Skip to main content

บล็อกกาซีน ประชาไท

สุมาตร ภูลายยาว
ในยามเย็น หลังแสงตะเกียงสว่างขึ้น ความสว่างของแสงไฟตะเกียงก็ตัดกับท้องฟ้ามืดครึ้มไร้ดวงดาวแต้มขอบฟ้า ดูเหมือนว่ายามนี้สายฝนต้นฤดูมาถึงแล้ว ในที่ไกลออกไปฟ้าแลบแปลบปลาบ ทุกครั้งที่ฟ้าแลบ ความสว่างที่เกิดขึ้นเพียงสั้นๆ ทำให้ฟ้าสีดำดูน่ากลัว ไม่นานนักหลังฟ้าร้องเข้ามาใกล้ สายฝนปานฟ้ารั่วก็โถมถั่งลงมายามนี้ปลาหลายชนิดอพยพขึ้นเหนือ เพื่อวางไข่ จะเหลือเพียงปลาบางชนิดเท่านั้นอพยพขึ้นมาช่วงน้ำลด ในช่วงนี้ คนหาปลาไหลมองก็จะเริ่มยุติการหาปลาลง เพราะน้ำในแม่น้ำเป็นน้ำใหญ่หาปลาลำบาก ช่วงน้ำใหญ่นี่เองถือว่าธรรมชาติได้จัดการมนุษย์ และดูแลรักษาตัวเองไปด้วยพร้อมกันในแต่ละฤดูธรรมชาติได้ส่งสัญญาณบอกคนหาปลาให้เฝ้าสังเกตฤดูการอพยพของปลา เพื่อให้คนหาปลาได้ใช้เครื่องมืออันเหมาะสมกับการหาปลาของพวกเขา นอกจากคนหาปลาจะสังเกตธรรมชาติรอบตัวแล้ว คนหาปลายังสังเกตการอพยพของปลาแต่ละชนิด เพื่อจะได้คาดการณ์ล่วงหน้าได้ถูกต้องว่า เมื่อปลาชนิดไหนอพยพขึ้นมาแล้ว ต่อไปปลาชนิดไหนจะอพยพตามขึ้นมาบ้างชายชราบอกว่า “ในช่วงเดือน ๕ (เดือนเมืองทางภาคเหนือหมายถึงเดือนมีนาคม) ปลาแกงจะขึ้นมาแล้ว พอปลาแกงขึ้นมา ปลาเพี้ย ปลาโมง ก็จะขึ้นตามมา บางทีในช่วงปลาขึ้นถ้าหาปลาได้ก็จะได้ปลาเป็นฝูงเลยทีเดียว มีอยู่ครั้งหนึ่ง ปลาสะโม้ติดมองรอบเดียวได้เกือบร้อย แต่ตัวไม่ใหญ่ประมาณ ๓ นิ้ว นอกจากคนหาปลาจะรู้เรื่องการอพยพของปลาแล้ว คนหาปลาก็ยังต้องรู้พฤติกรรมของปลาในช่วงต่างๆ อีกด้วย ปลาฝาไม--ตะพาบน้ำ มันจะดุร้ายในช่วงเดือน ๘ ถ้ากินเบ็ดแล้วเวลาเราไปดู ถ้าไปเหยียบโดนสายเบ็ดหรือไปจับสายเบ็ด มันจะแกว่งไปมาใส่เรา ไมของปลาฝาไมจะมีลักษณะเหมือนหับหางของแลนหรือตัวตะกวด เวลามีคนเข้าใกล้ มันจะแกว่งหางของมันใส่เพื่อป้องกันภัยที่จะเกิดกับมัน ไมของปลาฝาไมยาวราวครึ่งวาจะมีโคนใหญ่และเรียวแหลมด้านปลาย ถ้ามันฟาดโดนเราจะปวด”“แล้วพ่อเฒ่าเคยโดนมันฟาดหรือเปล่า”“เคยโดนหลายครั้งอยู่ เวลาโดนมันฟาดแล้วจะเจ็บตรงจุดที่มันฟาด”“แล้วพ่อเฒ่าทำอย่างไรถึงหาย”“ก็เอายาขี้ผึ้งใส่ ถ้าไม่หายกินยาปวดหาย อย่างยาปวดหายนี่กินก่อนครึ่งหนึ่งแล้วเอาอีกครึ่งหนึ่งมาผสมกับยาผึ้งแล้วเอาโปะไว้ตรงไมมันปัก จากนั้นก็เอาไปอิงไฟ สักพักก็ไม่ปวดแล้ว”“แล้วพ่อเฒ่าเคยเล่าเรื่องการรักษาแบบนี้ให้ใครฟังหรือเปล่า”“เล่าให้ฟังหมดแหล่ะ โดยเฉพาะลูกๆ ที่ไปหาปลาด้วยกัน เล่าให้มันฟังหมด เล่าไปก็สอนมันไปด้วย มันจะได้รู้เวลาเราไม่อยู่จะได้เอาตัวรอดได้”“พ่อเฒ่า ผมเคยได้ยินมาว่าคนโบราณสมัยก่อนเขาเอาไมปลาฝาไมตากแห้งไว้ไล่ผีปอบใช่ไหม”“ใช่ คนสมัยก่อนเขาเอาไมปลาฝาไมไว้ไล่ผีปอบจริง แต่ก่อนบ้านนี้เคยมี ตอนนี้ไม่มีแล้วเอาให้ลูกไปหมด”ในความคิดของผม ชายชราเป็นคนไม่หวงความรู้ หากรู้มากก็บอกมาก รู้น้อยก็บอกน้อย ไม่เคยหวงวิชาความรู้ ชายชราช่างแตกต่างกับหลายๆ คน บางคนที่ผมรู้จัก ความรู้ของพวกเขาไม่เคยแจกจ่ายไปยังคนอื่น ซ้ำร้ายบางคนยังอาศัยความรู้ที่มีมากกว่าคนอื่นมากอบโกยเอาผลประโยชน์เพื่อตัวเองเพียงอย่างเดียว ในสังคมของเมืองใหญ่แล้ว หลายคนยิ่งใช้ความรู้ที่ตัวเองมีมากกว่าคนอื่น เพื่อตักตวงเอาประโยชน์ให้ได้มากที่สุด น้อยนักหนาที่เราจะได้พบเห็นการแบ่งปันความรู้ให้กับคนอื่นอย่างเต็มใจ...ครั้งหนึ่งมีคนหนุ่มอายุคราวลูกอยากรู้วิธีการสานตุ้มปลาเอี่ยน ชายชราก็สอนคนหนุ่มรุ่นลูกคนนั้น ในขณะสอน ชายชราไม่ได้สอนเพียงวิธีการทำตุ้มอย่างเดียว ชายชรายังสอนวิธีการใส่ ลักษณะพื้นที่ใช้เครื่องมือ รวมทั้งการใช้เหยื่อล่อปลาไหลให้เข้ามาในตุ้ม หลังจากคนหนุ่มรุ่นลูกคนนั้นได้วิชาความรู้จากชายชราไป เขาก็นำไปใช้ ต่อมาเมื่อถึงฤดูฝนชายชราก็มีปลาไหลกินไม่ได้ขาด เพราะคนหนุ่มคราวลูกนำมาให้ สำหรับคนร่วมสายน้ำ การพึ่งพาอาศัยกันและกัน ในด้านต่างๆ ไม่ได้มีเพียงด้านเดียว บางครั้งชายชราวางเบ็ดแล้วไม่ได้กลับไปดู ชายชราก็ฝากให้คนหาปลาอีกที่หาปลาอยู่ใกล้ๆ ดูให้ บ่อยครั้งที่ได้ปลาในรูปแบบนี้ เมื่อได้ปลาในแต่ละครั้งชายชราเองก็จะแบ่งให้กับคนหาปลาคนนั้นด้วย ถ้าครั้งไหนไม่ได้แบ่งเป็นปลาไปให้ ชายชราก็ชักชวนคนหาปลาคนนั้นมาทำลาบปลากินที่กระท่อมของแกแทนพูดถึงคนหาปลาอีกคนที่หาปลาอยู่ใกล้กับชายชรา ในความเป็นจริง คนหาปลาคนนี้อายุอ่อนกว่าชายชราไม่มากนัก คนหาปลาคนนี้สร้างกระท่อมขึ้นมาไม่ไกลจากกระท่อมของชายชรา บ่อยครั้งคนหาปลาคนนี้มักจะมายังกระท่อมของชายชรา ในวันที่คนหาปลาคนนี้มาถึงกระท่อมของชายชรา วงข้าวจะลากยาวตั้งแต่หัวค่ำไปจนเหล้าหยดสุดท้ายหมด ห้วงยามเช่นนี้แม้เกิดขึ้นไม่บ่อย แต่ทุกครั้งที่เกิดขึ้นดูเหมือนว่า คนหาปลาทั้งสองจะมีความสุขกับมันเป็นพิเศษบ่อยครั้งเช่นกันวงข้าวลากยาวไปจนดึกดื่น ในการดื่มกินแต่ละครั้ง ชายชรามักเล่าเรื่องราวต่างๆ  ในแม่น้ำสายนี้ให้คนอื่นฟังอยู่เสมอ ทุกเรื่องที่ชายชรานำมาเล่า ชายชราบันทึกเรื่องราวเหล่านั้นไว้บนสมุดอันเขียนด้วยดินสอคือชีวิตทั้งชีวิตวิถีทางที่เป็นอยู่ของชายชรา บางครั้งการได้อยู่กับธรรมชาติ และเห็นความงามการเปลี่ยนผ่านของฤดูกาลต่างๆ แล้ว สิ่งเหล่านี้คงได้กล่อมเกลาให้ชายชราเป็นคนอ่อนโยน และคิดถึงคนอื่นพอๆ กับการคิดถึงตัวเอง...