Skip to main content

บล็อกกาซีน ประชาไท

วาดวลี
----------ภายใต้แสงจันทร์  ที่ริมฝั่งนั้นพี่ยังจำได้ จงกลับคืนมาหารักดังเก่า  ลืมเรื่องร้ายคลายเศร้า เจ้าอย่าทำเมินไฉน พะเยารอเธอ  รอรักด้วยความห่วงใย  จะนานแสนนานเท่าไหร่  ขอให้เธอนั้นกลับมา----------“เพลงแปลกหูดีนะ ร้องเพลงอะไรเหรอ” “เพลงของเมืองที่เรากำลังจะไปนี่ไงล่ะ”คนตอบหักพวงมาลัย ซ้ายที ซ้ายที ขณะรถของเรากำลังไต่อยู่บนเส้นทางคดโค้งโอบล้อมไปด้วยภูเขา ฉันพยายามเอียงตัวเพื่อจะถ่ายรูป ฟ้ายามบ่ายสดใสเหมือนไม่มีเค้าฝน ฟังเพลงนั้นอย่างตั้งใจ “อ๋อ เพลงพะเยารอเธอ ใช่ไหม” ฉันถามอีกครั้งให้แน่ใจ คนร้องพยักหน้าหงึกหงัก ความทรงจำเก่าๆ ของเพลงต้นฉบับล่องลอยมาแต่ไกล ดนตรีเชื่องช้าที่ชวนให้นึกถึงรักอันแสนเศร้า ใบหน้าเศร้าหมองของใครคนหนึ่ง ลอยเข้ามาด้วย“ถ้าไปพะเยาเมื่อไหร่ บอกนะ จะพาไปเที่ยว” ชายหนุ่มคนหนึ่งเคยบอกไว้แบบนั้น เขาเป็นคนพะเยา เกิดที่นั่น โตที่นั่น หากแต่วันนี้เขามาอยู่เชียงใหม่ได้หลายปีแล้ว ไม่มีทีท่าว่าจะกลับบ้านเขาเลือกจะไม่อยู่เมืองนั้น ตรงข้ามกันกับบทเพลง ส่วนเหตุผลอื่น เขาบอกว่า พะเยาเป็นเมืองที่เดินช้า ใช้นาฬิกาคนละอันกับเมืองอื่น หนุ่มสาวเดินทางไปแสนไกล ทิ้งเมืองไว้เพียงเพื่อระลึกถึงวัยเยาว์ หากอยู่ที่นี่ ชีวิตไม่ค่อยเปลี่ยนแปลงอะไรนัก ไม่ทันได้ถามว่าแล้วอยากให้เมืองเปลี่ยนไปแบบไหนเขาก็สรุปด้วยเหตุผลส่วนตัวว่า“ไม่อยากอยู่ อยู่แล้วได้แต่รอ ใครแต่งเพลงไว้ไม่รู้  อยู่พะเยาแล้วต้องรอทุกที”เขาบอกแบบนี้ พาใจอกหักดวงหนึ่งเร่ร่อนไปหลายเมือง ใช้ชีวิตกิน ดื่ม เมาไปตามประสาคนโสด แต่ครั้งไหนเขาได้กลับบ้านที่พะเยา เขาก็จะโทรมาทุกครั้ง แล้วเอ่ยถ้อยคำเดิมๆ“มาพะเยาบอกนะจะพาไปดูพระอาทิตย์ตกน้ำ”เขาบอกฉันไว้อย่างนี้ แต่พอถึงเวลาจริงๆ เมื่อคิดจะไปพะเยา เขากลับปฏิเสธที่จะไปด้วย “ยังไม่อยากไปตอนนี้ ช่วงนี้ใกล้หนาว หัวใจไม่แข็งแรง”หนุ่มพะเยาให้เหตุผลพร้อมหัวเราะ ไม่ว่ากัน ฉันและเพื่อนจึงเดินทางกันมาอย่างเงียบๆ เราเดินทางไปหลายอำเภอ ทั้งดอกคำใต้ เมืองกระถินสีเหลือง ซึ่งมีคนเคยบอกว่ามีกลิ่นหอมกรุ่นละไม ปลายฝนแบบนี้น่าจะมีให้เห็น แต่ก็มองไม่ค่อยเห็น ส่วนเชียงคำ เป็นเมืองแห่งวัด มีวัดมากมายในอดีต ศูนย์กลางของชาวไทยลื้อ ฉันแวะไปดูผ้าสวยๆ ที่ศูนย์ศิลปวัฒนธรรม แต่ก็ปรากฏว่าเขาปิด สุดท้ายเราก็มายืนอยู่ในเวลาใกล้ค่ำ ที่กว๊านพะเยาผืนน้ำสีฟ้า ที่ไกลเกือบสุดสายตา ดวงตะวันที่ว่ากันว่า จะแตะลงผืนน้ำในองศาเดิม ทุกวัน เรือลำน้อยที่แล่นผ่านไปมา ในเงาของแสงอาทิตย์ ชีวิตของพ่อค้าและแม่ค้า ที่พึ่งพิงผืนน้ำและสวนสาธารณะเลี้ยงครอบครัว คนหนุ่มสาวที่มาแวะชมบรรยากาศ และนั่งท่องเที่ยวที่มาแสวงหาความสุข“เรารู้แล้วล่ะ ว่าทำไมต้อมเขาไม่อยากมารอใครที่นี่อีก”“ทำไมล่ะ” คนข้างๆ นั่งลง ขณะพระอาทิตย์กำลังเลื่อนต่ำลงมาเรื่อยๆ“ก็ดูบรรยากาศสิ เราว่ามันเหงานะ”“อือ”เขาตอบสั้นๆ เหมือนว่าจะเห็นด้วย“ที่นี่สวยนะ สวย และงดงาม แต่ก็อ้างว้างจนน่าใจหาย ถ้าหากต้องมานั่งรอใครสักคนที่นี่ นานเป็นเดือนเป็นปี คงนึกอยากกระโดดน้ำไปให้รู้แล้วรู้รอด”ฉันพูดเล่นๆ พลางหัวเราะ คนฟังก็ขำไปด้วย หยิบกล้องถ่ายรูปออกมา กดบันทึกภาพตรงหน้าเอาไว้ก่อนฟ้าจะมืด ได้ยินเสียงดังแว่วมา“ถ้างั้นก็รู้แล้วล่ะ ว่าทำไมพะเยาต้องรอเธอ”“หือ ทำไมล่ะ”คนตอบทำหน้าจริงจังบอกว่า“ก็มันเหงาแบบนี้ไง ใครๆ ก็อยากหนีพะเยาไปหมด พะเยาก็เลยต้องรอเธอ”“อ๋อ..เหรอ..อืม..”ทั้งเข้าใจและไม่เข้าใจ แต่ก็พยักหน้า เงียบงันไปกับสายน้ำที่ไหลเอื่อย เวียนวนอยู่ในกว๊าน จนแสงตะวันสุดท้ายแตะลงไป นึกถึงใครต่อใคร และนึกถึงเมืองหลายๆ เมือง ที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วแม้การเปลี่ยนแปลงอาจจะไม่ทันใจใครบางคน  แต่ฉันก็คิดว่า บางที การเดินช้าของที่นี่ น่าจะเป็นเรื่องที่ดีกว่าเมืองอื่นๆ ที่เดินทางไปอย่างรวดเร็ว และมองไม่เห็นทิศทาง ความนึกฝันของผู้คนโลดเล่นอยู่รายรอบ ความปรารถนาที่แตกต่าง และการเดินทางของความหวังมีให้เห็นอยู่ทุกหนทุกแห่งขณะดวงตะวันหล่นลงแม่น้ำไปแล้วนั้น ฉันก็กลายร่างเป็นสิ่งมีชีวิตตัวเล็กๆ ที่มองเห็นสิ่งเร้นลับมากมายในจักรวาล อันหาคำตอบได้ไม่เคยหมดและอย่างไม่มีเหตุผล เพลงพะเยารอเธอก็ยังดังแว่ว อยู่ในความคิดนั้น อยู่อีกหลายวัน..ในเวลาต่อมาว่าพะเยารอเธอ  รอรักด้วยความห่วงใย  จะนานแสนนานเท่าไหร่  ขอให้เธอนั้นกลับมา….
