Skip to main content

บล็อกกาซีน ประชาไท

แพร จารุ
“สุชาติ สวัสดิ์ศรี” ยืนล้วงกระเป๋าเสื้ออยู่ริมทางรถไฟ ในขณะที่รถไฟกำลังมา  เป็นภาพปกหนังสือ ฅ คน ที่ทำให้ฉันต้องนับเงินในกระเป๋าให้ครบแปดสิบบาท ความจริงหนังสือเขาไม่แพงหรอก เพียงแต่ว่า เงินสำหรับบ้านฉันมันหายากมาก หรือจะเรียกให้ถูกก็คือฉันไม่ค่อยหาเงิน ดังนั้นเมื่อไม่หาเงินก็ต้องใช้เงินน้อย ๆ หรือไม่ใช้ไปเลยถ้าไม่จำเป็นต้องใช้จริง ๆ แม้ว่าการจะซื้อหนังสือถือเป็นความจำเป็นหนึ่ง แต่ก็ต้องเลือกอย่างพิถีพิถันในเนื้อหา ดังนั้น ถ้าร้านไหนห่อพลาสติกอย่างดีเปิดไม่ได้ ก็ผ่านเลย หนังสือเล่มนี้ก็ห่อพลาสติกอย่างดีเหมือนกัน แต่ก็รีบซื้อ  เพราะทั้งรถไฟและคุณสุชาติ  สวัสดิ์ศรี ถือเป็นความผูกพันหนึ่งหรือเป็นความสัมพันธ์หนึ่งที่เกี่ยวข้องกัน  เพราะชีวิตการเดินทางเริ่มต้นจากรถไฟ ส่วนงานเขียนหนังสือผู้ชายที่ยืนริมทางรถไฟ ก็เป็นส่วนหนึ่งของการเริ่มต้นคนเขียนหนังสือ นอกจากได้อ่านบทสัมภาษณ์เรื่องราวของ สุชาติ สวัสดิ์ศรี ให้หายคิดถึง ตามประสาคนในแวดวงวรรณกรรม เพราะรู้จักรู้เรื่องกันอยู่แล้ว แต่คนอยู่ร่วมบ้านเดียวกันและเป็นคนเขียนหนังสือเหมือนกัน บอกฉันว่า หลังจากอ่านเรื่องของคุณสุชาติแล้ว พบว่าตัวเองเหมือนไม่ได้ทำอะไรเลย ก็ถือว่าเป็นการค้นพบที่คุ้มค่ามากความไม่พร้อมไม่ใช่เหตุผลที่เราจะไม่ทำ เป็นคำตอบหนึ่งดูเหมือนคุณสุชาติจะมีความพยายามและตั้งใจสูงมากที่จะทำงาน ไม่ว่าจะเป็นงานเขียน งานบรรณาธิการ โดยเฉพาะงานศิลปะภาพวาดที่ต้องลงทุนสูง เรียกว่าไม่ได้พร้อมด้านทุนแต่พร้อมด้านจิตใจ ครั้งหนึ่งฉันมีโอกาสเดินทางไปบ้านเขา ในช่วงปลายปี 2540  เป็นช่วงปีแห่งการเปลี่ยนแปลง เป็นช่วงค่าเงินบาทลด และช่วงตกงานอย่างจริงจัง เพราะหนังสือที่ทำอยู่ปิดตัวลงทีละเล่ม ๆ ช่วงนั้นได้เดินทางไปบ้านคุณสุชาติ เป็นการไปครั้งแรก กับเพื่อน ๆ นักเขียน มีสุจินดา กับชามาไปด้วย  สุจินดากับชามาอยากดูรูปเขียนมากๆ  ตอนนั้นรูปยังไม่มาก เพราะเป็นการเริ่มต้น แต่สองนางที่หลงใหลงานศิลปะต่างชื่นชอบชื่นชมกันมาก ๆ   พวกเขาคุยกันไม่รู้จบและฉันก็ง่วงมากจึงตัดสินใจนอนที่นั้น  ตื่นขึ้นมายามเช้า ศิลปินใหญ่หายไปจากบ้านแล้ว แต่ไม่นานก็เดินกลับมาพร้อมด้วยแปรงสีฟันสำหรับพวกเรา นักเขียนอีกคน “ศรีดาวเรือง” ทำอาหารง่าย ๆ แบบประหยัด ๆ คือพวกผักต่าง ๆ และไข่ ส่วนนักเขียนที่เริ่มเป็นหนุ่ม เขามีคอลัมน์ในหนังสือ ไรท์เตอร์ มาคุยด้วยในช่วงนั้นฉันยังเป็นคนเขียนหนังสือที่รับจ้างทำหนังสือ รับจ้างเป็นรีไรท์เตอร์  เรียกว่ามีเงินพอที่จะอยู่สบาย แต่เหนื่อยและมีชีวิตอยู่กับการง่วงนอนเมื่อหนังสือพิมพ์ที่รับจ้างเป็นรีไรเตอร์ปิดลง  หนังสือที่เขียนบทความอยู่ก็ปิดลงทีละเล่ม จนหมด และตกงานอย่างจริงจัง ฉันไม่ได้บอกใครว่าฉันรู้สึกดีใจอยู่ลึก โล่งโปร่งสบายใจได้เดินทางไปไหนต่อไหนรวมทั้งบ้านคุณสุชาติด้วย ฉันก็รู้สึกสบายที่ได้ล้มตัวลงนอนที่บ้านหลังนั้น ได้เห็นว่าการใช้ชีวิตไม่ต้องใช้เงินมากก็ได้ ไม่ต้องมีรถยนต์  ใช้รถไฟ และเดินตัดผ่านทุ่งก็ไม่ได้ลำบากอะไร ไม่ต้องมีเครื่องอำนวยความสะดวกในบ้านมากมาย ไม่ต้องมีโทรศัพท์มือถือก็ได้ ชีวิตไม่ต้องแพงมากก็ได้นี่เป็นจุดเปลี่ยนหนึ่ง ฉันจึงเป็นคนตกงานอย่างถาวร และไม่ได้ทำงานเพื่อหาเงินมาใช้ แต่หาเงินเพื่อทำงาน แค่มีกินและกินตามสมควร แน่นอนล่ะ เหนื่อยยาก ลำบากอยู่บ้าง แต่ดีกว่ามีชีวิตที่ไม่สดชื่นเลยทั้งปีและอาจจะทั้งชาติแปดสิบบาทสำหรับ ฅ คน ถือว่า คุ้มค่าอยู่ เพราะนอกจากเรื่องราวของ “สุชาติ สวัสดิศรี” และการกลับมาของนิตยสาร ช่อการะเกด นิตยสารเรื่องสั้นไทย ที่เปิดรับเรื่องสั้นทั่วทิศ ไม่ใช่แค่นักเขียนเก่า แต่เป็นที่นักเขียนใหม่แจ้งเกิดด้วย ใครที่อยากเขียนเรื่องสั้นและกลัวว่าไม่มีใครอ่านหรือส่งไปแล้วบรรณาธิการไม่คุ้นชื่อไม่อ่าน ส่งมาที่ช่อการะเกด ไม่ผิดหวัง บรรณาธิการอ่านแน่ และที่สำคัญ โดยส่วนตัวแล้วพบว่า บรรณาธิการช่อการะเกด เขาอ่านงานนักเขียนด้วยเมตตา ด้วยมิตรที่อบอุ่น และให้เกียรติผู้เขียน สำหรับฉันเห็นว่า นี่เป็นเรื่องสำคัญมากที่หาได้ยากในบรรณาธิการรุ่นใหม่ ๆ เอาล่ะที่บอกว่า คุ้มค่าคือได้อ่านคอลัมน์ สโมสรจุดเปลี่ยน เพราะไม่ค่อยได้ดูโทรทัศน์ จึงไม่ได้ดูรายการนี้ เหตุที่ไม่ได้ดูเพราะว่า สัญญาณรับโทรทัศน์ไม่ค่อยจะดี ต้องลงทุนซื้อเสาอากาศ  พิจารณาดูแล้วไม่คุ้มทุนเท่าไหร่ มีรายการที่น่าสนใจน้อย จึงใช้วิธีดูบ้านเพื่อนถ้ามีรายการดี ๆ เพราะคนข้างบ้านเขาเอื้อเฟื้อ โทรทัศน์อยู่ใต้ถุนบ้านจอใหญ่ด้วยขอนำ สโมสรจุดเปลี่ยนมาเขียนถึงสักเล็กน้อย  เขาเสนอเรื่อง การใช้ปิ่นโตแทนถุงพลาสติก  ถุงพลาสติก เป็นภัยร้ายทำลายสภาพแวดล้อมของโลกในอนาคต และมีภาพของศิลปินคนหนึ่ง หิ้วปิ่นโตมาซื้อกับข้าวและมีตัวอักษรพาดผ่านภาพว่า ใช้มาสิบปีแล้ว ใกล้บ้านฉันก็มีเด็กชายใช้ปิ่นโตมานับสิบปีแล้วเหมือนกัน