แสงแดดของยามเช้าในฤดูฝนหลบหายเข้าไปในเฆมสีดำ ไม่ยอมออกมาทำหน้าที่เหมือนเดิม แม้ว่าตอนนี้จะสายแล้วก็ตามที ปีนี้ฝนตกมามากกว่าทุกปี น้ำขึ้นเร็ว บางคนปลูกข้าวโพดไว้ตามริมฝั่งน้ำเก็บข้าวโพดไม่ทันน้ำก็เอ่อท่วม พอถึงวันเก็บข้าวโพดต้องพายเรือเก็บกันเลยทีเดียวหากจะพูดตามความจริงแล้ว ถึงฝนจะตกมากเพียงใด น้ำในแม่น้ำก็คงไม่ขึ้นเร็ว แต่ ๔-๕ ปีที่ผ่านหลังจากมีข่าวการสร้างเขื่อนในตอนบนของแม่น้ำ ผู้คนริมฝั่งน้ำรวมทั้งคนหาปลา ทุกคนต่างเห็นความเปลี่ยนแปลงของแม่น้ำ บ่อยครั้งที่น้ำขึ้นมา ๓ วัน พอวันที่ ๔ น้ำลง ในความเป็นจริงแล้ว แม่น้ำสายนี้ตั้งแต่อดีตมาไม่เคยเป็นอย่างนี้ พอถึงช่วงหน้าฝนน้ำก็จะเอ่อและท่วมนองไปจนถึงออกพรรษา พอออกพรรษาแล้วหลังลอยกระทงน้ำก็จะลดลง แม่น้ำเป็นอยู่เช่นนี้มาชั่วนาตาปี แต่พอการก่อสร้างเขื่อนเกิดขึ้น ความเปลี่ยนแปลงอันยิ่งใหญ่ก็เดินทางมาอย่างไม่บอกกล่าวหลังการเปลี่ยนแปลงของแม่น้ำ ชายชราก็หาปลาได้น้อยลง บางวันหาปลาทั้งเช้า-เย็น ปลาตัวเดียวก็ไม่ได้ บ่อยครั้งที่หาปลาไม่ได้ ชายชราก็กลับมาครุ่นคิดถึงเรื่องราวในอดีตมากขึ้น ลึกลงไปในแววตาของชายชรา ทุกครั้งที่แกนึกถึงเรื่องราวในหนหลัง น้ำตาจะเอ่อท่วมดวงตาของชายชราอยู่เสมอนอกจากในตอนบนของแม่น้ำจะถูกกั้นด้วยเขื่อนแล้ว ชายชราก็ได้ข่าวมาอีกว่ามีเรือใหญ่เดินทางมาถึงเชียงแสน เรือใหญ่เดินทางมาพร้อมกับการระเบิดแก่งหิน เมื่อระเบิดแก่งหินออก ปลาที่อาศัยอยู่ตามแก่งก็ไม่มี เพราะแก่งหินในแม่น้ำคือบ้านของปลา เมื่อไม่มีแก่งก็ไม่มีปลา เมื่อไม่มีปลาคนหาปลาก็หาปลาไม่ได้ภายใต้ความคิดของมนุษย์ที่จะเอาชนะธรรมชาติ มนุษย์จึงจัดการธรรมชาติให้อยู่ภายใต้การควบคุมของตัวเอง อย่างเรื่องราวที่ชายชราเล่าให้ผมฟังนั้นก็เช่นกัน ในความคิดของคนหาปลาคนหนึ่งไม่มีใครล่วงรู้ได้ว่า พวกเขาคิดเรื่องราวใด เมื่อพวกเขามองเห็นความเปลี่ยนแปลงของแม่น้ำอันเป็นธนาคารขนาดใหญ่ของพวกเขาความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น ในช่วงแรกชายชราไม่อาจทำความคุ้นเคยกับมันได้ แต่พอหลายปีผ่านไป ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นก็เป็นความปกติในสายตาของชายชรา แต่ทุกครั้งที่มีคนถามถึงความเปลี่ยนแปลง ชายชราก็จะเล่าให้ฟังด้วยความคับแค้นในใจ มีอยู่ครั้งหนึ่งมีคนถามชายชราว่า ถ้าเขามาระเบิดหินตรงที่ใช้หาปลาจะทำยังไงชายชราได้บอกกับคนที่ถามว่า หากทำจริงก็จะบอกคนที่มาทำว่า “จะเอามันออกทำไม ถ้าเอาออกแล้วมันเกิดไม่ดีขึ้นมา มันต่อกลับมาไม่ได้ หินมันไม่ใช่กระดาษ ถ้าเป็นกระดาษเราฉีกแล้วเอากาวมาต่อกลับไปใหม่ได้ แต่หินเอากาวมาต่อใหม่ไม่ได้ อย่าทำเลยปล่อยมันไว้อย่างนั้นแหละ ถ้าเรือมันมาไม่ได้ทำไมเราไม่ทำเรือให้เหมาะสมกับแม่น้ำ ถ้าหน้าแล้งก็ใช้เรือลำเล็ก มันก็มาได้ ไม่ใช่ว่าทำแม่น้ำให้เหมาะสมกับเรือ แค่เขาคิดว่าสิ่งที่อยู่ในน้ำคือตัวขัดขวางการเดินเรือ เขาก็คิดผิดแล้ว คนจีนนี่ก็แปลกนะ เหมาเจ๋อตงยังเคยบอกเลยว่า ถ้าเราจะทำรองเท้า เราต้องตัดเกือกใส่เท้า ไม่ใช่ตัดเท้าไปใส่เกือก แก่งหินที่อยู่ในน้ำมันเป็นบ้านของปลา ถ้าระเบิดแล้วปลาก็ไม่มีที่อยู่ เอาแก่งหินออกก็เหมือนเรากำลังฆ่าแม่ของเรา”ผมเองก็ไม่เข้าใจเช่นกันว่า คำว่า ‘แม่’ ที่ชายชรากล่าวถึงนั้นหมายถึงอะไร แต่ผมรับรู้ได้ว่า ชายชราก็เป็นห่วงสายน้ำสายนี้ไม่น้อยกว่าคนอื่นๆ‘แม่’ ในความหมายของชายชราอาจหมายถึงสิ่งใดก็ตามที่ให้ชีวิตกับเรา และเราพึ่งพาอาศัยมีชีวิตอยู่มาได้ สิ่งนั้นย่อมได้รับการเรียกว่า แม่ ไม่ได้แตกต่างจากแม่ผู้ให้กำเนิดของเรา เพราะแม่ผู้ให้กำเนิดของเราก็ดูแลเราและให้เราพึ่งพาอาศัยอยู่ได้ตลอดเวลา แม้ว่าความคิดของชายชราอาจจะเป็นความคิดจากคนตัวเล็กๆ ในมุมมองของใครหลายคน แต่สำหรับผมแล้ว ผมถือว่านี่เป็นความคิดอันยิ่งใหญ่ของคนธรรมดาสามัญคนหนึ่งที่ยินดีจะเข้าร่วมเพื่อปกป้องสิ่งที่ตัวเองเคยได้พึ่งพาอาศัย แม้ว่าการปกป้องอาจบรรลุเป้าหมายช้าก็ตามทีจากความรักที่ชายชรามีต่อสายน้ำสายนี้ จึงไม่แปลกนัก คำที่กลั่นออกมาจากดวงใจของชายชราและออกมาเป็นคำพูดว่า ‘ถ้าเราเอาแก่งหินในสายน้ำโขงออกก็เหมือนกับว่าเรากำลังฆ่าแม่’ ในวันนี้แม่น้ำกำลังเปลี่ยนไป แต่จิตใจของคนบางคนกลับไม่เคยเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะชายชราแห่งคนนี้ ชายชรารักสายน้ำสายนี้เท่าๆ กับชีวิตของแก เพราะสายน้ำได้ให้ชีวิต และให้เรื่องราวมากมายโดยมิคาดหวังว่าคนเช่นชายชราจะรักและเทิดทูนแม่น้ำสายนี้เพียงใด แม่น้ำได้ให้ประโยชน์กับมนุษย์มากมาย และแม่น้ำก็ไม่เคยเรียกร้องให้ผู้คนผู้ได้รับประโยชน์หันกลับมาห่วงใยแม่น้ำ แต่การที่คนจะตระหนักถึงความรักต่อสายน้ำนั้น ล้วนเกิดมาจากบ่อน้ำแห่งความทรงจำเกี่ยวกับแม่น้ำถ่ายเทออกมาจากจิตใจของคนเราอย่างแท้จริง และบ่อน้ำแห่งความทรงจำเกี่ยวกับแม่น้ำของใครจะได้รับการถ่ายเทออกมาจิตใจก่อนกันเท่านั้นเอง สำหรับชายชรา บ่อน้ำแห่งความทรงจำเกี่ยวกับแม่น้ำสายน้ำนี้ของแกได้เกิดขึ้นแล้ว และมันจะยังคงอยู่อย่างนี้ไปจนกว่าชีวิตของแกจะเดินทางจากโลกนี้ไปสู่เชิงตะกอนอันเป็นฉากจบของชีวิตคนหนึ่งคน
Hit & Run
จิรนันท์ หาญธำรงวิทย์หลังจากได้อ่านข้อความในหนังสือที่ คมช. ส่งถึงคณะทำงานพิจารณากลั่นกรองเรื่องร้องเรียน ร้องทุกข์ ของ กกต. ที่ตั้งขึ้นเพื่อตรวจสอบว่า หนังสือ ซึ่งออกโดย คมช. (สปค.ศปศ.คมช. ลับ-ด่วนมาก ที่ คมช ๐๐๐๓.๕/๔๘๐ ลง ๑๔ กันยายน ๒๕๕๐) นั้น เข้าข่ายความผิดฐาน เจ้าหน้าที่ของรัฐวางตัวไม่เป็นกลางในการเลือกตั้ง ตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ.๒๕๕๐ มาตรา ๕๗ หรือไม่ เพื่อขอให้ทบทวนบทบาทของคณะกรรมการสืบสวนสอบสวน เนื่องจากการออกหนังสือฉบับดังกล่าวของ คมช.เป็นการกระทำที่ชอบด้วยกฎหมายรัฐธรรมนูญ แล้ว ก็เกิดความรู้สึก ‘สบายใจ' ชอบกลเนื่องด้วยการให้เหตุผลของ คมช. ทำให้เห็นแล้วว่า ภาระต่างๆ ที่ประชาชนอย่างเราๆ จะต้องแบกรับในการเลือกตั้งครั้งนี้มันออกจะน้อยแสนน้อย นั่นเพราะ คมช.วาดภาพให้เห็นแล้วว่า พรรคไทยรักไทยนั้นได้เปลี่ยนโฉมมาเป็นพรรคพลังประชาชน และเตรียมจะแก้แค้น "คิดบัญชี" กับผู้เกี่ยวข้องอันเป็นการแสดงความอาฆาตมาดร้าย และสร้างความแตกสามัคคีให้สืบเนื่องต่อไป ทำให้ คมช.และคณะรัฐมนตรี "ต้องใช้อำนาจตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ในการป้องปรามมิให้มีการดำเนินการในลักษณะที่เป็นการทำลายความสงบเรียบร้อย และความมั่นคงของประเทศ"ก็ในเมื่อที่ผ่านมา ‘ความมั่นคง' เป็นเรื่องของทหารมาตลอดอยู่แล้ว เราก็คงต้องให้เขาจัดการกันไป !ไล่เรียงมาตั้งแต่ เริ่มต้นรัฐประหาร ซึ่งบรรดาทหารก็ทำเพราะไม่ต้องการให้เกิดการนองเลือดในการชุมนุมใหญ่ที่จะมีขึ้น (แม้ว่า ที่ผ่านมา การชุมนุมของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย จะได้รับการกล่าวขวัญว่า ‘เป็นไปด้วยความเรียบร้อย' ก็ตาม) หรือ เพราะเหตุว่าอาจมีการขนส่งยาเสพติดกันในบริเวณชายแดน มีปัญหาแรงงานข้ามชาติ จึงต้องมีการคงกฎอัยการศึกเอาไว้ (ทั้งก่อน-หลังประชามติ) เพื่อรักษา ‘ความมั่นคงภายใน'การรณรงค์ให้ไปลงประมาติรับรัฐธรรมนูญ เพื่อให้บ้านเมืองสงบ นี่ก็เรื่องของความมั่นคง (แม้ว่า การไปลงประชามติ รับ-ไม่รับรัฐธรรมนูญ จะเป็น ‘สิทธิ' ที่หลายคนในกองทัพบอกว่า ‘เคารพ' ก็ตาม) งบประมาณจากภาษีของประชาชนไม่รู้กี่....