บล็อกกาซีน ประชาไท
เจนจิรา สุ
31สิงหาคม2550 22.40 น.ฉันลุกขึ้นเปิดดวงไฟจากแบตเตอรี่อีกครั้ง หลังจากที่ลุกขึ้นมาโทรศัพท์สนทนากับเพื่อนที่เชียงใหม่ ระบายความกลัดกลุ้มด้วยคำพูดแต่ดูเหมือนเมื่อปิดไฟลง ดวงตาก็เบิกโพลงไปกับความคิดฉันจึงปล่อยความคิดโลดแล่นไปกับปลายปากกานับถอยหลังไปอีกสิบวัน หมู่บ้านที่ฉันอาศัยอยู่นี้ก็จะถูกย้ายไปที่แห่งใหม่ ตามคำสั่งของผู้ว่าราชการจังหวัดแม่ฮ่องสอน โดยให้ไปรวมกับหมู่บ้านอีกแห่งหนึ่งที่อยู่ไกลออกไปติดชายแดนไทย-พม่าทางฝั่งทิศตะวันตก เนื่องจากชาวบ้านที่นี่อาศัยอยู่กับนายทุนมานานกว่า 12 ปี ด้วยสัญลักษณ์ที่พิเศษแตกต่างกว่าชนเผ่าอื่น “กะยัน” หรือที่เรียกกันทั่วไปว่ากะเหรี่ยงคอยาว จึงมักถูกโยกย้ายถ่ายเทไปหลายหนแห่งหลายครั้งคราวอย่างไม่มีทางเลือก ด้วยเหตุผลเดียวกันคือเพื่อธุรกิจการท่องเที่ยวทว่าครั้งนี้ เมื่อชาวบ้านเงี่ยหูฟังรัฐที่ได้ยื่นมือลงมาปลดห่วงที่มองไม่เห็น ต้องการจัดตั้งหมู่บ้านถาวร โดยจะยกที่ดินที่ทำกินให้ดำเนินชีวิตอย่างชาวเขาเผ่าต่างๆ แต่ขณะที่เดียวกันก็ยังเปิดเป็นสถานที่ท่องเที่ยวได้เช่นเดิม จากการบังคับข่มขู่ให้ย้าย ก็กลายเป็นการขอร้องให้ย้ายด้วยความสมัครใจ ทำให้ 8 ครอบครัวจาก 26 ครอบครัว (รวม “กะยอ” หรือกะเหรี่ยงหูกว้าง 4 ครอบครัว) ตัดสินใจโยกย้ายตามคำสั่งผู้ว่าราชการจังหวัดแม่ฮ่องสอน ยิ่งใกล้วันย้ายปัญหาก็ยิ่งคุกรุ่น ชาวบ้านเริ่มแสดงตัวเป็นฝักฝ่ายชัดเจน ระหว่างกลุ่มผู้สมัครใจย้ายจากหมู่บ้านห้วยเสือเฒ่าและหมู่บ้านในสอย ไปอยู่ที่หมู่บ้านห้วยปูแกง (น้ำเพียงดิน) ตามคำขอร้องของผู้ว่าฯ กับกลุ่มผู้สมัครใจอยู่ที่เดิมส่วนอีกกลุ่ม ที่แยกตัวกลับไปอยู่ในศูนย์พักพิงผู้อพยพในสอยนั้น ก็จะได้รับการดูแลเช่นเดียวกับคนอื่นๆที่อาศัยอยู่ก่อนแล้ว ด้วยความหวาดหวั่นพรั่นใจของทั้งสองฝ่ายที่ไม่รู้ชะตาตัวเองว่า ไปแล้วจะเป็นอย่างไร ส่วนที่เหลืออยู่จะอยู่อย่างไร ยิ่งข่าวลือที่กระพือมาเป็นระลอกเช่นว่า หมู่บ้านเดิมอาจถูกกดดันให้ปิดลงด้วยเหตุผล “ความมั่นคงแห่งรัฐ, ขัดต่อสิทธิมนุษยชนแห่งชาติที่นำคนมาเปิดแสดงดังสวนสัตว์ (Human Zoos)” หรือไม่ก็ฝ่ายที่ย้ายจะถูกจำกัดสิทธิ์การเข้าออกหมู่บ้าน ล้วนเป็นหัวข้อโต้เถียงกันอยู่ตลอดเวลา สำหรับฉันซึ่งตัดสินใจหอบลูกชายวัยหกเดือนเศษย้ายติดตามสามีกะยันไปด้วย แม้จะไม่มีส่วนได้ส่วนเสียโดยตรง แต่เหล่าบรรดาพี่น้องของฝ่ายสามีส่วนใหญ่ตัดสินใจย้ายไปเกือบหมด ก็ทำให้นึกเป็นห่วงและไม่อาจดูดายได้ ด้วยความที่ฉันเป็นคนไทยคนเดียวที่มีบัตรประชาชน มีความรู้และยังสามารถสื่อสารกับหน่วยงานราชการได้ดีกว่าชาวบ้านที่ยังใหม่ต่อการประสานงานกับหน่วยงานภาครัฐเพราะที่ผ่านมามีนายทุนคอยจัดการทุกอย่าง ทำให้ฉันต้องตกที่นั่งกลายมาเป็นที่ปรึกษาให้กับฝ่ายที่จะย้ายไปโดยปริยาย และนี่ก็เป็นที่มาแห่งความกลัดกลุ้มของค่ำคืนนี้ หมู่บ้านที่เคยสงบสุขเริ่มแตกแยก พี่น้องที่เคยรักใคร่มาเป็นอริกัน หากมีใครที่ผ่าเหล่าเลือกในสิ่งที่ข้างมากไม่เลือก ทั้งๆ ที่ครั้งนี้เป็นครั้งที่สองที่พวกเขาได้มีโอกาสเลือก นับตั้งแต่ครั้งแรกที่เขาเลือกที่จะเดินทางข้ามแม่น้ำสาละวินมาขึ้นฝั่งไทยเมื่อ ปี 2527 เมื่อวานเจอปัญหาโลกแตก ที่ทำให้เกิดความขัดแย้งได้ในทุกที่ก็คือเรื่องเงิน เงินกองทุนชาวบ้านที่แบ่งไม่ลงตัว แม้กะยันฝั่งที่ไม่ย้ายจะมีน้อยกว่าฝั่งที่ย้าย แต่คนที่ดูแลเงินคือมีทั้งผู้ใหญ่บ้านและผู้ช่วยฯ (ที่ตั้งกันเอง) มีอำนาจการต่อรองมากกว่า จึงสร้างรอยแค้นให้กับชาวพี่น้องที่ย้ายไปอยู่ไม่น้อย พอเมื่อวานผ่านไปวันนี้ เงินกองทุนหมู่บ้านเหลือ 2,000 บาท ซื้อเนื้อซื้อเบียร์มาร่วมวงกินกันทั้งหมู่บ้าน ทุกคนเฮฮาปาร์ตี้เหมือนไม่เคยมีเรื่องบาดหมางใจ นี่แหละหนาชาวบ้านไม่มีเล่ห์เหลี่ยมเพทุบาย ทะเลาะกันก็ฉะกันตรงๆ พอจบเรื่องแล้วก็แล้วกันไป แม้ฉันจะยังไม่ค่อยเข้าใจในภาษาและวัฒนธรรมของพวกเขาอย่างละเอียดลออ แต่ก็พอจะเข้าใจในวิถีชีวิตและลักษณะนิสัยของชาวกะยันอยู่บ้าง จุดอ่อนของหมู่บ้านนี้(ที่ฉันอาศัยอยู่คือบ้านห้วยเสือเฒ่า) คือขาดผู้นำที่แท้จริง ชาวบ้านจึงไม่ค่อยเชื่อผู้นำ การประชุมหมู่บ้านแต่ละครั้งจึงไม่ค่อยมีความหมาย เพราะต่างคนต่างคิดกันคนละอย่าง แต่ไม่เคยมาถกเถียงกันในกลุ่ม แต่ซุบซิบกันเอง แต่พอถกเถียงกันในกลุ่มจริงๆ ก็ไม่สามารถหาตกลงได้ เพราะพวกเขาใช้ระบบเครือญาติตกลงกัน ญาติใครเยอะกว่ากัน บางคนจึงต้องยอมรับข้อตกลงแบบจำยอมฉันจึงไม่แปลกใจที่ชาวบ้านบางส่วนเลือกที่จะย้ายไปที่แห่งใหม่ทั้งๆที่ไม่รู้ว่าที่นั่นจะกินอิ่มนอนอุ่นเหมือนที่เดิมที่มีนายทุนดูแลอยู่หรือไม่แต่ที่รู้ๆก็คือ ที่นั่นไม่จำเป็นต้องจำยอมก้มหัวรับคำสั่งของใคร และการลงชื่อย้ายของชาวบ้านบางส่วนก็นับเป็นการแสดงออกของการต่อต้านนายทุนที่มีมานานกว่า12 ปี.
