Skip to main content

กลายเป็นว่าตอนนี้ผู้เขียนเกิดอาการไม่สามารถไปทำงานได้ในวันอาทิตย์ เพราะรู้สึกเหนื่อยล้าอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน  (ทั้งที่ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาลุยได้ ไม่รู้เหนื่อย) จึงอยากพักให้เต็มที่ โดยไม่ต้องออกไปผจญภัยกับมหาชนนอกบ้าน เพราะไปไหนมีคนยั้วเยี้ยไปหมด ตามประสาเศรษฐกิจที่ขยายตัวมาก่อนจนหุบไม่ลง ผู้คนต้องซื้อและจับจ่ายกันแบบบ้าคลั่งเหมือนกับว่าของนี่แจกฟรี เลยบอกกับตนเองว่าขออยู่บ้านสักวันเถิด หากไม่ต้องออกไปทำงานที่คั่งค้างหรือรู้สึกเหนื่อยจนเกินไป
\\/--break--\>
ในช่วงอาทิตย์ที่ผ่านมา ได้ไปเห็นการใช้ชีวิตของคนไทยในสมัยใหม่ที่ไม่ได้ต่างกับสมัยที่ผู้เขียนยังเป็นเด็ก นั่นก็คือ การกินอยู่ของคนไทยทั่วไป ขอเน้นว่าทั่วไปจริงๆ คนไทยยังขาดความเข้าใจเรื่องความสะอาดของอาหารอย่างไม่น่าเชื่อ ผู้เขียนพบว่าคนไทยไม่เคยให้ความสนใจกับความสะอาดในการกินแม้แต่น้อย แม้ว่าจะมีการรณรงค์ กินของร้อน ใช้ช้อนกลาง แต่คนไทยก็ยังนิยมปล่อยให้อาหารเย็นในอุณหภูมิห้องและทิ้งไว้ตรงนั้น บางทีถึงขนาดแห้งกรังคาจานเลยด้วยซ้ำ แล้วก็มาตักกินต่อ ไม่ต้องถามเวลาใช้ช้อนกลาง การถามหาช้อนกลางยังคงเป็นเรื่องน่าอับอายเพราะอาจทำให้คนที่ร่วมรับประทานอาหารรู้สึกโดนรังเกียจ ซึ่งเป็นคนละเรื่องกันเลย จึงไม่น่าแปลกใจที่โรคติดเชื้อต่างๆ ที่ผ่านกระบวนการอาหารเป็นพิษ หรือ ผ่านการแลกเปลี่ยนของเหลวของร่างกายระหว่างกัน เป็นเรื่องที่เลี่ยงได้ยากมากในประเทศนี้

ผู้เขียนได้ไปงานเลี้ยงที่เป็นโต๊ะจีนทีไร จะต้องอ้างว่าไม่ทานอาหารบางอย่างเพราะเลี่ยน มีไขมันสูง ที่จริงคือทานแต่ของที่ไม่ต้องใช้ช้อนหรือตะเกียบของแต่ละคนมาตัก และพยายามร้องขอช้อนกลางเท่าที่จะทำได้ อันนี้ยังไม่ยากนัก แต่ที่ยากที่สุดคือเราไม่รู้เลยว่าหลังครัวนั้นสกปรกปานใด หลายครั้งที่ผู้เขียนได้เห็นกระบวนการการผลิตในครัว/หลังครัวของการเลี้ยงอาหารจีน (ไม่ว่าในภัตตาคารเองหรือนอกสถานที่)ที่ทำให้อาหารไม่สมควรกินอย่างที่สุด ยกเว้นจะเป็นในโรงแรมระดับ4 ดาวขึ้น ซึ่งยังพอไว้ใจได้บ้าง อันนี้ขอเตือนพวกที่ไปงานเลี้ยงโต๊ะจีนบ่อยๆว่าอันตรายอย่างที่สุด