ฉันเห็นเขาเอาปิ่นโตห้อยมากับหน้ารถจักรยาน กลับบ้านทุกเย็น เขาเอาข้าวไปกินโรงเรียน ตั้งแต่เริ่มเรียนอนุบาล จนถึงวันนี้เขาเรียน ป.6 แล้ว ปีหน้าเขาจะย้ายไปเรียนโรงเรียนในเมือง ฉันไม่รู้ว่าเขาจะเริ่มใช้กล่องโฟมหรือเปล่า เอาล่ะ เพื่อสนับสนุนจุดเปลี่ยน เขาว่าต้องเริ่มต้นจากตัวเองก่อน วันต่อมาฉันใช้ถุงผ้าไปซื้อของกับน้องสาวข้างบ้าน ไปซื้อซีอิ๊วขาว น้ำมันพืช กระเทียม หอม  ของสำหรับครัว ที่ร้านของชำเจ้าประจำในตลาด  ของพวกนี้ไม่จำเป็นต้องใส่ถุงพลาสติก ใส่ถุงผ้าได้เลย แต่เมื่อบอกว่า ใส่ถุงผ้าไปเลย เขาบอกไม่เป็นไร ใส่ไปเถอะ  ฉันเกือบจะยอมแพ้รับของมาแล้ว แต่ไม่ยอม ฉันยืนยันว่า ไม่เอา เก็บถุงพลาสติกไว้เถอะ เขาทำหน้าแปลก ๆ และรำคาญที่ต้องเอาของออกจากถุงพลาสติกใส่ถุงผ้า น้องที่ไปด้วยกันก็พูดเขิน ๆ ว่า พี่เขาอนุรักษ์ ฉันบอกว่า ไม่ให้มีขยะมาก จะได้ไม่ต้องเผามากนัก ฤดูร้อนจะได้ไม่มีหมอกควัน ลดภาวะโลกร้อนด้วย คนขายยิ้ม แต่คนที่ยืนรอซื้อของอยู่ใกล้ ๆ พูดขึ้นมา ว่าไม่เป็นไรหรอก ร้อนได้ก็เย็นได้  มีหมอกควัน พอฝนลงก็หายหมดแหละ ฝนตกหายหมดไม่ต้องกลัวอือ...ฉันพยักหน้า แบบผู้แพ้ คร้านจะพูดต่อ แต่ไม่ได้เอาถุงพลาสติกกลับบ้านสักใบเดียว เรียกว่า ชนะตัวเอง แค่นี้ก็สบายใจแล้ววันนี้ เรียกว่าสบายใจแบบพอเพียง ไม่หวังความสบายใจมาก แปดสิบบาทกับเรื่องผู้ชายริมทางรถไฟและจุดเปลี่ยนชีวิต** ภาพประกอบจาก onopen.com
ประชาไทไนท์
การรับรู้ของคนเรา ขึ้นอยู่กับประสบการณ์ของแต่ละบุคคล ในบางมุม เราอาจมองกระต่ายแล้วกลายเป็นเป็ด หรืออาจจะมองเป็ดให้กลายเป็นกระต่ายก็ได้ (ใครจะรู้?)ในเวลาเดียวกัน ความหมายของวัตถุที่แต่ละคนมองก็ไม่เคยเหมือนกัน เพราะมุมมองของบุคคลนั้นขึ้นอยู่กับความต่างของพื้นที่ ความต่างของวัฒนธรรม และความต่างทางบริบท (อื่นๆ อีกมากมาย) ใช่หรือไม่?แล้วมันผิดตรงไหน หากใครจะมองเห็นอะไรต่างมุมกัน? ในเมื่อวัตถุหรือสัญลักษณ์บางอย่างนั้นล้วนแปรเปลี่ยนความหมายไปตามการรับรู้ของผู้คนมันจะดีกว่าไหม ถ้าเราจะเริ่มต้นง่ายๆ ด้วยการรับฟังและเปิดใจมองไปยังมุมที่ต่างจากมุมเดิมๆ ของเราบ้าง? แทนที่จะดึงดันให้คนซึ่งอยู่อีกฝั่งมามองเห็นในสิ่งที่เดียวกับที่เราเห็น?นั่นคือการตั้งคำถามระหว่างเสนอภาพ 20x20 ของบล๊อกเกอร์หนุ่มนักศึกษานามว่า ‘แจ๊ค' ผู้มาร่วมงานแจ๊คผู้ฆ่ายักษ์ ประชาไทไนท์ไม่ต้องตอบคำถามของเขาก็ได้...แต่ลองตั้งคำถามกับใจตัวเองก่อนเป็นอันดับแรกน่าจะดี
ประชาไทไนท์
เมื่อไม่กี่สิบปีมานี้...ภาพยนตร์ถูกยกย่องว่าเป็นอีกแขนงหนึ่งของ ‘ศิลปะ' ซึ่งไม่จำเป็นต่อการดำรงชีวิต แต่มีคุณค่าทางจิตวิญญาณไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน ศิลปะภาพยนตร์แตกกิ่งก้านสาขาออกไปหลายขนานและทำหน้าที่สะท้อนสังคมแต่ละยุคอย่างขยันขันแข็งณ วันนี้ ภาพยนตร์เกิดขึ้นใหม่เป็นจำนวนมากและมีรูปแบบการนำเสนอที่แตกต่างกัน แต่ภาพยนตร์บางประเภทเท่านั้นที่ได้รับการยอมรับจากคนส่วนใหญ่ในสังคม ซึ่งนอกจากเหตุผลทางรสนิยมแล้ว คงจะมีเหตุผลทางวัฒนธรรมเข้ามาเกี่ยวข้องในการ ยอมรับ/ไม่ยอมรับ ภาพยนตร์แต่ละประเภทด้วย แต่น่าเสียดายที่ภาพยนตร์บางประเภทไม่มีที่อยู่ที่ยืนในสังคมบางแห่ง ซึ่งวัฒนธรรมกระแสหลักพยายามเบียดขับให้วัฒนธรรมย่อยตกหล่นไปจากพื้นที่การรับรู้ของคนในสังคมมาตรฐานเรื่องศีลธรรม, ความรุนแรง, ความล่อแหลมอนาจาร ไม่เคยได้รับการถกเถียงอย่างจริงจัง มีเพียงคนบางกลุ่มที่ถูกคัดเลือกโดยคน (อีก) บางกลุ่มเท่านั้น ที่มีสิทธิ์ตัดสินใจว่าอะไรดี-ไม่ดี รุนแรง-ไม่รุนแรง ทั้งที่เรื่องราวซึ่งถูกถ่ายทอดออกมาให้เห็นกันในภาพยนตร์ อาจไม่ต่างอะไรจากสิ่งที่เกิดขึ้นจริงในสังคมนั้นๆ เลยภาพยนตร์บางประเภทจึงถูกมองว่าเป็น ‘หนังส่วนตัว' และมีคนเฉพาะกลุ่มเท่านั้นที่นิยมชมชอบ ความเป็น ‘หนังเฉพาะกลุ่ม' จึงมักจะถูกจัดให้อยู่ในหมวดหมู่ของผลผลิตจากวัฒนธรรมย่อย...ซึ่งแน่นอนว่ามันมักจะได้รับการตัดสินว่าไม่ดีหรือไม่มีค่า (ถึงขั้นไม่รับผิดชอบต่อสังคม) เทียบเท่ากับภาพยนตร์ที่มาจากวัฒนธรรมกระแสหลักหลายครั้งที่ตัวแทนจากแวดวงภาพยนตร์เฉพาะกลุ่มพยายามหาที่ทางให้กับผลงานของตัวเอง พวกเขาก็ต้องเสี่ยงต่อการโดนแปะฉลากว่าเป็นพวกที่ยึดถือตัวกู-ของกู และใครบางคนอาจมองว่าพวกนี้เป็นคนประเภท ‘หนังของกู-เพลงของกู ห้ามเซ็นเซอร์' ก็ว่ากันไป...เพราะในความเป็นจริง เราทุกคนล้วนยึดมั่นในสิ่งที่ตัวเองคิดว่าถูกต้องดีงามด้วยกันทั้งนั้น การถกเถียงเรื่อง ความจริง-ความดี-ความงาม จึงไม่เคยยุติลง แต่ขอเพียงเรายังถกเถียง เราก็ยังมีโอกาสได้เรียนรู้ แลกเปลี่ยน และเติบโต หากเมื่อไหร่ที่คนส่วนใหญ่ใช้เสียงข้างมากเข้ามาเป็นเงื่อนไขในการทำให้เสียงอื่นเงียบลง...เมื่อนั้นเราจะมีอะไรให้ต้องสร้างสรรค์กันอีก?อย่าลืมว่าความ ‘หยาบ' ของกระดาษทราย ทำให้วัสดุมากมายเรียบเนียนมาได้นักต่อนักแล้ว...  