โอ ไม้จัตวา
เริ่มคอลัมน์ใหม่หัวใจดวงเดิม ขอประเดิมด้วยการพาไปเดินเล่นตามประสาคนถ่ายภาพ เมื่อวันที่ 16 กันยายน 2550 ที่ผ่านมามีโอกาสนั่งเครื่องบินไปเกาะสมุย และช่วงเวลาที่อยู่บนเครื่องนั้น เป็นเวลาที่ข่าวเครื่องบินวันทูโกตกกำลังสร้างความตื่นตระหนกให้กับคนไทย เครื่องลงปุ๊บเปิดโทรศัพท์ได้ก็มีสายเข้าและ miss call เต็มไปหมด กว่าจะไปถึงสมุยได้ในวันนั้นก็ทุลักทุเล เพราะน้องสาวเป็นคนจองตั๋วคืนก่อนที่จะมาหนึ่งวัน นัยว่าเป็นงานด่วนของเธอ ขอให้ฉันมาเป็นเพื่อน ตอนจองตั๋วฉันถามว่าขึ้นเครื่องที่ไหน ดอนเมืองหรือสุวรรณภูมิ เธอตอบว่ากำลังหาอยู่ น่าจะดอนเมือง พรุ่งนี้เธอจะโทรถามอีกครั้ง เราบินจากเชียงใหม่ไปลงดอนเมือง และน้องก็มั่นใจว่าต่อเครื่องที่ดอนเมือง อีกครึ่งชั่วโมงถึงเวลาขึ้นเครื่องไปสมุย เราพบว่าต้องไปสุวรรณภูมิ!!!นาทีนรกยิ่งกว่าเครื่องบินตกปรากฏอยู่ตรงหน้า เพราะเรามีญาติผู้ใหญ่ไปด้วย เธอไม่สามารถรอต่อเครื่องได้ และผิดหวังกับพวกเราสุด ๆ ที่ไม่รอบคอบ เราจับแท็กซี่มาสุวรรณภูมิก็ไม่ทันเที่ยวบินถัดไปที่เพิ่งปิดรับไปพอดี ต้องรออีกเที่ยวบินหนึ่งซึ่งก็ไม่รู้ว่าจะได้หรือไม่ ญาติของเราน็อคเรากลางสนามบินสุวรรณภูมิด้วยการประท้วงไม่ไปกับเรา เธอซื้อตั๋วเครื่องบินบินกลับเชียงใหม่ เพื่อให้เราจดจำไปจนตาย จะได้ไม่เกิดเหตุการณ์แบบนี้อีก เธอบอกว่าอย่าหมิ่นใจเธอ อยู่ขั้วโลกเหนือหรือใต้ ถ้าเธอจะกลับบ้านเธอก็จะกลับ!!!ระหว่างรอเครื่อง น้องก็เล่าว่า เช้านี้เธอพยายามโทรถามที่สายการบินในเรื่องนี้ หมายเลขโทรศัพท์ที่มีอยู่นั้นก็เป็นระบบตอบรับอัตโนมัติ และแจ้งให้เราโทรมาในเวลาทำการ เธอคิดว่ามีเพียงสายการบินสีแดงเท่านั้นที่ไม่ย้ายมาดอนเมือง และเรายังพบว่าสายการบินนี้ไม่รับโทรศัพท์ในวันอาทิตย์เลย เมื่อเราไปถึงสมุย เราพยายามโทรเข้าไปเปลี่ยนเที่ยวบินขากลับ เบอร์ที่สมุยสามเบอร์ โทรเข้ากรุงเทพ โทรเข้าเบอร์สายด่วน และพยายามเปลี่ยนเองทางอินเตอร์เน็ต แต่เมื่อเข้าไปถึงคำว่า Change flight ก็พบว่าปุ่มที่ควรกดได้ กลายเป็นปุ่มด้าน ๆ ที่ไร้ความหมายคืนนั้นฉันติดเกาะ เกาะที่เต็มไปด้วยข่าวเครื่องบินตก คนตาย คนบาดเจ็บ โรงแรมที่ไปพักมีคนพักอยู่สองคนคือฉันกับน้อง ฝนตกจนงานที่นัดไว้ต้องเลื่อนไป หิวจนไม่หิว เราเดินออกไปซูเปอร์มาร์เก็ตใกล้โรงแรม อาหารเย็นของฉันในคืนนั้นคือ เบียร์และเลย์ โหดร้ายที่สุดสำหรับคนกลัวความสูงอย่างฉัน คือต้องบินกลับอีกสองต่อ และเมื่อเปลี่ยนเที่ยวบินเพื่อให้มีเวลาพอไปขึ้นเครื่องที่ดอนเมือง จากเครื่องใหญ่ก็กลายเป็นเครื่องเล็ก ที่เหมือนรถเมล์บินได้ ตกหลุมอากาศที่หัวใจฉันหล่นวูบ และเริ่มจินตนาการถึงท่าลงว่าจะเหมือนในหนังเรื่องไหนที่เคยดู ไปครั้งนี้ก็ไม่แย่จนเกินไปนัก ได้รูปสวย ๆ ที่ถูกใจมาก ๆ มาปลอบใจตัวเองว่า ชีวิตก็ไม่ว่างเปล่าจนเกินไปนักรอยเท้าบนผืนทราย ฝากไว้ให้ทะเลทางลงหาดเดินออกจากห้องพักมาหินตาคงหนักน่าดูต้นไม้รักกันชอบสมุยตรงที่ต้นมะพร้าวเยอะดีระหว่างนมัสการสุริยะ ก็มีเจ้าตัวนี้เดินมาด้อม ๆ มอง ๆฟ้ายามเช้าเสียงคลื่นซัดสาดภาพนี้ดูเป็นโปสการ์ดยังไงไม่รู้ท้องฟ้ายามตะวันตก ถ่ายบนเครื่องวันทูโกระหว่างกลับเชียงใหม่อยากไปเดินเล่นตรงแสงสีไกล ๆ ตรงโน้นได้ภาพชุดที่ชอบมากมาอวด ภาพนางแบบจริง ๆ ฟ้าชืด ทะเลชืด ไม่มีมิติ จับมาซ้อนกับท้องฟ้า ได้อารมณ์อีกแบบหนึ่ง
ฐาปนา
“...เราจะต้องดำรงชีวิตที่เป็นของเราเอง การงานเป็นเพียงส่วนหนึ่งของชีวิตเท่านั้น และงานคือชีวิตก็ต่อเมื่อเราทำงานนั้นด้วยสติเท่านั้น มิฉะนั้นเราก็จะเหมือนกับคนตายที่มีชีวิตอยู่ เราแต่ละคนจะต้องจุดคบเพลิงของชีวิตด้วยตนเอง แต่ชีวิตของเราแต่ละคนเกี่ยวพันกับชีวิตของบุคคลรอบๆ เราด้วย หากเรารู้จักวิธีปกปักรักษา และระวังจิตใจและหฤทัยของเราเอง นั่นแหละจะช่วยให้พี่น้องเพื่อนมนุษย์รอบข้างเรา รู้จักการมีชีวิตอยู่อย่างมีสติ...”(ติช นัท ฮันห์,ปาฏิหาริย์แห่งการตื่นอยู่เสมอ: มูลนิธิโกมลคีมทอง พิมพ์ครั้งที่ 17,กันยายน 49) ความเปลี่ยนแปลง คือสัจธรรม ไม่มีสิ่งใดที่จะคงทนถาวรโดยไม่มีการเปลี่ยนแปลง ถ้าไม่เปลี่ยนด้วยตัวของมันเอง ก็ถูกสิ่งอื่นทำให้ต้องเปลี่ยน “มนุษย์” เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดในเรื่องนี้ สมมติว่า ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปเป็นเวลายี่สิบปีเราจะไม่ส่องกระจกเลย เราใช้ชีวิต เราพบผู้คน เราสื่อสารกับพวกเขาเหล่านั้น เราฟังข่าวจากวิทยุ-โทรทัศน์ เราอ่านข่าวจากหนังสือพิมพ์ เราทำงาน เราทานอาหาร เราอ่านหนังสือ เราออกกำลังกาย เราเหนื่อย เราพักผ่อน เราประสบความสำเร็จ เราเลี้ยงฉลอง เรามีความสุข เราเดินทาง เราล้มเหลว เราร้องไห้ เราทุกข์ เราเศร้า แล้วเราก็หายเศร้า เรากลับไปใช้ชีวิตอีกครั้ง วนเวียนเป็นวัฏจักรเช่นนี้หนึ่งวันผ่านไป เมื่อเราลืมตาตื่นในวันต่อมา ภายนอกเรายังเป็นเราคนเดิม แต่ ภายในตัวเราไม่ใช่คนเดิมอีกแล้ว ชีวิตหนึ่งวันที่ผ่านได้ทำให้เราเปลี่ยนไปแม้จะเล็กน้อยและเชื่องช้าอย่างยิ่งก็ตาม หนึ่งปีผ่านไป หลังผ่านพ้นการฉลองปีใหม่ ย้อนมองกลับไป เราอาจจะตกใจเมื่อคิดได้ว่าเราผ่านอะไรมาบ้างในหนึ่งปีนั้น ห้าปีผ่านไป สิบปีผ่านไป ยี่สิบปีผ่านไป เมื่อส่องกระจกอีกครั้งเราอาจจะจำตัวเองไม่ได้เสียแล้ว รูปร่างหน้าตาของเรายังมีเค้าเดิมอยู่ อาจจะกร้านโลกขึ้น อ่อนเยาว์น้อยลง แต่ภายในนั้น อาจจะไม่เห็นร่องรอยของยี่สิบปีก่อนอยู่เลยความสำคัญของระยะเวลาที่ผ่านไปสำหรับมนุษย์ ไม่ว่าจะแค่หนึ่งวันหรือยี่สิบปี ไม่ใช่อายุ ไม่ใช่สังขาร ไม่ใช่ความรู้ แต่คือการเปลี่ยนแปลงทั้งหมดนั้น เราถูกทำให้เปลี่ยน หรือ เราได้เลือกที่จะเปลี่ยนด้วยตนเอง แน่ละการดำเนินชีวิตมันก็ต้องมีทั้งสองด้าน