ผู้เขียนได้พบว่าในเมืองไทยนั้น เทคโนโลยี่บางอย่างกระจายเร็วกว่าในสหรัฐฯ โดยเฉพาะการใช้อินเตอร์เน็ทที่แพร่หลายมาก เด็กเล็กๆใช้ได้กันหมด เรียกว่าร้านเน็ทนี่เพียบเมืองไทยและเต็มไปด้วยเด็ก แต่เด็กพวกนี้ไม่มีเรื่องความรู้จริงๆของเน็ทเลย และเราไม่เคยใส่ใจจะสอนด้วย เน้นการใช้แบบเปลือกๆด้วยสอนว่ามีการสร้างอย่างไร ใช้อย่างไร แต่เราไม่เคยสอนว่าทำไมต้องมี เหมือนกับด้านอื่นๆที่เราหยิบยืมจากที่อื่นมาก็ใช้แบบเปลือกๆทั้งนั้น

ตัวอย่างที่ชัดคือ ตอนนี้ที่เรามีปัญหากันอยู่กับคำว่า
“ประชาธิปไตย” สังคมไทยจนปัญญาและก็ยังไม่รู้กันในรายละเอียด รู้กันตามกระดาษจริงๆ จนมีปัญหาไปหมด พาสรุปเอากันง่ายๆว่า ควสามาชอบธรรมต้องมาจากเสียงข้างมากเท่านั้น และนั่นคือประชาธิปไตย ทั้งที่มีเบื้องหน้าเบื้องหลังการซื้อเสียง อะไรต่อมิอะไร ความโปร่งใสก็ไม่มีจริง อุปโลกน์กันทั้งนั้น ไม่ว่าใครก็ตาม โดยใช้อำนาจของตนบิดเบือนและฟอกสีให้เป็นความโปร่งใส การโกงกันแบบไทยๆสร้างให้เป็นสิ่งโปร่งใสได้ เพราะว่าเราบิดเบือนกันเก่ง

เป็นที่รู้กันว่าเมืองไทยนั้นไม่ด้อยกว่าจีนเท่าไรนักในการก็อปปี้สิ่งต่างๆ จากตะวันตก จนเป็นไม้เบื่อไม้เมากันในเรื่องทรัพย์สินทางปัญญากับประเทศเจ้าของความคิด ว่ากันไปแล้วการก็อปปี้นี่เป็นการเน้นการเลียนแบบในระดับเปลือกกันทั้งนั้น อันนี้นับตั้งแต่ระดับของกินของใช้ จนถึงระดับวิชาการและปรัชญาสังคมต่างๆเลยทีเดียว การคิดสร้างเองไม่เป็นนี่ก็แย่แล้ว แถมเวลาจะก็อปปี้เค้ามานี่ ก็ก็อปปี้ไม่เป็นอีก ดังนั้นเราจึงเห็นของเทียมของเลียนแบบที่ไร้คุณภาพ อันนี้ต่างกับญี่ปุ่นตรงที่ เค้าศึกษาลึกกว่า และนำมาใช้จริง ไม่ใช่แค่หยิบๆจับๆ คือ เค้าใช้เท่าไร เค้าจะศึกษาเต็มที่ จนวันนี้เค้าไปไกลกว่าเรามาก แต่ยังไงก็คงไม่ถึงสหรัฐฯในหลายๆ เรื่อง