ประชาไทไนท์
นิทานออนไลน์ ฉบับ ‘ประชาไทไนท์' บอกเล่าโดย jamorn คือ เรื่องราวของเหล่ามดดำที่อยู่ภายใต้การชี้นำของยักษ์ตัวหนึ่งที่คอยควบคุมถนนหนทางในการสื่อสารและเข้าถึงข้อมูล...จนกระทั่งวันหนึ่ง ยักษ์ตัวนั้นเกิดกรณีพิพาทกับ ‘ยักษ์ตู๊บ' ซึ่งมีพ่อเป็น ‘ยักษ์ขาวผู้ยิ่งใหญ่' !เรื่องราวจะเป็นยังไงต่อไป ติดตามดูได้้ในคลิปวิดีโิอเรื่อง ‘การต่อสู้ของยักษ์เขียวตาเดียว'
ประชาไทไนท์
บล๊อกเกอร์ mk (ผู้มิได้เกี่ยวข้องใดๆ กับ เอ็มเคสุกี้ ) มาพร้อมกับสไลด์ 20x20 บอกเล่า 'บันได 4 ขั้น' วิธีรับมือยักษ์เขียวตาเดียวในโลกไซเบอร์
ประชาไทไนท์
แจ๊คผู้ฆ่ายักษ์ (เขียว) ตาเดียว หมายเลข 3 ของประชาไทไนท์ คือ บล็อกเกอร์ชื่อดัง นามว่า คนชายขอบ ขอชวนใครต่อใครไปอ่านความหมายที่ซ่อนอยู่ 'ระหว่างบรรทัด' ในเวลาที่นักท่องเน็ตเจอกับข้อความของยักษ์เขียวตาเดียวจากกระทรวงที่คุณก็รู้ว่า (เป็นของ) ใคร...ปรากฎอยู่เต็มหน้าจอ 
ประชาไทไนท์
พูดพร่ำถึงยักษ์ใหญ่แห่งการกรองดนตรีร่วมสมัยอย่าง PMRC กันไปแล้ว ก็มาต่อกันด้วย 20 slides ที่กล่าวถึงดนตรีกับ Censorship กันเลยดีกว่าครับแต่คงต้องสารภาพว่ามันคงเหลือแค่ 19 นะครับ เพราะได้ตัด "Parental Advisory" ออกไปเนื่องกล่าวถึงมันไปใน Blog ที่แล้ว ซึ่งบางภาพในที่นี้อาจจะเกี่ยวกับการประท้วง Censorship ตรงไปตรงมา ขณะที่บางภาพอาจเป็นอัลบั้มที่มีเนื้อหาต่อต้านสถาบัน แบบแผนนิยม หรือมีความดิบห่าม เชื้อชวนให้กองเซนเซอร์ได้มีงานทำ ก็เป็นได้    Chumbawamba - Shhh ไอ่คำว่า Shhh คำนี้ จริง ๆ แล้วมันก็คือเสียง "ชู่วววว..." จุปากให้เงียบนั่นแหละ ซึ่งพวกเขาเองไม่ได้กะจะตั้งชื่ออัลบั้มแบบนี้หรอกครับ แต่มันเริ่มมาจากการที่พวกเขากะจะใช้ชื่ออัลบั้มว่า "Jesus H. Christ" แล้วดันใช้วัตถุดิบจากเพลงอื่น ๆ มาเหมือนล้อเลียนมากไปหน่อย แถมด้วยชื่ออัลบั้มส่อ ๆ อีก เลยเจอต่อต้านไปก่อนจะได้คลอดออกมา ทางวงเลยประชดด้วยการเขียนเพลงต่อต้านเซนเซอร์แล้วแปลงชื่ออัลบั้มมาเป็น Shhh ซะเลยMegadeth เพลง Hook in Mouth วง Thrash Metal ในยุคนั้นเองก็มีระอากับ PMRC อยู่เหมือนกัน ในอัลบั้ม So Far , So Good ... So What? ของ Megadeth จึงมีเพลงอย่าง Hook in Mouth ที่เปรียบเปรยกองเซนเซอร์ทั้งหลายกับรัฐบาลเผด็จการแห่ง Oceania ในหนังสือเรื่อง 1984 ของ George Orwell กันเลยทีเดียวDavid Bowie - Diamond Dogs พูดถึง 1984 แล้ว คงจะหลีกเลี่ยงไม่พูดถึงอีกอัลบั้มนึงคงไม่ได้ นั่นคือ Diamond Dogs ของ David Bowie ที่ผสมผสานทั้งเรื่องราวของรัฐเผด็จการที่คอยตรวจสอบ เซ็นเซอร์สื่อทุกอย่าง กับเรื่องราวของโลกที่พังพินาศจากแรงบรรดาลใจของตัว Bowie เองRadiohead - OK Computer และอีกอัลบั้มหนึ่งที่ได้แรงบรรดาลใจจาก 1984 (อย่างลับ ๆ) คือ OK Computer ของ Radiohead กับเพลงที่ตั้งคำถามกับสังคมบ้าจริยธรรมอย่าง Karma Police ขณะที่เรานั่งอยู่เฉย ๆ และคอยตัดสินคนอื่น เราก็กลับรอคอยให้อะไรบางอย่างมาจัดการกับ "ความชั่วร้าย" แทนเรา และวันหนึ่ง ไอ่อะไรบางอย่างนั้นเองก็จะหันหน้ามาจัดการกับเราด้วยPink Floyd - Animals พูดถึง 1984 แล้วใยไม่พูดถึง Animal Farm อัลบั้มนี้ของ Pink Floyd คงรู้ ๆ กันว่าได้แรงบันดาลใจมาจากเรื่องนี้แน่ ๆ และคนเขียนเนื้อเจ้าคอนเซปท์คนสำคัญอย่าง Roger Waters เองก็ได้ใช้ สัตว์ 3 ชนิดเปรียบเปรยกับคนสามระดับในสังคม Dogs คือตัวแทนของนายทุน , นักธุรกิจ ผู้บ้าอะไรเกินตัว Pigs คือเหล่า Elite ชนชั้นปกครองที่คอยปิดกั้นประชาชนใต้กรอบของคำว่า "ศีลธรรม" ซึ่งในเพลงก็ได้ด่า Margaret Thatcher กับ Mary Whitehouse กับโครงการบ้า ๆ บอ ๆ ของพวกหล่อนไว้ และ เพลง Sheep ก็ได้เปรียบกับประชาชนเดินดินผู้ที่ดูเหมือนจะเฉื่อยชาต่อความเป็นไปในสังคม แต่ถึงกระนั้น ถ้าหากพวกเขาถูกบีบคั้นมากเข้าล่ะก็ ฝูงแกะที่ดูน่ารักเรียบร้อยก็อาจจะรวมตัวกัน พังคอกของพวก "ท่าน" สักวันก็เป็นได้Frank Zappa - Joe's Garage กลับมาสู่ยุค PMRC แน่นอนว่า Frank Zappa ผู้ต่อต้าน PMRC อย่างจริงจัง ก็ได้ออกคอนเซปท์อัลบั้มแนวเล่าเรื่องที่ชื่อ Joe's Garage พูดถึงชายที่ชื่อ Joe กับเส้นทางดนตรี Rock สุดเฟี๊ยวฟ๊าว ในบทท้าย ๆ ของอัลบั้ม ได้พูดถึงโลกอันน่าสะพรึงกลัวแบบเว่อร์ ๆ ไว้ว่า โลกของ Joe นั้นดนตรีกลายเป็นสิ่งผิดกฏหมาย และเขาก็ได้แต่ระลึกถึงโน๊ตกีต้าร์โดยไม่สามารถเล่นได้จริงStyx - Kilroy was Here อัลบั้มแนวเล่าเรื่องอีกอัลบั้มหนึ่งที่เป็นผลพวงมาจากนโยบายของ PMRC คือ Kilroy was Here ของวง Styx เนื้อเรื่องพูดถึงโลกในอนาคตที่รัฐบาลหัวอนุรักษ์จัดการทำให้ดนตรีร็อคกลายเป็นสิ่งผิดกฏหมาย โดยหน่วยงานที่มีชื่อว่า MMM (the Majority for Musical Morality) โดย Kilroy อดีตนักดนตรี Rock ที่ถูกจับขังคุก ได้หาทางหนีออกมา และจะต้องต่อสู้กับโลกใบนี้ ในอัลบั้มก็มีเพลงที่พูดเน้นถึง censorship หนัก ๆ หน่อย อย่าง Heavy Metal Poisoning เนื่องจากดนตรี Heavy Metal ตกเป็นแพะรับบาปของสังคมเคร่งศีลธรรมในช่วงนั้นอยู่พอดีรูปนี้ขออนุญาตทำเป็น Link เอานะครับ ต้องคิดเผื่อถึงบางคนที่เขาอาจจะไม่อยากเห็นภาพแบบนี้ด้วยRage Against the Machine ในคอนเสิร์ท Lollapalooza และแน่นอนว่าวง Rage Against the Machine วงแนว Rap-Rock จอมขบถ ก็เอากับเขาด้วยเหมือนกัน ในคอนเสิร์ท Lollapalooza พวกเขาได้ออกมาประท้วงในแบบชวนให้สะดุ้งอยู่ไม่น้อย (ใครที่ไม่คุ้นเคยกับเรื่องแบบนี้ผมก็ขออภัยจริง ๆ เพราะเจ้าพวกนี้มันแรงใช้ได้) พวกเขาออกมาเปลือยตัวเองแล้วเขียนตัวอักษร PMRC ไว้บนตัวสมาชิกไม่รู้เลยจริง ๆ ว่าที่ปิดอยู่นั่น เป็นอะไร Music Video เพลง Hush ของวง Tool และเราอาจจะได้เห็นภาพคล้าย ๆ กันนี้ (แต่อาจเบาบางลงมาหน่อย) ใน Music Video เพลง Hush ของวง Tool อีกเพลงที่เขียนด่า Censorship และ MV ของมันก็เล่นล้อกับความหมายอะไรบางอย่าง สำหรับผม มันดูฮา ๆ ดี ที่เอาป้ายไป "Parental Advisory" ไปติดตรงนั้น...