แพ็ท โรเจ้อร์
I HAVE NOTHING (Whitney Houston) Share my life, Take me for what I am. 'Cause I'll never change All my colors for you. Take my love, I'll never ask for too much, Just all that you are And everything that you do. I don't really need to look Very much further/farther, I don't wanna have to go Where you don't follow. I will hold it back again, This passion inside. Can't run from myself, There's nowhere to hide. (Your love I'll remember forever.) Chorus: Don't make me close one more door, I don't wanna hurt anymore. Stay in my arms if you dare, Or must I imagine you there. Don't walk away from me. (No, don't walk away from me. Don't you dare walk away from me.) I have nothing, nothing, nothing If I don't have you, you (you, you, you./If I don't have you, oh, oo.) You see through, Right to the heart of me. You break down my walls With the strength of your love. I never knew Love like I've known it with you. Will a memory survive, One I can hold on to? I don't really need to look Very much further/farther, I don't wanna have to go Where you don't follow. I will hold it back again, This passion inside. Can't run from myself, There's nowhere to hide. (Your love I'll remember forever.) (เนื้อเพลง http://www.romantic-lyrics.com/li107.shtml และมิวสิควิดีโอ http://www.youtube.com/watch?v=oMvsg0Ny5OY&mode=related&search=)หลายวันก่อนผู้เขียนกับคนสนิทไปทานข้าวกัน เรานั่งทานข้าวแล้วก็คอยฟังเพลงกัน นักร้องร้องดีมาก และนักดนตรีก็เล่นได้ดี ไม่เสียดายค่าอาหารเลยแม้จะแพง เพราะสถานที่นั้นมีเพลงสมัยที่ผู้เขียนในวัยที่มีกำลัง แต่คนสนิทเพิ่งเกิดได้ไม่นานรวมทั้งยังไม่ได้เกิดเลยด้วยถือว่าได้ฟังเพลงที่มีคุณภาพ เอาเป็นว่ามีความสุขพอสมควรเพลงหนึ่งที่นักร้องร้องคือเพลงที่ผู้เขียนเอามาเกริ่นข้างต้น ร้องได้ดีมากแล้วก็ทำให้ผู้เขียนระลึกได้ถึงสมัยคราวที่ยังเรียนอยู่ต่างประเทศในช่วงต้นของ 1990's คราวนั้นในใจไม่ได้คิดอะไรมาก ฟังเพลงอะไรก็ไม่สนุก ไม่ไพเราะ เพราะใจมัวแต่ฝักไฝ่กับการเรียนที่หนักหนาสาหัส ความบันเทิงในชีวิตขาดหายไปมากพอสมควร และทำให้มองความบันเทิงเป็นเรื่องน่าขยะแขยงและไม่น่านิยมแต่อย่างใดตอนนั้นคิดอยู่อย่างเดียวว่าต้องเรียนให้มากที่สุด เก็บเกี่ยวความรู้ให้มากที่สุด ซึ่งก็ดีใจที่ได้ทำดังนั้น แล้วก็ทำให้มองว่าความบันเทิงเป็นอาวุธสำคัญในการหลอกล่อให้คนติดกับดักไม่ให้เจริญทางปัญญาเท่าไรนัก แต่มีประโยชน์ตรงที่ว่ามีไว้เพื่อหลีกลี้หนีหายจากความจริงที่ไม่สวยสดนักในโลกความจริง แต่ก็เหมือนยาเสพติด เพราะเมื่อติดแล้วก็ถอนตัวได้ยาก ดังนั้นชนชั้นปกครองจึงนิยมใช้มาปรนเปรอชาวบ้านร้านถิ่น โดยเฉพาะที่เห็นได้ชัดคือ แถวอเมริกาใต้เอง เพราะตอนนั้นอยู่ใกล้ตรงนั้น และเห็นคนภูมิภาคนั้นหลงใหลมัวเมาแต่เรื่องเปลือกๆหนังเรื่องบอดี้การ์ดเข้าฉายตอนนั้น เป็นช่วงที่เรียนหนักอย่างที่สุด มีรุ่นน้องเอาเพลงมาฟัง มีมิวสิควิดีโอบนเคเบิ้ลทีวี เห็นวิทนี่ย์ร้องเพลงอื่นๆของหนัง แล้วมีปากสั่นๆ จนน่าตลกและตลกไทยก็เอามาล้อต่อมาในสังคมไทย ผู้เขียนไม่ได้ชื่นชมกับความบันเทิงแบบนี้ แต่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เพื่อนๆคนไทยที่เรียนด้วยอินไปกับความบันเทิงแบบนี้ ผู้เขียนก็ไม่ขัด แต่ผู้เขียนไม่สนุกด้วย ตอนนั้นฟังเพลงอื่นๆบ้างเท่านั้น เพราะเมืองนอกมีวิทยุคลื่นช่องที่มีแต่เพลงร่วมสมัยอย่างเดียว เปิดตลอดวันและคืน ซึ่งเดี๋ยวนี้เมืองไทยมีแล้ว สมัยก่อนไม่มี มีการซื้อซีดีบ้าง แต่ไม่เรียกว่าเยอะเพราะแพง แล้วก็ไม่ได้สมัครเป็นสมาชิกพวกร้านค้าซีดี ที่จะซื้อได้ทางเมล์ออร์เดอร์ราคาถูก สมัยนี้ทันสมัยกว่าเดิมแยะ ดาวน์โหลดกันง่ายดายเพราะว่าไม่ได้ใส่ใจนักกับความบันเทิง เหมือนว่าตนเองมัวแต่เดินเพื่อให้ถึงจุดหมายจนลืมว่าข้างทางก็พอมีอะไรน่าสนใจอยู่บ้าง แต่นั่นก็ไม่ใช่เรื่องที่จะต้องเสียใจ การทำงานไม่ได้ทำให้เราเลวร้าย แต่ยิ่งจะทำให้เราแกร่งขึ้น เสียดายที่ความคิดแบบนี้ไม่เกิดในสังคมไทยเท่าไรนัก หลายคนนึกว่าตนเองมีคุณภาพและความเพียรในการทำงาน แต่ที่แท้ไม่ได้มี หลายคนทำงานสำเร็จแค่ชิ้นเดียวก็กลายเป็นพระเอกนางเอก ความเพียรไม่มี ไม่ได้โชว์อย่างแท้จริง หลายคนมีตัวช่วยแยะเหลือเกิน หลายคนก็มีผลงานไม่ติดต่อกัน เพลงที่ได้ฟังวันนั้น สอนผู้เขียนได้หลายแง่ ไม่ว่าเรื่องการมองย้อนกลับไปในวันนั้นในอดีต แล้วกลับมามองในวันนี้ของปัจจุบัน เนื้อเพลงให้ความรู้สึกว่าในการดำเนินชีวิตของเรา เราต้องพึ่งพาความรู้สึกของคนอื่นด้วย หากเราต้องการความสัมพันธ์ให้เกิดขึ้น เนื้อเพลงนี้อาจจะเน่าไปสักหน่อย แต่ความจริงของชีวิตก็มีในนั้น ในฐานะที่เป็นปุถุชนธรรมดา เราอยู่คนเดียวไม่ได้ในโลกนี้ ยิ่งแก่ตัวยิ่งเข้าใจว่าทำไม สมัยหนุ่มๆสาวๆ มีแรงมาก ทำให้ไม่ง้อใครนัก เมื่อแก่ตัวลง แรงถอย เมื่อนั้นการคำนึงถึงคนรอบข้างมีความจำเป็นและสำคัญมากคนสนิทของผู้เขียนได้กระตุกความคิดของผู้เขียนหลายอย่าง โดยเฉพาะในเรื่องของค่านิยมของสังคมไทยที่ได้บรรจุในคนรุ่นใหม่ๆ คนรุ่นใหม่ส่วนมากสรรหาความสบายมากจนไม่ยอมรับความกดดันได้ หลายครั้งที่บุคคลเหล่านี้ขาดการมองที่ครบด้าน และปฏิเสธที่จะมองเพราะพอใจกับวันนี้จุดนี้เท่านั้น อันนี้แหละที่น่ากลัว ความใจดีของสังคมไทยแบบฉาบฉวยทำให้คนรุ่นใหม่หลายคนกลายเป็นคนสุขนิยมไปเสียมากแต่ลักษณะดังกล่าวนี้คงเปลี่ยนไปอีก ความเป็นพลวัตของสังคมไทยคงทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของคนรุ่นต่อๆไป กว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงมากมายเกิดต่อไป ผู้เขียนก็คงไม่อยู่ในโลกนี้แล้ว อันนี้คนรุ่นใหม่คงได้เจออะไรที่ตนเองได้ทำขึ้นส่วนหนึ่ง ในวันนี้ ความคิดคำนึงของผู้เขียนค่อยๆเปลี่ยนไป ไม่ได้บันเทิงมากขึ้น แต่หันมาให้ความเข้าใจกับคนรอบตัวมากขึ้น ส่วนคุณภาพการทำงานที่เคยมีคับแก้วนั้นไม่ได้ลด แต่รู้วิธีที่ถนอมแรง ยกคนที่ควรยก ข่มคนที่ควรข่ม เรียนรู้ที่จะเข้าใจคนในสังคมนี้มากขึ้น เพราะยิ่งอยู่นานเหมือนรู้จักน้อยลง เป็นความขัดแย้งที่เกิดขึ้นทั้งที่เหมือนว่าเรารู้จักสังคมนี้มากขึ้น แต่อยู่ๆไปก็เห็นว่าสังคมนี้น่าค้นหาและไม่รีบด่วนที่จะสรุปอย่างชัดเจนมากนัก ทิ้งปริศนาให้มองต่อไปได้อีกเวลาเท่านั้นจะเป็นตัวกำหนดทุกอย่าง
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
