประชาไท” แบบไม่ตั้งใจ เพราะปวดหัวเป็นไข้เล็กน้อย จึงถือโอกาสไม่ไปทำงานในวันอาทิตย์นอกเวลาเพื่อเคลียร์งานที่ทำไม่ทันในวันธรรมดา ถามตนเองว่าให้เวลากับงานมากเกินไป จนลืมมองดูสุขภาพตนเองหรือไม่ คำตอบคือ “ไม่” เพราะจำได้ว่าสมัยอยู่ต่างประเทศก็ทำแบบเดียวกัน แล้วก็ทำได้ด้วย ปัญหามีน้อยกว่า แต่เป็นเพราะว่าทางโน้นมีระบบงานที่ให้เสรีภาพในการทำงานมากพอสมควร มีปรัชญาในการทำงานที่เหมาะสมกว่า เมื่อเปรียบกับงานตรงนี้
แพ็ท โรเจ้อร์
หลายเพลาที่ผู้เขียนหายตัวไปจากเว็บนี้ ด้วยมีภาระกิจที่มากมายล้นหัวล้นหูเพราะผู้ใหญ่ส่งมาตามที่หัวโขนกำหนด เลยหมดแรงทุกครั้งที่ถึงบ้าน อีกทั้งมีคนสนิทที่ต้องการการดูแลเอาใจใส่แบบเข้มข้น เป็นเรื่องที่ต้องรับผิดชอบส่วนตัวอย่างสมัครใจ จึงไม่มีเวลาจะผลิตงานตรงนี้ อีกอย่างหลายครั้งก็ท้อใจเพราะว่าผลงานที่เขียนไม่ “แรง” เท่าไรนัก ส่วนแฟนประจำที่มีอยู่บ้างก็สไตล์คล้ายๆกันคือ ไม่ชอบโฉ่งฉ่าง ไม่ชอบสร้างประเด็นมากนัก งานก็เลยค่อยๆไป ที่น่าขำคือได้ยินคนมาบอกว่าเป็นคน “แรง” จากปากอดีตนักเขียนคนหนึ่งใน “ประชาไท” เลยมานั่งคิดเหมือนกันว่าที่แรงน่ะ แรงตรงไหน หลากความคิดเอาเถอะไม่ว่ากัน คนเรามีหลายแบบได้ข่าวจาก…
แพ็ท โรเจ้อร์
  ช่วงนี้เป็นช่วงที่มีงานรับปริญญากันมาก ผู้เขียนก็ต้องไปมีส่วนในงานแบบนี้ทุกปีนับตั้งแต่เรียนจบมา 11 ปีที่แล้ว เพราะสายงานนั้นบังคับให้ต้องร่วม บทความนี้จึงเป็นบทความที่ไม่เกี่ยวกับองค์การโดยตรงสักครั้งหนึ่ง แต่เกี่ยวกับ "คน" ที่รับปริญญาและคนที่เกี่ยวข้อง การรับปริญญาในเมืองนอกนั้น ไม่ได้เป็นพิธีที่ยิ่งใหญ่เหมือนเมืองไทย แต่ถามว่ามีคนมาชุมนุมกันมั้ยตอบว่ามี แต่การทำมากินสำคัญกว่า หลายคนจึงไม่ได้สนใจว่าต้องรับหรือไม่ หากต้องย้ายเมืองไปทำงานทีอื่นหรือกลับบ้านไปก่อนวันรับปริญญา กระนั้นเมืองนอกคือสหรัฐฯในที่นี้ (บางแห่งมีการรับปีละสองหน และบางแห่งมีการรับปีละหน…
แพ็ท โรเจ้อร์
เป็นที่รู้กันว่ามีการสูญเสียของพระบรมวงศ์ระดับสูงในช่วงหลังปีใหม่ที่ผ่านมา เล่นเอาหลายคนต้องขุดชุดดำขึ้นมาใส่แทบไม่ทัน เพราะผู้เขียนไม่เคยมีชุดดำกับเค้ามาก่อน เสื้อเชิ้ตขาวก็ไม่เคยมีมากว่า 10 ปีแล้ว เพราะอยู่เมืองนอกก็ไม่ได้ไปงานศพใคร ทั้งเป็นคนชอบเสื้อสีๆ นอกจากนี้ก็มองว่าสีดำทำให้ร้อนเนื่องจากดูดความร้อนง่าย การเป็นคนขี้ร้อนจึงเลี่ยงชุดทางการที่มีสีดำ ส่วนสีขาวนั้นไม่ชอบมาแต่ไหน เพราะเป็นคนไม่ค่อยระวังตัว เปรอะเปื้อนง่าย การใส่เสื้อขาวตอนเป็นนักเรียนนี่ทำให้ทางบ้านปวดหัวมาตลอดเพราะขาวเป็นดำปี๋ทุกครั้งที่ถึงบ้าน โชคดีที่มีเสื้อทับข้างนอกแบบลำลองเป็นสีดำ จึงสวมทับแก้ขัดไปก่อน…
แพ็ท โรเจ้อร์
ไม่กี่วันที่ผ่านมาสังคมไทยก็ได้มีการเลือกตั้งส.ส. ไปแล้ว น่าตื่นเต้นเล็กน้อย เพราะลุ้นกับเค้าเหมือนกันว่าใครจะมา และใครจะไป พลางให้นึกถึงเลือกตั้งที่สหรัฐฯ เมื่อ สาม-สี่ปีที่ผ่านมา ทำให้เห็นว่าอะไรที่จับกระแส “ประชานิยม” ได้ก็มักชนะ ไม่ว่าจะด้วยสาเหตุใด เช่น ชอบหรือกลัว เพราะกระแสประชานิยมไม่ได้ดูที่อะไรมากกว่า พวกมากลากไป หากพวกมากคิดเป็น ก็ดีไป ถ้าคิดไม่เป็นก็ซวยไป ทั้งนี้ คนที่รับความซวยคือคนทั้งหมด ไม่ใช่แค่คนที่เป็นพวกมาก หลายครั้งพวกมากก็เป็นพวกมากที่ไรัคุณภาพ แต่หลายครั้งก็เป็นพวกมากที่มีคุณภาพได้เช่นกัน แต่โอกาสที่จะเกิดนั้นมีน้อยกว่ามาก มีหลายคนถามว่าทำไมจึงเป็นเช่นนี้ …