แต่ด้านไหนล่ะที่มีมากกว่ากัน ถ้าให้ตอบอย่างจริงใจที่สุด คนส่วนใหญ่จะถูกเปลี่ยนแปลงจากสิ่งแวดล้อม มากกว่าการเลือกที่จะเปลี่ยนแปลงด้วยตนเอง ชีวิตของคนจำนวนไม่น้อยจึงดำเนินไปพร้อมกับคำถามว่า “ชีวิตคืออะไร?” หรือ “เรามีชีวิตอยู่เพื่ออะไร?” ผุดขึ้นมาในใจอยู่เสมอนานมาแล้วที่ผมเคยถามคำถามข้างต้น ถามและพยายามที่จะแสวงหาคำตอบ ได้คำตอบที่น่าคิดบ้าง ได้คำตอบที่เหลวไหลบ้าง เมื่อเวลาผ่านไป คำถามนี้ก็สำคัญน้อยกว่าคำถามที่ว่า พรุ่งนี้จะกินอะไร หรือ จะมีทางหาเงินได้มากกว่านี้อย่างไร จนไม่นานมานี้เอง ที่หลายสิ่งหลายอย่างได้ทำให้ผมเริ่มมองเห็นคำตอบของคำถามที่เกือบจะลืมเลือนไปแล้ว แม้จะไม่สามารถอธิบายได้ชัดเจนเหมือนหนึ่งบวกหนึ่งเท่ากับสอง แต่ก็รู้แล้วว่า ชีวิตไม่ได้ดำเนินไปอย่างไร้เป้าหมาย ทุกชีวิตมาอยู่บนโลกด้วยเป้าหมายอะไรบางอย่าง ท่ามกลางทางเลือกและทางแยกมากมาย เราทุกคนมีสิทธิ์ เลือก ไม่ใช่เป็นเพียง ผู้ถูกเลือก ความเชื่อของคนนั้น ก่อรูปขึ้นด้วยประสบการณ์ชีวิต การตั้งคำถาม ความขัดแย้ง จนประสบกับตัวตนที่ชัดเจนที่สุดของตนเอง จำเพาะเรื่องความเชื่อส่วนบุคคล กว้างไกลไปถึงความเชื่อเรื่องชีวิต ก็สามารถพูดคุยได้อย่างไม่รู้จบสิ้น คุณค่าของใครก็ของมัน หนทางของใครก็ของมัน ไม่ควรก้าวก่าย ไม่ควรหยามเหยียด ไม่ควรดูถูกกัน กระนั้น ก็ไม่อาจแกล้งทำเป็นลืมได้ว่า โลกนี้ก็มีหนทางของมันเองเช่นกัน และสิ่งที่มนุษย์ได้กระทำต่อโลก ผลของมันก็ย่อมสะท้อนแก่ตัวมนุษย์เอง สัจธรรมประการหนึ่ง ที่พบได้ในคำสอนของหลายๆ ศาสนา ไม่จำเพาะเพียงศาสนาพุทธ นั่นคือคำสอนที่ว่าด้วยการมีชีวิตอยู่กับปัจจุบัน เพราะปัจจุบันเท่านั้นที่เรามีชีวิตอยู่ อดีตนั้นล่วงเลยไปแล้ว และอนาคตก็ยังมาไม่ถึง ปัจจุบันจึงสำคัญทุกขณะ แน่นอน เราไม่อาจยึดจับปัจจุบันได้ เพราะปัจจุบันย่อมเคลื่อนไปด้วยตรรกะของเวลา แต่สิ่งที่เชื่อมโยงตัวเรากับปัจจุบันขณะได้นั้นมีอยู่ นั่นคือ “สติ” ของเรานั่นเองผมยกคำสอนของท่าน ติช นัท ฮันห์ ขึ้นในตอนต้นเพื่อเชื่อมโยงให้เห็นว่า ชีวิตของเราจะไม่มีค่าอะไรเลยถ้าเราไม่ได้ดำรงชีวิตอย่างมีสติ รู้ในสิ่งที่เรากำลังทำ อยู่กับปัจจุบันขณะ เรื่องนี้ดูเหมือนจะง่ายแต่จริงๆ แล้วลึกซึ้งมาก หากพยายามทำความเข้าใจ เราจะรู้ถึงคุณค่าของปัจจุบันขณะของการมีชีวิต นี่เป็นเรื่องที่สำคัญมาก ในโลกที่คนส่วนใหญ่ละเลยความสำคัญของปัจจุบันขณะ มุ่งแต่จะพุ่งไปข้างหน้าเพียงอย่างเดียว ไม่ได้อยู่กับสิ่งที่ทำ บางคนห่วงกังวลถึงสิ่งที่ล่วงไปแล้ว และบางคนก็มัวแต่คาดหวังกับสิ่งที่ยังมาไม่ถึง เราจึงมองไม่เห็นคุณค่าของปัจจุบัน ขณะที่ชีวิตเรายังดำรงอยู่ ขาดภูมิต้านทานการตระหนักรู้ความสุขในปัจจุบัน เมื่อทุกข์มากเข้าก็กลายเป็นว่ามองไม่เห็นคุณค่าของชีวิตตนเองที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ ไม่ใช่เพื่อจะสอนธรรมะนะครับ เพียงแค่อยากแสดงให้เห็นถึงความสำคัญของการใช้ชีวิตอย่างมีสติ เห็นคุณค่าของสติ ซึ่งไม่เพียงแต่ทำให้เราดำเนินชีวิตไปอย่างตระหนักรู้แล้ว ยังทำให้คนรอบข้างเราได้ตระหนักรู้ไปพร้อมกับเราด้วยก่อนหน้าที่คอลัมน์ “ทางใบไม้”จะเกิดขึ้น ผมเขียนคอลัมน์ “สถานการณ์ไม่ปกติ” มาประมาณปีกว่า แรกเริ่มเดิมทีตั้งใจจะเขียนในกรอบเรื่องสังคม การเมือง เศรษฐกิจ แต่ไปๆ มาๆ ก็ไม่ได้เป็นอย่างที่ตั้งใจไว้ทั้งหมด ชีวิตที่ดำเนินไป ทำให้ผมหันเหความสนใจไปในเรื่องของการใช้ชีวิตอย่างปกติสุขในสังคมปัจจุบันมากกว่า คอลัมน์ของผมช่วงหลังๆ ก็มักจะมีเรื่องในแนวทางนี้ค่อนข้างมาก เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงในด้านคอลัมน์ของประชาไท ผมจึงขออนุญาตเปลี่ยนแนวทางการเขียนให้ตรงกับสิ่งที่ตั้งใจไว้คำว่า ใช้ชีวิต ผมคิดว่าเป็นคำที่มีความหมายกว้างขวางและลึกซึ้ง เพราะทุกคนมีเพียงหนึ่งชีวิต หนึ่งชีวิตนี้คุณจะใช้อย่างไร เพื่อใคร เพื่ออะไร นี่เป็นคำถามสำคัญยิ่ง ทั้งในระดับปัจเจกบุคคล ทั้งในระดับสังคม กระทั่งลึกซึ้งไปจนถึงระดับปรัชญาและศาสนา ขึ้นต้นด้วยธรรมะ แต่ขอเรียนว่าคอลัมน์ “ทางใบไม้” ไม่ใช่คอลัมน์เกี่ยวกับธรรมะ เพราะผมไม่ใช่นักบวช ทั้งไม่มีความรู้มากพอจะสอนใครได้ แต่ผมสนใจที่จะแลกเปลี่ยนความรู้ ความเห็น ในเรื่องการใช้ชีวิตตามแนวทางที่มนุษย์ควรจะเดิน และคาดว่าด้วยกรอบเท่านี้ ก็น่าจะกว้างใหญ่พอที่จะไม่ทำให้ผมอับจนปัญญาในการหาเรื่องนำมาเสนอ ผมเริ่มต้นด้วยเรื่องของสติ เพราะเชื่อว่า ชีวิตจะมีคุณค่าเมื่อเราใช้ชีวิตอย่างมีสติ อย่างน้อยที่สุด ก็ขอให้มีสติรู้ตัวในสิ่งที่ทำ สิ่งที่รับผิดชอบ และสิ่งที่ดีที่สุดที่เราจะทำได้ในขณะนี้ถ้าใช้ชีวิตอย่างหลับไหล หรือครึ่งหลับครึ่งตื่นอยู่ ก็น่าจะลองทบทวนดู ว่าที่ผ่านมาเราได้ใช้ชีวิต อย่างขาดสติ หรือมีสติ และต่อไป เราจะยังใช้ชีวิตแบบเดิม หรือ เปลี่ยนตัวเองให้ดีขึ้นกว่าเดิม ผมไม่ใช่คนยิ่งใหญ่ขนาดจะปลุกใครให้ตื่นได้หรอกครับ คนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดนั้นก็คือตัวท่านเองตัวท่านเองเท่านั้น ที่จะปลุกตัวท่านเองให้ตื่นขึ้นตัวท่านเองเท่านั้น ที่จะสร้างตัวท่านเองให้เป็นอย่างที่ท่านต้องการ
มูน