ชีวิตของผมเป็นชีวิตที่ประสบกับภาวะขึ้น ๆ ลง ๆ เหมือนเส้นกราฟมานับครั้งไม่ถ้วน หรือถ้าจะพูดให้ชัดเจนและเข้าใจกันได้ง่าย ๆ แบบภาษาชาวบ้านก็คือ เป็นชีวิตที่ประสบกับความรุ่งเรืองและตกต่ำตามวิถีทางและอัตภาพของตัวเองสลับกันไปมา...นับครั้งไม่ถ้วน นั่นเองแต่ก็แปลก...จนป่านนี้ ผมก็ยังไม่อาจทำใจยอมรับและรู้สึกว่า มันเป็นเรื่องธรรมดาของชีวิตที่ต้องมีขึ้นมีลง นั่นคือเวลาที่ชีวิตผมขึ้นหรือรุ่งเรือง ผมก็จะรู้สึกว่าตัวเองฟูฟ่องพองโต และมองดูโลกนี้สวยงามสดชื่นรื่นรมย์ น่าอยู่น่าอาศัย...ราวกับสวรรค์บนพื้นพิภพแต่พอถึงเวลาที่ชีวิตเริ่มลงหรือตกต่ำ ผมก็จะรู้สึกว่าตัวเองเริ่มห่อเหี่ยวฟุบแฟบ เหมือนลูกโป่งสวรรค์ที่หมดลม ค่อย ๆ ร่วงลงสู่พื้นดิน และเริ่มมองดูโลกนี้ช่างเต็มไปด้วยความทุกข์ที่น่าเกลียด น่าชัง น่าเบื่อหน่าย... ไม่น่าอยู่น่าอาศัยอีกต่อไป เหมือนอย่างที่ โอมาร์ คัยยัม กวีเปอร์เชีย แสดงธรรมะกวีเอาไว้ในหนังสือ รุไบยาต อันยิ่งใหญ่และงดงามของเขาเอาไว้ว่ายามชื่นชมสมสมัครรักชีวิตยามสิ้นคิดสิ้นหวังละชังแสน…นั่นเองบางทีอาจจะเป็นเพราะว่าผมยังไม่เคยเก็บเรื่องนี้มาคิดอย่างจริงจัง และยังไม่อาจสรุปอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้ ผมจึงไม่อาจทำใจได้ว่ามันเป็นเรื่องราวธรรมดาของชีวิต แถมยังไม่รู้ด้วยว่า ควรจะเตรียมตัวเตรียมใจรับมือกับมันอย่างไร เมื่อถึงเวลาที่ชีวิตต้องตกต่ำหรือรุ่งเรือง พูดง่าย ๆ ว่า ผมยังปล่อยให้ตัวเองตกเป็นเหยื่อของมันอยู่นั่นเองจนกระทั่งเมื่อไม่นานมานี้ ผมได้อ่านเรื่อง “ความล้มเหลวของจางฉู่เม่ย” ในหนังสือที่ชื่อว่า “เจียระไนชีวิต” ที่เขียนโดย “อู๋เหม่ยซิน” ที่ผมหยิบยืมมาจากกัลยาณมิตรรุ่นน้องคนหนึ่งผมจึงได้รับคำตอบในเรื่องนี้มากเกินกว่าที่ผมคาดคิด ผมจึงขอนำเรื่องนี้มาถ่ายทอดแบ่งปันให้คนที่ยังหวั่นไหวกับประสบการณ์ขึ้นๆ ลงๆ ของชีวิตเหมือนอย่างตัวผม เผื่อว่าเรื่องนี้จะได้ช่วยเตือนสติให้ใครสักคนหนึ่ง ที่ชีวิตอาจจะกำลังรุ่งเรืองเจิดจ้าหรือว่ากำลังตกต่ำอับเฉาอย่างสุดขีด จะได้เก็บไปเป็นข้อคิดและปฏิบัติกับตัวเองในสภาวะที่กำลังเผชิญอยู่ในทางที่ถูกที่ควรเพราะผมมีความเชื่อว่า สิ่งที่ดีงามที่สุดที่มนุษย์พึงกระทำต่อกัน มีอยู่ประการเดียวเท่านั้น นั่นคือการมอบความปรารถนาดีและให้ความช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ดังต่อไปนี้ความล้มเหลวของจางฉู่เม่ยโชคชะฟ้าลิขิตยากจะคาดเดา เมื่ออยู่ในสภาพที่ราบรื่นไร้อุปสรรค์ การจะมีมารยาทต่อผู้อื่นเป็นคนรู้จักกาลเทศะนั้น ใคร ๆ  ก็ทำได้ เมื่อใดที่ความทุกข์ยากมาเยือนอย่างกะทันหันพบกับอุปสรรคมากมาย  สภาพอันยากลำบากทำให้หมดกำลังใจ บางคนท้อแท้ ทำตัวเองให้ตกต่ำ ในสภาพการณ์เช่นนี้มีแต่ผู้ที่เข้มแข็งแท้จริงที่จะยืนหยัดตระหง่านอยู่ได้โดยไม่ล้ม อุปสรรคความยุ่งยากกังวลใจในอีกแง่หนึ่งเป็นยาชูกำลัง เป็นสิ่งจำเป็นอันจะขาดไม่ได้ในชีวิตมนุษย์คนที่ไม่เคยผ่านประสบการณ์ความเจ็บปวดของการพ่ายแพ้ล้มเหลว ก็ยากจะเข้าใจรสชาติความทุกข์ โศกนั่นได้  ภาระอยู่บ่นไหล่ใครคนนั้นก็ต้องรับผิดชอบ คนที่คิดว่าจะผลักภาระไปให้คนอื่น ผลสุดท้ายจะต้องเสียใจว่า ไม่น่าเลย จะแก้ไขก็ไม่มีหนทางเสียแล้ว จางฉู่เม่ย เป็นคนสวย มีเสน่ห์ อายุยี่สิบปี ก็แต่งงานได้สามีที่ดีมีชีวิตครอบครัวมั่นคงต่างรักใคร่ปรองดองกันดี เพื่อน ๆ เห็นว่าเธอกับสามี เป็นเหมือนกิ่งทองใบหยกทีเดียว แต่แล้ววันหนึ่งเมฆหมอกสีดำก็เข้ามาเยือน สามีของเธอประสบอุบัติเหตุถูกรถบรรทุกทับตาย ฉู่เม่ยเสียใจจนเปลี่ยนไปเป็นคนละคน หน้านิ่วคิ้วขมวดอยู่ตลอดเวลา มีอะไรเข้ามากระทบนิดหน่อยก็โมโห กลายเป็นคนขี้เหล้าเมายา ถึงเพื่อน ๆ จะคอยปลอบใจ พยายามตักเตือนเธอให้ปรับปรุงตัวเสียใหม่ แล้วยังช่วยหางานเลขานุการในบริษัทให้ทำ แต่ฉู่เม่ยก็ยังคงหมกมุ่นกับความทุกข์ เอาแต่เล่นการพนันจนติดหนี้สินไปหมด ทำตัวตกต่ำ หน้าตาก็หมองคล้ำจนดูไม่ได้ ทุกครั้งที่เพื่อนมาชี้ข้อบกพร่องให้ เธอกลับตอบว่า “เธอคิดว่าฉันอยากเป็นอย่างนี้หรือ ถ้าสวรรค์ไม่แกล้งละก็ สามีของฉันคงไม่จากไปเร็วอย่างนี้และฉันคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพแบบนี้หรอก”ก็ถูกของเธอ แต่ฟ้าจะช่วยเหลือแต่คนที่รู้จักช่วยตัวเองเท่านั้น การเอาแต่นั่งรอคอยซังกะตายเป็นลักษณะของคนอ่อนแอ อย่ามัวแต่นั่งกอดเข่าเจ่าจุก คนฉลาดจะรู้จักช่วยเหลือตัวเองต่อสู้กับชีวิต และขอบคุณในสิ่งที่ตัวเองมีอยู่ความสะดวกสบายราบรื่นมิได้เป็นสิ่งที่คงทนถาวร การเจอกับอุปสรรค ความยากลำบากอยู่ตลอดเวลาก็ไม่ใช่จะตามรังควานเราตลอดชาติได้ ขอเพียงมีความอดทนไม่ยอมแพ้แก่โชคชะตาก็จะสามารถฝ่าข้ามพายุชีวิตไปได้อย่างปลอดภัยในคัมภีร์ ไช่เกินถาน “รากเหง้าแห่งสติปัญญา” ได้กล่าวเตือนไว้ว่า ขณะกำลังเดินทางสู่ความตกต่ำ ก็ให้เตรียมใจที่จะพบความรุ่งเรืองไว้ เพราะช่วงตกต่ำนั้นมักนำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงไปสู่สิ่งใหม่ ๆ  ในขณะที่ราบรื่นรุ่งเรืองก็ให้ระวังและเตรียมใจรับการเปลี่ยนแปลง บอกกับตัวเองว่า เมื่อพบกับความยากลำบากให้อดทนและอย่ายอมแพ้. หมายเหตุ : เจียระไนชีวิต อู๋เหม่ยซิน เขียน  ลีฮวง โค้วเจริญ แปลและเรียบเรียงสำนักพิมพ์ดอกหญ้าพิมพ์ ครั้งที่ 4 มิถุนายน 25386 ตุลาคม 2550กระท่อมทุ่งเสี้ยว เชียงใหม่
ฐาปนา
“...พูดอย่างกว้างที่สุดคือ สิ่งเลวร้ายทั้งหมดเกิดจากการเลือกของเธอเอง ความผิดพลาดไม่ได้อยู่ที่การเลือกนั้นแต่อยู่ที่การเรียกว่าเลวร้าย เพราะเมื่อเธอบอกว่ามันเลวร้ายก็เท่ากับบอกว่าตัวเธอเองเลวร้ายด้วย เพราะเธอเป็นคนสร้างขึ้นมาเอง เธอไม่อาจยอมรับการตราหน้านี้ได้ ดังนั้น แทนที่จะตราหน้าตัวเองว่าเป็นคนเลวร้าย เธอกลับปฏิเสธสิ่งต่างๆ ที่ตนสร้างขึ้นมาเสียเลย อสัตย์ทางสติปัญญาและจิตวิญญาณนี้เองที่ทำให้เธอยอมรับโลกอันมีสภาพอย่างนี้ หากเธอจะยอมรับหรือแม้เพียงรู้สึกลึกๆ ข้างในว่าตนมีส่วนต้องรับผิดชอบต่อโลกใบนี้บ้าง โลกจะต่างออกไปกว่านี้มาก มันจะเป็นอย่างนั้นจริงๆ หากทุกคนรู้สึกถึงความรับผิดชอบ การที่สิ่งเหล่านี้ชัดเจนเหลือเกินทำให้เป็นเรื่องสุดแสนเจ็บปวดและน่าขันสิ้นดีภัยพิบัติและหายนะภัยทางธรรมชาติต่างๆ เช่นพายุทอร์นาโด เฮอริเคน ภูเขาไประเบิด อุทกภัย หรือความโกลาหลเชิงกายภาพของโลก ไม่ได้เกิดจากเธอคนใดคนหนึ่งเป็นการเฉพาะหรอก เธอมีส่วนทำให้เกิดขึ้นมากน้อยแค่ไหนให้ดูจากระดับที่เหตุการณ์เหล่านั้นส่งผลกระทบต่อชีวิตเธอ...”