ล้าน ที่จะต้องนำไปใช้ซื้อรถหุ้มเกราะ เครื่องบินรบ เรือดำน้ำ ซึ่งก็เพื่อ ‘ความมั่นคง' ของกองทัพ ของประเทศล้วนๆ การผ่านวาระแรกของ พ.ร.บ. การรักษาความมั่นคงภายใน ที่ประชาชนอาจถูกกักบริเวณได้ ค้นบ้านได้ ห้ามชุมนุมได้ ปิดถนนได้ แต่...ก็เพื่อ ‘ความมั่นคง' ทั้งนั้น เพราะฉะนั้น เอกสารลับคราวนี้ ก็อย่างที่ทหารบอกนั่นแหละว่า เพื่อป้องกันการ "คิดบัญชี" อันอาจเป็นภัยต่อความมั่นคงของทหารที่ทำรัฐประหารของชาติ ก็เท่านั้น ส่วนเรื่องความเป็นกลางนั้น ก็ให้เป็นหน้าที่ของ กกต.ช่วยตีความให้ ไล่ดูตั้งแต่การจัดการลงประชามติที่ผ่านมาก็ได้ แม้ว่า กกต.บางคน (สองคน) จะเป็นกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับที่จะนำมาลงประชามติด้วย และบางทีเจ้าหน้าที่ กกต.บางคนก็ออกมาห้ามการรณรงค์ไม่รับรัฐธรรมนูญเป็นระยะๆ หรือไม่ก็ปล่อยให้องค์กรของรัฐบาล ซึ่งมีหน้าที่จัดการลงประชามติ ออกโรงมารณรงค์เรื่องรับรัฐธรรมนูญด้วยตัวเองแต่ก็ยังยืนยันว่า กกต. ‘เป็นกลาง' มาตลอดเพราะฉะนั้น เลือกตั้งคราวนี้จึง ‘ไม่น่ากังวล' เลยแม้แต่น้อย  ความมั่นคงเป็นเรื่องของทหาร ความเป็นกลางก็ยกให้เป็นหน้าที่ของ กกต. ส่วนประชาชนตาดำๆ อย่างเราๆ เขาบอกว่า มีหน้าที่กา (ก็กาไป) ขออย่างเดียว ผลออกมาเป็นยังไง อย่ามาว่า... ‘โง่' ก็แล้วกัน 
new media watch
  แนวคิดเรื่อง ‘ห้องสมุดไร้กำแพง' หรือ Library without wall ถูกพูดถึงในหลักสูตรการเรียนรู้ของเหล่าบรรณารักษ์มาหลายปีดีดักแล้ว และระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ตก็กลายเป็นเครื่องมือสำคัญในการทำลายกำแพงห้องสมุดลง เพื่อทำให้แนวคิดนี้เป็นจริงขึ้นมาได้พักหลังๆ เลยไม่ค่อยมีคนติดกับภาพบรรณารักษ์ยุคก่อนๆ ที่ต้องอนุรักษ์ความเชย ความเฮี้ยบ และเงียบเอาไว้กับตัว เพราะบรรณารักษ์ยุคใหม่เปิดตัวเองกับโลกภายนอก (และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม) มากขึ้นเยอะบล็อกยอดนิยมเจ้าหนึ่งในเวิร์ดเพรส ได้แก่ บล็อกเกี่ยวกับห้องสมุด projectlib.wordpress.com ซึ่งเจ้าของบล็อกประกาศตัวว่าเป็นหนอนหนังสือเต็มขั้น และเป็นหนึ่งในบรรณารักษ์ยุคดิจิทัลที่ติดตามข่าวสารบ้านเมืองพอๆ กับที่สนใจข้อมูลที่เป็นสาระความรู้อื่นๆ ด้วย เพราะอย่างนี้ความเคลื่อนไหวใหม่ๆ ในแวดวงต่างๆ นอกเหนือจากเรื่องหนังสือ ห้องสมุด วัฒนธรรม สังคม ที่น่ารู้ เลยถูกรวบรวมเอาไว้ในบล็อกนี้อย่างจุใจที่สำคัญ บรรณารักษ์ที่นี่ไม่มองลอดแว่นหรือทำตาเขียว กรณีที่ใครคิดจะอ่านออกเสียงดังๆ หรือจะเอาอาหารมากินประกอบการอ่านบล็อกห้องสมุดแห่งนี้แน่ๆ
การะเกต์ ศรีปริญญาศิลป์
วันอมาวสีครั้งต่อไป 10 ธันวาคม 2550 นะคะ“น้ำใจให้น้องปิ่น” เด็กหญิงพิการที่ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ แต่ทุกคนในครอบครัวยังมีความหวังและมองโลกในแง่ดีเสมอ อ่านเรื่องของน้องปิ่นกับแม่ได้ที่นี่ สนับสนุนเงินทุนช่วยเหลือตามกำลังศรัทธาได้ที่หมายเลขบัญชี 05-3405-20-093267-0น.ส.สีไวย คำดา เพื่อ ด.ญ.วรัญญา ฟินิวัตร์ ธ ออมสิน สาขามหาวิทยาลัยเชียงใหม่“สมทบทุนค่าอาหารและรักษาพยาบาลหมาแมวพิการ ป่วยไข้ ถูกทอดทิ้ง ตามกำลังศรัทธา”เลขที่บัญชี 1210101483 น.ส. นันท์ธนัตถ์ จิตประภัสสรธ กรุงไทย สาขาบางบัวทอง หรือจะส่งเป็นอาหารหมาแมวก็ได้ค่ะ ที่97 หมู่ 2 บ้านหนองคาง ต.หนองราชวัตร อ.หนองหญ้าไซ จ.สุพรรณบุรี 72240
โอ ไม้จัตวา
เทศกาลโคมลอยผ่านไปอย่างท้าทายภาวะโลกร้อนที่คนทั้งโลกต่างพากันหวั่นวิตกอยู่ในขณะนี้ ประเพณียี่เป็ง หรือลอยกระทงของคนไทยเพิ่งผ่านไป...เมืองเชียงใหม่มีโคมลอยเป็นเอกลักษณ์  และเป็นสัญลักษณ์อันโดดเด่นของประเพณีนี้ จนคนทั่วประเทศนำการปล่อยโคมไปใช้ในงานต่าง ๆ ตั้งแต่เหนือจรดใต้ ภาพโคมนับร้อยนับพันที่ปล่อยขึ้นฟ้า แสงไฟระยิบระยับ เป็นความงามอันต้องตาต้องใจผู้คน เป็นภาพประทับใจนักท่องเที่ยว จนกลายเป็นจุดขาย  ปีนี้มีการปล่อยโคมที่ข่วงประตูท่าแพ กลางเมืองเชียงใหม่ พันห้าร้อยลูกเพื่อถวายพ่อหลวง  ยังไม่นับการปล่อยทุกปีที่แม่โจ้ และตามถนนหนทางต่าง ๆ แม้แต่ถนนนิมมานเหมินท์ จากวิถีชีวิตของชาวบ้านกลายเป็นวิถีชีวิตของการท่องเที่ยว  ปีที่แล้วฉันขายโคมลอยได้เงินมามากอย่างไม่น่าเชื่อ และพบว่าหลังจากนั้นไม่นาน เมืองเชียงใหม่ตกอยู่ในภาวะหมอกควันพิษ จาการเผาไหม้สิ่งต่าง ๆ ที่ตามมา ปฏิเสธไม่ได้ว่าส่วนหนึ่งควันเหล่านั้นมาจากโคมลอยด้วย เนื่องจากพื้นที่เชียงใหม่เป็นแอ่งกระทะ ควันลอยขึ้นไปยังไม่ทันพ้นเมือง ก็โดนมวลอากาศเย็นกดทับลงมา ควันพิษจึงลอยไปไหนไม่ได้ เดิมชาวเหนือปล่อยโคมลอยเพื่อนมัสการพระธาตุจุฬามณีบนสรวงสวรรค์  ลอยกระทงเพื่อบูชาพระแม่คงคา บนพื้นที่ที่ไม่มีแม่น้ำจึงมีปล่อยโคมลอยแทน  การปล่อยโคมของชาวบ้านนั้น เพื่อนชาวเหนือเล่าว่า เขาจะแบ่งเขตในหมู่บ้าน แต่ละเขตจะร่วมมือร่วมใจกันทำโคมขึ้นมาหนึ่งลูกแล้วร่วมกันปล่อยโคมบูชาฟ้า  ไม่ได้ปล่อยเป็นบ้าเป็นหลังบูชาการท่องเที่ยวอย่างทุกวันนี้  ปีนี้ฉันไม่ซื้อโคมมาขาย เพราะตระหนักถึงภาวะโลกร้อน ที่ควรเป็นภาวะแห่งโลก และทุกคนควรตระหนักอย่างยิ่ง แต่จุดขายทางการท่องเที่ยวก็ยังชนะเหมือนเดิม ถ้าเรารักโลก โลกก็รักเรา  การปล่อยโคมลอยปีนี้มีสัญญาณเตือนจากฟ้ามาถึงผู้บริหารเมือง เมื่อนายกเทศมนตรีสาวปล่อยโคมลอยซึ่งมีขนาดใหญ่เป็นพิเศษจากการจัดขึ้นเพื่อให้เป็นจุดเด่นในพิธีกรรมทางการท่องเที่ยว ภาพข่าวที่ควรจะสวยสดงดงาม เป็นการเปิดฤดูการท่องเที่ยวไฮซีซันปีนี้  จึงกลายเป็นภาพขึด (อัปมงคล) เมื่อโคมยักษ์นั้นลอยขึ้นไปไม่ถึงไหนก็ร่วงตกลงมาโดนยอดเจดีย์ขาว เจดีย์คู่เมืองเชียงใหม่ ซึ่งตั้งอยู่หน้าเทศบาลหักลงมา สร้างความประหวั่นพรั่นพรึงให้กับชาวบ้านยิ่งนัก หรือนี่คือเสียงเตือนจากผีบ้านผีเมือง จากฟ้า ว่าถึงเวลาแล้วหรือยังที่คุณควรจะหันกลับมามองความเป็นจริงตรงหน้า  มองชาวบ้านที่หลับตาลงอย่างหวาดกลัวกับเทศกาลยี่เป็ง กลัวว่าโคมลอยจะตกลงหลังคาบ้าน (เฉพาะวันที่ 24 พ.ย.50 ไฟไหม้จากเหตุโคมลอย 17 จุด ในเมืองเชียงใหม่) ไฟไหม้บ้านทีก็ไม่รู้จะจับมือใครดม ทั้งที่เป็นอาญาแผ่นดิน ไม่นับเสียงประทัดใหญ่น้อยที่ดังจนกลายเป็นเชียงใหม่ในสงคราม หมาแมวนอนสะดุ้งกันทุกคืน ประเพณีบูชาฟ้า บูชาน้ำอันงดงามของชาวเหนือหายไปไหนหมด ถึงเวลาหรือยังที่เราต้องปิดเสียงการท่องเที่ยวลงบ้าง และหันมามองดูโลกแห่งความเป็นจริงที่กำลังดำเนินอยู่ขณะนี้.ภาพประกอบ  ดูในนี้ค่ะ http://www.cm108.com/news2web/yeepeng.php