ในความสัมพันธ์ระหว่างคนกับคน บางครั้งมีสายใยที่มองไม่เห็นผูกโยงเราไว้ด้วยกัน และสายใยเส้นนั้นก็อาจถักทอมาจากหนวดหรือขนแมวสักตัวหนึ่ง หลายคราวที่คนไม่รู้จักกัน มาพบเจอ พูดคุย และถูกชะตากันด้วยเรื่องของเจ้าสี่ขา เป็นไปได้ว่า ในโลกของมิตรภาพอันไร้เงื่อนไข ไม่อาจมีกำแพงใดๆ ตั้งอยู่ได้เย็นวันเสาร์ที่ 22 กันยายน 2550 แรงดึงดูดทางโทรศัพท์จากน้องสาวน่ารักชื่อน้องยู “ไปคุยเรื่องแมวๆ กันนะคะพี่” ทำให้ฉันเต็มใจนั่งรถบขส.จากบ้านนอกเข้ากรุง มุ่งไปโรงละครมะขามป้อม สี่แยกสะพานควาย ที่พลพรรครักแมวรวมตัวกันจัดนิทรรศการศิลปะเพื่อชุมชนเป็นงานเล็กๆ ที่แสนอบอุ่น มีคนรักแมว คนเลี้ยงแมว คนไม่เลี้ยง(แต่รัก)แมว คนอยากเลี้ยง(แต่แพ้)แมว รวมทั้งคนที่รักคนรักแมว(อีกที) มาคุยกัน ดูนิทรรศการแมวๆ ผลัดกันเล่าเรื่องแมว นินทาแมว วาดรูปแมว กินขนมเค้กหน้าแมว และช่วยกันซื้อเสื้อแมว(ให้คนใส่) เพื่อรายได้เล็กน้อยๆ จะมอบให้กองทุนแมวไร้เจ้าของแถบสะพานควาย ที่มีจำนวนมากมายอย่างไม่น่าเชื่อที่น่ารักเป็นอย่างยิ่ง คือมีพ่อค้า แม่ค้า คนหาเช้ากินค่ำในย่านสะพานควาย แวะเวียนมาร่วมงานด้วยหัวใจอันอ่อนโยนของคนที่เมตตาสัตว์ร่วมชุมชน บางคนโผล่เข้ามาในผ้ากันเปื้อนมอมๆ มาคุยเรื่องแมว แล้วรีบผลุบกลับออกไปเพราะ “ทิ้งร้านเอาไว้นะเนี่ย”อยากรู้จริงว่าสะพานควายมีแมวกี่ตัว “ร้อยหกสิบเอ็ดตัวค่ะ” เด็กหญิงเล็กๆ ลูกหลานชาวสะพานควายที่มาร่วมงาน บอกเสียงดังฟังชัด แถมยืนยันด้วยการกางแผนผังให้ฉันดู เป็นแผนผังที่สถาปนิกใจดีชื่อพี่เบนวาดขึ้นมา มีชีวิตชีวาอันพลุกพล่านย่านสะพานควายแทรกอยู่ในห้างร้าน ตลาด อาคาร ถนน ต้นไม้ รวมทั้งประชากรแมวที่เธอบรรจงใส่ลงในภาพอย่างตั้งอกตั้งใจ “ไม่น้อยไปหรือคะ” ฉันแกล้งถาม ก้มดูแผนผังที่มีแมวแทรกอยู่แทบทุกตารางนิ้ว ยิ้มกับขบวนแมวที่กำลังข้ามถนนกันเป็นพรวน“หนูนับตั้งสองรอบ มีแค่นี้เองค่ะ” หนูน้อยตอบราวกับว่า จริงๆ มันมีมากกว่านี้พี่นวล บ.ก.สำนักพิมพ์วงกลม เป็นหนึ่งในหัวเรี่ยวหัวแรงของงาน พอฉันถามไถ่ว่าทำไมเธอจัดงานนี้ ทั้งๆ ที่เธอกลัวแมว “เพราะพี่ชอบฟังคนคุยกันเรื่องแมว ฟังแล้วสนุกทุกทีเลย” พี่นวลตอบพลางยิ้มพลางอย่างอารมณ์ดีนิทรรศการเล็กๆ ที่เล่าเรื่องแมวและคนรักแมวในชุมชนย่านสะพานควาย ทำให้เราได้รู้จักเสือน้อย แมวเปอร์เซียขี้หงุดหงิดที่ชอบนอนบนตู้แช่หน้าร้านขายของชำสวัสดี เสือน้อยมีใบหน้าที่ไม่สามารถคาดเดาอารมณ์ได้ ตอนที่พวกเราแวะเอาอาหารแมวไปให้ ฉันเกิดอยากรู้ว่าเสือน้อยกำลังอยู่ในอารมณ์ไหน เจ้าของร้านจ้องหน้ามันอยู่พักหนึ่งแล้วว่า “ไม่แน่ใจแฮะ” มือฉันที่กำลังเอื้อมไปหามันจึงหดทันทีเราได้รู้จักเหมียวใหญ่ แมวแสนงอนที่ร้านเสริมสวยของพี่อลิน กับถุงทอง แมวประจำร้านสมุนไพรและแผงลอตเตอรี่ที่หวงตัวสุดๆ พอพวกเราโผล่ไป มันรีบหนีไปซ่อน เห็นแต่ดวงตาแวววับที่จ้องมาจากใต้โต๊ะยังมีเดี่ยว อ้วน และบราซิล สามแมวรู้มากที่พี่จรี เจ้าของร้านก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นเนื้อวัวหลีง้วนบอกว่า ตัวหนึ่งๆ จะขอลูกชิ้นกินวันละสามสิบลูก!!ฉันคุยกับพี่เจี้ยบและพี่เลิศ คนขายไก่ย่าง ที่เลี้ยงอดีตแมวจรจัดไว้ในบ้านแปดตัว แมวนอกบ้าน(แถวศาลเจ้า) อีกเกือบสิบตัว พี่เจี๊ยบบอกว่าจ่ายค่าปลาทูวันละสิบเข่ง (ไม่นับค่าอาหารเม็ด นม และค่าทำหมัน) และแมวทุกตัวของพี่จะหอมกรุ่นเป็นพิเศษทุกวันจันทร์ซึ่งเป็นวันอาบน้ำแมวประจำสัปดาห์ไม่กี่วันมานี้เพิ่งมีคนเอาลูกแมวมาทิ้งอีกสองตัว พี่เจี๊ยบอดไม่ได้ต้องเอาอาหารและนมไปให้ด้วยความเวทนา ฉันเดาว่าไม่ช้า พี่ทั้งสองต้องเพิ่มค่าปลาทูแน่ๆโจโจ้ เป็นแมวตัวเบ้อเริ่มที่อยู่ร้านเสริมสวยของป้าหงษ์ ขนนุ่มแน่นของมันชวนลูบเล่นเป็นอย่างยิ่ง แรกๆ โจโจ้นอนนิ่งให้ลูบโดยไม่แสดงอาการใดๆ ฉันได้ใจลูบไม่หยุด โจโจ้คงรำคาญเลยลุกออกไปกางเล็บฝนกับขาโต๊ะดังแกรกกรากเหมือนจะบอกว่า ลองมาลูบอีกทีสิ อีกตัวที่น่าทึ่งคือเจ้าแสตมป์ แมวเร่ร่อนที่ทุกๆ วันตอนตีห้าจะมาเกาประตูห้องแถวของพี่สุณี คนขายไก่สดในตลาดสุดาเพื่อขอกินมื้อเช้า บางวันแวะไปขอกินมื้อเย็นพี่สุณีที่แผงเสียด้วย หลายคนสงสัยว่ามันคิดได้ยังไงว่า ถ้าไม่เจอพี่สุณีที่บ้าน มันต้องไปหาในตลาด ดำเป็นแมวไม่มีเจ้าของ ชอบมุดเข้าออกตรงรูกำแพงของโรงแรมสุภาพ แต่น้าศาสตร์ คนขับรถแท็กซี่จะมีอาหารเม็ดมาให้ดำและแมวเร่ร่อนไร้ชื่อตัวอื่นๆ เป็นประจำ บางวันก็เป็นปลาดุกย่างจากรถเข็นขายส้มตำแถวนั้น น้าศาสตร์มีความเชื่อส่วนตัวว่าแมวเป็นเทพเจ้า จึงตั้งจิตอธิษฐานด้วยความเคารพทุกครั้งที่ให้อาหารแมว ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่ามีโชคดีเกิดขึ้นกับน้าศาสตร์เสมอๆ ยังมีเรื่องราวของไข่ตุ๋น สามสี ถุงเงิน โมโม่ โชค น้ำหวาน เก๋ง และอื่นๆ อีกมากมาย ที่บอกเล่าถึงชีวิตเล็กๆ ในย่านสะพานควายและหัวใจเอื้ออารีที่คนมีให้แมว งานวันนั้น หลายคนยิ้ม หัวเราะและนั่งคุยกันอย่างสนิทใจทั้งที่ไม่รู้จัก แต่เราเชื่อมโยงกันโดยใช้แมวเป็นสะพาน จนฉันอยากจะเรียกย่านนั้นใหม่ว่า สะพานแมว ถ้าใครมีโอกาสไปแถวสะพานควาย ไม่ต้องเสียเวลามองหาควาย แต่ลองสังเกตประชากรแมว ถ้าเจอก็ทักทายกันบ้างนะคะ ไม่แน่ว่าสักวันเราอาจจะได้พบกัน และได้เป็นเพื่อนกัน ผ่านสายสัมพันธ์แบบเหมียวๆ ก็ได้หรือไม่ต้องไปถึงสะพานควาย รอบๆ ตัวคุณก็อาจมีแมวหรือหมาไร้บ้านวนเวียนอยู่ใกล้ๆ รอความรักความใส่ใจที่ยืนยันว่า โลกนี้ไม่ได้แห้งแล้งอย่างที่คิดและสังคมอันอุดมด้วยคนแปลกหน้า ก็อาจดำรงอยู่ได้ด้วยสายใยที่มองไม่เห็นเช่นนี้เอง
กฤนกรรณ สุวรรณกาญจน์
ผมคงไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญด้านการศาสนา พอที่จะกล่าวหาว่า สังคมไทยเป็นสังคมพุทธแบบไหนนักเดินทางหลายคนที่เคยไปเมืองสังขละบุรี ดินแดน 3 น้ำ ริมชายแดนไทย-พม่าด้านตะวันตก คงจะรู้ว่า หากเราข้ามสะพานไปอีกฝั่งน้ำ ชุมชนคนมอญเคลื่อนไหวในโอบอ้อมของขุนเขา ผืนป่าและผืนน้ำ ตรงจุดที่เรียกว่า สามประสบ แหล่งทำกินของชาวน้ำและแหล่งทำเงินของนักลงทุนเรือแพดารดาษราวเกาะแก่งน้อยใหญ่ เชิญชวนให้นักท่องเที่ยวได้ลิ้มลองสัมผัสกับบรรยากาศแปลกใหม่ คนมอญผู้หาปลาเป็นอาชีพ ไม่ได้ลิ้มรสเนื้อปลาที่ตัวเองหามาได้แต่ถูกแลกเปลี่ยนเป็นเงินบนเรือแพหรือรีสอร์ทหรูริมน้ำแห่งนั้น เลยจากจุดที่ตั้งชุมชนออกไประยะชั่วหม้อข้าวเดือด คือ วัดวังวิเวการาม สถานที่แห่งแรงศรัทธาของชน 3 ชาติ ไทย มอญ พม่าชาวชนผู้เปี่ยมศรัทธาในพุทธศาสนา....ตะวันแผดจ้าทั้งที่เป็นปลายฤดูฝน ฝนที่นี่ตกๆ หยุดๆ ตกๆ หยุดๆ ตกและหยุด หยุดและตก จนเดาอารมณ์กันยากเย็น หากเป็นคนคงจะเป็นคนจ้าวอารมณ์ ขึ้นๆ ลงๆ เอาใจยากสักหน่อยลานจอดรถบริเวณวัดแทบร้าง ด้วยยังไม่ถึงหน้า ไฮ-ซีซั่น ที่นักท่องเที่ยวจะมาพักผ่อนสงบอกสงบใจข้างหน้าเป็นตัวอาคารของอุโบสถ หลังคาสีแดงโดดเด่นเหมือนจะลอยอยู่กลางฟ้าเป๊ปซี่และเพื่อนกำลังทอยเส้นกันอยู่ข้างหน้าโถงทางเดิน ยังไม่ทันจะรู้ผลแพ้ชนะ เมื่อทั้งกลุ่มเห็นผมและยาดา นักท่องเที่ยวหลงฤดูเดินเข้ามาใกล้ เพื่อนๆ ในกลุ่มจึงสะกิดส่งเป๊ปซี่ออกมา“ซาหวัดดี ครับ” เป๊ปซี่ดวงตาแวววาว ปรี่เข้ามาทักทายอย่างคุ้นเคยเป๊ปซี่เป็นเด็กมอญตัวกะหร่อง อายุไม่ควรจะเกิน 12 ยางเส้นสีเขียวบริเวณต้นแขนหนาและล้นไปถึงท้องแขน เด็กชายมีรอยแผลเป็นที่ริมฝีปากยาวมาถึงลำคอ“ชื่อเป๊ปซี่ ครับ” เด็กชายตอบเมื่อผมถามชื่อ เด็กชายเริ่มเดินนำวนรอบอุโบสถอันที่จริง เราไม่ได้ต้องการมักคุเทศน์แสงตะวันยามเที่ยงค่อยอ่อนละมุนเมื่อเรามาอยู่ในตัวอาคารที่สะท้อนประกายแวววาว จากสีสันของกระจกสีที่นำมาประดับประดาตามตัวองค์พระและบริเวณมณฑป“ศักดิ์สิทธิ์นะครับ คนชอบมาอธิษฐานแต่ต้องโยนเหรียญให้ค้าง” เด็กชายชี้ไปที่หลังคามณฑปหลังหนึ่งที่อยู่ทางประตูหน้าเข้าพระอุโบสถ“เป๊ปซี่ เคยอธิษฐานไม๊” ยาดาถาม“เคยครับ”“อธิษฐานว่าไง”“ขอให้เรียนเก่งครับ” เด็กชายตอบพร้อมทำท่าเหนียมอาย...หลังจากถ่ายรูปจนหนำใจ เราจ่ายค่าบริการแก่มักคุเทศน์น้อยไป 20 บาทเป๊ปซี่ไม่ได้ร้องขอและผมไม่ได้ถามถึงที่มาของรอยแผลเป็นเรื่องและภาพจากคุณนิ่มฉันไปภูสอยดาวแบบไม่รู้เรื่องรู้ราวรู้แต่ว่าอยากไปพักผ่อนเท่านั้น ระยะทางที่ต้องเดินขึ้นไปกว่า 1,633 เมตร ใช้เวลาเดินขึ้นไป 4 ชั่วโมงกว่าเห็นจะได้ภูสอยดาวสวยสดงดงามที่สุดในช่วงปลายฝนต้นหนาวเช่นนี้ทางที่ต้องเดินขึ้นไปเป็นทางชันมากกว่าทางราบทำให้เหนื่อยและหอบบ้างเป็นระยะๆ แต่หมอกที่ปลิวมาตามสายลมก็ทำให้หายเหนื่อยได้ ยิ่งเมื่อถึงจุดหมายปลายทางความเหนื่อยล้าทั้งหมดก็ปลิวหายไปกับลมหมอก ทุ่งดอกหงอนนาคฉ่ำเม็ดฝนบานสะพรั่งเต็มทุ่ง บรรยากาศในยามเย็น ฟ้าเปิดอย่างนี้ บรรดาตากล้องทั้งหลายก็รัวชัตเตอร์ เก็บภาพบรรกาศกันยกใหญ่ บอกอีกครั้งว่า ภูสอยดาว เหมาะกับช่วงฤดูปลายฝนต้นหนาว ดอกหงอนนาคฉ่ำน้ำฝน คนนอนนับดาว เหมือนใกล้แค่เอื้อม
นาลกะ
เมื่อมะม่วงต้นใหญ่ที่หน้าบ้านหักโค่นลง คุณปู่ เด่น และสายรุ้งก็จัดการเลื่อยออกเป็นท่อน ขัดอย่างดี แล้วทำเป็นโต๊ะกับม้านั่ง สายรุ้งมักจะชอบนั่งทำการบ้านตรงนั้น สัตว์หลากชนิดที่เลี้ยงไว้ก็จะเข้ามาห้อมล้อมสายรุ้ง โดยเฉพาะเจ้าโอเว่น สุนัขแสนรู้ ที่ชอบกระโดดให้ดูอยู่เสมอแล้วเวลาที่เด่นหรือเพื่อน ๆ มาหาสายรุ้งที่บ้าน โอเว่นก็มักจะอวดการกระโดดสูงให้เพื่อน ๆ ของสายรุ้งชม แต่แล้วก็เกิดเหตุร้ายก็เกิดขึ้นกับโอเว่น จนต้องนอนซมไปหลายวัน คืนหนึ่งมีฝนตกหนักอย่างไม่ลืมหูลืมตาทั้งคืน ลมก็พัดแรง แล้วพอรุ่งเช้าปรากฏว่ากิ่งไม้หักรานไปหลายกิ่งเพราะแรงลมพัดกระหน่ำ ใบไม้หล่นเกลื่อนกราดเต็มลานหน้าบ้าน บนโต๊ะหน้าบ้านมีเศษกิ่งก้านของใบไม้อยู่เต็ม ตอนนั้นโอเว่นหลบอยู่แต่ในบ้านที่ปิดประตูมิดชิด แต่มันก็ได้กลิ่นแปลก ๆ กลิ่นของสัตว์ป่าวันนั้นเป็นวันเสาร์ สายรุ้งไม่ต้องไปโรงเรียน เขาเอาไม้กวาดมากวาดลานบ้าน พื้นดินยังเปียกแฉะอยู่ โอเว่นวิ่งออกมากระโดดโลดเต้น มันเป็นยามเช้าที่อากาศดีมากหลังจากฝนตก มันได้กลิ่นหอมของดิน ของหญ้า ได้กลิ่นหอมของดอกไม้ที่ลอยละล่องอยู่ในอากาศ แต่แล้วเมื่อเข้ามาใกล้กับโต๊ะหน้าบ้านและทำท่าว่าจะกระโดดข้ามไปนั้น มันก็ได้กลิ่นแปลก ๆ โอเว่นดมตามกลิ่นนั้นไป จนพบว่าต้นตอมันอยู่ใต้โต๊ะท่อนมะม่วง ทันใดนั้นเองที่มันแลเห็นสิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่ง ลำตัวมีสีเหลืองสลับดำแวววาวและยาวเหยียด ลำตัวส่วนหนึ่งซ่อนอยู่ในช่องใต้โต๊ะ แต่ส่วนหนึ่งก็โผล่พ้นออกมา มันม้วนตัวเองจนเป็นวงหลายชั้น ดูแล้วน่าขยะแขยงอย่างมาก ดวงตาหรี่เล็กของมันจ้องมาทางสุนัขอย่างประสงค์ร้ายงูเหลือมตัวหนึ่งขดอยู่ใต้โต๊ะ มันกำลังจ้องมองมาที่โอเว่นเช่นเดียวกับที่โอเว่นกำลังจ้องมองมันอยู่ ท่าทางมันกำลังหิว เห็นได้ชัดว่ามันกำลังหิว มันคงอยากจะกินสุนัขของสายรุ้งแน่ ๆ โอเว่นเห่าอย่างบ้าคลั่ง เส้นขนตั้งชัน ลุกลี้ลุกลน วิ่งวนไปมา นัยน์ตาของงูแดงก่ำ ท่าทางโกรธจัด ฝนพายุคงทำให้มันลำบาก เป็นไปได้ว่ามันอาศัยอยู่ในทุ่งร้างที่อยู่สุดซอยที่มีหนองน้ำ และมีวัชพืชงอกสูงท่วมหัว แต่ก่อนทุ่งร้างแห่งนี้เคยเป็นบ้านและเรือกสวนมาก่อน แต่แล้วไม่รู้เหตุผลกลใด เจ้าของก็ปล่อยทิ้งร้างเอาไว้ ที่ทุ่งร้างแห่งนั้นมีสัตว์แปลก ๆ หลายชนิด เช่นตัวเงินตัวทองที่ดุร้าย มีเล็บและฟันที่คมกริบงูเหลือมตัวนี้ มีความยาวประมาณ 170 เซนติเมตรเห็นจะได้ ประกายแวววาวสะท้อนแสงแดดยามเช้า โอเว่นเห่าไม่ยอมหยุด ตอนแรกสายรุ้งไม่สนใจเสียงเห่าเพราะรู้นิสัยของสุนัขตัวนี้ดีว่า “โอเว่นเจออะไรนิดหน่อยมันก็เห่า”แต่โอเว่นเห่าเสียงดัง วิ่งวนไป วนมา ซ้ายที ขวาที ในขณะที่งูใหญ่เริ่มขยับตัว มันเลื้อยอย่างเชื่องช้าแต่ทว่าเปี่ยมด้วยความระมัดระวัง สายรุ้งเดินมาใกล้และบอกว่า “เอ็งจะเห่าอะไรนักหนา โอเว่น”แต่แล้ว สายรุ้งชะงักด้วยความกลัวและความตกใจสุดขีดเมื่อเห็นงู แต่งูไม่สนใจสายรุ้ง เป้าหมายของมันคือโอเว่น งูตัวนั้นเลื้อยอย่างแช่มช้าออกมาจากโต๊ะ ท่าทางมันไม่กลัวอะไรเลย มันจ้องมองสายรุ้งแวบหนึ่ง แต่โอเว่นก็เบนความสนใจของมัน ด้วยการกระโดดผกโผนทำท่าเหมือนจะเข้าไปกัด สุนัขวิ่งวนไปรอบ ๆ งู ทำท่าเหมือนจะไปทางซ้ายแต่แล้วก็เอี้ยวตัวไปทางขวา