ตรงที่ไม่รู้เล้ย...ว่ามันคืออะไรDixie Chicks เพลง Not Ready to Make Nice Censorship ไม่ได้มีอยู่แค่ในเหตุผลด้านศีลธรรมเท่านั้น ในยุคปัจจุบัน แม้ความเห็นต่างทางการเมืองนอกจากจะถูกทำให้เป็นฝ่ายตรงข้าม สร้างภาพให้เป็นศัตรูแล้ว ยังจะถูกปิดกั้นบิดเบือนเอาง่าย ๆ ดูอย่าง Free TV. ส่วนใหญ่ในประเทศเราก็รู้ ๆ กันอยู่ ว่ามักจะมีแต่การแสดงอะไรด้านเดียวอยู่เสมอ ภาพของม็อบที่มีแต่ด้านของความรุนแรง โดยไม่เคยสำรวจเข้าไปในตัวของปัญหาที่แท้จริง หรือแม้แต่จะฟังความต้องการของพวกเขาโดยไม่ใส่อดติตัดสินพวกเขาเข้าไปเลย ไม่ใช่แค่ Free TV. บ้านเราเท่านั้น สถานีวิทยุคันทรี่ของอเมริกัน ที่ดูจะสนับสนุนประธานาธิบดีบุชเต็มที่ ยังแบนเพลงของวง Dixie Chicks หลังจากที่ นาตาลี เมนส์ ได้วิจารณ์และจิกกัดบุชเอาไว้ในคอนเสิร์ท แถมด้วยเพลงประท้วงนโยบายสงครามต่อต้านการก่อการร้าย ทางวง Dixie Chicks ต้องอยู่ภายใต้ความบิดเบี้ยวคับแคบของลัทธิชาตินิยมอเมริกันมาเป็นเวลาหลายปีก่อนที่จะได้ออกอัลบั้ม Taking a Long Way มา ซึ่งเพลง Not Ready to Make Nice ก็เป็นอีกเพลงหนึ่ง ที่พูดถึงความเจ็บช้ำในการถูกทอดทิ้งจากสื่อสาธารณะและการถูกคุกคามจากภาครัฐไว้ได้อย่างถึงใจ (อ่านรายละเอียดอัลบั้มนี้แบบเต็ม ๆ ได้ที่ Weekend เก่าครับ)Manic Street Preachers เพลง Freedom of Speech Won't Feed My Children พูดอเมริกาแล้ว คงขาดไม่ได้ที่จะนึกถึงดินแดนแห่งเสรีภาพ ดินแดนที่สนับสนุนความหลากหลายของเชื้อชาติ ดินแดนที่สนับสนุนอิรภาพในการแสดงความเห็น (Freedom of Speech) ...แต่มันเป็นอย่างนั้นจริง ๆ น่ะหรือ ขณะที่รัฐบาลอเมริกันเที่ยวไปจัดการกับเสรีภาพของประเทศอื่น ๆ น่าตาเฉย พวกเขาเคยยอมรับความแตกต่างทางความคิดของคนในประเทศเดียวกันหรือเปล่าเถอะ เพลง Freedom of Speech Won't Feed my Children ของวง Manic Street Preachers เป็นเพลงที่วิจารณ์ความยอกย้อนของคำว่า "เสรีภาพ" จากอเมริกันชน ด้วยน้ำเสียงกึ่งประชดล้อเลียน และแน่นอนว่า คำว่า "เสรีภาพ" ในรัฐธรรมนูญฉบับอนุรักษ์ไดโนเสาร์ของพวกเราเองก็ยอกย้อน น่าสงสัยพอ ๆ กันSex Pistol เพลง God Save The Queen ข้ออ้างที่สำคัญในการใช้ทำลาย "เสรีภาพในการแสดงความเห็น" คือ "ความมั่นคง" แต่เราคงต้องมาตั้งคำถามสักหน่อยว่ามันคือความมั่นคงของใคร หรือของอะไร !? God Save the Queen เป็นเพลงท้าทายสถาบันที่มีชื่อเดียวกับเพลงชาติอังกฤษ แต่เนื้อหาสุดพังค์ของมันก็ตรงกันข้ามกับเจตนารมย์ของเพลงชาตินี้โดยสิ้นเชิง และเป็นความสะใจส่วนตัว ที่จะได้ร้องตามไปกับประโยคเด็ด ที่แสดงความรู้สึกของเพลงนี้ออกมาได้ดีที่สุดอย่าง No Future for You!King Crimson เพลง Happy with what you have to be Happy with ขณะที่ฝั่ง Punk ยุค 70's ท้าทายสถาบันอย่างไม่อ้อมค้อมนัก ดูเหมือนวงแนว Progressive (ถ้าไม่นับ Pink Floyd) ดูจะถนัดพูดอะไรอ้อม ๆ เสียมากกว่า จนบางครั้งเล่นเอามึนไปเลยว่ามันจะพูดถึงอะไรกันแน่ แต่ชื่อเพลงของวง King Crimson คือ Happy with what you have to be Happy with ที่เป็นชื่อเดียวกับ EP. นี้ด้วย ก็ทำเอาผมนึกถึงอะไรบางอย่างในบ้านเราเหมือนกัน ยิ่งใบหน้าเหมือนถูกสะกดจิตของคนบนหน้าปกแล้วยิ่งชวนให้นึกถึงคนที่เคลิ้มไปกับคำว่า "จงมีความสุขอย่างพอเพียงกับสิ่งที่คุณควรมีเสียเถิด" ขณะที่ผู้พูดนั้นอาจกำลังนั่งคิดหนักว่าจะเอาทรัพย์ทั้งหลายที่ได้มาอย่างพอเพียงโคตร ๆ ไปละลายยังไงดี มันเกี่ยวกับเซ็นเซอร์ชิพอย่างไรน่ะหรือ... แค่คำว่า "Happy with What you have to be Happy with" ที่มันออกมาจากผู้มีอำนาจ (ไม่ว่าอำนาจอะไรก็ตาม) ก็เอามาใช้อ้างอะไรได้หลายแล้วล่ะครับJohn Prine เพลง Illegal Smile ในเมื่อมนุษย์ไม่ใช่สัตว์ที่จะถูกให้ใครสั่งให้มีความสุขได้ "ความสุข" ของแต่ละคนมันจึงแตกต่างหลากหลายกันไป และแน่นอนว่า ความสุขสงบของบางคนอาจจะเป็นเรื่องที่ไม่อาจยอมรับของสังคมก็ได้ จนความสุขนั้นได้กลายเป็น "รอยยิ้มที่ผิดกฏหมายไป" When I woke up this morning, things were lookin' badSeem like total silence was the only friend I hadBowl of oatmeal tried to stare me down... and wonAnd it was twelve o'clock before I realizedThat I was havin' .. no fun Chorus:But fortunately I have the key to escape realityAnd you may see me tonight with an illegal smileIt don't cost very much, but it lasts a long whileWon't you please tell the man I didn't kill anyoneNo I'm just tryin' to have me some fun - Illegal Smileสิ่งที่เพลงนี้พูดถึงคือกัญชาครับ สิ่งผิดกฏหมายที่แพร่หลายทั่วไปในยุคบุปผาชนเกลือนถนน San Francisco และนักร้อง Folk อย่าง John Prine ก็แต่งเพลงเกี่ยวกับมันในท่าทีขอความเห็นใจขณะเดียวกันก็เจืออารมณ์ขันเมา ๆ ("ถ้วยข้าวโอ๊ตพยายามจะจ้องมองฉันด้วยสายตาดูแคลน ...แล้วมันก็เป็นฝ่ายชนะ") ว่าในวันแย่ ๆ ของคน ๆ หนึ่ง เขาทำผิดอะไรหรือกับการพยายามสร้างรอยยิ้มให้ตัวเองโดยไม่ได้ไปฆ่าใคร ถึงมันจะเป็นรอยยิ้มที่ "Illegal" ก็ตาม"สมาคมแม่บ้านวอชิงตัน" รับฟังเขาหน่อยก็ดีนะครับCrotchduster - Big Fat Box of Shitนอกจากรอยยิ้มมันจะมาจาก "สมุนไพร" ชนิดนั้นแล้ว สิ่งที่ไม่จำเป็นต้องเสี่ยงขนาดนั้นก็คือ อารมณ์ขันนั่นเอง มุขตลกแบบสัปดนอาจเป็นเรื่องเล่าเล่นทั่วไปของคนในสังคมเพื่อระบายความเก็บกดทางเพศว่ากันว่าคนที่ยิ่งชอบเล่าเรื่องสัปดนมากเท่าไหร่ ความกระสันในตัวเขายิ่งจะน้อยลงเท่านั้น ตรงข้ามกับคนที่ไม่เล่นมุขสัปดนพวกนี้เลยนั้นตัวจริงของเขาจะสุดหื่น...