มูน
ใกล้บ้านเช่าหลังเก่าของฉันที่ขอนแก่น มีวัดป่าแห่งหนึ่งร่มครึ้มไปด้วยต้นไม้นานาพันธุ์ ฉันชอบไปเดินเล่นดูโบสถ์เก่าแก่คร่ำคร่าเต็มไปด้วยรอยตะไคร่ ไปนั่งฟังเสียงลมพัดใบไม้ และนั่งเล่นริมบึงกว้างใหญ่ที่เต็มไปด้วยปลา เป็นวัดที่ให้บรรยากาศสงบงามสมกับเป็นสถานที่สำหรับ "หนีร้อนมาพึ่งเย็น" จริงๆ แต่ฉันไม่เคยเห็นวัดไหนเต็มไปด้วยไก่เท่าวัดนี้ ไก่หลากสีหลายขนาดเดินกันขวักไขว่ นับคร่าวๆ ได้สักหกหรือเจ็ดสิบตัว หลายตัวบินขึ้นไปเกาะอยู่บนกิ่งเตี้ยๆ ของต้นก้ามปูใหญ่ เจ้าอาวาสบอกว่า คนแถบนี้นิยมปล่อยไก่เป็นการสะเดาะเคราะห์อย่างหนึ่ง"สมัยก่อนเขาต้องตัดหางด้วยนะ ที่เรียกว่าตัดหางปล่อยวัดไงล่ะ" ฉันถามถึงจำนวนไก่ เจ้าอาวาสบอกนับไม่ถ้วนสักที เดี๋ยวเพิ่มเดี๋ยวลดที่เพิ่มก็เพราะมีคนมาปล่อยอยู่เรื่อยๆ ที่ลดก็เพราะมีคนมาขโมย(เรื่อยๆ เหมือนกัน)เช่นเดียวกับปลาในบ่อที่มีคนมาปล่อย แล้วก็มีคนมาแอบวางเบ็ดทอดแหอยู่บ่อยๆ ทั้งที่มีป้าย "ห้ามจับปลาในวัด" ปักอยู่ทนโท่ คนเราต่างจิตต่างใจ การเข้าวัดไม่ได้หมายถึงศรัทธาอันบริสุทธิ์ผ่องแผ้วแต่เพียงอย่างเดียว นอกจากไก่และปลา สัตว์ที่คนขยันปล่อยวัดรองลงมาคือหมาๆ แมวๆ"เขาปล่อยหมาแมวสะเดาะเคราะห์กันด้วยหรือคะหลวงพ่อ" ฉันถามเจ้าอาวาส มองหมาที่นอนเรียงรายอยู่ใต้ถุนกุฏิ ท่านหัวเราะหึๆ บอกว่า "ไม่ใช่หรอก มันเป็นเรื่องของคนที่อยากผลักภาระออกจากตัวน่ะ" ความเป็นมาของหมาแมวแต่ละตัวในวัด เป็นเรื่องที่พระและเณรขยันเล่าให้ฉันฟัง บางเรื่องฉันก็ประสบด้วยตนเองวันพระหนึ่ง หลังจากทำบุญฟังสวดและกรวดน้ำเสร็จสรรพ พระรูปหนึ่งที่คุ้นหน้ากันดีกวักมือเรียกให้ฉันตามไปดูกล่องกระดาษใบหนึ่งที่ถูกวางทิ้งไว้ข้างกำแพงหลังวัด สภาพกล่องเปียกแฉะจนยุ่ย คงเพราะฝนที่ตกหนักเกือบตลอดคืนที่ผ่านมา ในนั้นมีลูกแมวน้อยๆ อยู่สามตัว เปียกโชกจนดูเหมือนก้อนสำลีเปียกๆ และสกปรก"คงเอามาทิ้งเมื่อวานหรือเมื่อคืน แต่อาตมาเพิ่งรู้เมื่อกี้ที่เด็กไปบอก" หลวงพี่บ่น "คนหนอคน จะทิ้งทั้งทีก็ไม่ยักไปทิ้งในวัด วางตากฝนไว้ได้"ฉันนั่งยองๆ สำรวจลูกแมวในกล่อง ตัวหนึ่งตายแล้ว ตาลืมโพลง ตัวเย็นเฉียบ อีกสองตัวนอนหายใจแผ่วๆ ตัวสั่นริกๆ ด้วยความหนาว น้ำมูกข้นๆ สีเหลืองไหลย้อยจนตันรูจมูก "ช่วยมันหน่อยเถอะโยม นึกว่าทำกุศล" หลวงพี่บอกแล้วช่วยหาเศษผ้าเหลืองในวัดมาให้ห่อลูกแมวทั้งสอง เรียกเด็กวัดมาเอาลูกแมวตัวที่ตายไปฝัง ฉันหอบแมวน้อยไปหาหมออนันต์ สัตวแพทย์เจ้าประจำที่รู้จักสมาชิกบ้านสี่ขาเกือบทุกตัว คุณหมอตรวจแมวแล้วส่ายหน้า "ปอดอักเสบ ขาดอาหารด้วย มันยังไม่อดนมเลย ร่างกายอ่อนแอมาก ผมไม่แน่ใจว่ามันจะรอด"หมอฉีดยาลูกแมวแล้วฉันก็หอบกลับไปประคบประหงมที่บ้าน พยายามหยอดน้ำนมและหยอดยา เปิดโคมไฟส่องไว้ให้มันอบอุ่น แต่ลูกแมวอยู่ได้แค่สามวันก็ตาย ฉันกลับมาแจ้งข่าวให้หลวงพี่ทราบ "กรรมของแมว กรรมของคนทิ้งแมว" หลวงพี่บอกเณรองค์หนึ่งเล่าว่าเคยเห็นรถยนต์คันหนึ่งแล่นเข้ามาวนเวียนอยู่ในบริเวณวัด ตอนแรกคิดว่าจะมาทำสังฆทานหรือมาพบเจ้าอาวาส เณรกำลังจะลงจากกุฏิไปถาม ก็เห็นรถจอด มีคนอุ้มห่ออะไรสักอย่างมาวางไว้ข้างศาลาแล้วขับรถออกจากวัดไปเลย เณรเข้าไปดูพบว่าเป็นผ้าขนหนูที่ห่อหมาพุดเดิ้ลสีดำขนหยิกหยองตัวหนึ่ง น่าสงสัยว่าทำไมเอาหมาสวยๆ มีราคามาทิ้ง นั่งดูอยู่พักหนึ่งถึงรู้คำตอบ หมาเป็นอัมพาตเกือบทั้งตัว ขาทั้งสี่เหยียดเกร็งและคอเอียงไปข้างหนึ่ง เจ้าของคงคิดว่าเป็นภาระเกินกว่าจะเลี้ยงไว้เจ้าพุดเดิ้ลไม่กินข้าวกินน้ำเลย เณรน้อยสงสารหมาจึงเอานมกล่องที่มีคนใส่บาตรมาหยอดใส่ปากมัน แต่ก็ไหลหกออกมาหมด เพราะมันไม่สนใจจะกิน เอาแต่ร้องและพยายามกระเสือกกระสนทั้งที่ขยับตัวแทบไม่ได้ มันคร่ำครวญทั้งวันทั้งคืน ไม่กี่วันก็หมดแรงและหมดลม "มันคงคิดถึงเจ้าของ อยากกลับบ้าน" เณรน้อยบอกเศร้าๆ.......................ครั้งหนึ่งฉันเอาข้าวไปให้หมาแมวในวัด เจ้าอาวาสก็เดินลงมาหา"ให้เด็กๆ คอยดูๆ อยู่ว่าโยมจะเข้ามาอีกเมื่อไร มีธุระจะไหว้วาน" ท่านบอก"จะให้ทำอะไรคะ" ฉันถาม"เห็นโยมสนใจหมาแมว คงจะรู้จักหมอดีๆ อยากให้ถามว่าเขาจะมาช่วยฉีดยากันหมาบ้าที่วัดได้ไหม จะให้พระพาไปหาหมอคงจะลำบาก คนมาทำบุญบางคนเขาบ่น อาตมาจะได้บอกว่ามันฉีดยาหมดแล้ว เขาจะได้สบายใจกัน""ได้สิคะ ได้" ฉันรีบรับคำ "มีหมอใจดีอยู่คนหนึ่งค่ะ เดี๋ยวจะไปนัดให้ว่าหมอจะมาได้วันไหน""บอกหมอว่าไม่ต้องกลัว อาตมาจะให้เณรช่วยกันจับหมา"หมออนันต์หิ้วกระเป๋ายามาที่วัดในเช้าวันหนึ่ง มีเณรคอยอุ้มหมามาให้ฉีดยาทีละตัว บางตัวเห็นเพื่อนร้องเอ๋งๆ ตอนฉีดยา มันรีบวิ่งหนี เณรน้อยสองสามองค์ต้องวิ่งไล่จับหมาจนจีวรปลิว หมอยังฉีดยาคุมกำเนิดให้หมาตัวเมียอีกด้วย กว่าจะเสร็จก็เกือบเพล เจ้าอาวาสลงมาจากกุฏิถามหมอว่าค่ายาเท่าไร"ไม่ต้องค่ะหลวงพ่อ หนูขอทำบุญ" ฉันบอก เมื่อท่านเจ้าอาวาสให้ศีลให้พรเรียบร้อยแล้ว ฉันก็ติดรถหมอกลับมาที่คลินิกในเมืองเพื่อเคลียร์ค่าใช้จ่าย พอเปิดกระเป๋าเตรียมควักสตางค์ หมออนันต์ก็บอกว่าคิดแต่ค่ายา และขอคิดแค่ครึ่งเดียว"ผมก็อยากทำบุญเหมือนกัน"ฉันย้ายบ้านสี่ขามาจากที่นั่นนานแล้ว แต่หมออนันต์ยังรับรักษาสัตว์อยู่ในคลินิคเล็กๆ เหมือนเดิมส่วนวัดป่าแห่งนั้น ก็ยังคงเป็นวัดป่าที่แสนสงบ เต็มไปด้วยต้นไม้ ไก่ ปลา หมา แมว ยังคงมีคนแวะเวียนไปทำบุญ(บางทีก็ทำกรรม) อย่างสม่ำเสมอบางคนไปแบบทูอินวัน คือ หิ้วของไปทำบุญ กับหอบหมาแมวไปทิ้งที่วัดพร้อมกันในคราวเดียว ไม่ให้เสียเที่ยวที่ไปวัด!
