Skip to main content

หลายอาทิตย์ที่ผ่านมา ผู้เขียนไม่ได้มีเวลาและมีพลังงานมากพอที่จะผลิตงานมาที่ “ประชาไท” เลย เนื่องจากภาระงานต่างๆ ที่รับผิดชอบอยู่มีอย่างมากมาย จนเมื่อไรที่กลับถึงบ้านก็พร้อมที่จะวิ่งไปที่เตียงนอนแล้วก็หลับผล็อยไปตรงนั้น แล้วตื่นขึ้นมากับวันใหม่ เพื่อทำงานที่ค้างไว้ให้เสร็จและคอยผจญกับงานใหม่ที่จะเข้ามา ไม่ว่าจะชอบหรือไม่ก็ตาม ไม่รู้ว่าจะเรียกว่า “ชอบงานที่ทำ” หรือเป็นเพราะ “มีความรับผิดชอบต่องาน” หลายครั้งตอบว่าอย่างหลังน่าจะเหมาะกว่า

เรื่องความรับผิดชอบนั้นสามารถมองได้หลายแบบ ผู้เขียนมีบุคคลรอบข้างที่มีลักษณะรับผิดชอบที่น้อยที่สุดตามกฏระเบียบ นั่นหมายถึงความรับผิดชอบที่น้อยที่สุด หรือถ้าเลี่ยงได้ก็เลี่ยง บุคลากรพวกนี้มีมากถึงมากที่สุด เป็นเพราะในวงการของการทำงานแบบไทยๆนั้น เชื่อกันว่ายิ่งทำงานมากก็ยิ่งมีโอกาสผิดมาก ดังนั้น พวกนี้จึงไม่ชอบที่จะทำอะไรถ้าไม่จำเป็น อันนี้ ต้องมองเรื่องวัฒนธรรมองค์การแบบไทยๆด้วย ที่มีระบบการทำงานแบบราชการอย่างเคร่งครัด มีลำดับช่วงชั้นที่เข้มงวดและระบบอุปถัมภ์ที่แทรกเข้ามา แต่ระบบคุณธรรมมีน้อยมาก ทำให้มีการอิจฉาริษยาที่เข้มข้น มีการทำงานเอาหน้าเป็นกิจวัตร  คนที่ต้องการอยู่อย่างปลอดภัยและลงทุนน้อยที่สุดคือคนที่ทำอะไรตามจำเป็น

ผู้เขียนมีคนในปกครองหรือพูดง่ายๆ คือลูกน้องที่เป็นสายตรงอยู่ 4คน ในหน่วยงานที่ผู้เขียนได้รับมอบหมายให้ดูแลกำกับ ถือว่ามีกำลังคนน้อยมากเมื่อเปรียบกับงานที่ต้องรับผิดชอบ งานหลักๆคือรับใช้และบริการผู้บริหารระดับสูงสุดอีกทีหนึ่งและมีโครงการเด็ดๆที่ต้องใช้ทักษะที่ไม่ไทยเพื่อให้สำเร็จ เพราะผู้บริหารได้มีความเชื่อว่าประสบการณ์การทำงานและเรียนในสหรัฐฯตั้งแต่ปี 2529จนถึง2549 ของผู้เขียนจะพอช่วยได้ ซึ่งเอาเป็นว่าถือเป็นเกียรติของผู้เขียนก็แล้วกัน ทั้งที่รู้ว่าเป็นภารกิจที่หนักหนาเอาการ