มีเรื่องขำเล่ากันอยู่บ่อยๆเรื่องการค้นพบใหม่ๆทางวิทยาศาสตร์ในประเทศไทย ว่าไม่ได้ใหม่อะไรกันหรอก  ฝรั่งมาเห็นแล้วก็เฉยๆ คนไทยตื่นเต้น ฝรั่งเค้าไม่ได้สนใจเพราะไม่มีแก่นสารหรือเค้าไม่ได้มองว่ามีการค้นพบอะไรใหม่ๆ มันเก่าไปหมดแล้ว มีแต่สื่อไทยนี่แหละกระพือกันเข้าไป (อันนี้คงเป็นเพราะความตื้นของคนทำข่าวไทยด้วยส่วนหนึ่ง) ไม่เข้าใจว่าทำไมสังคมจึงเป็นบ้ากับเรื่องแบบนี้ แทนที่จะเน้นการเลียนแบบที่ดีกว่าต้นฉบับเดิม ไม่ใช่แค่เปลือกๆ แล้วก็บอกว่านี่คือความสำเร็จ การทำได้เหมือนฝรั่งไม่ใช่ของเลวร้าย แต่จะเลวร้ายก็ตรงที่เหมือน
“หมาที่นั่งได้” หรือ “ลัทธิเอาอย่าง”เพราะหมานั่งได้นี่ไม่รู้ว่านั่งเพื่ออะไร ความหมายของการนั่งหมาไม่รู้ นั่งไปก็ไม่มีประโยชน์ มีประโยชน์อย่างมากก็แค่ให้เจ้าของยิ้มเอ็นดูว่า เออ มันนั่งได้ แค่นี้เอง แต่โชคร้ายเหมือนกันที่มีหลายคนตีความลัทธิเอาอย่างว่า เป็นการบอกว่าไม่ให้ทำตามฝรั่งในทุกด้าน ทั้งที่จริงแล้วการเลียนแบบมีหลายระดับ และการเลียนแบบแบบเปลือกๆ คือ “ลัทธิเอาอย่าง”ที่ไม่พึงปรารถนาต่างหาก

คนไทยไม่ใช่หมา แต่การกระทำเหมือนหมาในทำนองนี้กลายเป็นสิ่งที่สังคมไทยยกย่องกันเหลือเกิน เราจึงมีอะไรเหมือนหมานั่งได้ที่ทำให้คนไม่ไทยเองและคนไทยบางคนเองที่รู้จริงอดสังเวชใจไม่ได้ เห็นกันได้หลายครั้งที่สังคมไทยเป็นบ้าและเขลาเพราะขาดการคิดที่ลึกและวิจารณญาณที่ถูกต้อง

วันใหม่วันนี้ของไทยจึงไม่ใหม่อย่างที่คิด เพราะเพียงแค่เป็น
“เหล้าเก่า ในขวดใหม่” เท่านั้น ไม่ได้ไปไกลหรอก เพราะเหมือนกับการที่เปลี่ยนแต่เปลือก แต่ไม่เคยตั้งคำถามว่าเปลี่ยนไปทำไม และแก่นของความเปลี่ยนแปลงมีอะไรบ้าง

อันนี้จึงทำให้รู้สึกอดสูใจเป็นที่ยิ่งที่นักคิดไทยหลายคนที่ตีตราตัวเองว่าเก่งสุดเก่งในสังคมไทย ได้กลายเป็นมาเฟียกันไป (เพราะฝักใฝ่กับอำนาจกระแสหลัก) แล้วจึงเริงอำนาจและสนุกกันกับการชี้นำสังคมไทยจนไปไหนไม่รอด ในที่สุดจึงออกจากกะลาใบนี้ไม่ได้สักที

น่าจะถึงเวลาแล้วที่สังคมไทยน่าจะเข้าใจปัญหานี้ให้มากขึ้น เราคงต้องช่วยกันปลุกสำนึกให้มากกว่านี้

 