กาญจนา แถลงกิจ
วันที่ 25 เดือนพฤศจิกายนของทุกปีเป็นวันแห่งการรณรงค์ยุติความรุนแรงต่อเด็กและผู้หญิง ทั่วโลกพร้อมใจกันทำกิจกรรมรณรงค์กับสังคมสาธารณะ แต่หลายๆ องค์กรก็เลือกที่จะทำให้เดือนพฤศจิกายนทั้งเดือนเป็นเดือนแห่งการรณรงค์เพื่อยุติความรุนแรง และพ่วงประเด็นเรื่องสิทธิมนุษยชนเข้าไปด้วย ไม่ใช่จัดกิจกรรมเฉพาะวันที่ 25 พฤศจิกายนกันเพียงวันเดียวเท่านั้น จึงไม่แปลกใจที่จะเห็นหลายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดกิจกรรมกันตลอดทั้งเดือน และสื่อทุกแขนงก็พร้อมใจกันนำเสนอข่าวหรือกิจกรรมกันอย่างต่อเนื่องในหน้าข่าวของประชาไทดอทคอม ได้นำเสนอบทความข่าวในหัวข้อ "ขบวนการแรงงานฯ จัดงานวันยุติความรุนแรงต่อผู้หญิงและเด็ก ระบุ 'เหล้า' สาเหตุสำคัญของปัญหา" (ติดตามอ่านรายละเอียดได้ใน http://www.prachatai.com/05web/th/home/10346)  ซึ่งเป็นการรายงานข่าวการรณรงค์ของมูลนิธิเพื่อนหญิง ร่วมกับ ชมรมเพื่อนเพื่อเพื่อน และสหภาพแรงงานอัญมณีและเครื่องประดับสัมพันธ์ เมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน 2550 ในเขตจังหวัดลำพูน ในรายงานข่าวได้นำเสนอข้อมูลจากนายสุชาติ ตระกูลหูทิพย์ ตัวแทนมูลนิธิเพื่อนหญิงว่า การให้บริการคำปรึกษาของศูนย์พิทักษ์สิทธิสตรี มูลนิธิเพื่อนหญิง มีผู้มาขอคำปรึกษา 719 กรณี ซึ่งส่วนใหญ่เป็นปัญหาความรุนแรงในครอบครัว ได้แก่ สามีไปมีหญิงอื่น สามีทำร้ายร่างกาย สามีไม่รับผิดชอบครอบครัว ซึ่งในจำนวนนี้มี 114 กรณี หรือประมาณร้อยละ 16 มีเหล้าเข้ามาเป็นปัจจัยร่วมให้เกิดเหตุการณ์ความรุนแรง หากจะพูดอย่างง่ายๆ คือ ในความรุนแรงที่เกิดขึ้นทุกๆ 6 กรณี มีเหล้าเป็นส่วนก่อความรุนแรง 1 กรณีโดยคุณสุชาติได้กล่าวสรุปว่าต้นเหตุของปัญหาสำคัญที่สุดในปัจจุบันก็คือ การดื่มเครื่องดื่มมึนเมาแล้วก่อเหตุรุนแรงโดยผู้ชายนั่นเองข้อสรุปดังกล่าว พลอยทำให้นึกย้อนไปถึงกิจกรรมเสวนาของกลุ่มนักวิจัยจากคณะทำงานเรื่องผู้หญิงในงานเอดส์ที่ได้ลงไปแลกเปลี่ยนประสบการณ์จากการทำวิจัยเรื่อง "เรื่องเล่าความรุนแรงและเอชไอวี/เอดส์ ร่วมกับชาวบ้านในชุมชนจังหวัดสุรินทร์ เนื่องในงานรณรงค์ยุติความรุนแรงไปเมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ในช่วงหนึ่งของการสนทนา ก็มีตัวแทนผู้หญิงในชุมชนคนหนึ่งลุกขึ้นมาหยิบยกปัญหานี้ขึ้นมาอภิปรายเช่นเดียวกัน แต่ในครั้งนั้นได้มีการเปิดประเด็นคำถามที่ชวนกันคิดต่อไปอีกว่า แท้จริงแล้ว ‘เหล้า’ เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ผู้ชายกระทำความรุนแรงต่อผู้หญิง จริงหรือไม่? แล้วเหตุใดผู้ชายอีกหลายคนที่ดื่มเหล้า แต่ก็ไม่ได้เลือกที่จะใช้ความรุนแรงกับผู้หญิงเสมอไปล่ะ น่าคิดเหมือนกันหรือว่านั่นเป็นเพียงมายาคติที่คนมักเข้าใจว่า ผู้ชายที่ดื่มเหล้ามักจะกระทำความรุนแรง ด้วยแรงขับจากฤทธิ์เหล้ากันแน่ สมมติฐานเช่นนี้ มักจะอธิบายว่าผู้ชายดีๆจะแปลงร่างเป็นผู้ชายเลวเมื่อเหล้าเข้าปากไปแล้วคุณพ่อท่านหนึ่งที่นั่งฟังการสนทนาได้ให้ความเห็นไว้น่าสนใจว่า พฤติกรรมความรุนแรงนั้นมีสาเหตุมาจากสภาพจิตใจของแต่ละคน การควบคุมจิตใจให้มีสติสัมปชัญญะนั้นจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อ คนยึดมั่นอยู่ในศีลธรรม อีกหนุ่มหนึ่งที่มาจากเครือข่ายครอบครัว ช่วยเพิ่มเติมมุมมองปัญหาที่มาจากสาเหตุของสภาพแวดล้อมและการเลี้ยงดูในครอบครัวว่า พ่อแม่ต้องเป็นตัวอย่างที่ดีให้กับลูกๆ และความอบอุ่นในครอบครัวจะช่วยหาทางออกให้ปัญหา ก็ว่ากันไปตามฐานความคิดความเชื่อของแต่ละคนฉันเห็นด้วยอย่างแรงว่า เหล้านั้นเป็นปัจจัยร่วมให้เกิดความรุนแรง แต่การวิเคราะห์ว่า เหล้าเป็นสาเหตุของปัญหานั้นอาจจะต้องมองไปให้ลึกซึ้งมากขึ้นไปกว่านี้ เหล้าอาจเป็นเพียงภาพสะท้อนปัญหาและสภาพจิตใจของผู้ที่กระทำความรุนแรง ที่อาจถูกกดดันจากสภาพสังคมและเศรษฐกิจรอบตัว เพราะการที่ผู้ชายคนหนึ่งตัดสินใจจะใช้ความรุนแรงกับผู้หญิงและเด็ก ในหลายๆครั้ง ก็ไม่ได้ปฏิบัติการในขณะที่ตัวเองอยู่ในสภาพเมามายเสมอไป แต่ทำลงไปในขณะที่ยังมีสติสัมปชัญญะดีๆ อยู่นี่เอง คุณมลฤดี ลาพิมล ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ร่วมสนทนาได้ให้แง่มุมความคิดเห็นต่อข้อเสนอต่อการสร้างสภาพแวดล้อมและการเลี้ยงดูในครอบครัวไว้ได้อย่างน่าสนใจว่า  การที่พ่อแม่ให้ความอบอุ่นและเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับลูกๆ นั้นเป็นเรื่องดีแน่ แต่การเป็นแบบอย่างที่ดีนั้นเป็นแบบอย่างที่ดีแบบไหน ก็อาจต้องมาทำความเข้าใจกันอีกว่ามาจากความคิดความเชื่อแบบใด หากครอบครัวนั้นเชื่อว่า ลูกชายเป็นผู้สืบสกุลและต้องได้รับโอกาสและความก้าวหน้าในการเรียนมากกว่าลูกสาว หากว่าต้องเลือกด้วยข้อจำกัดทางการเงินของครอบครัวและในฐานะที่คนๆ หนึ่งที่น่าจะได้รับโอกาสเท่าเทียมกันในสังคม ไม่ว่าจะเพศใดก็ตาม แต่ความคิดระหว่างลูกชายกับลูกสาว ก็มักถูกนำมาเป็นเงื่อนไขในการเลือกปฏิบัติ จนนำมาสู่การกระทำความรุนแรงในเชิงโครงสร้าง ที่แทบไม่มีใครมองเห็นมุมมองของฉันและเพื่อนๆ ที่อยู่ข้างผู้หญิงที่ถูกกระทำความรุนแรง การโยนความผิดให้เหล้า จนมองข้ามวิธีคิดของผู้ชายคนนั้นว่า เหตุใดจึงเลือกใช้ความรุนแรงในการแก้ปัญหา (หรือเพิ่มปัญหาขึ้นมาอีกไม่ทราบ) นั้นยังมาจากวิธีคิดที่ถูกสั่งสมมาจากโครงสร้างสังคมและวัฒนธรรมที่อยู่ในรูปแบบความสัมพันธ์เชิงอำนาจ การใช้ความรุนแรงก็เป็นอีกกิจกรรมหนึ่งที่ผู้ชายแสดงความเหนือกว่า(ทางร่างกาย) ที่กระทำกับร่างกายของผู้หญิง เป็นการใช้ความรุนแรงมากำราบเพื่อให้คนๆ นั้นหยุดนิ่งและยอมจำนนกับอำนาจของตน จะกินเหล้าอีกกี่ขวด หรือจะไม่กินมันเลย  แต่ถ้าไม่เปลี่ยนวิธีคิดของผู้ชายที่มีต่อผู้หญิง ทั้งในเรื่องอำนาจ – ความอ่อนโยน - ความแข็งแรง-ความอ่อนแอ ปัญหาความรุนแรงก็ยังอยู่ ไม่ไปไหน และจะยังแข็งแกร่งยิ่งขึ้นกว่าเดิมใครตบตีใคร ใครทำร้ายใคร ก็อยู่ที่ว่า คนๆนั้นกำลังเชื่อเรื่องอะไรอยู่...