หาโอกาสที่จะฝังคมเขี้ยวลงไปสักครั้ง “โอเว่น ระวัง” สายรุ้งร้องสุนัขเห่าเสียงดังจนแม่ของสายรุ้งออกมาดู งูมักจะเลื้อยออกมาแบบนี้เสมอเวลาที่ฝนตกหนัก เธอบอกให้สายรุ้งวิ่งไปตามเพื่อนบ้านมาช่วย “ถ้าเราไม่ไปทำให้มันโกรธ มันก็ไม่ทำอะไรหรอก” อย่างไรก็ตาม เมื่อกลับมาถึง สายรุ้งพบว่าโอเว่นกำลังอยู่ในวงรัดของงูเหลือม มันพันรอบตัวของสุนัขไว้อย่างแน่นหนา ความร้ายกาจโหดเหี้ยมเหลือเชื่อของงูปรากฏออกมา ในเวลาที่มันกำลังจะพิฆาตเหยื่อหรือศัตรูของมันโอเว่นหงายท้องแล้วม้วนไปมาตามการเคลื่อนที่ของงู“แม่ไม่รู้จะทำอย่างไร” เธอบอกสายรุ้ง“สุนัขยังไม่ตาย” เพื่อนบ้านคนหนึ่งพูดขึ้นพวกผู้ใหญ่หลายคนช่วยกันงัดแงะเอาตัวโอเว่นออกมา แต่งูมันไม่ยอมปล่อย ใครคนหนึ่งจึงใช้มีดปักเข้าไปที่ลำตัวของงู ซึ่งก็ได้ผล มันคลายตัว เลือดไหลนองออกมา “อย่าฆ่ามันนะ” แม่ของสายรุ้งบอกสายรุ้งไม่รู้ชะตาของงูตัวนั้นว่าที่สุดแล้วเป็นอย่างไร เพราะใครคนหนึ่งเอามันใส่ถุงแล้วก็หิ้วออกไป มันอาจถูกฆ่าแล้วถลกหนังแบบที่เคยเห็นในโทรทัศน์หรือไม่ก็อาจจะถูกนำไปรักษาแล้วไปปล่อยที่ไหนสักแห่ง ส่วนโอเว่นต้องนอนแกร่วอยู่หลายวัน “งูมันคงจะหิวน่ะลูก” “ผมกลัวงูครับ” สายรุ้งบอกแม่“ที่อยู่ของมันถูกรุกราน มันจึงออกมาเพ่นพ่านอย่างนี้ ในทุ่งไม่มีอะไรให้มันกินแล้ว แต่เชื่อเถอะว่าถ้าเราไม่ทำร้ายมันก่อน มันก็จะไม่ทำร้ายเรา”“ครับแม่” สายรุ้งพูด แม่โอบกอดเขาไว้ รู้สึกโล่งใจ.
ประสาท มีแต้ม
ดร.ปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานได้ให้สัมภาษณ์หลังจากทราบว่า หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ไม่เห็นด้วยกับโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ว่า “พลังงานนิวเคลียร์มีความจำเป็นสำหรับการจัดหาพลังงานในระยะยาวของประเทศ ขณะนี้ทั่วโลกก็กำลังกลับมาหาพลังงานนิวเคลียร์อีกครั้งเพื่อแก้ปัญหาโลกร้อน” (มติชน,19 กันยายน 50) ในตอนท้ายรัฐมนตรีท่านนี้ได้ฝากถึงนักการเมืองในอนาคตว่า“อยากฝากถึงพรรคการเมืองต่างๆ ด้วยว่าหากจะมีการกำหนดนโยบายอะไรออกมาขอให้ดูผลประโยชน์ของประเทศเป็นหลัก และต้องดูถึงผลระยะยาวด้วย เรื่องนิวเคลียร์ต้องใช้เวลาเตรียมตัวนานถึง 14 ปี แต่รัฐบาลมีอายุการทำงานเพียง 4 ปีเท่านั้น”สาระสำคัญที่รัฐมนตรีพลังงานได้เสนอมี 3 ประเด็นคือ หนึ่ง ทั่วโลกกลับมาหาพลังงานนิวเคลียร์อีกครั้งหนึ่ง (หลังจากการระเบิดที่เชอโนบิลเมื่อ 21 ปีก่อน) สอง พลังงานนิวเคลียร์ช่วยแก้ปัญหาโลกร้อน และ สาม เรื่องนิวเคลียร์เป็นเรื่องต้องใช้เวลาเตรียมตัวนานถึง 14 ปีความจริงแล้วเรื่องพลังงานนิวเคลียร์หรือเรื่องโรงไฟฟ้านิวเคลียร์มีหลายประเด็น เช่น เรื่องต้นทุน เรื่องอุบัติเหตุ เรื่องการเก็บกากของเสีย เรื่องการก่อการร้าย เป็นต้น แต่เมื่อท่านรัฐมนตรีเสนอมาเพียง 3 ประเด็น เราจึงมาพิจารณาเหตุผลกันทีละประเด็นกันครับ ในสองประเด็นแรก คนไทยเราไม่ค่อยมีข้อมูลเพราะเรื่องโรงไฟฟ้านิวเคลียร์เป็นเรื่องค่อนข้างใหม่ แม้จะมีการเคลื่อนไหวกันหลายครั้ง ตั้งแต่ก่อนรัฐบาลจอมพลถนอม กิตติขจร (2510) แต่ก็ต้องชะงักไปทุกครั้ง สำหรับประเด็นที่สามนั้น แม้จะเป็นความจริงอย่างที่รัฐมนตรีกล่าวคือต้องใช้เวลาในการเตรียมตัวนานอย่างน้อยถึง 14 ปี แต่สิ่งที่คุณปิยะสวัสดิ์ไม่ยอมกล่าวถึงก็คือ การจัดกระบวนการมีส่วนของประชาชน ให้ประชาชนทุกภาคส่วนทั้งที่เห็นชอบและไม่เห็นชอบได้มีโอกาสถกเถียงแลกเปลี่ยนข้อมูลกันอย่างกว้างขวาง แต่อยู่ๆ รัฐบาลชั่วคราวที่มาจากการรัฐประหารและมีอายุการทำงานเพียง 1 ปีก็รวบรัดบรรจุเข้าไปอยู่ในแผนการพัฒนากำลังผลิตที่เรียกว่า “แผนพีดีพี 2007” และได้ผ่านมติคณะรัฐมนตรีในเวลาต่อมาเป็นที่น่าสังเกตว่า การทำประชาพิจารณ์แผนดังกล่าวก็ทำกันในสโมสรทหารบก (3 เมษายน 50) เพราะเกรงชาวบ้านที่ติดตามเรื่องมีมาชนิดกัดไม่ปล่อยจะเข้าไปคัดค้าน ในสื่อโทรทัศน์เองก็มีการโฆษณาของฝ่ายสนับสนุนเพียงอย่างเดียว ฝ่ายที่มีความเห็นต่างจะไม่ได้รับอนุญาตให้ออกอากาศอมาตยะ เซ็น ผู้ได้รับรางวัลโนเบลสาขาเศรษฐศาสตร์และคลุกคลีอยู่กับคนยากจนกล่าวว่า “ระบอบประชาธิปไตยก็คือระบอบที่ให้สังคมได้มีโอกาสถกเถียงแลกเปลี่ยนกันด้วยเหตุด้วยผลอย่างกว้างขวางในประเด็นสาธารณะ” การจัดทำแผนพลังงานดังกล่าวของรัฐบาลชุดนี้เป็นเผด็จการทั้งรูปแบบและเนื้อหา ดังนั้นในประเด็นที่สามที่ท่านรัฐมนตรีพลังงานเสนอนั้น เขาไม่เห็นชาวบ้านอยู่ในสายตา คิดว่าตนเองเป็นศูนย์กลางของความรู้ครั้นเมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีพระราชดำรัสกับคณะทูตและกงสุลประจำประเทศต่างๆ ว่า "...เขาบอกว่าเดี๋ยวนี้พลังงานปรมาณู เป็นพลังงานที่สะอาดมาก ก็จริง สะอาดที่สุด แต่ว่าถ้าอันตรายก็อันตรายถึงตายทั้งนั้น ท่านทูตน่าจะไปถามผู้เชี่ยวชาญที่ทำเกี่ยวข้องกับพลังงาน..” (กรุงเทพธุรกิจ 29 สิงหาคม 2550) คุณปิยะสวัสดิ์ก็ออกมาปรามว่า ไม่อยากให้ใครนำกระแสพระราชดำรัสไปอ้างโดยไม่ระมัดระวังต่อไปนี้มาพิจารณาในประเด็นแรกกันครับ คือ ทั่วโลกกลับมาหาพลังงานนิวเคลียร์อีกครั้งหนึ่งท่านรัฐมนตรีใช้คำว่า “ทั่วโลก” เป็นการกล่าวที่เกินความจริงไปมากทีเดียว จากเอกสาร “Nuclear Power in the World Today.” World Nuclear Association.