บล็อกของ แพ็ท โรเจ้อร์

แพ็ท โรเจ้อร์
ช่วงนี้ได้พักบ้างหลังจากที่ไม่ได้พักเลยสัปดาห์ละ 7 วัน ทำงานมันทุกวัน พอได้เวลาอู้จึงขออู้บ้าง แท้จริงไม่ใช่อู้แต่น้อย แต่เดิมต่างหากที่โดนงานแย่งเวลาส่วนตัวออกไป
แพ็ท โรเจ้อร์
จั่วหัวแบบภาษาเก่าๆ สมัยเรียนปริญญาตรีเมื่อเกือบ30ปีที่แล้ว สมัยนั้น กรุงเทพฯ เพิ่งฉลองครบ 200 ปีใหม่ๆ สมัยนั้น คำว่า สตรอเบอร์รี่ ไม่ได้แปลว่า “สะ-ตอ-แหล” แบบปัจจุบัน เวลาคนไหนมีความรัก มักจะโดนเพื่อนๆแซวว่า กำลังกิน สตรอเบอร์รี่ มาจากคำว่า เลิฟ สตอรี่ Love Story ที่เป็นหนังฮิตในช่วงยุค 40 กว่าปีนั้น ดังนั้นเดี๋ยวนี้เวลาผู้เขียนได้ยินคำว่า สตรอเบอร์รี่ มักนึกถึงความรักมากกว่า ความไม่ดี
แพ็ท โรเจ้อร์
กลายเป็นว่าตอนนี้ผู้เขียนเกิดอาการไม่สามารถไปทำงานได้ในวันอาทิตย์ เพราะรู้สึกเหนื่อยล้าอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน  (ทั้งที่ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาลุยได้ ไม่รู้เหนื่อย) จึงอยากพักให้เต็มที่ โดยไม่ต้องออกไปผจญภัยกับมหาชนนอกบ้าน เพราะไปไหนมีคนยั้วเยี้ยไปหมด ตามประสาเศรษฐกิจที่ขยายตัวมาก่อนจนหุบไม่ลง ผู้คนต้องซื้อและจับจ่ายกันแบบบ้าคลั่งเหมือนกับว่าของนี่แจกฟรี เลยบอกกับตนเองว่าขออยู่บ้านสักวันเถิด หากไม่ต้องออกไปทำงานที่คั่งค้างหรือรู้สึกเหนื่อยจนเกินไป
แพ็ท โรเจ้อร์
วันนี้ได้โอกาสมาเยือน “ประชาไท” แบบไม่ตั้งใจ เพราะปวดหัวเป็นไข้เล็กน้อย จึงถือโอกาสไม่ไปทำงานในวันอาทิตย์นอกเวลาเพื่อเคลียร์งานที่ทำไม่ทันในวันธรรมดา ถามตนเองว่าให้เวลากับงานมากเกินไป จนลืมมองดูสุขภาพตนเองหรือไม่ คำตอบคือ “ไม่” เพราะจำได้ว่าสมัยอยู่ต่างประเทศก็ทำแบบเดียวกัน แล้วก็ทำได้ด้วย ปัญหามีน้อยกว่า แต่เป็นเพราะว่าทางโน้นมีระบบงานที่ให้เสรีภาพในการทำงานมากพอสมควร มีปรัชญาในการทำงานที่เหมาะสมกว่า เมื่อเปรียบกับงานตรงนี้
แพ็ท โรเจ้อร์
หลายเพลาที่ผู้เขียนหายตัวไปจากเว็บนี้ ด้วยมีภาระกิจที่มากมายล้นหัวล้นหูเพราะผู้ใหญ่ส่งมาตามที่หัวโขนกำหนด เลยหมดแรงทุกครั้งที่ถึงบ้าน อีกทั้งมีคนสนิทที่ต้องการการดูแลเอาใจใส่แบบเข้มข้น เป็นเรื่องที่ต้องรับผิดชอบส่วนตัวอย่างสมัครใจ จึงไม่มีเวลาจะผลิตงานตรงนี้ อีกอย่างหลายครั้งก็ท้อใจเพราะว่าผลงานที่เขียนไม่ “แรง” เท่าไรนัก ส่วนแฟนประจำที่มีอยู่บ้างก็สไตล์คล้ายๆกันคือ ไม่ชอบโฉ่งฉ่าง ไม่ชอบสร้างประเด็นมากนัก งานก็เลยค่อยๆไป ที่น่าขำคือได้ยินคนมาบอกว่าเป็นคน “แรง” จากปากอดีตนักเขียนคนหนึ่งใน “ประชาไท” เลยมานั่งคิดเหมือนกันว่าที่แรงน่ะ แรงตรงไหน หลากความคิดเอาเถอะไม่ว่ากัน คนเรามีหลายแบบได้ข่าวจาก…