พันธกุมภา
ข้าพเจ้าเพิ่งเริ่มเข้าใจว่าชีวิตที่เกิดขึ้นมานี้มีแต่ “ทุกข์” ทั้งๆ ที่หลายเรื่องราว เราสามารถที่จะพบกับความสุขได้โดยไม่ยาก แต่นั้นอาจไม่ใช่ความสุขที่นำไปสู่การพ้นทุกข์อย่างแท้จริงชีวิตอย่างช่วงวัยของข้าพเจ้านั้น มีหลากหลายเรื่องราวที่เข้ามากระทบ ทำให้จิตใจสับสนวุ่นวายและบางคราก็ไม่สามารถที่จะหาทางออกไปสู่เส้นทางแห่งความสงบสุขได้อย่างแท้จริง ความว้าวุ่นใจที่เกิดขึ้น ได้เป็นจุดเริ่มต้นทำให้ข้าพเจ้าเริ่มตระหนักแล้วว่า ควรจะนำพาชีวิตของตนเองให้พบกับความสุข-สงบ-เบิกบาน อย่างเอาจริงเอาจังเสียแต่โดยพลัน แม้ว่าที่ผ่านมา ข้าพเจ้าได้พาตัวเองเข้าไปสู่เส้นทางของความบันเทิงเริงใจ เที่ยวผับ เธค ยามราตรีเพื่อหาความสุข หรือแม้แต่เลือกที่จะคบกับใครสักคนเพื่อให้เขาคนนั้นได้เข้ามาช่วยเหลือเกื้อกูลให้ข้าพเจ้า ได้หลุดออกจากความว้าวุ่นใจต่างๆ ที่ดำรงอยู่การใช้ชีวิตเที่ยว เฮฮา สนุกสนานไปวันๆ นั้น เป็นเพียงการสร้างความสุขที่ใจในชั่วขณะเท่านั้นเอง หากใช่เป็นการพบกับความสุขที่แท้ ผู้เป็นนิรันดร์ได้ เมื่อช่วงหนึ่ง หญิงสาวผู้เป็นดั่งพี่-เพื่อน-แฟน ได้ชวนให้ข้าพเจ้าเข้าร่วมปฏิบัติธรรม โดยการเจริญวิปัสสนา เป็นเวลานานกว่า 10 วัน ในสถานปฏิบัติธรรมแห่งหนึ่ง  โดย 10 วัน ณ ที่แห่งนั้น ข้าพเจ้าไม่สามารถที่จะพูดคุยกับใคร ไม่สามารถที่จะใช้โทรศัพท์ หรือแม้แต่การจดบันทึกได้เลยแม้แต่น้อย สิ่งที่ครูวิปัสสนาได้ฝึกอบรมคือการเฝ้าดูลมหายใจของตนเอง หรือ “อานาปานสติ” และการตามดูอารมณ์ทางใจและกายที่ปรากฏขึ้นโดยใช้ความปล่อยวางเป็นฐานในการปฏิบัติ ซึ่งวิธีการนี้เรียกว่า “วิปัสสนา” โดยเป็นการปฏิบัติตามแนวมรรคมีองค์ 8 ตลอดระยะเวลา 10 วันนี้ ข้าพเจ้า ได้เฝ้าดูจิตของตน ได้รู้และเห็นกิเลสที่มีอยู่ภายในตน และยังได้ฝึก “อุเบิกขา” หรือการปล่อยวาง ทำใจให้เป็นกลาง เมื่อรู้สึกเกิดเวทนาต่างๆ ในร่างกายหรือจิตกระสับกระส่ายไปมากระตามเมื่อพูดถึงจิตแล้ว ก็เหมือนดั่งกบ ที่ชอบกระโดดไปมา จิตของข้าพเจ้าไม่ได้นิ่งอยู่กับที่ หากแต่กระโดดไปมาเหมือนกบ แต่เมื่อได้ลับจิตให้คม ฝึกสมาธิให้แน่วแน่แล้ว กบน้อยๆ ตัวนั้น ก็พลันหยุดกระโดดแต่สามารถอยู่ในท่าที่แน่นิ่งได้เป็นเวลานานจิตที่นิ่งเป็นอารมณ์หนึ่งของจิตที่เกิดขึ้น เมื่อจิตนิ่งแล้ว หาใช่เราจะรู้สึกชอบ หรือหากจิตกระสับกระส่ายไม่มีสมาธิ หาใช่เราจะรู้สึกไม่ชอบ หากแต่สิ่งที่เราสามารถทำได้คือ “การเฝ้าดู” อย่างอุเบกขา ไม่ตัดสิน ปล่อยวาง ทำใจเป็นกลาง เพื่อไม่สร้างโลภะ โทสะ และโมหะให้เกิดขึ้นอีกในช่วงระยะเวลา 10 วันที่ข้าพเจ้าไปเจริญอานาปานสติ-วิปัสสนา-เมตตาภาวนา แล้วนั้น ข้าพเจ้าพบว่าหนทางที่จะทำให้พ้นทุกข์หรือพบกับสุขที่แท้จริงคือการเดินตามแนวทางนี้ นี่เอง ซึ่งพระพุทธเจ้าท่านได้โปรดแก่ศิษย์ทั้งภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา มาตั้งหลายร้อยหลายพันปี(ข้าพเจ้ามีความสุขใจยิ่งนักที่ได้พบกับธรรมะในห้วงที่เป็นมนุษย์ และสามารถเริ่มปฏิบัติเพื่อให้เข้าถึงสัจธรรมอันสูงสุดได้ในภพนี้ หรือหากไม่ถึงก็เป็นทุนสำรองไว้ในภพหน้า)ดังนี้แล้ว การทำใจให้เป็นไปตามธรรมนั้น ย่อมสามารถทำได้ ไม่ว่า “คน”นั้นๆ จะอยู่ในเพศ ในเชื้อชาติ ศาสนา วรรณะ หรือวัยใดก็ตาม “ทุกๆ คน” สามารถเข้าถึงธรรมอันเป็นเครื่องยึดเหนียวแห่งจิตใจตามแต่จริตที่เหมาะสมและสอดรับกับธาตุของตนเองได้ทั้งนี้แล้ว แม้ว่าข้าพเจ้าไม่ได้อยู่ในเพศบรรพชิต หรือไม่ได้อยู่ในวัยที่อายุมากทางโลกและสังคม แต่ข้าพเจ้าได้ตั้งมั่นแก่ใจตนว่าด้วยเหตุปัจจัยต่างๆ ที่เกิดขึ้นแก่ข้าพเจ้าที่ผ่านมา ทำให้ข้าพเจ้ามองเห็นหนทางที่จะก้าวไปสู่การพ้นทุกข์อย่างแท้จริง และ ข้าพเจ้าระลึกได้กับใจตนเองว่า ช่วงเวลาที่ผ่านมาที่ข้าพเจ้าได้พบกับธรรมะนั้นถือเป็น “ธรรมะจัดสรร” แก่ข้าพเจ้าผู้มืดบอกทางปัญญา ผู้ที่ยังมีความกลัว ความโกรธและความหลงอยู่ในตน“ธรรมตามใจ” แห่งนี้ จึงเป็นดังพื้นที่การได้สนทนาและแลกเปลี่ยนกับท่านทั้งหลายในเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับธรรมะ การปฏิบัติเจริญสติในแนวทางต่างๆ การเจริญวิปัสสนา การเมตตาภาวนา หรือแม้แต่เรื่องกฎแห่งกรรม หลักธรรม คำสอน ของครูบาอาจารย์ต่างๆ ที่ได้เข้าถึงสัจธรรม เพื่อการเรียนรู้ของท่านและข้าพเจ้าร่วมกันข้าพเจ้าใคร่ขอบอกแก่ท่านทั้งหลายก่อนว่า ประสบการณ์ทางธรรมของข้าพเจ้านั้น เมื่อเปรียบเทียบกับการเจริญเติบโตของต้นไม้นั้น ข้าพเจ้าคงเปรียบดั่งเช่น ต้นไม้กล้าเล็กๆ ที่เริ่มเติบโตทีละนิดๆ เป็นเมล็ดพันธุ์ที่จะโตหรือจะไม่โต ก็อยู่ในทางเดินของชีวิตนี้  หากภาษาที่ข้าพเจ้าใช้ หรือ คำที่นำมาเขียนไม่ถูกต้อง ได้ขอให้ท่านทั้งหลายที่เข้าใจดี ได้ช่วยอธิบายและบอกเล่าประสบการณ์ ความรู้ให้ด้วยเพื่อที่ข้าพเจ้าจะได้เข้าใจสิ่งต่างๆ มากขึ้นเพื่อการทำใจให้ตามธรรมของข้าพเจ้าเพื่อธรรมที่นำใจ สู่การพ้นทุกข์และพบกับสิ่งนั้นอันประเสริฐสุด....