แพ็ท โรเจ้อร์
หลายอาทิตย์ที่ผ่านมา ผู้เขียนไม่ได้มีเวลาและมีพลังงานมากพอที่จะผลิตงานมาที่ “ประชาไท” เลย เนื่องจากภาระงานต่างๆ ที่รับผิดชอบอยู่มีอย่างมากมาย จนเมื่อไรที่กลับถึงบ้านก็พร้อมที่จะวิ่งไปที่เตียงนอนแล้วก็หลับผล็อยไปตรงนั้น แล้วตื่นขึ้นมากับวันใหม่ เพื่อทำงานที่ค้างไว้ให้เสร็จและคอยผจญกับงานใหม่ที่จะเข้ามา ไม่ว่าจะชอบหรือไม่ก็ตาม ไม่รู้ว่าจะเรียกว่า “ชอบงานที่ทำ” หรือเป็นเพราะ “มีความรับผิดชอบต่องาน” หลายครั้งตอบว่าอย่างหลังน่าจะเหมาะกว่าเรื่องความรับผิดชอบนั้นสามารถมองได้หลายแบบ ผู้เขียนมีบุคคลรอบข้างที่มีลักษณะรับผิดชอบที่น้อยที่สุดตามกฏระเบียบ นั่นหมายถึงความรับผิดชอบที่น้อยที่สุด…
แพ็ท โรเจ้อร์
ผู้เขียนได้รับเชิญจากหน่วยงานหนึ่งให้เป็นกรรมการตัดสินการประกวดสุนทรพจน์ภาษาอังกฤษเมื่อไม่นานมานี้  รู้สึกหัวเสียกับคุณภาพของผู้เข้าประกวดเป็นอย่างมาก เพราะว่าไม่มีคุณภาพในระดับที่เรียกว่าใช้ได้เลย ปัญหานอกเหนือจากความสามารถทางภาษาอังกฤษทั่วไปแล้ว  เรื่องของเนื้อความซึ่งไม่ว่าในภาษาใดก็ตามต้องมีโครงสร้าง การผูกเรื่อง และคุณค่าทางวาทวิทยาในตัวเอง น่าเสียดายที่เมืองไทยไม่มีการสอนการวิเคราะห์วาทะอย่างเป็นแก่นสาร หากมีก็แค่การมองแบบการใช้ภาษาไทยธรรมดา หรือการใช้ภาษาอังกฤษธรรมดา ไม่มีการส่งเสริมอย่างแท้จริงในสิ่งที่เรียกว่า speech criticism/rhetorical criticism 1…
แพ็ท โรเจ้อร์
พัทยาลาก่อน   ร้องโดย รุ่งฤดี แพ่งผ่องใสลมทะเล พัดมาหาดพัทยา ครวญคลั่งฟังเหมือนมนต์ภวังค์วอนหวีดหวัง ครางว่ายังรักเธอ รักเธอพร่ำเพ้อละเมอ รอท่ายังฝืนกลืน น้ำตาฝันจนกว่า ชีพวาย*ครวญครางไป ใยกันเกลียวคลื่นนั้นมัน ชวนวิ่งว่ายแล้วล่ม ร่างร้างตายหาย อาวรณ์ลาแล้วลา ขอลาโอ้พัทยา ลาก่อนชีวิตคือ ละครฉันมันอ่อนโลกเอย(เนื้อเพลงและฟังเพลงได้ที่ blue balloon, bloggang.com)สองวันสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ไปพัทยาเพราะต้องพาคนสนิทไปพักผ่อน ตามที่สัญญากันไว้ คนสนิทเป็นวัยรุ่นช่วงกลางเกือบปลาย เป็นคนยุคใหม่ที่เรียกว่าไม่มองอะไรเกินกว่าตัวกู อันนี้ไม่รวมกับกระบวนการพัฒนาทางจิตวิทยาที่เป็นในทุกรุ่น ทุกสังคม…
แพ็ท โรเจ้อร์
I HAVE NOTHING (Whitney Houston) Share my life, Take me for what I am. 'Cause I'll never change All my colors for you. Take my love, I'll never ask for too much, Just all that you are And everything that you do. I don't really need to look Very much further/farther, I don't wanna have to go Where you don't follow. I will hold it back again, This passion inside. Can't run from myself, There's nowhere to hide. (Your love I'll remember forever.) Chorus: Don't make me close one more door, I don't wanna hurt anymore. Stay in my arms if you dare, Or must I imagine you there. Don't walk away from me…