(สนทนากับพระเจ้า : นีล โดนัล วอลซ์ ,รวิวาร โฉมเฉลา แปล ,สำนักพิมพ์ โอ้ มายก๊อด พิมพ์ครั้งที่ 2 มีค.50)เป็นเรื่องยากเหลือเกินที่จะยอมรับและเชื่อว่า1. สิ่งเลวร้าย เกิดขึ้นเพราะเราเรียกมันว่า เลวร้าย2. เราแต่ละคนมีส่วนรับผิดชอบต่อสิ่งเลวร้ายที่เกิดขึ้นบนโลก3. เรามีส่วนต่อความเลวร้ายที่เกิดบนโลกมากน้อยแค่ไหน ดูจากผลกระทบของมันที่มีต่อเราคำอธิบายเรื่องกรรม น่าจะใกล้เคียงที่สุดแล้วกับข้อความนี้ แน่นอน เราแต่ละคนมีสิทธิ์ไม่เชื่อ และสามารถหาเหตุผลตั้งร้อยแปดพันเก้าเพื่อโต้แย้ง แต่ข้อโต้แย้งเหล่านั้น สามารถเปลี่ยนวิธีการมองโลก และ/หรือ เปลี่ยนแปลงโลกนี้ให้ดีขึ้นกว่านี้ได้หรือไม่ ?การประณามนั้นง่ายกว่าการลงมือเปลี่ยนแปลงมากมายนัก เมื่อเกิดสิ่งใดที่ถูกเรียกว่าเลวร้ายขึ้น ผู้คนจึงยินดีที่จะกล่าวโทษ ซึ่งโดยนัยยะของมันก็คือการผลักความรับผิดชอบออกไปให้พ้นตัว เมื่อเราผลักความรับผิดชอบออกไป โดยบอกว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นเป็นผลมาจากสิ่งนั้นสิ่งนี้ ไม่ได้เกิดขึ้นจากเรา นั่นหมายความว่า เรากำลังปฏิเสธความเกี่ยวข้องกับสิ่งเลวร้ายที่เกิดขึ้น เมื่อเราปฏิเสธความเกี่ยวข้อง ปฏิเสธความรับผิดชอบเสียแล้ว เราจึงไร้พลังที่จะเปลี่ยนแปลง หรือพูดอีกอย่างหนึ่ง เรายกย่องการประณามสิ่งเลวร้าย และละอายที่จะรับผิดชอบว่าเรามีส่วนทำให้มันเกิดขึ้นเราจึงไม่อาจเปลี่ยนแปลงอะไรได้เลย ถ้าเรายังกล่าวโทษสิ่งนั้นอยู่เราจึงไม่อาจเปลี่ยนแปลงอะไรได้เลย ถ้าเราไม่เริ่มต้น รับผิดชอบมนุษย์ทุกคนบนโลกล้วนเกี่ยวข้องกันไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง เป็นเรื่องยากที่จะอธิบาย ทั้งไม่ง่ายที่จะเชื่อ และยังยากยิ่งกว่าที่จะเชื่อว่าเราทั้งหมด “ล้วนเป็นหนึ่งเดียว” แต่ความจริงที่เราต้องยอมรับคือ อำนาจแห่งการเปลี่ยนแปลงของคนๆ หนึ่งนั้นมากมายมหาศาลยิ่งนัก ทั้งยังยิ่งใหญ่และส่งผลสะเทือนต่อคนทั้งโลก ทั้งเมื่อเขายังมีชีวิตอยู่และเมื่อเขาได้สิ้นชีวิตไปแล้วหากไม่มี มหาตมคานธี ประเทศอินเดียจะเป็นอย่างไรหากไม่มี เช กูวารา เราคงไม่รู้จักคำว่า ปฏิวัติ ดีเท่านี้หากไม่มีแม่ชีเทเรซา ผู้ทุกข์ยากนับล้านๆ อาจไม่พบแสงสว่างตลอดชีวิตหากไม่มีท่านพุทธทาส สังคมไทยในช่วงห้าสิบปีที่ผ่านมา อาจมืดมนยิ่งกว่านี้บุคคลสำคัญของโลกทั้งหลายล้วนเป็นคนธรรมดาเช่นเดียวกับเรา แต่สิ่งที่ท่านเหล่านั้นมีมากกว่า คนธรรมดาคือความปรารถนาที่จะเปลี่ยนแปลง มิใช่เพื่อตัวเอง แต่เพื่อผู้อื่น บุคคลสำคัญของโลกคือผู้ลงมือเปลี่ยนแปลง มิใช่ผู้ได้แต่กล่าวประณามสิ่งต่างๆ เราทุกคนล้วนเป็นบุคคลสำคัญของโลกทั้งสิ้น หากเรามีสำนึกรับผิดชอบต่อสังคม ต่อสิ่งที่เราเรียกมันว่า เลวร้าย เลิกกล่าวโทษแล้วลงมือเปลี่ยนแปลงมัน ลงมือทำ มิใช่เพียงกล่าวประณาม โลกนี้ไม่มีวันดีขึ้นมาได้จากการกล่าวโทษกัน เมื่อถึงจุดหนึ่งของความรู้สึกรับผิดชอบ อาจต้องอาศัย ความกล้าหาญ และพลังใจอย่างมหาศาลเพื่อที่จะกระทำ แต่ทั้งสองสิ่งนี้ก็คล้ายพลังงานอย่างหนึ่ง เหมือนดวงไฟที่รอให้มีคนจุด เมื่อผู้อื่นมองเห็นเขาก็จะเดินตามมา และช่วยทำให้ไฟดวงนี้สว่างมากยิ่งขึ้นแท้จริงแล้ว มนุษย์ไม่เคยเดียวดาย แต่ความเห็นแก่ตัวมักจะทำให้มนุษย์โดดเดี่ยวตนเองอยู่เสมอ ขณะที่ถูกเหวี่ยงไปมาระหว่างขั้วของ “ความรัก” และ “ความเกลียด” เราจึงสับสนกับการแสดงออกต่อสิ่งที่เกิดขึ้น แต่หากเราเชื่อว่า ความรักเท่านั้นที่จะทำให้ทุกสิ่งดีขึ้น ไม่ใช่ความเกลียด เชื่ออย่างลึกซึ้งแท้จริง เรา และ โลก จะไม่ใช่สิ่งแปลกแยกต่อกันอีกต่อไปความรักเท่านั้น ที่จะเปลี่ยนแปลงได้ทุกสิ่ง ไม่ใช่ความเกลียด
แพร จารุ
“สุชาติ สวัสดิ์ศรี” ยืนล้วงกระเป๋าเสื้ออยู่ริมทางรถไฟ ในขณะที่รถไฟกำลังมา  เป็นภาพปกหนังสือ ฅ คน ที่ทำให้ฉันต้องนับเงินในกระเป๋าให้ครบแปดสิบบาท ความจริงหนังสือเขาไม่แพงหรอก เพียงแต่ว่า เงินสำหรับบ้านฉันมันหายากมาก หรือจะเรียกให้ถูกก็คือฉันไม่ค่อยหาเงิน ดังนั้นเมื่อไม่หาเงินก็ต้องใช้เงินน้อย ๆ หรือไม่ใช้ไปเลยถ้าไม่จำเป็นต้องใช้จริง ๆ แม้ว่าการจะซื้อหนังสือถือเป็นความจำเป็นหนึ่ง แต่ก็ต้องเลือกอย่างพิถีพิถันในเนื้อหา ดังนั้น ถ้าร้านไหนห่อพลาสติกอย่างดีเปิดไม่ได้ ก็ผ่านเลย หนังสือเล่มนี้ก็ห่อพลาสติกอย่างดีเหมือนกัน แต่ก็รีบซื้อ  เพราะทั้งรถไฟและคุณสุชาติ  สวัสดิ์ศรี ถือเป็นความผูกพันหนึ่งหรือเป็นความสัมพันธ์หนึ่งที่เกี่ยวข้องกัน  เพราะชีวิตการเดินทางเริ่มต้นจากรถไฟ ส่วนงานเขียนหนังสือผู้ชายที่ยืนริมทางรถไฟ ก็เป็นส่วนหนึ่งของการเริ่มต้นคนเขียนหนังสือ นอกจากได้อ่านบทสัมภาษณ์เรื่องราวของ สุชาติ สวัสดิ์ศรี ให้หายคิดถึง ตามประสาคนในแวดวงวรรณกรรม เพราะรู้จักรู้เรื่องกันอยู่แล้ว แต่คนอยู่ร่วมบ้านเดียวกันและเป็นคนเขียนหนังสือเหมือนกัน บอกฉันว่า หลังจากอ่านเรื่องของคุณสุชาติแล้ว พบว่าตัวเองเหมือนไม่ได้ทำอะไรเลย ก็ถือว่าเป็นการค้นพบที่คุ้มค่ามากความไม่พร้อมไม่ใช่เหตุผลที่เราจะไม่ทำ เป็นคำตอบหนึ่งดูเหมือนคุณสุชาติจะมีความพยายามและตั้งใจสูงมากที่จะทำงาน ไม่ว่าจะเป็นงานเขียน งานบรรณาธิการ โดยเฉพาะงานศิลปะภาพวาดที่ต้องลงทุนสูง เรียกว่าไม่ได้พร้อมด้านทุนแต่พร้อมด้านจิตใจ ครั้งหนึ่งฉันมีโอกาสเดินทางไปบ้านเขา ในช่วงปลายปี 2540  เป็นช่วงปีแห่งการเปลี่ยนแปลง เป็นช่วงค่าเงินบาทลด และช่วงตกงานอย่างจริงจัง เพราะหนังสือที่ทำอยู่ปิดตัวลงทีละเล่ม ๆ ช่วงนั้นได้เดินทางไปบ้านคุณสุชาติ เป็นการไปครั้งแรก กับเพื่อน ๆ นักเขียน มีสุจินดา กับชามาไปด้วย  สุจินดากับชามาอยากดูรูปเขียนมากๆ  ตอนนั้นรูปยังไม่มาก เพราะเป็นการเริ่มต้น แต่สองนางที่หลงใหลงานศิลปะต่างชื่นชอบชื่นชมกันมาก ๆ   พวกเขาคุยกันไม่รู้จบและฉันก็ง่วงมากจึงตัดสินใจนอนที่นั้น  ตื่นขึ้นมายามเช้า ศิลปินใหญ่หายไปจากบ้านแล้ว แต่ไม่นานก็เดินกลับมาพร้อมด้วยแปรงสีฟันสำหรับพวกเรา นักเขียนอีกคน “ศรีดาวเรือง” ทำอาหารง่าย ๆ แบบประหยัด ๆ คือพวกผักต่าง ๆ และไข่ ส่วนนักเขียนที่เริ่มเป็นหนุ่ม เขามีคอลัมน์ในหนังสือ ไรท์เตอร์ มาคุยด้วยในช่วงนั้นฉันยังเป็นคนเขียนหนังสือที่รับจ้างทำหนังสือ รับจ้างเป็นรีไรท์เตอร์  เรียกว่ามีเงินพอที่จะอยู่สบาย แต่เหนื่อยและมีชีวิตอยู่กับการง่วงนอนเมื่อหนังสือพิมพ์ที่รับจ้างเป็นรีไรเตอร์ปิดลง  หนังสือที่เขียนบทความอยู่ก็ปิดลงทีละเล่ม จนหมด และตกงานอย่างจริงจัง ฉันไม่ได้บอกใครว่าฉันรู้สึกดีใจอยู่ลึก โล่งโปร่งสบายใจได้เดินทางไปไหนต่อไหนรวมทั้งบ้านคุณสุชาติด้วย ฉันก็รู้สึกสบายที่ได้ล้มตัวลงนอนที่บ้านหลังนั้น ได้เห็นว่าการใช้ชีวิตไม่ต้องใช้เงินมากก็ได้ ไม่ต้องมีรถยนต์  ใช้รถไฟ และเดินตัดผ่านทุ่งก็ไม่ได้ลำบากอะไร ไม่ต้องมีเครื่องอำนวยความสะดวกในบ้านมากมาย ไม่ต้องมีโทรศัพท์มือถือก็ได้ ชีวิตไม่ต้องแพงมากก็ได้นี่เป็นจุดเปลี่ยนหนึ่ง ฉันจึงเป็นคนตกงานอย่างถาวร และไม่ได้ทำงานเพื่อหาเงินมาใช้ แต่หาเงินเพื่อทำงาน แค่มีกินและกินตามสมควร แน่นอนล่ะ เหนื่อยยาก ลำบากอยู่บ้าง แต่ดีกว่ามีชีวิตที่ไม่สดชื่นเลยทั้งปีและอาจจะทั้งชาติแปดสิบบาทสำหรับ ฅ คน ถือว่า คุ้มค่าอยู่ เพราะนอกจากเรื่องราวของ “สุชาติ สวัสดิศรี” และการกลับมาของนิตยสาร ช่อการะเกด นิตยสารเรื่องสั้นไทย ที่เปิดรับเรื่องสั้นทั่วทิศ ไม่ใช่แค่นักเขียนเก่า แต่เป็นที่นักเขียนใหม่แจ้งเกิดด้วย ใครที่อยากเขียนเรื่องสั้นและกลัวว่าไม่มีใครอ่านหรือส่งไปแล้วบรรณาธิการไม่คุ้นชื่อไม่อ่าน ส่งมาที่ช่อการะเกด ไม่ผิดหวัง บรรณาธิการอ่านแน่ และที่สำคัญ โดยส่วนตัวแล้วพบว่า บรรณาธิการช่อการะเกด เขาอ่านงานนักเขียนด้วยเมตตา ด้วยมิตรที่อบอุ่น และให้เกียรติผู้เขียน สำหรับฉันเห็นว่า นี่เป็นเรื่องสำคัญมากที่หาได้ยากในบรรณาธิการรุ่นใหม่ ๆ เอาล่ะที่บอกว่า คุ้มค่าคือได้อ่านคอลัมน์ สโมสรจุดเปลี่ยน เพราะไม่ค่อยได้ดูโทรทัศน์ จึงไม่ได้ดูรายการนี้ เหตุที่ไม่ได้ดูเพราะว่า สัญญาณรับโทรทัศน์ไม่ค่อยจะดี ต้องลงทุนซื้อเสาอากาศ  พิจารณาดูแล้วไม่คุ้มทุนเท่าไหร่ มีรายการที่น่าสนใจน้อย จึงใช้วิธีดูบ้านเพื่อนถ้ามีรายการดี ๆ เพราะคนข้างบ้านเขาเอื้อเฟื้อ โทรทัศน์อยู่ใต้ถุนบ้านจอใหญ่ด้วยขอนำ สโมสรจุดเปลี่ยนมาเขียนถึงสักเล็กน้อย  เขาเสนอเรื่อง การใช้ปิ่นโตแทนถุงพลาสติก  ถุงพลาสติก เป็นภัยร้ายทำลายสภาพแวดล้อมของโลกในอนาคต และมีภาพของศิลปินคนหนึ่ง หิ้วปิ่นโตมาซื้อกับข้าวและมีตัวอักษรพาดผ่านภาพว่า ใช้มาสิบปีแล้ว ใกล้บ้านฉันก็มีเด็กชายใช้ปิ่นโตมานับสิบปีแล้วเหมือนกัน ฉันเห็นเขาเอาปิ่นโตห้อยมากับหน้ารถจักรยาน กลับบ้านทุกเย็น เขาเอาข้าวไปกินโรงเรียน ตั้งแต่เริ่มเรียนอนุบาล จนถึงวันนี้เขาเรียน ป.6 แล้ว ปีหน้าเขาจะย้ายไปเรียนโรงเรียนในเมือง ฉันไม่รู้ว่าเขาจะเริ่มใช้กล่องโฟมหรือเปล่า เอาล่ะ เพื่อสนับสนุนจุดเปลี่ยน เขาว่าต้องเริ่มต้นจากตัวเองก่อน วันต่อมาฉันใช้ถุงผ้าไปซื้อของกับน้องสาวข้างบ้าน ไปซื้อซีอิ๊วขาว น้ำมันพืช กระเทียม หอม  ของสำหรับครัว ที่ร้านของชำเจ้าประจำในตลาด  ของพวกนี้ไม่จำเป็นต้องใส่ถุงพลาสติก ใส่ถุงผ้าได้เลย แต่เมื่อบอกว่า ใส่ถุงผ้าไปเลย เขาบอกไม่เป็นไร ใส่ไปเถอะ  ฉันเกือบจะยอมแพ้รับของมาแล้ว แต่ไม่ยอม ฉันยืนยันว่า ไม่เอา เก็บถุงพลาสติกไว้เถอะ เขาทำหน้าแปลก ๆ และรำคาญที่ต้องเอาของออกจากถุงพลาสติกใส่ถุงผ้า น้องที่ไปด้วยกันก็พูดเขิน ๆ ว่า พี่เขาอนุรักษ์ ฉันบอกว่า ไม่ให้มีขยะมาก จะได้ไม่ต้องเผามากนัก ฤดูร้อนจะได้ไม่มีหมอกควัน ลดภาวะโลกร้อนด้วย คนขายยิ้ม แต่คนที่ยืนรอซื้อของอยู่ใกล้ ๆ พูดขึ้นมา ว่าไม่เป็นไรหรอก ร้อนได้ก็เย็นได้  มีหมอกควัน พอฝนลงก็หายหมดแหละ ฝนตกหายหมดไม่ต้องกลัวอือ...ฉันพยักหน้า แบบผู้แพ้ คร้านจะพูดต่อ แต่ไม่ได้เอาถุงพลาสติกกลับบ้านสักใบเดียว เรียกว่า ชนะตัวเอง แค่นี้ก็สบายใจแล้ววันนี้ เรียกว่าสบายใจแบบพอเพียง ไม่หวังความสบายใจมาก แปดสิบบาทกับเรื่องผู้ชายริมทางรถไฟและจุดเปลี่ยนชีวิต** ภาพประกอบจาก onopen.com
ประชาไทไนท์
การรับรู้ของคนเรา ขึ้นอยู่กับประสบการณ์ของแต่ละบุคคล ในบางมุม เราอาจมองกระต่ายแล้วกลายเป็นเป็ด หรืออาจจะมองเป็ดให้กลายเป็นกระต่ายก็ได้ (ใครจะรู้?)ในเวลาเดียวกัน ความหมายของวัตถุที่แต่ละคนมองก็ไม่เคยเหมือนกัน เพราะมุมมองของบุคคลนั้นขึ้นอยู่กับความต่างของพื้นที่ ความต่างของวัฒนธรรม และความต่างทางบริบท (อื่นๆ อีกมากมาย) ใช่หรือไม่?แล้วมันผิดตรงไหน หากใครจะมองเห็นอะไรต่างมุมกัน? ในเมื่อวัตถุหรือสัญลักษณ์บางอย่างนั้นล้วนแปรเปลี่ยนความหมายไปตามการรับรู้ของผู้คนมันจะดีกว่าไหม ถ้าเราจะเริ่มต้นง่ายๆ ด้วยการรับฟังและเปิดใจมองไปยังมุมที่ต่างจากมุมเดิมๆ ของเราบ้าง? แทนที่จะดึงดันให้คนซึ่งอยู่อีกฝั่งมามองเห็นในสิ่งที่เดียวกับที่เราเห็น?นั่นคือการตั้งคำถามระหว่างเสนอภาพ 20x20 ของบล๊อกเกอร์หนุ่มนักศึกษานามว่า ‘แจ๊ค' ผู้มาร่วมงานแจ๊คผู้ฆ่ายักษ์ ประชาไทไนท์ไม่ต้องตอบคำถามของเขาก็ได้...แต่ลองตั้งคำถามกับใจตัวเองก่อนเป็นอันดับแรกน่าจะดี
ประชาไทไนท์
เมื่อไม่กี่สิบปีมานี้...ภาพยนตร์ถูกยกย่องว่าเป็นอีกแขนงหนึ่งของ ‘ศิลปะ' ซึ่งไม่จำเป็นต่อการดำรงชีวิต แต่มีคุณค่าทางจิตวิญญาณไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน ศิลปะภาพยนตร์แตกกิ่งก้านสาขาออกไปหลายขนานและทำหน้าที่สะท้อนสังคมแต่ละยุคอย่างขยันขันแข็งณ วันนี้ ภาพยนตร์เกิดขึ้นใหม่เป็นจำนวนมากและมีรูปแบบการนำเสนอที่แตกต่างกัน แต่ภาพยนตร์บางประเภทเท่านั้นที่ได้รับการยอมรับจากคนส่วนใหญ่ในสังคม ซึ่งนอกจากเหตุผลทางรสนิยมแล้ว คงจะมีเหตุผลทางวัฒนธรรมเข้ามาเกี่ยวข้องในการ ยอมรับ/ไม่ยอมรับ ภาพยนตร์แต่ละประเภทด้วย แต่น่าเสียดายที่ภาพยนตร์บางประเภทไม่มีที่อยู่ที่ยืนในสังคมบางแห่ง ซึ่งวัฒนธรรมกระแสหลักพยายามเบียดขับให้วัฒนธรรมย่อยตกหล่นไปจากพื้นที่การรับรู้ของคนในสังคมมาตรฐานเรื่องศีลธรรม, ความรุนแรง, ความล่อแหลมอนาจาร ไม่เคยได้รับการถกเถียงอย่างจริงจัง มีเพียงคนบางกลุ่มที่ถูกคัดเลือกโดยคน (อีก) บางกลุ่มเท่านั้น ที่มีสิทธิ์ตัดสินใจว่าอะไรดี-ไม่ดี รุนแรง-ไม่รุนแรง ทั้งที่เรื่องราวซึ่งถูกถ่ายทอดออกมาให้เห็นกันในภาพยนตร์ อาจไม่ต่างอะไรจากสิ่งที่เกิดขึ้นจริงในสังคมนั้นๆ เลยภาพยนตร์บางประเภทจึงถูกมองว่าเป็น ‘หนังส่วนตัว' และมีคนเฉพาะกลุ่มเท่านั้นที่นิยมชมชอบ ความเป็น ‘หนังเฉพาะกลุ่ม' จึงมักจะถูกจัดให้อยู่ในหมวดหมู่ของผลผลิตจากวัฒนธรรมย่อย...ซึ่งแน่นอนว่ามันมักจะได้รับการตัดสินว่าไม่ดีหรือไม่มีค่า (ถึงขั้นไม่รับผิดชอบต่อสังคม) เทียบเท่ากับภาพยนตร์ที่มาจากวัฒนธรรมกระแสหลักหลายครั้งที่ตัวแทนจากแวดวงภาพยนตร์เฉพาะกลุ่มพยายามหาที่ทางให้กับผลงานของตัวเอง พวกเขาก็ต้องเสี่ยงต่อการโดนแปะฉลากว่าเป็นพวกที่ยึดถือตัวกู-ของกู และใครบางคนอาจมองว่าพวกนี้เป็นคนประเภท ‘หนังของกู-เพลงของกู ห้ามเซ็นเซอร์' ก็ว่ากันไป...เพราะในความเป็นจริง เราทุกคนล้วนยึดมั่นในสิ่งที่ตัวเองคิดว่าถูกต้องดีงามด้วยกันทั้งนั้น การถกเถียงเรื่อง ความจริง-ความดี-ความงาม จึงไม่เคยยุติลง แต่ขอเพียงเรายังถกเถียง เราก็ยังมีโอกาสได้เรียนรู้ แลกเปลี่ยน และเติบโต หากเมื่อไหร่ที่คนส่วนใหญ่ใช้เสียงข้างมากเข้ามาเป็นเงื่อนไขในการทำให้เสียงอื่นเงียบลง...เมื่อนั้นเราจะมีอะไรให้ต้องสร้างสรรค์กันอีก?อย่าลืมว่าความ ‘หยาบ' ของกระดาษทราย ทำให้วัสดุมากมายเรียบเนียนมาได้นักต่อนักแล้ว...  