เรื่องนี้จริงแท้แค่ไหนไม่ทราบ แต่ถึงผมจะเป็นคนไม่เชื่อสถิติ และรู้สึกว่าความคิดข้างต้นเหมารวมไปหน่อย แต่ก็เห็นด้วยบ้างกับเรื่องการได้ระบายออกด้วยการเล่าเรื่องสัปดน การเซ็นเซอร์เรื่องอะไรเหล่านี้มันทำให้คนเก็บกดได้นะครับพี่น้อง!Big Fat Box of Shit เป็นอัลบั้มของวง Metal เฉพาะกิจ Crotchduster เนื้อหามีมุขตลกสัปดนที่บางทีก็ซ่อนนัยยะ บางทีก็ตรงไปตรงมา แต่ก็ไม่ไม่ใช่มีแต่มุขสัปดนบางเพลงก็เป็นมุขตลกแบบ absurd สุด ๆ เลยก็มี อย่างตอนต้นเพลง Jogging in hell (ฉันคิดว่ามันเป็นแปรงสีฟัน แต่จริง ๆ แล้วมันคือกระบอกไฟฉาย ฉันเลยทำฟันของตัวเองร่วงหมดปาก ในกลางค่ำคืน)หากง่ายที่จะเจอวง Heavy Metal ที่ชวนให้เซ็นเซอร์ (ปกหรือเนื้อหา บางครั้งอาจรวมการแต่งตัวด้วย) ด้วยเหตุผลของความโหดร้าย ก้าวร้าว หรือเรื่องของซาตาน แต่หายากที่จะเจอวงที่ชวนให้เซ็นเซอร์เพราะอารมณ์ขันสัปดนMayhem - Dawn of the Black Heartอย่างที่ว่าไว้ ความโหดของ Heavy Metal ในฐานะของรูปแบบ (Form) ทางดนตรีถือเป็นเรื่องปกติ โดยเฉพาะสาย Extreme อย่าง Black กับ Deathและวง Mayhem ซึ่งเป็นวง Black Metal วงแรก ๆ ของโลกก็อารมณ์เพี้ยนจัด... เมื่อเพื่อนร่วมวงของพวกเขา Per Yngve Ohlin (มีสมญานามว่า Dead) ฆ่าตัวตาย (ทีนี้เลย Dead สมชื่อ) พอนาย Øystein ‘Euronymous' Aarseth เพื่อนร่วมวงผ่านมาเจอเข้าก็เผ่นออกไป... ออกไป... ออกไป...หากล้องมาถ่ายรูปศพไว้แล้วเอามาทำเป็นปกอัลบั้ม Bootleg ที่ชื่อ Dawn of a Black Heart เสียอย่างงั้นHarry and the Potters - Voldemort can't stop the Rock!เมื่อผมเจอวงนี้เป็นครั้งแรกเล่นเอาขำปนฉงนอยู่เหมือนกันว่า "เฮ้ย ! เอาจริงง่ะ"แล้วก็พบว่ากระแสของ Harry Potter มันลามมาถึงวงการดนตรี (จะเป็นไรไปจริง ๆ The Lord of the Ring ก็เคยเป็นแรงบันดาลใจให้กับ Power Metal บางวงมาแล้ว) หรือถ้าไม่คิดมาก ก็อาจจะเป็นแนวเฉพาะกลุ่มที่ผุดขึ้นมาตามความชอบส่วนตัวก็เป็นได้เพียงแค่พอตเตอร์(ส) ในที่นี้หันมาถือกีต้าร์แทนไม้คทา แถมยังแต่งเพลงมีเนื้อหาอ้างถึง PMRC ไว้ใน Voldemort can't stop the Rock! ถึงจะดูเหมือนประท้วงแบบนุ่มนิ่ม แต่ก็น่าจดจำไว้ว่า แม้แต่คนอ่านวรรณกรรมเยาวชนที่ดู (เผิน ๆ ผิว ๆ) จะไม่เป็นอันตรายในสายตาผู้ใหญ่ เขายังรู้เลยว่า อะไรเป็นอะไรต่อให้เป็น "คนที่คุณก็รู้ว่าใคร" ก็ไม่อาจห้ามพวกเขาร็อคได้ !Shadow Gallery - Tyrannyคงไม่ต้องอธิบายมาก (เพราะผมเคยเขียนถึงอัลบั้มนี้เมื่อนานมาแล้วใน Weekend) แต่สิ่งที่น่ากลัวที่สุดของรัฐบาลเผด็จการคือคำว่า "ความมั่นคง"สั้น ๆ ง่าย ๆ ได้ใจความ Sleater-Kinney - The Woodอัลบั้มนี้ผมก็เคยเขียนถึงไปแล้วเช่นกัน (ใน Weekend นั่นแล) พูดถึง Censorship แล้วจะโทษจะแขวะกองเซ็นเซอร์ฝ่ายเดียวก็กระไรอยู่ ในเมื่อบางครั้ง กระบวนการในการผลิตดนตรีนี่แหละที่เซ็นเซอร์ตัวเอง บ้างก็มาจากตัวศิลปินเองที่จงใจทำ แต่หลายต่อหลายครั้งที่มันเกิดจากโปรดิวเซอร์หรือไม่ก็เหตุผลทางธุรกิจSleater-Kinney เป็นวง "สาวขบถ" ที่เขียนถึงเรื่อง gender บ้าง เรื่องทั่วไปบ้าง และที่เว้นไม่ได้ก็เรื่องการเมือง (เพราะการเมืองอยู่รอบตัวเรา...ไม่สิ ! มันอยู่แม้แต่ในตัวเรา)วิธีการเซ็นเซอร์ทางอ้อมอีกแบบหนึ่งที่รัฐจะทำคือกันผู้คนให้ออกจากการสำนึกรู้ทางการเมือง ทำให้มันเป็นเรื่องสกปรก ทำให้คนไม่อยากยุ่ง แล้วชนชั้นนำ (ผู้มีคุณธรรมสาด ๆ) ก็จะขอเล่นกับสิ่งสกปรกนี้ด้วยตัวเอง พลเมืองที่ไม่เข้มแข็งก็จะถูก "ผู้มีคุณธรรม" ทั้งหลายคอนโทรลได้ง่าย ผ่านทางวาทกรรมและอะไรซับซ้อนต่าง ๆและที่เขียนมายึดยาวเพื่อที่จะบอกว่า เมื่อวง Sleater-Kinney ได้ย้ายมาสู่ค่ายเพลงที่ใหญ่ขึ้น เพื่อที่จะทำ The Wood ให้มีระบบบันทึกเสียงที่ดีขึ้น แต่พวกเธอกลับถูกโปรดิวเซอร์เตือนเรื่องเพลงเกี่ยวกับการเมือง ดูเหมือนค่ายใหญ่ ๆ จะพยายามลี้หนีจากการเมืองเสียเหลือเกิน (โดยเฉพาะในบ้านเรา)แต่พวกคุณเธอ Sleater-Kinney ก็ตอกกลับท่านโปรดิวเซอร์แบบอ้อม ๆ ในเพลงที่ชื่อ Entertain พูดถึงการที่พวกเธอโดนสั่งให้ปิดปากแล้วเล่นดนตรีเพื่อ "ความบันเทิง" เท่านั้น อย่าได้ยุ่งกับ "จอห์นนี่ถือปืนไปรบ" เชียว เพราะมันเสียว (ว่าจะมีโทรศัพท์จาก กรมกอง อะไรสักอย่างนี้) เหลือเกิ้นนนนน 
ประชาไทไนท์
คำเตือน: โปรดอ่านให้จบก่อน (ตัดสินใจ) ดูคลิป ตั้งแต่วันที่ 2 สิงหาคม 2550 เป็นต้นมาไม่รู้ว่าชะตากรรมของ 'แจ๊คผู้ฆ่ายักษ์ (เขียว) ตาเดียว' ในค่ำคืน 'ประชาไทไนท์' เป็นอย่างไรกันบ้างแล้ว?***ที่รู้ๆ ก็คือว่า นับจากวันนั้นการเซ็นเซอร์และการปิดกั้นหนทางเข้าถึงข้อมูลข่าวสารออนไลน์ยังคงเกิดขึ้นพ.ร.บ.การกระทำความผิดทางคอมพิวเตอร์ถูกนำมาใช้อย่างจริงจังรัฐเข้ามาควบคุมและจัดระเบียบพื้นที่ออนไลน์โดยใช้อำนาจ 'จัดการ' ในสิ่งที่รัฐเห็นว่าไม่ถูกไม่ควร'ตาทิพย์' สีเขียวคอยเฝ้าดูการกระทำและความเป็นไปของผู้ใช้อินเตอร์เน็ตทั่วประเทศ*** เมื่อเห็นใครกำลังออกนอกลู่นอกทาง ดวงตาเขียวๆ ดวงนั้นจะตามไปสิงสถิตที่หน้าจอคอมพิวเตอร์***เชื่อว่านักเล่นเน็ตหลายคน 'เข้าใจ' ในความหวังดีของรัฐแต่หลายคนยังคงสงสัยว่าอะไรคือ 'มาตรฐาน' หรือ 'หลักเกณฑ์' ในการชี้วัดที่รัฐใช้เพื่อที่จะบอกว่าอะไรถูก-อะไรผิด-อะไรเป็นเรื่องต้องห้าม***แน่นอนว่า-ท่ามกลางกระแสอันเชี่ยวกรากของข้อมูลข่าวสารที่ทะลักล้นเรื่องราวเลวร้าย-มอมเมา-ยั่วยุ-บ่อนทำลาย ก็คงไหลบ่ามาพร้อมๆ กันแต่ถ้ารัฐเคารพในสิทธิและวิจารณญาณของนักเล่นเน็ตก็น่าจะคอยสอดส่องดูแลแต่เพียงห่างๆ รวมถึงใช้ช่องทางแห่งกฎหมายอย่างเข้าอกเข้าใจในธรรมชาติของโลกอินเตอร์เน็ต***คลิปวิดีโอของแจ๊คหมายเลข 1 (จอน อึ๊งภากรณ์) เรานำมาโพสต์ประเดิมกันที่นี่คงมีแง่มุมอะไรให้ถกเถียงเปิดประเด็นกันได้อีกเยอะ***แต่ก่อนที่จะตัดสินว่าสิ่งที่ปรากฎอยู่ในคลิปนี้คือเรื่องเลวทรามต่ำช้าโปรดพิจารณาให้ถี่ถ้วนเมื่อมี 'คำเตือน' โผล่ขึ้นมาในช่วงจังหวะหนึ่งของคลิปเราเชื่อว่าทุกคนมีสิทธิ์ 'เลือก' ว่าจะดูหรือไม่ดูคลิปนี้ต่อแต่ถ้าใครเลือกที่จะ 'ดู' ก็ต้องยอมรับในสิ่งที่ได้รับรู้ไปแล้วด้วย***หลังจากดูจบแล้ว...ลองตอบอย่างตรงไปตรงมาด้วยก็แล้วกันว่ามาตรฐานทาง 'ศีลธรรม' ของแต่ละคนลดลง-เพิ่มขึ้น-หรือเท่าเดิม? 