ผู้เขียนเคยทำตำแหน่งบริหารแต่มีลูกน้องน้อยมาแต่ไหนแต่ไร มักได้โครงการอะไรเด็ดๆมาตั้งแต่เด็ก มีทั้งที่เป็นไทยและไม่ไทย  และทั้งในและนอกไทย ยอมรับว่าตำแหน่งตรงนี้วันนี้ท้าทายกว่ามากเพราะว่าความรับผิดชอบสูงกว่าเดิมแยะ เป็นหน้าเป็นตาของหน่วยงานใหญ่ แต่มีเครื่องไม้เครื่องมือน้อยมาก และระบบงานทั่วไปของหน่วยงานอื่นๆก็สนับสนุนการทำงานไม่ได้มากนัก อันนี้ไปว่าเขาก็ไม่ได้เพราะเขาเป็นแบบนี้มาแต่ไหนแต่ไร ผู้บริหารระดับสูงชุดนี้ต่างหากที่มีโครงการต่างๆต่างจากเดิม จึงทำให้เกิดรอยต่อที่ใหญ่โตและเหมือนมีแรงต้านไม่น้อยในระดับล่างขึ้นมาจนถึงระดับบน

กลับมาสู่เรื่องทำงานแต่น้อยเท่าที่ต้องรับผิดชอบ อันนี้ถือว่าเป็นภัยต่อองค์การเองเพราะว่าองค์การนั้นต้องการสิ่งใหม่ๆในทุกระดับและจากทุกระดับ หากองค์การทำงานแบบไปวันๆ หรือแบบ “เช้าชาม เย็นชาม” ก็จบกัน เรื่องนี้ผู้บริหารเองต้องมองให้ชัดเจนว่าจะมีการขับเคลื่อนอย่างไร การบีบบังคับและออกคำสั่งนั้น อาจได้ผลในระยะแรกๆ แต่จะมีผลตามมาในระยะต่อไปคือมีความระส่ำระสาย หลายคนบอกว่า “ไม่อยู่ก็ไม่ต้องอยู่ ออกไปได้เลย” หากทำแบบนี้ ต่อไปก็จะไม่มีคนมาทำงานด้วย ไม่ว่าองค์การของคุณนั้นจะเก่งสักปานใดก็ตาม เพราะไม่สอดคล้องกับความเป็นจริงในโลกที่เน้นการบริหารจัดการแบบประชาธิปไตยมากขึ้น และต้องการคนเก่งๆที่รักอิสระ มีความหยิ่งในศักดิ์ศรี การทำงานแบบเน้นพระเดชนั้นไม่ใช่เรื่องที่น่าพึงปรารถนาแต่อย่างใด

อย่างไรก็ตาม น่าเสียดายที่ว่า “อุดมคติ” ต่างๆในสังคมไทยไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงไปตามโลกสากล มัวแต่ย้อนศรเพราะว่าชนชั้นปกครองมีความเชื่อสูงสุดหรืออุดมคติที่ตนนิยมที่ว่า คนไทยพอใจกับความเป็นบ่าวไพร่ คิดไม่เป็น ต้องให้มีคนนำที่ชี้ให้ตายก็ไปตาย ชี้ให้ทำอะไรก็ทำ ไม่มีสำนึกในความเป็นตัวของตัวเอง จนเหมือนคล้ายๆกับลัทธิอะไรบางอย่างไปเสียแล้ว วิถีทางดังกล่าวได้เข้ามาในบริบทองค์การแบบเลี่ยงไม่ได้ คือพยายามสร้างคตินิยมในองค์การให้เห็นเป็นระบบบ่าวไพร่ย่อยๆ  จนทุกคนคิดไม่เป็นและหวาดระแวงกันและกัน ดังนั้น วิธีคิดของผู้บริหารองค์การและผู้ถูกบริหารก็เวียนวนกับเรื่องแบบนี้ เวลาจะไปแข่งกับองค์การระดับสากลจริงๆ จึงสู้เขาไม่ได้ และจะไม่มีวันสู้ได้

