เป็นที่รู้กันว่ามีการสูญเสียของพระบรมวงศ์ระดับสูงในช่วงหลังปีใหม่ที่ผ่านมา เล่นเอาหลายคนต้องขุดชุดดำขึ้นมาใส่แทบไม่ทัน เพราะผู้เขียนไม่เคยมีชุดดำกับเค้ามาก่อน เสื้อเชิ้ตขาวก็ไม่เคยมีมากว่า 10 ปีแล้ว เพราะอยู่เมืองนอกก็ไม่ได้ไปงานศพใคร ทั้งเป็นคนชอบเสื้อสีๆ นอกจากนี้ก็มองว่าสีดำทำให้ร้อนเนื่องจากดูดความร้อนง่าย การเป็นคนขี้ร้อนจึงเลี่ยงชุดทางการที่มีสีดำ ส่วนสีขาวนั้นไม่ชอบมาแต่ไหน เพราะเป็นคนไม่ค่อยระวังตัว เปรอะเปื้อนง่าย การใส่เสื้อขาวตอนเป็นนักเรียนนี่ทำให้ทางบ้านปวดหัวมาตลอดเพราะขาวเป็นดำปี๋ทุกครั้งที่ถึงบ้าน
โชคดีที่มีเสื้อทับข้างนอกแบบลำลองเป็นสีดำ จึงสวมทับแก้ขัดไปก่อน และใส่เชิ้ตสีเบาๆ (ปกติชอบสีแบบชมพู ฟ้า เขียว แบบเข้มๆ) ดังนั้น จึงสั่งตัดชุดขาว-ดำ ในการนี้ไป 3 ชุด จะเสร็จในสองอาทิตย์ข้างหน้า และกะว่าจะใส่ให้ติดเป็นนิสัยด้วย ใส่ให้คุ้ม ถ้าหากถามว่าทำไมไม่วิ่งซื้อ ก็ต้องบอกว่า ไม่มีขนาดของตนเองวางขายในเมืองไทย เนื่องจากคนไทยตัวเล็กมาก
พูดถึงขนาดเสื้อผ้าและรองเท้า ขนาดของผู้เขียนหาได้ไม่ยากในสหรัฐฯ เดินไปไหนก็เจอ แต่ในเมืองไทยนั้นถือเป็นเรื่องยุ่งยาก แม้ว่าป่านนี้แล้วจะมีคนต่างชาติขนาดตัวเบ้งๆ มาในประเทศไทยมากขึ้น แต่ก็ไม่มีอะไรให้เลือกมากนัก อย่างเสื้อผ้านี้ถึงจะมีบ้าง ก็แพงเกินไป และไม่คุ้มค่า การตัดเสื้อผ้าใส่แบบที่เรียกว่า เทย์เล่อร์-เมด นั้น ถูกกว่าและช่วยสร้างงานในระดับชาวบ้านมากกว่า ช่างตัดเสื้อที่เป็นเจ้าประจำก็มีมากว่า 26 ปีแล้ว ตัดกันตั้งแต่ช่างไม่มีลูก จนลูกจบ ป.ตรีไปแล้ว อย่างไรก็ตาม ในประเทศนี้ก็มีอะไรที่เป็นปัญหากับคนที่ “ต่าง” กับกระแสหลัก นับตั้งแต่เรื่องเสื้อผ้า อาหาร ไปจนถึงเรื่อง “ระบบการคิด” “ความเชื่อ”
ว่าไปแล้วพาลให้นึกถึงเมืองบ้านนอกในสหรัฐฯ ที่ด้อยพัฒนาเรื่อง “ระบบความคิด” เพราะมีแต่คนในกระแสหลักที่ต่ำช้าทางปัญญา ขาดเหตุผลในการตริตรอง นักวิชาการในเมืองถึงกับระอากับความคิดที่ไม่เคยเปลี่ยนของกระแสหลักตรงนั้น ในวันนี้สังคมตรงนั้นก็ไม่ได้เปลี่ยน ตามที่เพื่อนๆที่ยังอยู่ที่นั่นเล่ามา ผู้เขียนเชื่อว่าวันหนึ่งเมืองนี้ก็คงเน่าตายเพราะขาดแนวคิดที่เป็นพลวัตร และมหาวิทยาลัยเล็กๆ ตรงนั้นก็อาจจะต้องเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวงเพราะคนไม่มาเรียน
ฉันใดก็ฉันนั้น การเปลี่ยนแปลงถือเป็นเรื่องปกติและเลี่ยงไม่ได้ จะมาช้าหรือเร็ว จะมาแบบรู้ตัวก่อนหรือแบบจู่โจม และเป็นแบบที่เราพอใจหรือไม่พอใจ วันหนึ่งมันก็ต้องมา เราไม่สามารถกำหนดได้เลยว่าผลที่จะเกิดตามมาเป็นอย่างไร สิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือการต่อต้านการเปลี่ยนแปลงแบบตะบี้ตะบัน ไม่ฟังเหตุผล ที่เป็นเช่นนั้นเพราะว่ากลัวว่าตนจะสูญเสียอำนาจและผลประโยชน์ ไม่ว่าจะเป็นระดับล่างหรือระดับบนก็เป็นเช่นนี้ได้