ชนกลุ่มน้อย
ลองแหวกพื้นเหล็กของรถจิ๊ปรุ่นสงครามโลกสิ   ก็จะพบหลุมหลบภัยจำนวนมากซ่อนไว้อย่างมิดชิด   มันอยู่ท่ามกลางความซับซ้อนของเครื่องยนต์กลไก  พะเลอโดะพูดไปพลางหัวเราะ  มีหลุมซอกซอนไปได้ทั้งคันแหละ  อยู่ใต้เบาะนั่ง  ในกลักไม้ขีดไฟ  ตามกระเป๋ากางเกง ในกล่องลังเครื่องมือ  เข้าไปในเชสซี  ยากที่สายตาจะมองผ่านไปเห็นได้ง่ายๆ   แต่ลุงเวยซากลับบอกว่า  ศาลเจ้าต้นจูเกริมน้ำแม่เงา  ช่วยปกปักรักษาพวกเราไว้  พะเลอโดะบอกว่า  ตะเคียนใหญ่ต้นนั้นศักดิ์สิทธิ์  รับคำบนบานศาลกล่าว  มีสายตาที่มองไม่เห็นอีกมาก  มองดูเราอยู่  ติดตามเราอยู่ทุกฝีก้าว   คอยสอดส่องดูความเป็นไปของชีวิตผู้คนแถบนี้มาหลายชั่วอายุคนตั้งแต่ออกมาจากริมฝั่งน้ำแม่เงา  ผมรู้สึกเหมือนเดินทางย้อนเวลา  กลับไปหาดินแดนโลกไม่คุ้นเคย  สู่พื้นที่สู้รบของกองกำลังไม่ทราบฝ่าย  เต็มไปด้วยความลี้ลับ  และอันตราย  การรู้ล่วงหน้าถึงความป่าเถื่อนที่ยังไม่เกิดขึ้น เป็นเรื่องรบกวนใจอย่างหนึ่ง   ตลอดเวลาเดินทาง  ผมอยู่ในห้วงความรู้สึกคุกรุ่นด้วยความหวาดระแวง  ถึงกระนั้นก็ตาม  พะเลอโดะเป็นเสมือนสิ่งยืนยันความปลอดภัย   พะเลอโดะชอบเดินทางกลางคืน  เขาพูดให้ชวนหัวว่า  เดินทางกลางวันมันร้อน  บนถนนเต็มไปด้วยผู้คน  กลางคืนมีโชคกว่า  เย็นสบายกว่า  อีกทั้งเป็นช่วงเวลาที่พลังชีวิตอ่อนล้าที่สุด  ธรรมชาติร่างกายต้องพักผ่อน  หาที่หลบซ่อนตัว  เก็บตัวไว้ในที่ปลอดภัย  รอให้ถึงรุ่งเช้าของวันใหม่    แต่สัตว์ออกล่าเหยื่อกลางคืน  ต้องยกเว้น     เราออกมาจากบ้านที่ตั้งอยู่โดดเดี่ยวริมน้ำสาขาแม่น้ำเงา   ลุงเวยซารู้มาตลอดว่าลำห้วยสายที่แกดื่มกิน อาบใช้อยู่ทุกวันนั้นไหลลงสู่โข่โละโกร  แต่ให้แกเดินไปนั้น  แกไม่อยากไปหรอก  สมัยที่แกยังเล็กมาก  แกเดินข้ามป่าผืนใหญ่ทั้งวันทั้งคืน  ไปข้างหน้าอย่างไม่รู้ว่าจะไปหยุดลงที่ไหน  ต้องนอนพักกลางป่า  ทำเพิงพักด้วยใบไม้กันน้ำค้าง   ค้างคืนตามห้างไร่  กว่าจะมาถึงริมฝั่งแม่น้ำเงาเวลาชั่วอายุคน  ไม่นานเกินที่จะแยกแยะว่าตรงไหนปลอดภัย   ตรงไหนเสี่ยงเป็นเสี่ยงตาย  แกมาอยู่ในที่ปลอดภัยจากการสู้รบ  เดินไปไหนตามป่าได้โดยไม่ต้องหลบๆซ่อนๆ   น่าจะเพียงพอแล้วสำหรับชีวิตหนึ่ง   ผิวหนังแกมีประกายแสงเรื่องรอง  ที่จะเรียกผมเดินตามแกไปทุกฝีก้าว  ด้วยความอยากรู้อยากเห็น  ผมเตรียมเสื้อผ้าหนาๆมาหลายชุด  พร้อมถุงเท้าหนา  ถุงมือ  หมวกถักคลุมหัว  ด้วยคิดว่ายุงน่าจะเบื่อเจาะเข้าไปให้ถึงผิวเนื้อ  แต่ลุงเวยซาทำให้ผมพบความจริงอีกด้าน  ว่าเนื้อตัวเรืองแสงเปล่าเปลือยทำให้ยุงกลัว  มีแค่เตี่ยวสะดอเก่าๆ  ไม่สวมรองเท้า  เดินไปไหนมาไหนอย่างไม่หวั่นไหวพะเลอโดะบอกว่า  ยุงแถวนี้เรียกพี่  เชื้อไข้มาลาเรียกลัว  ทำอะไรแกไม่ได้         ปากแกต่างหาก  กลับทำงานอยู่ตลอดเวลา  สูบพ่นยาสูบด้วยกล้องยาไม้ไผ่ ควันผุยๆอย่างกับควันเผาไร่    พะเลอโดะบอกว่ายุงกลัวยาสูบมากกว่ากลัวแก   เวลาแกยิ้มครั้งใด  สีดำเมื่อมจากซี่ฟันคงเปล่งแสงไล่ยุงได้ด้วยก่อนออกเดินทาง   เราต้องเดินข้ามป่ามาไกลมาก  เราน่าจะเดินตัวเบา  หากไม่มีข้าวของติดไม้ติดมือมาด้วย   ซอมีญอกับกะฌอดูแข็งแรงเกินคน  เขาแทบไม่ส่งเสียงใดๆ  ยิ้มด้วยแววตาเศร้าๆแทนคำพูด  แต่แข็งแรงอย่างกับม้า  สองคนขนของขึ้นลงอย่างคล่องแคล่ว  ในมือผมมีเพียงเต็นท์กับเป้บนหลังเท่านั้น  แต่ดูหลังของเด็กหนุ่มทั้งสองนั้น  เต็มไปด้วยข้าวของติดตัวที่ดูราวกับม้าต่างบรรทุกของมาเต็มอัตรา    ว่าไปแล้ว  ทุกชีวิตในป่าแถบนี้   ล้วนคุ้นเคยกับการย้ายถิ่นที่อยู่   เต็มไปด้วยเรื่องราวการอพยพโยกย้าย  หาที่หลบภัย  ไม่มีใครปักหลักอยู่ที่ไหนนาน   ลุงเวยซาย้ายไปมานับครั้งไม่ได้  ราวกับว่าการอพยพโยกย้ายเป็นโรคที่ระบาดอยู่ตามป่าเขาริมตะเข็บชายแดน  เชื้อร้ายฝังตัวอยู่ตามป่าแถบนี้มาหลายชั่วอายุคน  โดยเฉพาะช่วงเสียงปืนกัมปนาทขึ้นบนแผ่นดินพม่าในหน้าแล้งรถจิ๊ปจอดรออยู่กลางป่า  มันเป็นม้าโบราณที่ทนแดดทนฝน  สมบุกสมบัน  และกลมกลืนกับสีของใบไม้   เหมือนว่าถนนหนทางไม่ใช่สิ่งจำเป็นสำหรับการขับเคลื่อนไปข้างหน้า  มันพร้อมจะพุ่งไปฝ่าไปบนความรกเรื้อ  ไม่มีเส้นทาง  จนกว่าจะพบกับทางชัน  ลุงเวยซาตบหัวลูบหัวรถ ราวกับเห็นมันเป็นสิ่งมีชีวิตใหญ่โตเต็มไปด้วยพละกำลังตอนใกล้ค่ำ  ลุงเวยซาขอแวะที่ศาลเจ้าต้นจูเกริมฝั่งน้ำเงา   เด็ดดอกไม้ข้างทาง  พร้อมหมากพลูไปเซ่นไหว้ขอให้เดินทางไปโข่โละโกรอย่างปลอดภัย   ลุงเวยซาเดินกลับมาพร้อมกับหินก้อนหนึ่ง  แกบอกว่าเอาไปฝากโข่โละโกร
ปรเมศวร์ กาแก้ว
เหมือนฟ้าดำเก็บดาววิบวาวดวงและเหมือนแดดโชติช่วงกลับหุบหายเมื่อผีเสื้อปีกงามพบความตายและเหมือนฝันเกลื่อนรายเส้นทางจรใต้ใจรู้สึกโลกหมุนกลับขาวพลิกดำขลับใจโหยอ่อนดูสิน้ำตาฉันหลั่งบทกลอนผ่าวแต่ไม่ร้อนอย่างเคยเป็นยินไหม “จเรวัฒน์  เจริญรูป”ใจดั่งจะจูบแม้ทุกข์เข็ญโลกทั้งโลกรู้ความเยียบเย็นใครเล่ารู้ความเป็นของกวีเถิดพรุ่งนี้พบกันบนฟ้ากว้างพบในความอ้างว้างโค้งรุ้งสีฉันจะจำเธอไว้-ใจกวีพบในงามความดี-ฤดีดาล“จเรวัฒน์” จากแล้วเหมือนยังอยู่เหมือนยังนั่งเคียงคู่ ครูเขียนอ่านเรารู้เธอจะเป็นเช่นตำนานผู้สร้างความต้านทานทระนงอาลัยยิ่งกับการจากไปของกวีหนุ่มผู้มุ่งมั่นในงานกวีนิพนธ์ป ร เ ม ศ ว ร์   ก า แ ก้ ว๒๓ พฤศจิกายน ๒๕๕๐
ชาน่า
ห่างหายไปนานหลังจาก เปิดตัวหนังสือ “เม้าท์แตก...ชาวเรา” ได้สองวันก็ลัดฟ้า กลับไปทำงานต่อที่เรือสำราญ ณ อเมริกา  กว่าจะตั้งตัวได้เหนื่อยเอาการทีเดียวค่ะหมกมุ่นกับการทำงานและการปรับตัวสักระยะ จึงเริ่มออกไปพักผ่อนหย่อนใจ ตามประสาคนทำงาน ลอยล่องท่องไป ในโลกกว้าง  วันว่างหลังการทำงานหนักเป็นนางแบกอินเตอร์ (แบกถาดอาหารคาวหวาน)วันนี้หลังจากทำงานกลางวันรับจองห้องอาหารทางโทรศัพท์เสร็จจึงรีบออกไปเที่ยวหาดเกย์ ซึ่งเป็นแหล่งชุมชนชาวเกย์อันเลื่องชื่อของพลเมืองชาวเกาะของประเทศอเมริกา ที่อยู่ทะเลแคริบเบี้ยน  นามว่า “ St.Thomas”  U.S.V.I ย่อมาจาก United State Virgin Island.ประเด็นที่จะพูดคุยกันวันนี้ ชาน่า ตั้งหัวข้อแบบเกิดขึ้นบนพื้นฐานของเรื่องจริงที่หลายคนอาจจะไม่รู้ แต่กล้าที่จะตีแผ่ เผื่อใครจะได้เรียนรู้โลกกว้าง เปิดหูเปิดตา  ว่าแท้จริงนั้นเป็นเช่นไรก็จะไม่ให้คิดได้ยังไงคะ  วันนี้ชาน่าตั้งหน้าตั้งตาไปเที่ยวชายหาด ซึ่งเป็นของเกย์โดยตรง จุดประสงค์ก็เพียงเพื่อไปในชุมชนของชาวเรา  จะใส่บิกินี่ หรือว่ายน้ำเป็นฉลาม หรือปลาพะยูนเกยตื้นก็จะได้ไม่ต้องอายน้องนี ชี ๆ ทั้งหลาย  รวมทั้งไม่อยากให้เด็กเล็ก เด็กแดงได้เลียนแบบพฤติกรรม “แต๋วแตก”  ของกลุ่มหลากหลายทางเพศ  (เป็นการรับผิดชอบต่อสังคม จะได้ไม่ต้องให้ผู้ปกครองรับภาระหนักในการดูแลเด็ก)“แหม ...