ผู้เขียนมีความยากลำบากบ้างในการที่จะพยายามเปลี่ยนระบบความคิดบางอย่างของลูกน้อย คือให้พวกเขากล้าที่จะคิดและนำเสนออย่างประชาธิปไตยมากที่สุด แต่ดูเหมือนว่าจะมีบางคนที่ยังไม่เข้าใจ และยังพอใจที่จะได้ทำงานแต่น้อยๆแต่หวังผลประโยชน์มากๆ แล้วก็มีพฤติกรรมเรียกร้องขอโน่นนี่ ดีที่ว่าระบบงานที่ผู้เขียนกำหนดไว้นั้นมีเรื่องของผลงานเป็นตัวบ่งชี้สัมฤทธิผลทางการทำงาน จึงทำให้การร้องขอผลประโยชน์ต่างๆต้องเป็นไปตามระบบคุณธรรมที่ชัดเจน แต่การร้องขออย่างไร้เหตุผลก็เป็นตัวบ่งชี้ถึงความเป็น “ไพร่” ในสังคมไทยบุพพกาลที่ไม่สามารถกำจัดได้ในสังคมไทยปัจจุบัน

การได้เข้ามาทำงานในตำแหน่งดังกล่าว ยังทำให้ผู้เขียนได้เห็นความเป็นไปของผู้บริหารระดับสูงอีกด้วย โดยเฉพาะเกมการเมืองต่างๆที่บรรดาผู้บริหารระดับสูงต้องชิงไหวชิงพริบกัน แน่นอนบรรดาท่านๆ เหล่านี้ มีข้อขัดแย้งระหว่างกัน มีการปะทะทางคารมให้เห็นเสมอๆ ไม่ว่าจะในที่ประชุมหรือผ่านบันทึกต่างๆ  ถือเป็นเรื่องที่น่าสนใจและศึกษาต่อไป อย่างไรก็ตาม ผู้เขียนยอมรับว่าจากประสบการณ์ในสหรัฐฯนั้น บอกว่าผู้บริหารสหรัฐฯนั้นมีฝีมือที่เหนือกว่าหลายเท่านัก เพราะคนในสหรัฐฯเข้มข้นกว่าในคุณภาพและกลยุทธต่างๆ นอกจากนี้ เงื่อนไขทางกฏหมายและข้อบังคับที่เน้นอำนาจนิยมน้อยกว่า ทำให้การบริหารต้องมืออาชีพกว่ามากอย่างเทียบกันไม่ติด

ดังนั้น ในบทความนี้ ผู้เขียนจึงขอกล่าวเพียงบรรยากาศเบื้องต้นของการทำงานวงในพอเป็นสังเขปเท่านี้ เชื่อว่าจะมีรายละเอียดที่จะมาวิเคราะห์ต่อไปได้อีก และที่สำคัญคือ บทความวิเคราะห์เหล่านี้จะเน้นเรื่องความสัมพันธ์ระหว่าง “วัฒนธรรมระดับชาติ” และ “วัฒนธรรมองค์การ” ที่ต่างฝ่ายต่างสะท้อนกันและกัน ซึ่งทำให้เกิดทั้งข้อดีและข้อด้อยในการบริหารจัดการ ในระดับองค์การเองและระดับประเทศ ที่เราเห็นๆกันอยู่