ประชาไทไนท์
Prachatai teamสนุกสนานมากมายกับคืนที่เพิ่งผ่านพ้นไป ในงานประชาไทไนท์ เมื่อค่ำ 2 สิงหาคมที่ผ่านมาขอบคุณทีมงานเพชะคุชะ ซึ่งมาจาก ทีมไบโอสโคป ที่ร่วมแบ่งปันความคิดสร้างสรรค์ในการนำเสนอรูปแบบใหม่ๆ ที่มาของกติกา 20x20 ก็มีต้นตำรับมาจากงานเพชะคุชะที่เคยจัดในกรุงเทพฯมาแล้ว 3 ครั้งสิ่งทีประทับใจที่สุดเห็นจะเป็นบรรยากาศอันแสนอบอุ่น ไม่น่าเชื่อเลยว่าจะได้เจอหลายต่อหลายคนที่เราแอบรู้จักมานาน ส่วนใหญ่ เราแอบรู้จักเค้า แต่เค้าไม่รู้จักเรา ตื่นเต้นที่ได้เจอ merveiillesxx , ปิ่น ปรเมศวร์ , grappa แห่งสำนักพิมพ์ระหว่างบรรทัด , Rerng®IT Rakkanittakorn , phisite หัวแรงใหญ่จากวิกิพีเดียไทย , hunt แห่ง zickr.com , ต่าย แห่ง exteen , ตาล กล้า และออยแห่งดูโอคอร์ , พีแห่งจิกกะบาล , รวมถึงก๊วนสหายหนุ่มใหญ่จากพลวัต ไม่ว่าจะเป็น ไท ศรศิลป์ ที่ควงคู่ออกงานมากับ ไฟลามทุ่งบล็อกเกอร์ที่ได้มีโอกาสได้รู้จักเพิ่มขึ้นจากงานนี้ ก็เช่น sucha , sofa , @พักใจ , poomk , burlight คิดว่าต้องมีมากกว่านี้อย่างแน่นอน ใครที่มาในงาน แวะมาแนะนำตัวกันเลย หลายคนบอกว่าประหม่าและไม่คุ้นเคยที่ต้องมางานซึ่งดูเหมือนใครต่อใครรู้จักกันไปหมด แต่ความจริง เราก็อยากทำความรู้จักกับเพื่อนใหม่มากขึ้นด้วยงานเริ่มต้น ก็ผิดคิวไปจากที่วางไว้ตลอด เมื่อผู้เข้าร่วมงานคนหนึ่ง Stephen Kelly เข้ามาแนะนำว่าตัวเป็นศิลปินอิสระจากออสเตรเลีย และอยากเข้ามาร่วมแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมด้วย เขาไม่ได้ทำสไลด์ 20 x 20 มา แต่เขายินดีอยู่ในกติกาของงานที่จะใช้เวลากันไม่เกินคนละ 400 วินาที อ.มะนาว - จิตร์ทัศน์ ฝักเจริญผล พิธีกรงานนี้กระซิบว่า งานนี้เราเปิดกว้างอยู่แล้ว ไม่มีปิดกั้น! ประชาไทไนท์คืนนั้นเลยมีศิลปินมาช่วยเปิดบรรยากาศของงานด้วยการแสดงประกอบการเล่นดนตรี วาดภาพ และร่ายรำ ตราตรึงใจกันไปทั้งงานแล้วการพรีเซนต์แบบ 20 x 20 ก็เริ่มขึ้น ผู้นำเสนอในงานนี้ มีรวม 14 คน ผู้นำเสนอ และหัวข้อที่พูด เรียงลำดับตามการนำเสนอ มีดังนี้mk เรื่อง บันได 4 ขั้นบันได 4 ขั้นสำหรับการต่อสู้ยักษ์เขียวจามร ศรเพชรนรินทร์ , นิทานการต่อสู้ของยักษ์เขียวตาเดียวคนชายขอบ , ถ้ายักษ์เขียวตาเดียวมีอารมณ์ขัน และเปิดใจกว้างขึ้นอีกนิด...filmsick , 10 หนังสร้างเสริมประสบการณ์ชีวิตกองเซ็นเซอร์Roby Alamphy กับวาทะเด็ด "พวกเราไม่ได้โดดเดี่ยว"ภฤศ ปฐมทัศน์ , 20 เพลงที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับ Censorship,แบบแผนนิยมกานต์ ยืนยง , ทำไมต้องต่อต้านการเซ็นเซอร์แจ็ค, เรื่องราวเกี่ยวกับความจริง และความลวงมะนาว , เรื่องเล่าเกี่ยวกับผู้กล้าและยักษ์ในดินแดนแห่งใหม่จอน อึ๊งภากรณ์, คุณพ่อรู้ดี พลเมืองจอมซน กับประสบการณ์ในการมุดด้วย ghostsurfธวัชชัย ปิยะวัฒน์ , บทเรียนที่กระทรวงบล็อคควรได้รับโจว ชิง หมาเกิด , เสรีภาพ ความรัก ความคิดถึงสุภิญญา กลางณรงค์, ประสบการณ์การพูดคุยในเรื่อง free speechBact' , วิธีสื่อสารที่ MICT จะตามมาเซ็นเซอร์ไม่ได้รออ่านเรื่องเล่าจาก "ค่ำคืนที่ผ่านพ้นไป ตอน 2" รอชมสไลด์ วาทะเด็ดแต่ละคน พร้อมกอซซิปหลังไมค์ (กรี๊ด)อย่างไรก็ดี เลิกงานไม่ทันไร บล็อกเกอร์บ้าพลังทั้งหลายก็เล่าเรื่องงานในค่ำคืนนั้นเอาไว้อย่างหลากหลาย ไม่ว่าจะใน Rerng®IT Rakkanittakorn , filmsick , bact' , mk , คนชายขอบ , Developed Thailand รวมถึงใน blognone, พลวัต และเว็บบอร์ดพลวัต และรูปภาพในอัลบั้มของ isriya , arthit และตบท้ายด้วย ประชาไทท้ายที่สุด อาจจะเน่าไปนิดนึง :p ทีมประชาไทก็คุยกันว่า รู้สึกดีที่คนในงานยิ้มแย้ม เราเคยคุยกันเรื่องจะทำยังไงให้พลังบล็อกเกอร์ในเมืองไทยรวมตัวกัน ขยายตัวมากขึ้น และเข้มแข็งมากขึ้น จากงานนี้ เราก็พบว่า สังคมไทยยังมีดินแดนใหม่ ที่มีคนพิเศษๆ ซ่อนอยู่มากมายเต็มไปหมดคุณคือคนพิเศษ ทุกคนมีความพิเศษในตัวทั้งนั้นทัศนะและมุมมองที่หลากหลาย ที่มีต่อการเซ็นเซอร์ ต่อเรื่องเสรีภาพ เป็นเรื่องน่าสนใจที่ต้องคุยกันไปอีกยาว สิ่งหนึ่งที่ตรงกันคือ เราต่างต้องการอิสรภาพ แม้ว่าระดับการ "ยอมรับได้" ของแต่ละคนไม่เท่ากัน ซึ่งเป็นเรื่องธรรมชาติ ธรรมดาอย่างไรก็ดี จริงอย่างที่ Roby Alamphy นักข่าวจากฟิลิปปินส์ว่าเอาไว้ว่า เราไม่ได้โดดเดี่ยว เพราะมีทั้งเพื่อนสื่อมวลชน บล็อกเกอร์ ทั้งในเมืองไทย และในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่เผชิญปัญหาเดียวกัน ร่วมเฝ้าดู ลุ้น และพร้อมสนับสนุน"อิสรภาพของคุณ คืออิสรภาพของเรา (ขอบอก ขอบอก)" Roby กล่าวไว้อย่างงั้น
กานต์ ณ กานท์
  ฤาอีกกี่รำลึกคร่ำ- ครวญฝากคำผ่านแผ่นดิน กู่ร้องฟ้องแผ่นหิน …ก็เงียบสิ้นอยู่ฉะนี้?
เงาศิลป์
เช้าวันนี้….ใบไม้สีเหลืองเกลื่อนพื้น ดูสวยงาม แต่ไม่นานมันจะถูกเรียกว่า “ขยะ” ด้วยเรียวไม้กวาดก้านมะพร้าว ค่อยๆลากให้มันมากองรวมกัน ทีละนิดรอยทรายเป็นเส้นลดเลี้ยวตามแนวกวาด ลีลาคล้ายบทกวีร้อยบท ที่มีเนื้อหาเดียว คือความสงบทุกเช้า ฉันจะอยู่กับมัน ทั้งไม้กวาด พื้นทรายและใบไม้ร่วงสายตาจับอยู่ที่พื้น..