แพ็ท โรเจ้อร์
  ช่วงนี้เป็นช่วงที่มีงานรับปริญญากันมาก ผู้เขียนก็ต้องไปมีส่วนในงานแบบนี้ทุกปีนับตั้งแต่เรียนจบมา 11 ปีที่แล้ว เพราะสายงานนั้นบังคับให้ต้องร่วม บทความนี้จึงเป็นบทความที่ไม่เกี่ยวกับองค์การโดยตรงสักครั้งหนึ่ง แต่เกี่ยวกับ "คน" ที่รับปริญญาและคนที่เกี่ยวข้อง การรับปริญญาในเมืองนอกนั้น ไม่ได้เป็นพิธีที่ยิ่งใหญ่เหมือนเมืองไทย แต่ถามว่ามีคนมาชุมนุมกันมั้ยตอบว่ามี แต่การทำมากินสำคัญกว่า หลายคนจึงไม่ได้สนใจว่าต้องรับหรือไม่ หากต้องย้ายเมืองไปทำงานทีอื่นหรือกลับบ้านไปก่อนวันรับปริญญา กระนั้นเมืองนอกคือสหรัฐฯในที่นี้ (บางแห่งมีการรับปีละสองหน และบางแห่งมีการรับปีละหน…
แพ็ท โรเจ้อร์
เป็นที่รู้กันว่ามีการสูญเสียของพระบรมวงศ์ระดับสูงในช่วงหลังปีใหม่ที่ผ่านมา เล่นเอาหลายคนต้องขุดชุดดำขึ้นมาใส่แทบไม่ทัน เพราะผู้เขียนไม่เคยมีชุดดำกับเค้ามาก่อน เสื้อเชิ้ตขาวก็ไม่เคยมีมากว่า 10 ปีแล้ว เพราะอยู่เมืองนอกก็ไม่ได้ไปงานศพใคร ทั้งเป็นคนชอบเสื้อสีๆ นอกจากนี้ก็มองว่าสีดำทำให้ร้อนเนื่องจากดูดความร้อนง่าย การเป็นคนขี้ร้อนจึงเลี่ยงชุดทางการที่มีสีดำ ส่วนสีขาวนั้นไม่ชอบมาแต่ไหน เพราะเป็นคนไม่ค่อยระวังตัว เปรอะเปื้อนง่าย การใส่เสื้อขาวตอนเป็นนักเรียนนี่ทำให้ทางบ้านปวดหัวมาตลอดเพราะขาวเป็นดำปี๋ทุกครั้งที่ถึงบ้าน โชคดีที่มีเสื้อทับข้างนอกแบบลำลองเป็นสีดำ จึงสวมทับแก้ขัดไปก่อน…
แพ็ท โรเจ้อร์
ไม่กี่วันที่ผ่านมาสังคมไทยก็ได้มีการเลือกตั้งส.ส. ไปแล้ว น่าตื่นเต้นเล็กน้อย เพราะลุ้นกับเค้าเหมือนกันว่าใครจะมา และใครจะไป พลางให้นึกถึงเลือกตั้งที่สหรัฐฯ เมื่อ สาม-สี่ปีที่ผ่านมา ทำให้เห็นว่าอะไรที่จับกระแส “ประชานิยม” ได้ก็มักชนะ ไม่ว่าจะด้วยสาเหตุใด เช่น ชอบหรือกลัว เพราะกระแสประชานิยมไม่ได้ดูที่อะไรมากกว่า พวกมากลากไป หากพวกมากคิดเป็น ก็ดีไป ถ้าคิดไม่เป็นก็ซวยไป ทั้งนี้ คนที่รับความซวยคือคนทั้งหมด ไม่ใช่แค่คนที่เป็นพวกมาก หลายครั้งพวกมากก็เป็นพวกมากที่ไรัคุณภาพ แต่หลายครั้งก็เป็นพวกมากที่มีคุณภาพได้เช่นกัน แต่โอกาสที่จะเกิดนั้นมีน้อยกว่ามาก มีหลายคนถามว่าทำไมจึงเป็นเช่นนี้ …
แพ็ท โรเจ้อร์