(2007) http://www.world-nuclear.org/info/inf01.html พบว่าปัจจุบันทั่วโลกมีเพียง 30 ประเทศเท่านั้นที่มีการผลิตไฟฟ้าจากนิวเคลียร์ คิดเป็นเพียง 16% ของพลังงานไฟฟ้าที่ใช้ทั้งหมดในโลก โดยมีเตาปฏิกรณ์จำนวน 435 แห่งที่น่าคิดคือ ออสเตรเลียเป็นประเทศที่ส่งออกแร่ยูเรเนียมมากที่สุดในโลก แต่ยังไม่มีโรงไฟฟ้านิวเคลียร์แม้แต่โรงเดียว (ปัจจุบันกำลังมีการถกเถียงกันว่าสมควรจะมีหรือไม่)เยอรมนีเป็นประเทศที่มีการคิดค้นพลังงานนิวเคลียร์ได้สำเร็จครั้งแรกในโลก ก็ประกาศว่าจะค่อยๆ ปลดระวางโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ทั้งหมด โดยไม่มีการสร้างขึ้นใหม่อีก แต่หันไปหาพลังงานลม แสงอาทิตย์และชีวมวลปัจจุบันทั่วโลกมีการก่อสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์จำนวน 32 แห่ง ในจำนวนนี้ 18 แห่งอยู่ในทวีปเอเชีย ณ ปี 2550 ทั่วโลกมีการเสนอสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์จำนวน 214 แห่ง ในจำนวนนี้อยู่ในประเทศจีน 86 แห่งและอินเดีย 15 แห่ง ถ้านับเป็นประเทศก็มีเพียง 23 ประเทศ ในจำนวน 23 ประเทศนี้ ส่วนมากก็เป็นการสร้างเพิ่มจากที่มีอยู่แล้ว ที่เป็นการเสนอสร้างใหม่ครั้งแรกของประเทศมีเพียงไม่กี่ประเทศ เช่น ประเทศอินโดนีเซียและเวียดนาม เป็นต้นอย่างไรก็ตามข้อมูลในความเป็นจริงยังห่างไกลจากคำว่า “ทั่วโลก” ที่ท่านรัฐมนตรีพยายามจะชักนำสังคมราวกับเป็นนัก “ลอบบี้ (Lobby)” (ดูภาพการ์ตูนประกอบ) บางท่านอาจคิดว่า “เห็นไหมประเทศจีนหันมาสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์กันเยอะมาก” แต่เมื่อคิดเป็นสัดส่วนกันแล้ว พบว่าประเทศจีนมีการสร้างพลังงานหมุนเวียนมากเป็นสองเท่าของพลังงานนิวเคลียร์ เรายังคงเหลือประเด็นเดียวคือการช่วยลดปัญหาโลกร้อนครับ ด้วยความที่ต้องการจะแหกวงล้อมที่รัฐบาลชุดได้พยายามมิให้สังคมไทยได้รับทราบทัศนะที่แตกต่าง ผมจึงได้ค้นคว้าหาความรู้มาจากผู้เชี่ยวชาญมาเสนอในที่นี้ผู้เชี่ยวชาญที่ผมว่านี้เป็นศาสตราจารย์ด้านฟิสิกส์ที่ครั้งหนึ่งเขาเคยคิดเหมือนกับนักฟิสิกส์หนุ่มๆทั่วไปว่า “โรงไฟฟ้านิวเคลียร์เป็นแหล่งพลังงานสะอาดสำหรับอนาคต” แต่เมื่อเขาได้ผ่านประสบการณ์การทำงาน มานานปีเขาก็กลับปฏิเสธความคิดในอดีตของเขาเองอย่างสิ้นเชิงท่านผู้นี้คือศาสตราจารย์เอียน โลวิ (Ian Lowe) เป็นผู้มีชื่อเสียงในวงการวิชาการในระดับสากล ทำงานวิจัยมานานกว่า 40 ปี ท่านศึกษาด้านวิศวกรรมไฟฟ้าและวิทยาศาสตร์สาขาฟิสิกส์จากมหาวิทยาลัยนิวเซ้าท์เวลส์ ประเทศออสเตรเลีย ต่อมาได้รับปริญญาเอกสาขาฟิสิกส์จากมหาวิทยาลัยยอร์กประเทศอังกฤษ โดยได้รับทุนจากการสนับสนุนจากองค์การพลังงานอะตอมแห่งสหราชอาณาจักร (UK Atomic Energy Authority) นอกจากนี้ ศาสตราจารย์เอียน โลวิ เป็นประธานมูลนิธิอนุรักษ์แห่งประเทศออสเตรเลีย (Australia Conservation Foundation) อีกด้วย ในประเด็นที่ว่า โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ช่วยลดปัญหาโลกร้อน ศาสตราจารย์ผู้นี้แสดงความเห็นว่าการแก้ปัญหาโลกร้อนด้วยการสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์นั้นมันช้าเกินไปเสียแล้ว สมมุติว่าสังคมใดมีความเห็นพ้องต้องกันทางการเมืองว่าจะสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ในวันนี้ ก็ต้องรออีกอย่างน้อย 15 ปี (ใกล้เคียงกับที่คุณปิยะสวัสดิ์อ้างถึง แต่เริ่มต้นจากการเห็นพ้องกันแล้ว ไม่ใช่เริ่มต้นจากการเสนอจากภาครัฐ) จึงจะสามารถปล่อยกระแสไฟฟ้าได้ บางความเห็นบอกว่าอาจต้องใช้เวลานานถึง 25 ปีจึงจะเป็นจริงได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพิจารณาถึงการมีส่วนร่วมและการคัดค้านในประเทศออสเตรเลียเอง เราไม่อาจรอเป็นเวลานานหลายทศวรรษจึงค่อยตอบสนองต่อปัญหาโลกร้อนได้ ปัญหาโลกร้อนกำลังกระทบต่อสังคม สิ่งแวดล้อมและเศรษฐกิจอย่างรุนแรงมากขึ้นทุกปีตรงกันข้ามกับกรณีโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ ไฟฟ้าจากกังหันลมสามารถส่งกระแสไฟฟ้าได้ภายใน 1 ปีและการประหยัดพลังงานสามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ในทันทีท่านกล่าวว่าโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ไม่ใช่ไม่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างที่หลายคนเข้าใจ เพราะการทำเหมืองแร่ยูเรเนียม กระบวนการผลิตแร่ยูเรเนียม การเพิ่มประสิทธิภาพแร่ (enrichment) และการสร้างโรงไฟฟ้า ล้วนต้องใช้พลังงานจากฟอสซิลจำนวนมากซึ่งก่อให้เกิดปัญหาโลกร้อนเช่นกัน “ในการก่อสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ในระยะเริ่มต้นจะเป็นการเพิ่มมลพิษเรือนกระจก (greenhouse pollution) แต่ในระยะยาวแล้ว โรงไฟฟ้านิวเคลียร์จะปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ออกมามากกว่าพลังงานหมุนเวียนเช่นพลังงานแสงอาทิตย์และพลังงานลมเสียอีก”ท่านให้เหตุผลว่า แร่ยูเรเนียมที่มีคุณภาพดีค่อนข้างจะมีน้อย มีการประมาณกันว่า ถ้าความต้องการไฟฟ้ายังคงเท่าเดิม แร่ยูเรเนียมคุณภาพดีจะสามารถตอบสนองความต้องการของโลกได้อีกเพียง 40 ถึง 50 ปีเท่านั้น ปัจจุบันพลังงานไฟฟ้าที่ใช้กันทั้งโลก มาจากพลังงานนิวเคลียร์ประมาณ 16% เท่านั้น ดังนั้นถ้าเราจะนำพลังงานนิวเคลียร์มาแทนโรงไฟฟ้าถ่านหิน แร่ยูเรเนียมชั้นดีก็จะหมดภายในเวลาประมาณหนึ่งทศวรรษเท่านั้น จริงอยู่ยังมีสินแร่ยูเรเนียมคุณภาพรองลงมาอีกมาก แต่ก็ต้องใช้พลังงานอีกจำนวนมากไปในกระบวนการผลิตซึ่งก็เป็นการสร้างก๊าซที่ทำให้โลกร้อนขึ้นมากอีกมาก ดังนั้นข้อเสนอเรื่องการลดปัญหาโลกร้อนของท่านรัฐมนตรีปิยะสวัสดิ์จึงไม่เห็นความจริงศาสตราจารย์เอียน โลวิ สรุปในประเด็นนี้ว่า โปรดอย่าลืมว่า แร่ยูเรเนียม ก็เหมือนน้ำมัน ก๊าซธรรมชาติและถ่านหิน คือเป็นแหล่งพลังงานที่มีจำนวนจำกัด มีเพียงพลังงานหมุนเวียน ( Renewable Energy) เท่านั้น คือลม แสงแดด และชีวมวล ที่มีจำนวนไม่จำกัดดังนั้น สิ่งที่พลเมืองไทยควรเรียกร้องต่อรัฐบาลทุกชุด ก็คือการเปิดให้มีการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารกันอย่างเต็มที่ เช่นเดียวกับประเทศประชาธิปไตยทั้งหลาย ไม่ใช่ฝ่ายรัฐเป็นผู้โฆษณาอยู่ฝ่ายเดียว โปรดฟังอีกครั้ง!