ประชาไทไนท์
นิทานออนไลน์ ฉบับ ‘ประชาไทไนท์' บอกเล่าโดย jamorn คือ เรื่องราวของเหล่ามดดำที่อยู่ภายใต้การชี้นำของยักษ์ตัวหนึ่งที่คอยควบคุมถนนหนทางในการสื่อสารและเข้าถึงข้อมูล...จนกระทั่งวันหนึ่ง ยักษ์ตัวนั้นเกิดกรณีพิพาทกับ ‘ยักษ์ตู๊บ' ซึ่งมีพ่อเป็น ‘ยักษ์ขาวผู้ยิ่งใหญ่' !เรื่องราวจะเป็นยังไงต่อไป ติดตามดูได้้ในคลิปวิดีโิอเรื่อง ‘การต่อสู้ของยักษ์เขียวตาเดียว'
ประชาไทไนท์
บล๊อกเกอร์ mk (ผู้มิได้เกี่ยวข้องใดๆ กับ เอ็มเคสุกี้ ) มาพร้อมกับสไลด์ 20x20 บอกเล่า 'บันได 4 ขั้น' วิธีรับมือยักษ์เขียวตาเดียวในโลกไซเบอร์
ประชาไทไนท์
แจ๊คผู้ฆ่ายักษ์ (เขียว) ตาเดียว หมายเลข 3 ของประชาไทไนท์ คือ บล็อกเกอร์ชื่อดัง นามว่า คนชายขอบ ขอชวนใครต่อใครไปอ่านความหมายที่ซ่อนอยู่ 'ระหว่างบรรทัด' ในเวลาที่นักท่องเน็ตเจอกับข้อความของยักษ์เขียวตาเดียวจากกระทรวงที่คุณก็รู้ว่า (เป็นของ) ใคร...ปรากฎอยู่เต็มหน้าจอ 
ประชาไทไนท์
พูดพร่ำถึงยักษ์ใหญ่แห่งการกรองดนตรีร่วมสมัยอย่าง PMRC กันไปแล้ว ก็มาต่อกันด้วย 20 slides ที่กล่าวถึงดนตรีกับ Censorship กันเลยดีกว่าครับแต่คงต้องสารภาพว่ามันคงเหลือแค่ 19 นะครับ เพราะได้ตัด "Parental Advisory" ออกไปเนื่องกล่าวถึงมันไปใน Blog ที่แล้ว ซึ่งบางภาพในที่นี้อาจจะเกี่ยวกับการประท้วง Censorship ตรงไปตรงมา ขณะที่บางภาพอาจเป็นอัลบั้มที่มีเนื้อหาต่อต้านสถาบัน แบบแผนนิยม หรือมีความดิบห่าม เชื้อชวนให้กองเซนเซอร์ได้มีงานทำ ก็เป็นได้    Chumbawamba - Shhh ไอ่คำว่า Shhh คำนี้ จริง ๆ แล้วมันก็คือเสียง "ชู่วววว..." จุปากให้เงียบนั่นแหละ ซึ่งพวกเขาเองไม่ได้กะจะตั้งชื่ออัลบั้มแบบนี้หรอกครับ แต่มันเริ่มมาจากการที่พวกเขากะจะใช้ชื่ออัลบั้มว่า "Jesus H. Christ" แล้วดันใช้วัตถุดิบจากเพลงอื่น ๆ มาเหมือนล้อเลียนมากไปหน่อย แถมด้วยชื่ออัลบั้มส่อ ๆ อีก เลยเจอต่อต้านไปก่อนจะได้คลอดออกมา ทางวงเลยประชดด้วยการเขียนเพลงต่อต้านเซนเซอร์แล้วแปลงชื่ออัลบั้มมาเป็น Shhh ซะเลยMegadeth เพลง Hook in Mouth วง Thrash Metal ในยุคนั้นเองก็มีระอากับ PMRC อยู่เหมือนกัน ในอัลบั้ม So Far , So Good ... So What? ของ Megadeth จึงมีเพลงอย่าง Hook in Mouth ที่เปรียบเปรยกองเซนเซอร์ทั้งหลายกับรัฐบาลเผด็จการแห่ง Oceania ในหนังสือเรื่อง 1984 ของ George Orwell กันเลยทีเดียวDavid Bowie - Diamond Dogs พูดถึง 1984 แล้ว คงจะหลีกเลี่ยงไม่พูดถึงอีกอัลบั้มนึงคงไม่ได้ นั่นคือ Diamond Dogs ของ David Bowie ที่ผสมผสานทั้งเรื่องราวของรัฐเผด็จการที่คอยตรวจสอบ เซ็นเซอร์สื่อทุกอย่าง กับเรื่องราวของโลกที่พังพินาศจากแรงบรรดาลใจของตัว Bowie เองRadiohead - OK Computer และอีกอัลบั้มหนึ่งที่ได้แรงบรรดาลใจจาก 1984 (อย่างลับ ๆ) คือ OK Computer ของ Radiohead กับเพลงที่ตั้งคำถามกับสังคมบ้าจริยธรรมอย่าง Karma Police ขณะที่เรานั่งอยู่เฉย ๆ และคอยตัดสินคนอื่น เราก็กลับรอคอยให้อะไรบางอย่างมาจัดการกับ "ความชั่วร้าย" แทนเรา และวันหนึ่ง ไอ่อะไรบางอย่างนั้นเองก็จะหันหน้ามาจัดการกับเราด้วยPink Floyd - Animals พูดถึง 1984 แล้วใยไม่พูดถึง Animal Farm อัลบั้มนี้ของ Pink Floyd คงรู้ ๆ กันว่าได้แรงบันดาลใจมาจากเรื่องนี้แน่ ๆ และคนเขียนเนื้อเจ้าคอนเซปท์คนสำคัญอย่าง Roger Waters เองก็ได้ใช้ สัตว์ 3 ชนิดเปรียบเปรยกับคนสามระดับในสังคม Dogs คือตัวแทนของนายทุน , นักธุรกิจ ผู้บ้าอะไรเกินตัว Pigs คือเหล่า Elite ชนชั้นปกครองที่คอยปิดกั้นประชาชนใต้กรอบของคำว่า "ศีลธรรม" ซึ่งในเพลงก็ได้ด่า Margaret Thatcher กับ Mary Whitehouse กับโครงการบ้า ๆ บอ ๆ ของพวกหล่อนไว้ และ เพลง Sheep ก็ได้เปรียบกับประชาชนเดินดินผู้ที่ดูเหมือนจะเฉื่อยชาต่อความเป็นไปในสังคม แต่ถึงกระนั้น ถ้าหากพวกเขาถูกบีบคั้นมากเข้าล่ะก็ ฝูงแกะที่ดูน่ารักเรียบร้อยก็อาจจะรวมตัวกัน พังคอกของพวก "ท่าน" สักวันก็เป็นได้Frank Zappa - Joe's Garage กลับมาสู่ยุค PMRC แน่นอนว่า Frank Zappa ผู้ต่อต้าน PMRC อย่างจริงจัง ก็ได้ออกคอนเซปท์อัลบั้มแนวเล่าเรื่องที่ชื่อ Joe's Garage พูดถึงชายที่ชื่อ Joe กับเส้นทางดนตรี Rock สุดเฟี๊ยวฟ๊าว ในบทท้าย ๆ ของอัลบั้ม ได้พูดถึงโลกอันน่าสะพรึงกลัวแบบเว่อร์ ๆ ไว้ว่า โลกของ Joe นั้นดนตรีกลายเป็นสิ่งผิดกฏหมาย และเขาก็ได้แต่ระลึกถึงโน๊ตกีต้าร์โดยไม่สามารถเล่นได้จริงStyx - Kilroy was Here อัลบั้มแนวเล่าเรื่องอีกอัลบั้มหนึ่งที่เป็นผลพวงมาจากนโยบายของ PMRC คือ Kilroy was Here ของวง Styx เนื้อเรื่องพูดถึงโลกในอนาคตที่รัฐบาลหัวอนุรักษ์จัดการทำให้ดนตรีร็อคกลายเป็นสิ่งผิดกฏหมาย โดยหน่วยงานที่มีชื่อว่า MMM (the Majority for Musical Morality) โดย Kilroy อดีตนักดนตรี Rock ที่ถูกจับขังคุก ได้หาทางหนีออกมา และจะต้องต่อสู้กับโลกใบนี้ ในอัลบั้มก็มีเพลงที่พูดเน้นถึง censorship หนัก ๆ หน่อย อย่าง Heavy Metal Poisoning เนื่องจากดนตรี Heavy Metal ตกเป็นแพะรับบาปของสังคมเคร่งศีลธรรมในช่วงนั้นอยู่พอดีรูปนี้ขออนุญาตทำเป็น Link เอานะครับ ต้องคิดเผื่อถึงบางคนที่เขาอาจจะไม่อยากเห็นภาพแบบนี้ด้วยRage Against the Machine ในคอนเสิร์ท Lollapalooza และแน่นอนว่าวง Rage Against the Machine วงแนว Rap-Rock จอมขบถ ก็เอากับเขาด้วยเหมือนกัน ในคอนเสิร์ท Lollapalooza พวกเขาได้ออกมาประท้วงในแบบชวนให้สะดุ้งอยู่ไม่น้อย (ใครที่ไม่คุ้นเคยกับเรื่องแบบนี้ผมก็ขออภัยจริง ๆ เพราะเจ้าพวกนี้มันแรงใช้ได้) พวกเขาออกมาเปลือยตัวเองแล้วเขียนตัวอักษร PMRC ไว้บนตัวสมาชิกไม่รู้เลยจริง ๆ ว่าที่ปิดอยู่นั่น เป็นอะไร Music Video เพลง Hush ของวง Tool และเราอาจจะได้เห็นภาพคล้าย ๆ กันนี้ (แต่อาจเบาบางลงมาหน่อย) ใน Music Video เพลง Hush ของวง Tool อีกเพลงที่เขียนด่า Censorship และ MV ของมันก็เล่นล้อกับความหมายอะไรบางอย่าง สำหรับผม มันดูฮา ๆ ดี ที่เอาป้ายไป "Parental Advisory" ไปติดตรงนั้น...