ไปเที่ยวหาดเกย์คนเดียวไปหาคู่ร่วมเพศล่ะสิ”“ได้มะ  กี่ไม้คะเพื่อน วันนี้เกิดหรือเปล่า”คำถามของเพื่อนเกย์หลายคนที่ถามไถ่จึงทำให้ย้อนกลับมามองว่า  “ทำไมเกย์ ถึงต้องหมกมุ่นกับเรื่องทางเพศ”  จริงหรือจากการวิจัยเค้าบอกว่า  เพศชายนั้นมีความต้องการทางเพศไม่ได้มากไปกว่าเพศหญิงสักเท่าไหร่นัก แต่อาจจะเป็นเพราะว่า  ชายนั้นมีความกล้าแสดงออกมากกว่าหญิง  จึงทำให้หลายคนเข้าใจว่าเพศชายนั้นมีความต้องการทางเพศมากกว่านั่นเองแล้วถ้าเป็นเกย์ล่ะไม่แปลกที่เกย์ รักสนุกหลายคนจะนิยมเปลี่ยนคู่ หรือแสดงออกถึงความต้องการทางเพศมากและง่ายกว่าชายจริงหญิงแท้เป็นหลายเท่าสาเหตุน่าจะมาจาก  “ความเป็นอิสระเสรีไม่มีขีดจำกัด”ก็เพราะเกย์หลายคนที่ครองสถานภาพโสดสนิท โสดเป็นวัน  ๆ   จึงนิยมเปลี่ยนรสนิยมทางเพศกับคู่ขา แปลกหน้า หรือหน้าแปลกทั้งหลาย  โดยพบปะเพื่อนใหม่ตามสถานที่ต่าง ๆ อาทิเช่น  ซาวน่า บาร์ ผับ แหล่งสิงสถิตของเกย์ต่าง ๆ หรือแม้กระทั่งหาดของเกย์หาดที่ชาน่าไปในวันนี้นั้นเป็นหาดที่เกย์อินเตอร์ ทั่วโลกรู้จักกันดี คือ Little Magens Bay ซี่งอยู่ทางสุดท้ายปลายทาง มุมสงบเงียบแห่งหนี่งที่ใกล้กับ Magens Bay ที่เค้าบอกชาวโลกว่า นี่คือหาดที่สวยงามหนึ่งในสิบของโลก  Magens Bay ,U.S.V.I  ตั้งใจจะไปเล่นน้ำทะเล พักผ่อน หรือจุดประสงค์รองอาจจะพบปะเพื่อนใหม่คลายเหงา สุดท้ายก็บรรลุวัตถุประสงค์ทั้งหลักและรองแต่ก็มีหลายคนที่ เกิดอาการหมกมุ่นทางเพศแสดงออกมาอย่างเห็นได้ชัด เนื่องจากว่าหาดแห่งนี้เป็นหาดเปลือยอย่างถูกต้องตามกฎหมาย  และเป็นที่รู้กันคือแหล่งของชาวเรา  จนหาชะนีไม่ได้แม้สภาพโดยทั่วไปจะเต็มไปด้วยป่าชายเลน ต้นไม้ โขดหิน ชายหาด   สิ่งที่พบเห็นเต็มตา และแทบจะเรียกได้ว่าเป็นการรบกวนหรือละเมิดสิทธิ์ส่วนตัวก็ว่าได้ นั่นคือ ชายพื้นเมือง  ซึ่งแทบจะออกแบบชาวสีผิวก็ว่าได้  ตามจิก (เกาะติด)  พอห่างจากคนหน่อยก็ช่วยตัวเอง ชวนร่วมรักกลางป่าชายเลน   บัดสีบัดเถลิง  ชาน่าบอกว่าไม่ก็คือไม่ เพราะไม่ได้ตั้งใจมาผสมพันธุ์ชายคนนี้ก็ตื้อ แล้วตื้ออีก  พอผ่านไปสักพักก็มีอีกคน ตามมาเสียบแทนชวนลงเอย เล่นรักอย่างว่า“อะไรกันเนี่ย”คำตอบที่ได้คือ ... (วันนี้) ชาน่าไม่ง่ายสำหรับคุณค่ะ  (ประเภทไม่สวยไม่หล่อ แต่หยิ่งเข้ากระดูกดำ )  (ฮา ฮา)นอกจากนั้นยังมีกลุ่มนักท่องเที่ยวเกย์ที่ควงแขนมากันเป็นคู่ ๆ นอนเป็นฮีเปลือย เปลือยฮี(เขาผู้ชาย) อย่างไม่อายฟ้าดิน เพียงเพื่อต้องการความเป็นธรรมชาติ และอาบผิวให้เป็นสีแทนทั่วเรือนร่าง รอบข้างมีถังน้ำแข็งและเครื่องดื่ม เรียกได้ว่า นอนคลุกเคล้า หิน ดินและทราย แล้วก็ยกซด ดื่มด่ำกำซ่า ท้าแดดท้าลม  “นี่ล่ะคือโลกของเรา แหล่งหาดเกย์กลุ่มเป้าหมายโดยเฉพาะ”ชาน่าพบเพื่อนใหม่คนหนึ่งที่เราคุยกันเค้ามาจากสิงค์โปร  แต่หน้าตาบ่งบอกว่าเป็นยิ่งกว่าอินเดีย  จึงใครรู้ว่า “ท่านไปมาเยี่ยงไร”   คำตอบที่ได้คือ เกย์อินเตอร์ที่รักการท่องเที่ยวจะรู้แหล่ง   ส่วนอีกคนมาคนเดียวแบบแบกเป้เที่ยวไป  แอบมองกันอยู่นานจนเกิดอาการส่งต่อมกล้า ถามไถ่ได้ความว่าบินมาจากสเปน มาพักร้อนโดยตรงฮ่า เพื่อนใหม่บางคนก็ถามชาน่าว่า มาจากที่ไหน  คำตอบที่บอกไปคือ  ญี่ปุ่นบ้าง จีนบ้างแล้วแต่อารมณ์  แต่ถ้าใครที่เราอยากจะผูกพันธมิตรก็จะตอบไปตามตรงว่า เมืองไทย เพราะไม่อยากเอาชื่อประเทศมาขายสุดท้ายจึงกลับมาคิดว่า  ทำไมชาวเกย์ถึงได้หมกมุ่นกับเรื่องเพศ แค่พบเห็นกันไม่กี่วินาทีก็จะต้องเล่นกลกามแห่งความรักกันเลยเหรอคงต้องตอบไปอย่างตามตรงว่า  คงจะใช่บางส่วนแต่บางส่วนก็ไม่ง่าย เหมือนที่ใครหลายคนคิดคนเราเลือกที่จะทำอะไรได้ตามอิสระก็จริงแต่ควรจะม้วนหน้าตีลังกาคิดว่าสิ่งที่ทำนั้นถูกผิด หรือเป็นภัย เสียหายหรือไม่เช่นไร   แล้วสิ่งที่เราเลือกทำในชีวิตก็จะถูกต้องนะคะคงเปรียบเสมือนกับคำแนะนำของทุกศาสนา หรือแม้แต่แพทย์หลายคนที่บอกว่า  อย่าหมกมุ่นกับเรื่องเพศมากนัก (ไม่ว่าจะเป็นเพศชายจริงหญิงแท้หรือ หญิงเทียม เกย์เก็กชง หรือเกย์จงใจออก)   หาทางออกอย่างอื่นเช่น ดูหนัง ฟังเพลง เล่นกีฬา  จะได้ไม่หมกมุ่นครุ่นคิดแต่เรื่องอย่างว่า  อะไรสิ่งไหนก็ตามหากมันมากไปก็ไม่ดี น้อยไปก็อาจเสียหายได้  เดินทางสายกลางได้จักดียิ่ง หรือคุณคิดเห็นเช่นไร
กฤนกรรณ สุวรรณกาญจน์
ตอนที่ 3 พระธาตุสีขาว หากมานครพนมแล้วไม่ได้ถ่ายภาพพระธาตุพนมคงดูจะกระไรๆ  ..พระธาตุพนมอยู่ภายในวัดพระธาตุพนมวรมหาวิหาร บนภูที่เรียกว่า ภูกำพร้า ริมถนนชยางกูร หมู่บ้านธาตุพนม ตำบลธาตุพนม อำเภอธาตุพนม จังหวัดนครพนม ที่น่าสนใจ คือ ภายในพระธาตุได้บรรจุพระอุรังคธาตุ (กระดูกส่วนหน้าอก) ของพระพุทธเจ้าที่อัญเชิญมาตั้งแต่ พ.ศ.8...รอบบริเวณจะมีตลาดขายสินค้าที่ระลึก อย่างเช่น โปสการ์ด รวมถึงร้านอาหารตามสั่งและสินค้าบุญ อย่างเช่น นก ปลาและเต่า ให้เอาไปปล่อยในสระโบราณกลางพระธาตุผู้ศรัทธาแห่แหนกันมาจากทั่วทุกสารทิศ ก่อนออกพรรษาจะมีการมาทำบุญเพื่อทะนุบำรุงวัดและพระธาตุ จนลานจอดรถเต็มไปด้วยรถราคับคั่ง ,เสียงบอกบุญดังออกมาจากไมโครโฟน เชิญชวนให้ทำบุญอย่างต่อเนื่อง ,หากมองจากถนน องค์พระธาตุจะสูงเสียดฟ้า โดดเด่นจากจากกำแพงวัดเป็นสีขาวสลับทองลออตา..ศรัทธาปสาทะ จากมวลศาสนิกที่เคร่งครัด.....คุณยายขายบุญร้องเรียกผมให้เข้าไปดูสินค้า“ปล่อยนก ปล่อยปลา ปล่อยเต่า ปล่อยปลาไหล ถุงละ 30 จ้ะ” แกร่ำร้อง เมื่อเห็นผมสนใจ“ถุงละ 30 ทุกชนิดหรือครับ” แกมองกล้องในมือผม ก่อนโปรยยิ้ม เป็นเชิงตอบคำถามผมอึ้ง ยืนมองดูปลาไหลในถุงขดเป็นวงๆ มันยังเด็ก ท้องสีน้ำตาลถึงยังไม่เป็นสีน้ำตาลเต็มที่“ทำไมต้องปลาไหล”“เป็นตัวแทนของพญานาคที่ปกปักรักษาเมืองจ้ะ” แกว่า“เหรอ” ผมคิด กล่าวกันว่า นครพนมมีพญานาคปกปักรักษาเมือง...เปล่า ผมไม่ได้ซื้อปลาไหลของแก ...แค่มองดูปลาไหล(สินค้าบุญ)สลับกับพญานาคริมบันไดวัดหมุน...หมุนตามแรงลม สินค้าอีกชนิดที่ขายริมกำแพงวัดสินค้าบุญ!พระธาตุสีขาวสูงเสียดฟ้าพระธาตุอีกมุมมองพระพุทธรูป ริมพระธาตุ ศรัทธาศาสนิกภายในบ้านโฮจิมินท์ สถานที่ลี้ภัยทางการเมืองของท่านตามป้ายครับเย็นย่ำ ..

แท็กล่าสุด

แท็กยอดนิยม