หลายอาทิตย์ที่ผ่านมา ผู้เขียนไม่ได้มีเวลาและมีพลังงานมากพอที่จะผลิตงานมาที่ “ประชาไท” เลย เนื่องจากภาระงานต่างๆ ที่รับผิดชอบอยู่มีอย่างมากมาย จนเมื่อไรที่กลับถึงบ้านก็พร้อมที่จะวิ่งไปที่เตียงนอนแล้วก็หลับผล็อยไปตรงนั้น แล้วตื่นขึ้นมากับวันใหม่ เพื่อทำงานที่ค้างไว้ให้เสร็จและคอยผจญกับงานใหม่ที่จะเข้ามา ไม่ว่าจะชอบหรือไม่ก็ตาม ไม่รู้ว่าจะเรียกว่า “ชอบงานที่ทำ” หรือเป็นเพราะ “มีความรับผิดชอบต่องาน” หลายครั้งตอบว่าอย่างหลังน่าจะเหมาะกว่าเรื่องความรับผิดชอบนั้นสามารถมองได้หลายแบบ ผู้เขียนมีบุคคลรอบข้างที่มีลักษณะรับผิดชอบที่น้อยที่สุดตามกฏระเบียบ นั่นหมายถึงความรับผิดชอบที่น้อยที่สุด…
แพ็ท โรเจ้อร์
ผู้เขียนได้รับเชิญจากหน่วยงานหนึ่งให้เป็นกรรมการตัดสินการประกวดสุนทรพจน์ภาษาอังกฤษเมื่อไม่นานมานี้  รู้สึกหัวเสียกับคุณภาพของผู้เข้าประกวดเป็นอย่างมาก เพราะว่าไม่มีคุณภาพในระดับที่เรียกว่าใช้ได้เลย ปัญหานอกเหนือจากความสามารถทางภาษาอังกฤษทั่วไปแล้ว  เรื่องของเนื้อความซึ่งไม่ว่าในภาษาใดก็ตามต้องมีโครงสร้าง การผูกเรื่อง และคุณค่าทางวาทวิทยาในตัวเอง น่าเสียดายที่เมืองไทยไม่มีการสอนการวิเคราะห์วาทะอย่างเป็นแก่นสาร หากมีก็แค่การมองแบบการใช้ภาษาไทยธรรมดา หรือการใช้ภาษาอังกฤษธรรมดา ไม่มีการส่งเสริมอย่างแท้จริงในสิ่งที่เรียกว่า speech criticism/rhetorical criticism 1…
แพ็ท โรเจ้อร์
พัทยาลาก่อน   ร้องโดย รุ่งฤดี แพ่งผ่องใสลมทะเล พัดมาหาดพัทยา ครวญคลั่งฟังเหมือนมนต์ภวังค์วอนหวีดหวัง ครางว่ายังรักเธอ รักเธอพร่ำเพ้อละเมอ รอท่ายังฝืนกลืน น้ำตาฝันจนกว่า ชีพวาย*ครวญครางไป ใยกันเกลียวคลื่นนั้นมัน ชวนวิ่งว่ายแล้วล่ม ร่างร้างตายหาย อาวรณ์ลาแล้วลา ขอลาโอ้พัทยา ลาก่อนชีวิตคือ ละครฉันมันอ่อนโลกเอย(เนื้อเพลงและฟังเพลงได้ที่ blue balloon, bloggang.com)สองวันสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ไปพัทยาเพราะต้องพาคนสนิทไปพักผ่อน ตามที่สัญญากันไว้ คนสนิทเป็นวัยรุ่นช่วงกลางเกือบปลาย เป็นคนยุคใหม่ที่เรียกว่าไม่มองอะไรเกินกว่าตัวกู อันนี้ไม่รวมกับกระบวนการพัฒนาทางจิตวิทยาที่เป็นในทุกรุ่น ทุกสังคม…
แพ็ท โรเจ้อร์
I HAVE NOTHING (Whitney Houston) Share my life, Take me for what I am. 'Cause I'll never change All my colors for you. Take my love, I'll never ask for too much, Just all that you are And everything that you do. I don't really need to look Very much further/farther, I don't wanna have to go Where you don't follow. I will hold it back again, This passion inside. Can't run from myself, There's nowhere to hide. (Your love I'll remember forever.) Chorus: Don't make me close one more door, I don't wanna hurt anymore. Stay in my arms if you dare, Or must I imagine you there. Don't walk away from me…