บล็อกของ แพ็ท โรเจ้อร์

แพ็ท โรเจ้อร์
ช่วงนี้ได้พักบ้างหลังจากที่ไม่ได้พักเลยสัปดาห์ละ 7 วัน ทำงานมันทุกวัน พอได้เวลาอู้จึงขออู้บ้าง แท้จริงไม่ใช่อู้แต่น้อย แต่เดิมต่างหากที่โดนงานแย่งเวลาส่วนตัวออกไป
แพ็ท โรเจ้อร์
จั่วหัวแบบภาษาเก่าๆ สมัยเรียนปริญญาตรีเมื่อเกือบ30ปีที่แล้ว สมัยนั้น กรุงเทพฯ เพิ่งฉลองครบ 200 ปีใหม่ๆ สมัยนั้น คำว่า สตรอเบอร์รี่ ไม่ได้แปลว่า “สะ-ตอ-แหล” แบบปัจจุบัน เวลาคนไหนมีความรัก มักจะโดนเพื่อนๆแซวว่า กำลังกิน สตรอเบอร์รี่ มาจากคำว่า เลิฟ สตอรี่ Love Story ที่เป็นหนังฮิตในช่วงยุค 40 กว่าปีนั้น ดังนั้นเดี๋ยวนี้เวลาผู้เขียนได้ยินคำว่า สตรอเบอร์รี่ มักนึกถึงความรักมากกว่า ความไม่ดี
แพ็ท โรเจ้อร์
กลายเป็นว่าตอนนี้ผู้เขียนเกิดอาการไม่สามารถไปทำงานได้ในวันอาทิตย์ เพราะรู้สึกเหนื่อยล้าอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน  (ทั้งที่ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาลุยได้ ไม่รู้เหนื่อย) จึงอยากพักให้เต็มที่ โดยไม่ต้องออกไปผจญภัยกับมหาชนนอกบ้าน เพราะไปไหนมีคนยั้วเยี้ยไปหมด ตามประสาเศรษฐกิจที่ขยายตัวมาก่อนจนหุบไม่ลง ผู้คนต้องซื้อและจับจ่ายกันแบบบ้าคลั่งเหมือนกับว่าของนี่แจกฟรี เลยบอกกับตนเองว่าขออยู่บ้านสักวันเถิด หากไม่ต้องออกไปทำงานที่คั่งค้างหรือรู้สึกเหนื่อยจนเกินไป
แพ็ท โรเจ้อร์
วันนี้ได้โอกาสมาเยือน “ประชาไท” แบบไม่ตั้งใจ เพราะปวดหัวเป็นไข้เล็กน้อย จึงถือโอกาสไม่ไปทำงานในวันอาทิตย์นอกเวลาเพื่อเคลียร์งานที่ทำไม่ทันในวันธรรมดา ถามตนเองว่าให้เวลากับงานมากเกินไป จนลืมมองดูสุขภาพตนเองหรือไม่ คำตอบคือ “ไม่” เพราะจำได้ว่าสมัยอยู่ต่างประเทศก็ทำแบบเดียวกัน แล้วก็ทำได้ด้วย ปัญหามีน้อยกว่า แต่เป็นเพราะว่าทางโน้นมีระบบงานที่ให้เสรีภาพในการทำงานมากพอสมควร มีปรัชญาในการทำงานที่เหมาะสมกว่า เมื่อเปรียบกับงานตรงนี้
แพ็ท โรเจ้อร์
หลายเพลาที่ผู้เขียนหายตัวไปจากเว็บนี้ ด้วยมีภาระกิจที่มากมายล้นหัวล้นหูเพราะผู้ใหญ่ส่งมาตามที่หัวโขนกำหนด เลยหมดแรงทุกครั้งที่ถึงบ้าน อีกทั้งมีคนสนิทที่ต้องการการดูแลเอาใจใส่แบบเข้มข้น เป็นเรื่องที่ต้องรับผิดชอบส่วนตัวอย่างสมัครใจ จึงไม่มีเวลาจะผลิตงานตรงนี้ อีกอย่างหลายครั้งก็ท้อใจเพราะว่าผลงานที่เขียนไม่ “แรง” เท่าไรนัก ส่วนแฟนประจำที่มีอยู่บ้างก็สไตล์คล้ายๆกันคือ ไม่ชอบโฉ่งฉ่าง ไม่ชอบสร้างประเด็นมากนัก งานก็เลยค่อยๆไป ที่น่าขำคือได้ยินคนมาบอกว่าเป็นคน “แรง” จากปากอดีตนักเขียนคนหนึ่งใน “ประชาไท” เลยมานั่งคิดเหมือนกันว่าที่แรงน่ะ แรงตรงไหน หลากความคิดเอาเถอะไม่ว่ากัน คนเรามีหลายแบบได้ข่าวจาก…