แต่ด้วยหางตา เห็นบางอย่างเคลื่อนไหวอยู่บนถนนหน้าบ้าน  จากที่ยืนอยู่ ระยะทางราวร้อยก้าว เงาร่างเดินโยกเยก บดบังด้วยแนวพุ่มไม้เตี้ยๆ จึงมุ่งมองอย่างตั้งใจ เห็นใครบางคนเคลื่อนไหวอย่างช้าๆจึงเดินออกไปดูร่างล่ำสันค่อยๆ เคลื่อนไปอย่างลำบาก เขาใช้ไม้ยาวๆ ค้ำถ่อ ประคองร่างกายให้ขาตวัดสลับกันไป  รู้ได้ว่าขาทั้งสองข้างไม่มีกำลัง บนไหล่มีกระเป๋าเสื้อผ้าขนาดย่อมสะพายแล่ง จึงเดินไปใกล้ๆ แล้วถาม ว่าจะไปไหนเขาหยุดเดิน เหลียวหน้ากลับมาตอบด้วยสำเนียงใต้แบบแปร่งๆ “จะไปวัดนาบอนครับ” แล้วยิ้มให้ ฟันขาวสะอาด ตัดกับสีผิวคล้ำ“ทำไมไม่ขึ้นรถโดยสาร” ด้วยความแปลกใจ แอบสังเกตเห็นชายกางเกงสีเลือดหมูแหว่งวิ่น แต่ยังมีเค้าสะอาด รองเท้าฟองน้ำถูกใช้งานมานานพอสมควร “ไม่มีเงินครับ” เขาตอบอย่างระวังท่าที“อ้าว มาจากไหนล่ะคะ จะไปทำอะไร”“มาจากสงขลาครับ ว่าจะขอไปอยู่วัด”เขาเล่าว่า ถูกรถชนอาการสาหัส เมื่อสองปีก่อน  ต้องนอนรักษาตัวที่โรงพยาบาลสงขลา 8 เดือน หมอ บอกว่าเขาจะเดินไม่ได้อีกแล้ว เมื่อออกจากโรงพยาบาล ได้ไปอาศัยใบบุญในร่มเงาพระพุทธศาสนาที่วัดแห่งหนึ่ง ในจังหวัดสงขลา ได้รับเมตตาจากพระและหมอนวด ที่อยู่ในวัด ช่วยดูแลรักษาด้วยการบีบนวดให้ จนกระทั่งพอช่วยเหลือตัวเอง ช่วยงานเล็กๆน้อยๆประเภทล้างจาน ดายหญ้าได้ ที่ต้องออกมาหาวัดใหม่อาศัยอยู่เพราะมีคนบอกว่าที่วัดนาบอนมีหมอนวดและหมอสมุนไพรที่น่าจะช่วยรักษาเขาได้ จึงดั้นด้นมาเป็นธรรมดา ที่ฉันจะต้องถามว่า เขาเป็นใครมาจากไหน“ผมเป็นคนบางสะพานใหญ่” มิน่าสำนวนเป็นคนทางนั้นจริงๆ “ได้กลับบ้านบ้างไหม” ฉันถามเขาบอกว่าไม่เลย  ตั้งแต่ออกมานาน15 ปี ไม่เคยได้กลับไปเยี่ยมบ้านอีกเลย  ที่นั่นมีแต่ยาย เขาไม่มีพ่อแม่มาตั้งแต่เด็กๆ ฉันไม่อยากรู้รายละเอียดมากไปกว่านี้ แต่เขาก็บอกชื่อหมู่บ้านมาให้รู้ และแถมท้ายว่า ลืมบ้านเลขที่ไปแล้วอาจเป็นเพราะฉันเป็นคนช่างสงสาร และเห็นท่าทางซื่อๆแววตาไร้เล่ห์เหลี่ยม จึงถามว่า อยากหางานทำบ้างไหม เผื่อฉันจะช่วยหาให้ เขากลับปฏิเสธ “ผมไม่อยากเป็นภาระให้ใคร แค่วางไม้เท้าอันนี้ลง ผมก็ล้มแล้ว เพราะผมพิการจากส่วนเอวลงล่าง แขนผมมีกำลัง แต่ก็หิ้วของหนักไม่ได้ เป็นภาระเปล่าๆ”ฉันนิ่งอึ้ง ไม่ได้คะยั้นคะยอต่อ และอันที่จริงฉันเองก็ยังไม่รู้ว่าจะหางานที่ไหนให้เขาในทันทีเหมือนกันคนที่ยืนอยู่ตรงหน้า สาหัสกว่าฉันมากนัก ขาลีบสองข้าง ทั้งรอยแผลที่คอ คล้ายตัวตะขาบยาวเป็นคืบ มือข้างซ้ายดูงอๆไม่ปกติ ที่เขายังเดินอยู่ได้ นับว่ามาจากแรงใจของความไม่ย้อท้อ อายุสามสิบกว่าๆ น่าจะเป็นวัยที่มีครอบครัว มีคนดูแล แต่ฉันไม่ได้ถามเรื่องนี้ รู้แต่ว่างานสุดท้ายที่เขาทำก่อนเกิดอุบัติเหตุคือเป็นคนงานของบ่อเลี้ยงกุ้งที่จังหวัดสงขลาระยะทางที่เขาจะต้องเดินไปราวๆ 10 กิโลเมตร คนธรรมดาเดินไปต้องใช้เวลาหลายชั่วโมง แล้วคนพิการขาอย่างเขาจะใช้เวลาเท่าไหร่ โชคดีอาจมีคนจอดรถรับ แต่ถ้าไม่มีใครใจดีกับเขาล่ะ......ฉันกังวลจึงบอกให้เขาเดินกลับมานั่งรอบนแท่นหินที่หน้าบ้านฉันสักประเดี๋ยว เพื่อฉันจะกลับมาเอาเงินในบ้าน เงินจำนวนไม่มากนัก สำหรับค่ารถ และน่าจะเหลือเป็นค่าน้ำค่าอาหารได้สักมื้อ  ฉันยื่นให้เขา  หลังจากพนมมือไหว้ขอบคุณ ฉันเห็นใบหน้าที่เงยขึ้นมานั้น มีน้ำตารื้นไม่นานนักรถสองแถวโดยสารก็มาจอด ก่อนที่เขาจะเขยกไปขึ้นรถ เขาหันมาพูดว่า“อีกสักสามเดือน ถ้าผมดีขึ้นพอที่จะทำงานได้ ขอให้ผมมาทำงานที่นี่ได้ไหม”ฉันพยักหน้า“ได้สิ แต่การไปรักษาตัวคราวนี้ ให้เรียนรู้วิชานวดและยาสมุนไพรมาด้วย แล้วเราค่อยทำงานด้วยกัน”ฉันมีห้องอบสมุนไพร ที่ปิดร้างเอาไว้ปีกว่าแล้ว บางทีเขาอาจจะกลับมาดูแลมันได้  เดิมมันเป็นสถานที่ที่ฉันใช้รักษาตัวเอง และบริการคนในหมู่บ้านโดยให้บริจาคตามกำลังกลับมากวาดใบไม้อย่างเลื่อนลอย... ฉันไว้ใจคนง่ายไปหรือเปล่า  แต่เมื่อนึกถึงคราวที่ตัวเองถูกพิพากษาว่าจะต้องพิการไปตลอดชีวิต นึกถึงความหวาดหวั่น ความอ่อนแอ ความโดดเดี่ยว ที่ประเดประดังเข้ามา และความยากลำบาก ที่ต้องดิ้นรนทุกวิถีทางเพื่อหลีกหนีความพิการ เป็นเวลานับสิบปีของฉัน ใบไม้แห้งถูกตักไปกองรวมกันในกอง เศษซากใบไม้กองนี้ มันจะต้องกลายเป็นปุ๋ยหมักในวันหน้า  คิดถึงตัวเอง คิดถึงเขาคนนั้นเรา...ต่างเป็นใบไม้ร่วง ที่พยายามดิ้นรนไปให้พ้นคำว่า “เศษขยะ”ในวันนี้...ฉันต้องขอบคุณคุณหมอคนนั้น ที่ทำให้ฉันต่อสู้กับข้างในตัวเองจนชนะแม้ว่าความพิการอาจมาเยือนจริงๆ ในวันหนึ่งข้างหน้าแต่ที่ผ่านมาหลายปี ฉันได้ใช้ขาทั้งสองข้าง จนคุ้ม................เพราะว่า ในปีต่อๆมา ฉันเริ่มเร่ร่อนทำงานอิสระมากขึ้น แต่ละงานที่ฉันเลือกทำ จะมีข้อแม้ว่า “ต้องใช้เวลาสั้นๆ สั้นเท่าไหร่ยิ่งดี งานที่นานเกินหนึ่งปี ฉันไม่รับทำ”แปลกใจไหม ว่าทำไม ขณะที่คนอื่น ต้องการงานที่มั่นคง แต่ฉันกลับรับทำงานแค่หนึ่งสัปดาห์ไปจนถึงหกเดือน และต้องเป็นงานสนามเท่านั้น ไม่รับงานในสำนักงานเหตุผลคือ ถ้าฉันรับปากทำงาน ฉันจะไม่ทิ้งงานกลางครัน โดยเฉพาะงานวิจัยภาคสนามที่ไม่ควรโยนภาระให้คนอื่นทำต่อ การเลิกทำทั้งที่งานยังไม่เสร็จ คนใหม่มาทำก็ต้องเริ่มต้นใหม่ ไม่ยุติธรรมสำหรับคนจ้าง และสังขารฉันอาจแย่ลงวันใดวันหนึ่งก็ได้ ดังนั้นเพื่อความยุติธรรมต่อคนจ้าง ฉันจึงขอเลือกงานระยะสั้น โดยไม่ได้บอกเหตุผล และไม่มีใครรู้ด้วยว่า “ฉันเป็นคนพิการ...ครึ่งทาง” บางงานฉันต้องเช็คระยะทางและเวลาที่ต้องเดินเข้าไปเก็บข้อมูล ที่ต้องปีนภูเขา สลับการเดินลุยสายน้ำในหุบเหว  พบว่าต้องใช้เวลาสามวัน แต่นายจ้าง..คนวางแผนกำหนดให้แค่วันเดียวฉันยังจำได้..งานนั้นฉันได้สำรวจระยะที่หนึ่ง เพื่อหาข้อมูลพื้นฐานระดับจังหวัด และอำเภอไปแล้ว เหลือระยะที่สองต้องเก็บข้อมูลระดับหมู่บ้าน  ฉันเป็นหัวหน้าทีมภาคสนาม มีเพื่อนร่วมงานอีกราวสิบคน ก่อนที่จะเซ็นสัญญาทำงาน ฉันพยายามหาข้อเท็จจริงมาชี้แจงเพื่อบอกนักวิชาการในห้องแอร์ว่า ข้อมูลพื้นฐานของคุณผิดพลาดอย่างมหันต์ การกำหนดเวลาให้เราแค่หนึ่งเดือน มันไม่มีทางเป็นได้ ที่ต้องต่อรองเรื่องเวลา ไม่ได้เกี่ยวกับค่าใช้จ่าย แต่ฉันตั้งใจจะบอกกับพวกเขาว่า งานสนามอย่าใช้เพียงความคาดคะเน ถ้าคุณไม่เคยลงพื้นที่ในบางพื้นที่ โดยเฉพาะแถวชายแดน อุปสรรคที่ดักรออยู่มากมายให้ต้องเผชิญ อย่าคิดว่าง่ายที่จะได้ข้อมูล และอย่าคิดว่าเงินที่จ่ายคือสิ่งที่มีค่ามากแล้ว หากคุณทำเองไม่ได้ งานนั้น ฉันชี้แจงอย่างใจเย็น ด้วยแผนที่ทางอากาศ ที่แสดงเส้นคอนทัวร์ ความสูงชัน ภาพถ่ายแสดงสภาพพื้นที่ ที่ฉันเคยเข้าไปเห็นมาแล้ว  แล้วบอกกับเขาว่า..