สังคมไทยในช่วงระยะไม่เกิน 2 ปีที่ผ่านมา มีการเปลี่ยนแปลงในหลายเรื่อง จะเปลี่ยนแบบถอยหน้าหรือ ถอยหลังก็ตาม ถือว่าเปลี่ยนแปลงทั้งสิ้น หลายคนไม่พอใจและมองว่าสังคมไทยกำลังถอยหลัง ลดความเป็นประชาธิปไตย หลายคนบอกว่านี่แหละคือการตั้งหลักใหม่ เพื่อที่จะพร้อมในการก้าวเป็นประชาธิปไตยที่มั่นคงหนักแน่น และมีเสถียรภาพมากขึ้นในอนาคต เอาเป็นว่าตอบไม่ได้เอาเสียเลย ในส่วนตัวผู้เขียนแล้วดูตุ้มๆต่อมๆ ลุ้นระทึกอยู่ทุกวัน ไม่รู้ว่าคนเหล่านั้น เค้าพูดเรื่องประชาธิปไตยเดียวกันรึไม่ และต่างคนต่างมีอะไรในใจขนาดไหน คนที่จะเดือดร้อนที่สุดก็คือคนไม่รู้เรื่องอะไรเลยนั่นแหละ หนำซ้ำยิ่งเรื่องมากๆเข้า คนพวกนี้พาลจะบอกต่อไปอีกว่าไม่อยากรู้เรื่องเข้าไปเสียอีก
ในองค์การต่างๆในเมืองไทยก็ไม่ได้ต่างกับสังคมไทยกรอบใหญ่ ที่มีการเปลี่ยนแปลงรออยู่เบื้องหน้าทุกวัน แต่ที่น่าโศกสลดคือ พนักงานในองค์การไม่ได้มองอะไรมากไปกว่าการเอาใจหัวหน้างาน ยิ่งใหญ่โตมากเท่าไร ไม่มีใครกล้างัดข้อ ไม่ต้องเอาแบบเงียบๆหรอก แค่จะคิดยังไม่ค่อยกล้าเลย เพราะกลัวว่าจะโดนเด้ง โดนย้าย ที่เป็นเช่นนี้ได้ก็เพราะระบบ “อำนาจนิยม” แบบไพร่-นายในระบบดึกดำบรรพ์ของไทยที่แฝงไปทุกอณูขององค์การ การรู้หลบเป็นปีก รู้หลีกเป็นหางจึงเป็นเรื่องเลี่ยงไม่ได้ (บางครั้งผู้เขียนเองก็ต้องเรียนรู้ระบบแบบนี้ด้วย) ในขณะเดียวกันหัวหน้างานก็ต้องสนองความจงรักภักดีเหล่านี้ด้วยการบำเหน็จรางวัล หัวหน้างานหลายคนทนที่จะมีคนไม่เก่ง ไม่เอาไหนอยู่รอบข้างตนเอง เพราะว่าดีกว่าเอาคนเก่งแต่ไม่ก้มหัวให้หัวหน้างานเพราะไม่ชอบโดนท้าทาย ทางสายกลางไม่มี คือไม่มีคนที่รู้บทบาทว่าการเป็นหัวหน้างานที่ดี และลูกน้องที่ดีควรเป็นเช่นไร มีแต่กระบวนการอำนาจนิยม ความเป็นไพร่-นาย และ “ระบบอุปถัมภ์” ที่ฝังแน่นจนทำอย่างไรก็แงะไม่ออก
สังคมองค์การไทยจึงเต็มไปด้วยการนิ่งอยู่กับที่ การเปลี่ยนแปลงบางอย่างที่หัวหน้างานนำเข้ามาหลายครั้งจึงไม่ได้เรื่อง ไม่สำเร็จ เพราะมีการต่อต้านเองในระดับหัวหน้างานและลูกน้อง นอกเหนือจากหัวหน้างานเองที่หลงมัวเมาในอำนาจแล้ว ก็มีบรรดาขุนพลอยพยักคอยเสริมเจ้านายไปเรื่อยๆ เพื่อให้ตนเองดำรงอยู่ได้ในการเปลี่ยนแปลงเพราะเป็นคนสนิท เหมือนสุนัขที่เดินเลียแข้งเลียขาเจ้านาย เพื่อให้มีข้าวกินไปวันๆ
ในเมื่อสังคมขาดการ “ตรวจสอบ” และนโยบายการปฏิบัติงานที่ “โปร่งใส” ในการทำงาน ไม่ว่าสังคมระดับชาติหรือระดับองค์การจึงไปไหนไม่ได้ ที่น่ากลัวกว่านั้นคือ การตรวจสอบเองก็ยังมีการ “ฮั้ว” กันอีก ระบบทั้งหลายทั้งมวลจึงยิ่งตกต่ำไปอีกจนไม่รู้จะทำอย่างไรกันแล้ว
ตอนนี้ได้แต่สงสารคนรุ่นต่อไปในสังคมไทยที่ว่าจะเหลืออะไรให้กินให้ใช้ เพราะคนรุ่นก่อนทำลายไว้จนไม่เหลือซาก ได้แต่มองอย่างเสียดายและถอนหายใจด้วยความรันทดอย่างที่สุด