แพ็ท โรเจ้อร์
  ช่วงนี้เป็นช่วงที่มีงานรับปริญญากันมาก ผู้เขียนก็ต้องไปมีส่วนในงานแบบนี้ทุกปีนับตั้งแต่เรียนจบมา 11 ปีที่แล้ว เพราะสายงานนั้นบังคับให้ต้องร่วม บทความนี้จึงเป็นบทความที่ไม่เกี่ยวกับองค์การโดยตรงสักครั้งหนึ่ง แต่เกี่ยวกับ "คน" ที่รับปริญญาและคนที่เกี่ยวข้อง การรับปริญญาในเมืองนอกนั้น ไม่ได้เป็นพิธีที่ยิ่งใหญ่เหมือนเมืองไทย แต่ถามว่ามีคนมาชุมนุมกันมั้ยตอบว่ามี แต่การทำมากินสำคัญกว่า หลายคนจึงไม่ได้สนใจว่าต้องรับหรือไม่ หากต้องย้ายเมืองไปทำงานทีอื่นหรือกลับบ้านไปก่อนวันรับปริญญา กระนั้นเมืองนอกคือสหรัฐฯในที่นี้ (บางแห่งมีการรับปีละสองหน และบางแห่งมีการรับปีละหน…
แพ็ท โรเจ้อร์
เป็นที่รู้กันว่ามีการสูญเสียของพระบรมวงศ์ระดับสูงในช่วงหลังปีใหม่ที่ผ่านมา เล่นเอาหลายคนต้องขุดชุดดำขึ้นมาใส่แทบไม่ทัน เพราะผู้เขียนไม่เคยมีชุดดำกับเค้ามาก่อน เสื้อเชิ้ตขาวก็ไม่เคยมีมากว่า 10 ปีแล้ว เพราะอยู่เมืองนอกก็ไม่ได้ไปงานศพใคร ทั้งเป็นคนชอบเสื้อสีๆ นอกจากนี้ก็มองว่าสีดำทำให้ร้อนเนื่องจากดูดความร้อนง่าย การเป็นคนขี้ร้อนจึงเลี่ยงชุดทางการที่มีสีดำ ส่วนสีขาวนั้นไม่ชอบมาแต่ไหน เพราะเป็นคนไม่ค่อยระวังตัว เปรอะเปื้อนง่าย การใส่เสื้อขาวตอนเป็นนักเรียนนี่ทำให้ทางบ้านปวดหัวมาตลอดเพราะขาวเป็นดำปี๋ทุกครั้งที่ถึงบ้าน โชคดีที่มีเสื้อทับข้างนอกแบบลำลองเป็นสีดำ จึงสวมทับแก้ขัดไปก่อน…
แพ็ท โรเจ้อร์
ไม่กี่วันที่ผ่านมาสังคมไทยก็ได้มีการเลือกตั้งส.ส. ไปแล้ว น่าตื่นเต้นเล็กน้อย เพราะลุ้นกับเค้าเหมือนกันว่าใครจะมา และใครจะไป พลางให้นึกถึงเลือกตั้งที่สหรัฐฯ เมื่อ สาม-สี่ปีที่ผ่านมา ทำให้เห็นว่าอะไรที่จับกระแส “ประชานิยม” ได้ก็มักชนะ ไม่ว่าจะด้วยสาเหตุใด เช่น ชอบหรือกลัว เพราะกระแสประชานิยมไม่ได้ดูที่อะไรมากกว่า พวกมากลากไป หากพวกมากคิดเป็น ก็ดีไป ถ้าคิดไม่เป็นก็ซวยไป ทั้งนี้ คนที่รับความซวยคือคนทั้งหมด ไม่ใช่แค่คนที่เป็นพวกมาก หลายครั้งพวกมากก็เป็นพวกมากที่ไรัคุณภาพ แต่หลายครั้งก็เป็นพวกมากที่มีคุณภาพได้เช่นกัน แต่โอกาสที่จะเกิดนั้นมีน้อยกว่ามาก มีหลายคนถามว่าทำไมจึงเป็นเช่นนี้ …
แพ็ท โรเจ้อร์