ฉันไม่สามารถทำงานนี้ได้อีกต่อไป ฉันไม่มีความสามารถพอที่จะเดินเข้าไปในหมู่บ้านเลตองคุยามฤดูฝนและทำงานให้เสร็จได้ภายในวันเดียวนี่คืองานแรกและงานเดียว ที่ฉันทิ้งงานระหว่างทาง แต่ข้อมูลชุดแรก ฉันได้ส่งถึงมือเขาเรียบร้อย  ครั้งนั้น ยังรู้สึกเสียดาย ที่ไม่ได้ร่วมงานกับนักวิชาการบางคน แต่สำหรับบางคน..........!!!ฉันจึงเรียกตัวเองว่า “หมาล่าเนื้อ” เขาจ้างให้ล่าเนื้อ แต่ตัวเองไม่เคยได้ลิ้มรสเนื้ออันโอชะสักทีงานชิ้นต่อมาคือ “สำรวจเก็บข้อมูลหมู่บ้านต้นน้ำพอง” ซึ่งอยู่ด้านหลังภูกระดึง ระยะเวลาที่ต้องทำงานคือ 3 เดือน นายจ้างเป็นองค์กรพัฒนาเอกชน ฉันรับทำงานคนเดียวหมู่บ้าน 3 หมู่บ้าน ที่อยู่ต้นน้ำพอง เป็นหมู่บ้านในป่า ไม่มีรถโดยสาร เพราะถนนเลวร้ายมาก รถที่วิ่งได้มีเฉพาะรถขับเคลื่อนสี่ล้อของเจ้าหน้าที่ป่าไม้ และรถมอเตอร์ไซด์  มันเป็นงานอีกชิ้นหนึ่ง ที่ทำให้ฉันได้ทดสอบความสามารถทางร่างกายของตัวเอง และเป็นไปตามความใฝ่ฝัน นั่นคือ “การเดินขึ้นภูกระดึง” เพื่อไปดูแหล่งต้นน้ำพองจริงๆ  หลังจากเก็บข้อมูลในหมู่บ้านเสร็จแล้ว ฉันจะต้องขึ้นไปดูและเก็บภาพสภาพต้นน้ำพองบนภูกระดึงการไต่ขึ้นที่สูงทีละก้าวๆ อย่างช้าๆ เพราะฉันต้องคอยระวังเข่าไม่ให้ทำงานหนัก ทั้งที่บนหลังมีเพียงเป้ไม้ไผ่ของชนเผ่าในฟิลิปปินส์ใช้เก็บรังนก ในนั้นมีเสื้อผ้าบางๆหนึ่งชุด และกล้องถ่ายรูปอย่างหนักพร้อมเลนส์สำรองอีกหนึ่งชิ้น น้ำหนักไม่มากเกินกว่าจะแบกสำหรับคนทั่วไป แต่สำหรับฉันนับว่าพอสมควรการเดินขึ้นเพียงลำพังและยังใส่แค่รองเท้าฟองน้ำ เป็นความประมาทอย่างรุนแรง  เรียกว่าหาความพร้อมในการเดินป่าไม่ได้เลย แต่ฉันก็ยังขึ้นมา เพราะว่า “มันเป็นงาน ที่ต้องทำให้เสร็จทันเวลา”การขึ้นภูกระดึงแบบไม่พร้อมทางร่างกายและอุปกรณ์ มีเพียงหัวใจที่พร้อม ทำให้ฉันได้พบเจอกับสิ่งดีๆมากมาย ทั้งเรื่องราวของผู้คนและธรรมชาติจนไม่อาจลืมได้ แม้ทุกวันนี้(โปรดติดตามตอนต่อไป)
นาลกะ
ตอนนี้ปิดเทอมแล้ว สายรุ้งใช้เวลาอยู่กับแม่เกือบตลอด มีเพียงที่เขาออกไปเที่ยวเล่นกับเด่นหรือไปที่บ้านคุณตาเท่านั้นที่ห่างจากสายตาแม่ คุณตาจะสอนให้เขาปลูกต้นไม้ ให้เขาเห็นความสำคัญของต้นไม้ที่มีต่อชีวิตและต่อสิ่งแวดล้อม“ต้นไม้แทบไม่เหลือแล้ว” คุณตาบ่น “มีแต่หมู่บ้านจัดสรร”,คุณตาชอบบ่นเกี่ยวกับหมู่บ้านจัดสรรอยู่บ่อย ๆ คุณตาบอกว่าหมู่บ้านจัดสรรทำลายสิ่งแวดล้อม แต่สายรุ้งยังไม่เข้าใจว่าหมู่บ้านจัดสรรจะทำลายสิ่งแวดล้อมได้อย่างไรแม่จะหาโอกาสพาสายรุ้งไปทำกิจกรรมต่างๆ อยู่บ่อยครั้งเพื่อไม่ให้สายรุ้งเบื่อที่ต้องอยู่แต่ในบ้าน   เย็นวันหนึ่งแม่พาสายรุ้ง เด่นและสุนัขโอเว่นไปเดินเล่นในสวนสาธารณะ ที่นั่นมีกิจกรรมต่าง ๆ ให้สายรุ้งเล่นสนุกสายรุ้งชอบเล่นฟุตบอล เด่นเองก็ชอบเล่น มีเพื่อนหลายคนเล่นฟุตบอลอยู่ที่นั่นก่อนแล้ว สวนสาธารณะเป็นอีกที่หนึ่งที่เด็ก ๆ จะพากันมาเที่ยวเล่นช่วงปิดเทอม สายรุ้งเปลี่ยนชุดเพื่อเตะฟุตบอล เขาดูน่ารักไม่หยอกในชุดของทีมฟุตบอลชื่อดัง เขามีชุดนักฟุตบอลของทีมดัง ๆ หลายชุดและเขารู้จักนักฟุตบอลชื่อดังหลายคน เด่นและเพื่อนที่โรงเรียนมักจะคุยกันในเรื่องนี้หลังจากแบ่งทีมกันเรียบร้อยแล้วเด็ก ๆ ก็เริ่มเล่น เด็ก ๆ หัวเราะเวลาวิ่งชนกันและล้มไปด้วยกัน ดูเหมือนว่าของเล็กๆ เด็ก ๆ ไม่สามารถจะควบคุมทิศทางฟุตบอลได้ ฟุตบอลมาทางไหนเด็กก็เตะไปทางนั้น แต่สิ่งที่ทำให้เด็ก ๆ สนุกกันมากเป็นพิเศษคือเจ้าโอเว่นที่โดดเข้ามาร่วมเล่นด้วย มันไม่ยอมให้เสียชื่อโอเว่นพวกเด็ก ๆ  พากันหัวเราะเมื่อโอเว่นเข้าไปแย่งลูกฟุตบอลกับพวกเขา พวกเขาเล่นไปหัวเราะไป เด็กบางคนลงไปนั่งหัวเราะงอหงายอยู่กับพื้นสนาม  โอเว่นวิ่งไล่บอลและคอรบครองบอลด้วยขาหน้าทั้งสอง ดูเหมือนมันพยายามโยกหลอกพวกเด็ก ๆ  แต่เด่น ชิงเอาบอลออกไปจากการครอบครองของโอเว่น แล้วเตะส่งไปให้คนอื่นอย่างรวดเร็ว โอเว่นจึงวิ่งไล่ตาม โอเว่นวิ่งไล่กวดเพื่อแย่งฟุตบอลกับพวกเด็ก ๆ  ที่กรูกันไปทางเดียว และมันก็วิ่งได้รวดเร็วกว่าเด็ก ๆ มาก“หมาตัวนี้อยู่ทีมไหนเนี่ย” “ให้มันเป็นกรรมการก็แล้วกัน” สายรุ้ง“เล่นหมาชิงบอลกันดีกว่า” เด่นพูด“มันได้เปรียบพวกเราเพราะมันมีตั้งสี่ขา”เด็ก ๆ เตะบอลส่งกันไปมา ให้โอเว่นวิ่งไล่ เกมแบบนี้มันชอบอยู่แล้ว เด็กคนหนึ่งทำท่าตกใจเมื่อโอเว่นวิ่งไล่กวดและกระโดดเข้าใส่  เด็กคนนั้นทิ้งตัวล้มลงด้วยความจั๊กกะเดียมและหัวเราะอย่างยอมแพ้ แม่เงยหน้ามองสายรุ้งเป็นระยะ ในขณะที่เธอนั่งเขียนหนังสืออยู่บนโต๊ะใกล้สนามฟุตบอล เธอไม่อยากปล่อยเวลาให้ล่วงเลยผ่านไปเปล่า ๆ แม้แต่วินาทีเดียว คุณค่าของวันเวลาจะมีความหมายก็ต่อเมื่อได้ตระหนักว่าเวลาจะไหลผ่านไปเหมือนสายน้ำและไม่มีวันหวนกลับ ถ้าไม่ฉวยวันเวลาเอาไว้ก็จะไม่เหลืออะไรเลยและเวลาของเธอก็ไม่เหลือมากมายเหมือนคนอื่น การเตรียมให้พร้อมด้วยการใช้เวลาอย่างมีคุณค่ามากที่สุดทำให้ไม่ต้องมานั่งเสียดายสายรุ้งเล่นฟุตบอลจนเหงื่อไหลโชกท่วมตัว เขาก็เหมือนเด็กคนอื่นที่เพลิดเพลินและจริงจังในสิ่งที่ตนเองกำลังเล่น แม่เรียกสายรุ้งและบอกว่าพอได้แล้ว สายรุ้งหอบหายใจ ใบหน้ามีสีแดง แม่เช็ดเหงื่อและบอกให้เขากับเด่นดื่มน้ำ“เหนื่อยมากเลยแม่” เขาหัวเราะ “โอเว่นมันเล่นฟุตบอลเก่งเหมือนกันนะ” แม่ปิดสมุด เธอเขียนหนังสือได้สามหน้าระหว่างลูกกำลังเล่นฟุตบอล ตอนนี้ถึงเวลาต้องกลับแล้ว เจ้าโอเว่นเดินไปฉี่ไป มันชอบล้อรถเป็นพิเศษ รถคันไหนที่จอดอยู่มันก็จะฉี่ใส่ แต่แล้วมันก็เกิดอาการลุกลี้ลุกลนเมื่อเห็นสุนัขสีขาวสวยตัวหนึ่งกำลังเดินมา ท่าเยื้องย่างของสุนัขตัวนั้นงามสง่า เชิดหน้าชูคอ โอเว่นมองตาไม่กะพริบ มันวิ่งไปคาบเอากิ่งไม้มากึ่งหนึ่ง   มันกระโดดผกโผน   หมอบลงและยกก้นโด่งขึ้นเป็นสัญญาณว่า “แน่จริงมาแย่งให้ได้สิ”แต่สุนัขแสนสวยตัวนั้นไม่สนใจมันเลย โอเว่นจึงได้แต่ยืนดูสุนัขสาวสวยเดินจากไปด้วยดวงตาละห้อยแม่พาสายรุ้งเดิมอ้อมไปตามทางเลียบลำธาร ลูกเต่าตัวหนึ่งคลานต้วมเตี้ยมที่กอหญ้าข้างลำธาร สายรุ้งเอามาอุ้มก่อนจะปล่อยให้มันคลานตามทางของมันต่อไป

แท็กล่าสุด

แท็กยอดนิยม