ตรงที่ไม่รู้เล้ย...ว่ามันคืออะไรDixie Chicks เพลง Not Ready to Make Nice Censorship ไม่ได้มีอยู่แค่ในเหตุผลด้านศีลธรรมเท่านั้น ในยุคปัจจุบัน แม้ความเห็นต่างทางการเมืองนอกจากจะถูกทำให้เป็นฝ่ายตรงข้าม สร้างภาพให้เป็นศัตรูแล้ว ยังจะถูกปิดกั้นบิดเบือนเอาง่าย ๆ ดูอย่าง Free TV. ส่วนใหญ่ในประเทศเราก็รู้ ๆ กันอยู่ ว่ามักจะมีแต่การแสดงอะไรด้านเดียวอยู่เสมอ ภาพของม็อบที่มีแต่ด้านของความรุนแรง โดยไม่เคยสำรวจเข้าไปในตัวของปัญหาที่แท้จริง หรือแม้แต่จะฟังความต้องการของพวกเขาโดยไม่ใส่อดติตัดสินพวกเขาเข้าไปเลย ไม่ใช่แค่ Free TV. บ้านเราเท่านั้น สถานีวิทยุคันทรี่ของอเมริกัน ที่ดูจะสนับสนุนประธานาธิบดีบุชเต็มที่ ยังแบนเพลงของวง Dixie Chicks หลังจากที่ นาตาลี เมนส์ ได้วิจารณ์และจิกกัดบุชเอาไว้ในคอนเสิร์ท แถมด้วยเพลงประท้วงนโยบายสงครามต่อต้านการก่อการร้าย ทางวง Dixie Chicks ต้องอยู่ภายใต้ความบิดเบี้ยวคับแคบของลัทธิชาตินิยมอเมริกันมาเป็นเวลาหลายปีก่อนที่จะได้ออกอัลบั้ม Taking a Long Way มา ซึ่งเพลง Not Ready to Make Nice ก็เป็นอีกเพลงหนึ่ง ที่พูดถึงความเจ็บช้ำในการถูกทอดทิ้งจากสื่อสาธารณะและการถูกคุกคามจากภาครัฐไว้ได้อย่างถึงใจ (อ่านรายละเอียดอัลบั้มนี้แบบเต็ม ๆ ได้ที่ Weekend เก่าครับ)Manic Street Preachers เพลง Freedom of Speech Won't Feed My Children พูดอเมริกาแล้ว คงขาดไม่ได้ที่จะนึกถึงดินแดนแห่งเสรีภาพ ดินแดนที่สนับสนุนความหลากหลายของเชื้อชาติ ดินแดนที่สนับสนุนอิรภาพในการแสดงความเห็น (Freedom of Speech) ...แต่มันเป็นอย่างนั้นจริง ๆ น่ะหรือ ขณะที่รัฐบาลอเมริกันเที่ยวไปจัดการกับเสรีภาพของประเทศอื่น ๆ น่าตาเฉย พวกเขาเคยยอมรับความแตกต่างทางความคิดของคนในประเทศเดียวกันหรือเปล่าเถอะ เพลง Freedom of Speech Won't Feed my Children ของวง Manic Street Preachers เป็นเพลงที่วิจารณ์ความยอกย้อนของคำว่า "เสรีภาพ" จากอเมริกันชน ด้วยน้ำเสียงกึ่งประชดล้อเลียน และแน่นอนว่า คำว่า "เสรีภาพ" ในรัฐธรรมนูญฉบับอนุรักษ์ไดโนเสาร์ของพวกเราเองก็ยอกย้อน น่าสงสัยพอ ๆ กันSex Pistol เพลง God Save The Queen ข้ออ้างที่สำคัญในการใช้ทำลาย "เสรีภาพในการแสดงความเห็น" คือ "ความมั่นคง" แต่เราคงต้องมาตั้งคำถามสักหน่อยว่ามันคือความมั่นคงของใคร หรือของอะไร !? God Save the Queen เป็นเพลงท้าทายสถาบันที่มีชื่อเดียวกับเพลงชาติอังกฤษ แต่เนื้อหาสุดพังค์ของมันก็ตรงกันข้ามกับเจตนารมย์ของเพลงชาตินี้โดยสิ้นเชิง และเป็นความสะใจส่วนตัว ที่จะได้ร้องตามไปกับประโยคเด็ด ที่แสดงความรู้สึกของเพลงนี้ออกมาได้ดีที่สุดอย่าง No Future for You!King Crimson เพลง Happy with what you have to be Happy with ขณะที่ฝั่ง Punk ยุค 70's ท้าทายสถาบันอย่างไม่อ้อมค้อมนัก ดูเหมือนวงแนว Progressive (ถ้าไม่นับ Pink Floyd) ดูจะถนัดพูดอะไรอ้อม ๆ เสียมากกว่า จนบางครั้งเล่นเอามึนไปเลยว่ามันจะพูดถึงอะไรกันแน่ แต่ชื่อเพลงของวง King Crimson คือ Happy with what you have to be Happy with ที่เป็นชื่อเดียวกับ EP. นี้ด้วย ก็ทำเอาผมนึกถึงอะไรบางอย่างในบ้านเราเหมือนกัน ยิ่งใบหน้าเหมือนถูกสะกดจิตของคนบนหน้าปกแล้วยิ่งชวนให้นึกถึงคนที่เคลิ้มไปกับคำว่า "จงมีความสุขอย่างพอเพียงกับสิ่งที่คุณควรมีเสียเถิด" ขณะที่ผู้พูดนั้นอาจกำลังนั่งคิดหนักว่าจะเอาทรัพย์ทั้งหลายที่ได้มาอย่างพอเพียงโคตร ๆ ไปละลายยังไงดี มันเกี่ยวกับเซ็นเซอร์ชิพอย่างไรน่ะหรือ... แค่คำว่า "Happy with What you have to be Happy with" ที่มันออกมาจากผู้มีอำนาจ (ไม่ว่าอำนาจอะไรก็ตาม) ก็เอามาใช้อ้างอะไรได้หลายแล้วล่ะครับJohn Prine เพลง Illegal Smile ในเมื่อมนุษย์ไม่ใช่สัตว์ที่จะถูกให้ใครสั่งให้มีความสุขได้ "ความสุข" ของแต่ละคนมันจึงแตกต่างหลากหลายกันไป และแน่นอนว่า ความสุขสงบของบางคนอาจจะเป็นเรื่องที่ไม่อาจยอมรับของสังคมก็ได้ จนความสุขนั้นได้กลายเป็น "รอยยิ้มที่ผิดกฏหมายไป" When I woke up this morning, things were lookin' badSeem like total silence was the only friend I hadBowl of oatmeal tried to stare me down... and wonAnd it was twelve o'clock before I realizedThat I was havin' .. no fun Chorus:But fortunately I have the key to escape realityAnd you may see me tonight with an illegal smileIt don't cost very much, but it lasts a long whileWon't you please tell the man I didn't kill anyoneNo I'm just tryin' to have me some fun - Illegal Smileสิ่งที่เพลงนี้พูดถึงคือกัญชาครับ สิ่งผิดกฏหมายที่แพร่หลายทั่วไปในยุคบุปผาชนเกลือนถนน San Francisco และนักร้อง Folk อย่าง John Prine ก็แต่งเพลงเกี่ยวกับมันในท่าทีขอความเห็นใจขณะเดียวกันก็เจืออารมณ์ขันเมา ๆ ("ถ้วยข้าวโอ๊ตพยายามจะจ้องมองฉันด้วยสายตาดูแคลน ...แล้วมันก็เป็นฝ่ายชนะ") ว่าในวันแย่ ๆ ของคน ๆ หนึ่ง เขาทำผิดอะไรหรือกับการพยายามสร้างรอยยิ้มให้ตัวเองโดยไม่ได้ไปฆ่าใคร ถึงมันจะเป็นรอยยิ้มที่ "Illegal" ก็ตาม"สมาคมแม่บ้านวอชิงตัน" รับฟังเขาหน่อยก็ดีนะครับCrotchduster - Big Fat Box of Shitนอกจากรอยยิ้มมันจะมาจาก "สมุนไพร" ชนิดนั้นแล้ว สิ่งที่ไม่จำเป็นต้องเสี่ยงขนาดนั้นก็คือ อารมณ์ขันนั่นเอง มุขตลกแบบสัปดนอาจเป็นเรื่องเล่าเล่นทั่วไปของคนในสังคมเพื่อระบายความเก็บกดทางเพศว่ากันว่าคนที่ยิ่งชอบเล่าเรื่องสัปดนมากเท่าไหร่ ความกระสันในตัวเขายิ่งจะน้อยลงเท่านั้น ตรงข้ามกับคนที่ไม่เล่นมุขสัปดนพวกนี้เลยนั้นตัวจริงของเขาจะสุดหื่น...