หลายอาทิตย์ที่ผ่านมา ผู้เขียนไม่ได้มีเวลาและมีพลังงานมากพอที่จะผลิตงานมาที่ “ประชาไท” เลย เนื่องจากภาระงานต่างๆ ที่รับผิดชอบอยู่มีอย่างมากมาย จนเมื่อไรที่กลับถึงบ้านก็พร้อมที่จะวิ่งไปที่เตียงนอนแล้วก็หลับผล็อยไปตรงนั้น แล้วตื่นขึ้นมากับวันใหม่ เพื่อทำงานที่ค้างไว้ให้เสร็จและคอยผจญกับงานใหม่ที่จะเข้ามา ไม่ว่าจะชอบหรือไม่ก็ตาม ไม่รู้ว่าจะเรียกว่า “ชอบงานที่ทำ” หรือเป็นเพราะ “มีความรับผิดชอบต่องาน” หลายครั้งตอบว่าอย่างหลังน่าจะเหมาะกว่าเรื่องความรับผิดชอบนั้นสามารถมองได้หลายแบบ ผู้เขียนมีบุคคลรอบข้างที่มีลักษณะรับผิดชอบที่น้อยที่สุดตามกฏระเบียบ นั่นหมายถึงความรับผิดชอบที่น้อยที่สุด…
แพ็ท โรเจ้อร์
ผู้เขียนได้รับเชิญจากหน่วยงานหนึ่งให้เป็นกรรมการตัดสินการประกวดสุนทรพจน์ภาษาอังกฤษเมื่อไม่นานมานี้  รู้สึกหัวเสียกับคุณภาพของผู้เข้าประกวดเป็นอย่างมาก เพราะว่าไม่มีคุณภาพในระดับที่เรียกว่าใช้ได้เลย ปัญหานอกเหนือจากความสามารถทางภาษาอังกฤษทั่วไปแล้ว  เรื่องของเนื้อความซึ่งไม่ว่าในภาษาใดก็ตามต้องมีโครงสร้าง การผูกเรื่อง และคุณค่าทางวาทวิทยาในตัวเอง น่าเสียดายที่เมืองไทยไม่มีการสอนการวิเคราะห์วาทะอย่างเป็นแก่นสาร หากมีก็แค่การมองแบบการใช้ภาษาไทยธรรมดา หรือการใช้ภาษาอังกฤษธรรมดา ไม่มีการส่งเสริมอย่างแท้จริงในสิ่งที่เรียกว่า speech criticism/rhetorical criticism 1…
แพ็ท โรเจ้อร์
พัทยาลาก่อน   ร้องโดย รุ่งฤดี แพ่งผ่องใสลมทะเล พัดมาหาดพัทยา ครวญคลั่งฟังเหมือนมนต์ภวังค์วอนหวีดหวัง ครางว่ายังรักเธอ รักเธอพร่ำเพ้อละเมอ รอท่ายังฝืนกลืน น้ำตาฝันจนกว่า ชีพวาย*ครวญครางไป ใยกันเกลียวคลื่นนั้นมัน ชวนวิ่งว่ายแล้วล่ม ร่างร้างตายหาย อาวรณ์ลาแล้วลา ขอลาโอ้พัทยา ลาก่อนชีวิตคือ ละครฉันมันอ่อนโลกเอย(เนื้อเพลงและฟังเพลงได้ที่ blue balloon, bloggang.com)สองวันสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ไปพัทยาเพราะต้องพาคนสนิทไปพักผ่อน ตามที่สัญญากันไว้ คนสนิทเป็นวัยรุ่นช่วงกลางเกือบปลาย เป็นคนยุคใหม่ที่เรียกว่าไม่มองอะไรเกินกว่าตัวกู อันนี้ไม่รวมกับกระบวนการพัฒนาทางจิตวิทยาที่เป็นในทุกรุ่น ทุกสังคม…
แพ็ท โรเจ้อร์
I HAVE NOTHING (Whitney Houston) Share my life, Take me for what I am. 'Cause I'll never change All my colors for you. Take my love, I'll never ask for too much, Just all that you are And everything that you do. I don't really need to look Very much further/farther, I don't wanna have to go Where you don't follow. I will hold it back again, This passion inside. Can't run from myself, There's nowhere to hide. (Your love I'll remember forever.) Chorus: Don't make me close one more door, I don't wanna hurt anymore. Stay in my arms if you dare, Or must I imagine you there. Don't walk away from me…