เรื่องนี้จริงแท้แค่ไหนไม่ทราบ แต่ถึงผมจะเป็นคนไม่เชื่อสถิติ และรู้สึกว่าความคิดข้างต้นเหมารวมไปหน่อย แต่ก็เห็นด้วยบ้างกับเรื่องการได้ระบายออกด้วยการเล่าเรื่องสัปดน การเซ็นเซอร์เรื่องอะไรเหล่านี้มันทำให้คนเก็บกดได้นะครับพี่น้อง!Big Fat Box of Shit เป็นอัลบั้มของวง Metal เฉพาะกิจ Crotchduster เนื้อหามีมุขตลกสัปดนที่บางทีก็ซ่อนนัยยะ บางทีก็ตรงไปตรงมา แต่ก็ไม่ไม่ใช่มีแต่มุขสัปดนบางเพลงก็เป็นมุขตลกแบบ absurd สุด ๆ เลยก็มี อย่างตอนต้นเพลง Jogging in hell (ฉันคิดว่ามันเป็นแปรงสีฟัน แต่จริง ๆ แล้วมันคือกระบอกไฟฉาย ฉันเลยทำฟันของตัวเองร่วงหมดปาก ในกลางค่ำคืน)หากง่ายที่จะเจอวง Heavy Metal ที่ชวนให้เซ็นเซอร์ (ปกหรือเนื้อหา บางครั้งอาจรวมการแต่งตัวด้วย) ด้วยเหตุผลของความโหดร้าย ก้าวร้าว หรือเรื่องของซาตาน แต่หายากที่จะเจอวงที่ชวนให้เซ็นเซอร์เพราะอารมณ์ขันสัปดนMayhem - Dawn of the Black Heartอย่างที่ว่าไว้ ความโหดของ Heavy Metal ในฐานะของรูปแบบ (Form) ทางดนตรีถือเป็นเรื่องปกติ โดยเฉพาะสาย Extreme อย่าง Black กับ Deathและวง Mayhem ซึ่งเป็นวง Black Metal วงแรก ๆ ของโลกก็อารมณ์เพี้ยนจัด... เมื่อเพื่อนร่วมวงของพวกเขา Per Yngve Ohlin (มีสมญานามว่า Dead) ฆ่าตัวตาย (ทีนี้เลย Dead สมชื่อ) พอนาย Øystein ‘Euronymous' Aarseth เพื่อนร่วมวงผ่านมาเจอเข้าก็เผ่นออกไป... ออกไป... ออกไป...หากล้องมาถ่ายรูปศพไว้แล้วเอามาทำเป็นปกอัลบั้ม Bootleg ที่ชื่อ Dawn of a Black Heart เสียอย่างงั้นHarry and the Potters - Voldemort can't stop the Rock!เมื่อผมเจอวงนี้เป็นครั้งแรกเล่นเอาขำปนฉงนอยู่เหมือนกันว่า "เฮ้ย ! เอาจริงง่ะ"แล้วก็พบว่ากระแสของ Harry Potter มันลามมาถึงวงการดนตรี (จะเป็นไรไปจริง ๆ The Lord of the Ring ก็เคยเป็นแรงบันดาลใจให้กับ Power Metal บางวงมาแล้ว) หรือถ้าไม่คิดมาก ก็อาจจะเป็นแนวเฉพาะกลุ่มที่ผุดขึ้นมาตามความชอบส่วนตัวก็เป็นได้เพียงแค่พอตเตอร์(ส) ในที่นี้หันมาถือกีต้าร์แทนไม้คทา แถมยังแต่งเพลงมีเนื้อหาอ้างถึง PMRC ไว้ใน Voldemort can't stop the Rock! ถึงจะดูเหมือนประท้วงแบบนุ่มนิ่ม แต่ก็น่าจดจำไว้ว่า แม้แต่คนอ่านวรรณกรรมเยาวชนที่ดู (เผิน ๆ ผิว ๆ) จะไม่เป็นอันตรายในสายตาผู้ใหญ่ เขายังรู้เลยว่า อะไรเป็นอะไรต่อให้เป็น "คนที่คุณก็รู้ว่าใคร" ก็ไม่อาจห้ามพวกเขาร็อคได้ !Shadow Gallery - Tyrannyคงไม่ต้องอธิบายมาก (เพราะผมเคยเขียนถึงอัลบั้มนี้เมื่อนานมาแล้วใน Weekend) แต่สิ่งที่น่ากลัวที่สุดของรัฐบาลเผด็จการคือคำว่า "ความมั่นคง"สั้น ๆ ง่าย ๆ ได้ใจความ Sleater-Kinney - The Woodอัลบั้มนี้ผมก็เคยเขียนถึงไปแล้วเช่นกัน (ใน Weekend นั่นแล) พูดถึง Censorship แล้วจะโทษจะแขวะกองเซ็นเซอร์ฝ่ายเดียวก็กระไรอยู่ ในเมื่อบางครั้ง กระบวนการในการผลิตดนตรีนี่แหละที่เซ็นเซอร์ตัวเอง บ้างก็มาจากตัวศิลปินเองที่จงใจทำ แต่หลายต่อหลายครั้งที่มันเกิดจากโปรดิวเซอร์หรือไม่ก็เหตุผลทางธุรกิจSleater-Kinney เป็นวง "สาวขบถ" ที่เขียนถึงเรื่อง gender บ้าง เรื่องทั่วไปบ้าง และที่เว้นไม่ได้ก็เรื่องการเมือง (เพราะการเมืองอยู่รอบตัวเรา...ไม่สิ ! มันอยู่แม้แต่ในตัวเรา)วิธีการเซ็นเซอร์ทางอ้อมอีกแบบหนึ่งที่รัฐจะทำคือกันผู้คนให้ออกจากการสำนึกรู้ทางการเมือง ทำให้มันเป็นเรื่องสกปรก ทำให้คนไม่อยากยุ่ง แล้วชนชั้นนำ (ผู้มีคุณธรรมสาด ๆ) ก็จะขอเล่นกับสิ่งสกปรกนี้ด้วยตัวเอง พลเมืองที่ไม่เข้มแข็งก็จะถูก "ผู้มีคุณธรรม" ทั้งหลายคอนโทรลได้ง่าย ผ่านทางวาทกรรมและอะไรซับซ้อนต่าง ๆและที่เขียนมายึดยาวเพื่อที่จะบอกว่า เมื่อวง Sleater-Kinney ได้ย้ายมาสู่ค่ายเพลงที่ใหญ่ขึ้น เพื่อที่จะทำ The Wood ให้มีระบบบันทึกเสียงที่ดีขึ้น แต่พวกเธอกลับถูกโปรดิวเซอร์เตือนเรื่องเพลงเกี่ยวกับการเมือง ดูเหมือนค่ายใหญ่ ๆ จะพยายามลี้หนีจากการเมืองเสียเหลือเกิน (โดยเฉพาะในบ้านเรา)แต่พวกคุณเธอ Sleater-Kinney ก็ตอกกลับท่านโปรดิวเซอร์แบบอ้อม ๆ ในเพลงที่ชื่อ Entertain พูดถึงการที่พวกเธอโดนสั่งให้ปิดปากแล้วเล่นดนตรีเพื่อ "ความบันเทิง" เท่านั้น อย่าได้ยุ่งกับ "จอห์นนี่ถือปืนไปรบ" เชียว เพราะมันเสียว (ว่าจะมีโทรศัพท์จาก กรมกอง อะไรสักอย่างนี้) เหลือเกิ้นนนนน 
ประชาไทไนท์
คำเตือน: โปรดอ่านให้จบก่อน (ตัดสินใจ) ดูคลิป ตั้งแต่วันที่ 2 สิงหาคม 2550 เป็นต้นมาไม่รู้ว่าชะตากรรมของ 'แจ๊คผู้ฆ่ายักษ์ (เขียว) ตาเดียว' ในค่ำคืน 'ประชาไทไนท์' เป็นอย่างไรกันบ้างแล้ว?***ที่รู้ๆ ก็คือว่า นับจากวันนั้นการเซ็นเซอร์และการปิดกั้นหนทางเข้าถึงข้อมูลข่าวสารออนไลน์ยังคงเกิดขึ้นพ.ร.บ.การกระทำความผิดทางคอมพิวเตอร์ถูกนำมาใช้อย่างจริงจังรัฐเข้ามาควบคุมและจัดระเบียบพื้นที่ออนไลน์โดยใช้อำนาจ 'จัดการ' ในสิ่งที่รัฐเห็นว่าไม่ถูกไม่ควร'ตาทิพย์' สีเขียวคอยเฝ้าดูการกระทำและความเป็นไปของผู้ใช้อินเตอร์เน็ตทั่วประเทศ*** เมื่อเห็นใครกำลังออกนอกลู่นอกทาง ดวงตาเขียวๆ ดวงนั้นจะตามไปสิงสถิตที่หน้าจอคอมพิวเตอร์***เชื่อว่านักเล่นเน็ตหลายคน 'เข้าใจ' ในความหวังดีของรัฐแต่หลายคนยังคงสงสัยว่าอะไรคือ 'มาตรฐาน' หรือ 'หลักเกณฑ์' ในการชี้วัดที่รัฐใช้เพื่อที่จะบอกว่าอะไรถูก-อะไรผิด-อะไรเป็นเรื่องต้องห้าม***แน่นอนว่า-ท่ามกลางกระแสอันเชี่ยวกรากของข้อมูลข่าวสารที่ทะลักล้นเรื่องราวเลวร้าย-มอมเมา-ยั่วยุ-บ่อนทำลาย ก็คงไหลบ่ามาพร้อมๆ กันแต่ถ้ารัฐเคารพในสิทธิและวิจารณญาณของนักเล่นเน็ตก็น่าจะคอยสอดส่องดูแลแต่เพียงห่างๆ รวมถึงใช้ช่องทางแห่งกฎหมายอย่างเข้าอกเข้าใจในธรรมชาติของโลกอินเตอร์เน็ต***คลิปวิดีโอของแจ๊คหมายเลข 1 (จอน อึ๊งภากรณ์) เรานำมาโพสต์ประเดิมกันที่นี่คงมีแง่มุมอะไรให้ถกเถียงเปิดประเด็นกันได้อีกเยอะ***แต่ก่อนที่จะตัดสินว่าสิ่งที่ปรากฎอยู่ในคลิปนี้คือเรื่องเลวทรามต่ำช้าโปรดพิจารณาให้ถี่ถ้วนเมื่อมี 'คำเตือน' โผล่ขึ้นมาในช่วงจังหวะหนึ่งของคลิปเราเชื่อว่าทุกคนมีสิทธิ์ 'เลือก' ว่าจะดูหรือไม่ดูคลิปนี้ต่อแต่ถ้าใครเลือกที่จะ 'ดู' ก็ต้องยอมรับในสิ่งที่ได้รับรู้ไปแล้วด้วย***หลังจากดูจบแล้ว...ลองตอบอย่างตรงไปตรงมาด้วยก็แล้วกันว่ามาตรฐานทาง 'ศีลธรรม' ของแต่ละคนลดลง-เพิ่มขึ้น-หรือเท่าเดิม? 

แท็กล่าสุด

แท็กยอดนิยม