วาดวลี
“อีกนานเลยสินะ กว่าจะได้เจอกัน”สุ้มเสียงคนพูดเจือปนความอาวรณ์ ขณะโยนถุงใบเล็กใหญ่ใส่หลังรถกระบะสีขาวเก่าๆ ของเพื่อนผู้มีน้ำใจ เจ้าของรถหยอกเอินในฐานะเพื่อนสนิทว่า“ตอนมามีเสื้อผ้าชุดเดียว ขากลับทำไมมีของเยอะนัก”เขากำลังจะกลับบ้านชายหนุ่มรูปร่างผอมบาง ตัวเล็กๆ ที่รู้จักกันมาได้ปีกว่าแล้ว เขาเล่าว่า สมัยที่มาอยู่เชียงใหม่แรกๆ เพิ่งเรียนจบมัธยมสาม หางานทำในอำเภอไม่ได้ก็ลองเข้าเมืองมาเสี่ยงโชค เวลานั้น กราบลาพ่อแม่ แล้วนั่งรถโดยสารมาด้วยราคา 45 บาท กับระยะทาง 100 กว่ากิโลเมตรมาอาทิตย์แรก ตระเวนขออาศัยยังหอพักเพื่อนที่พอรู้จัก จะอยู่บ้านใครนานก็เกรงใจคนอื่น ตะลอนหางานทำ ตั้งแต่พนักงานขนของ เย็บปักถักร้อย ช่างฝีมือ จนได้งานทำเป็นพนักงานในโรงงานผลิตกระเป๋า แต่เดือนแรกที่ยังไม่ได้รับเงินเดือนก็ยังต้องอาศัยคนอื่นอยู่ไปก่อน จวบจนได้เงินเดือนก้อนแรก ถึงไปหาห้องเล็กๆ แถววัดเจ็ดยอดอาศัย ในราคาเดือนละ 500 บาท“เคยผ่านแถวคูเมืองด้านในไหม จะมีร้านขายของราคาถูก ทุกอย่าง 10 บาท”ฉันนึกทบทวนเส้นทาง แล้วก็ร้องอ๋อ พยักหน้าหงึกหงักๆ“อืม ที่นั่นจะมีก๋วยเตี๋ยวฟรี ถ้วยเล็กๆ กับน้ำฟรี เขาบริการลูกค้า ผมไปกินทุกวัน เป็นเวลา 2 เดือน” ฉันนึกภาพตาม ตลาดนัดราคาถูกขนาดกว้างใหญ่ ที่มีขายทุกสิ่งทุกอย่าง มีเสียงเพลงดังๆ มีดีเจเปิดเพลงเพื่อเร่งเร้าการซื้อของ เขามีน้ำดื่มไว้บริการด้วยแก้วกระดาษที่เขรอะไปด้วยฝุ่น ก๋วยเตี๋ยวที่ไม่มีลูกชิ้น ในชามพลาสติกเพื่อจูงใจให้คนเข้าร้าน นั่นคือที่พักพิงของคนพเนจร รวมทั้งเพื่อนของฉันเวลานี้นั้น เขาผ่านการทำงานในเมืองมา 5 ปีแล้ว สามารถซื้อข้าวของเครื่องใช้อำนวยความสะดวก ตั้งแต่เสื้อผ้า ตู้เย็น โทรทัศน์ และเครื่องเสียงขนาดเล็ก นอกจากนี้ยังสอบเข้าเรียนต่อภาคค่ำในสถาบันราชภัฎจบจน จำได้ว่าฉันให้ของขวัญเขาเป็นรูปใส่กรอบใบเล็กๆ แล้วก็ดีใจไปกับความสำเร็จของเขาแต่จากนั้นไม่นานนัก เขาก็โทรมาบอกว่า กำลังจะย้ายกลับบ้านแล้ว“ไม่อยากอยู่ในเมืองแล้วเหรอ” ฉันถาม ก้มสำรวจข้าวของที่เขาขนออกมาจนหมดจากห้องเช่า เขาไม่ตอบคำถามนั้น แต่กลับเอ่ยออกมาว่า“อยากอยู่บ้านของตัวเอง”“เหรอ ก็ดีนะ ได้อยู่ใกล้พ่อแม่ด้วย”เขายิ้มขึ้นมา แววตาวาววับ“เราทำงานอยู่นี่ แต่ละเดือนไม่มีเงินเก็บ แต่เราสุขอยู่คนเดียว ถ้าไปอยู่บ้าน อย่างน้อย สิบบาท ยี่สิบบาท ก็ยังได้กินกับพ่อแม่และน้อง มันสุขใจกว่า”ฉันรับฟังอย่างตั้งใจ ไม่ไถ่ถามถึงอดีตก่อนจากมา รู้เพียงแต่ว่าวันนี้เขาคงจะพร้อมแล้ว ที่จะกลับไปใช้ชีวิตแบบที่ปรารถนา หรือไม่ เมืองใหญ่อาจกลืนกินบางสิ่งไปจากเขา มากไปกว่าที่เขาจะได้รับ“เธอล่ะไม่อยากซื้อบ้านของตัวเองบ้างเหรอ”เขาถามสวนมา ฉันสะดุดไปเล็กน้อย เหลือบสายตาออกไปมองภายนอก ซอยเล็กๆ นั้นมีแมวนั่งอยู่ตัวหนึ่ง “ก็เหมือนแมวไง ย้ายไปเรื่อยๆ แล้วแต่ว่าอยู่ที่ไหนแล้วสบายใจ”ฉันตอบเล่นๆ ไปตามประสา แต่กลับพบว่า เขารีบจ้ำอ้าวไปยังแมวข้างกำแพงตัวนั้น หยิบจับขึ้นมาอุ้ม โอบแนบไว้กับไหล่เล็กๆ นั้น“ตัวนี้ชื่อเจ้าทอง สีมันทองๆ เห็นไหม”“อ้าว แมวเธอหรอกเหรอ” ฉันถาม“เปล่า มันเป็นแนวพเนจร ก็ให้อาหารกินบ้าง อยู่แถวนี้แหละ ไม่มีเจ้าของหรอก”“อืม เป็นแมวนี่ดีนะ ชีวิตอิสระดี บางทีก็มีคนเก็บไปเลี้ยง” ฉันพูดเรื่อยเปื่อยไปตามประสา เขากับแมวที่คุ้นเคยกัน หยอกล้ออย่างสนิทสนม ก่อนจะตอบว่า“ถ้าโชคดีมีคนเลี้ยง มันก็เหมือนได้มีบ้าน ไม่ต้องร่อนเร่อีก”“ฮื่อ แต่บางทีแมวก็เลือกเจ้าของนะ แม้อยากเลี้ยงแทบตาย มันก็ไม่อยู่กับเราหรอก ถ้าไม่อยากอยู่”ฉันสำทับ เขารีบพยักหน้าอย่างเห็นด้วย แต่ในครู่นั้น แววตาอาวรณ์ของเพื่อน กลับทิ้งคว้างด้วยความว่างเปล่า ที่ฉันเดาไม่ออก และไม่อาจจะเข้าไปยังจิตใจของเขาเขาก้มลงช้าๆ ปล่อยแมวให้ก้าวสู่พื้นดิน หันกลับไปเช็คข้าวของที่ช่วยกันขนขึ้นรถไว้หมดแล้ว“คงคิดถึงกันน่าดู” ฉันเอ่ยปาก เขาเหมือนจะพยักหน้า แต่แววตากลับมองจ้องไปยังที่แมว“เจ้าตัวนี้เคยปลอบใจเราบ่อย ยิ่งเวลาเมาๆ หรือเหงาๆ”เขาพูดกับฉันหรือแมวก็ไม่ทราบได้ มองไปยังแมวตัวนั้น มันยังยืนพิงผนัง ส่งแววตามาไม่ขาดระยะ เหมือนจะเข้าใจในภาษาที่เราพูด เพียงแต่มันคงไม่อาจจะรู้ได้ ว่าเพื่อนคนนี้กำลังจะเดินทางไปไกล แล้วไม่ได้อยู่ที่นี่อีก“เอาแมวไปด้วยสิเธอ”ฉันบอกเล่นๆ เขาส่ายหน้าปฏิเสธ“ให้มันอยู่ของมันแบบนี้ดีแล้ว ถึงพเนจร แต่ก็คงคุ้นเคย และเอาตัวรอดได้”“เหมือนคนใช่ไหม”“ฮื่อ ใช่ เหมือนเราแต่ก่อนไง”เสียงรถสตาร์ทเครื่อง ข้าวของในกระบะหลังอัดแน่นอยู่ในกล่องลังสีน้ำตาล คนขับก็พร้อมแล้ว เพื่อนผู้จากลากระโดดขึ้นนั่งข้างๆ ฉันหมดหน้าที่ในการช่วยยกข้าวของแล้ว จึงโบกมือลาช้าๆ“ไว้เจอกันนะ”“ฮื่อ คงได้เจอกัน ไม่แน่หรอก อาจจะต้องพเนจรกลับมาอีกก็ได้ ใครจะรู้”เขาพูดเอาไว้อย่างนั้น แล้วรถก็เคลื่อนตัวออกไป ทิ้งฉันไว้กับแมวตัวนั้น หันไปจ้องหน้า เหมือนมันอยากจะพูดอะไรฉันได้แต่พูดว่า“ขอโทษด้วยนะ ที่พาไปอยู่ด้วยไม่ได้ แต่ไม่ต้องเสียใจนะ ยังไงเราก็ยังพเนจรเหมือนกันแหละ”ไม่รู้มันจะเข้าใจฉันบ้างไหม ได้ยินแต่เสียงร้องแอ๊วๆ แล้วพยายามจะเดินเข้ามาใกล้ ถูตัวกับขาอย่างออดอ้อนฉันก็ต้องรีบเดินจากมา ก่อนที่จะใจอ่อนทำอะไรมากไปกว่านั้น ในสมองหวนคิดถึงแมวตัวแล้วตัวเล่า ที่เคยพบหน้า ตัวที่อ้วนพีอาศัยอยู่ในวัด แมวกำพร้า ตัวผอมโซในซอกหนึ่งของร้านเหล้า แมวในถนนที่หมู่บ้านที่วิ่งหนีหมาหน้าตาตื่น ทุกๆ เช้า และแมวอีกหลายชีวิต ที่ผ่านและทักทายกัน โดยไม่อาจรู้ว่า บางตัวจะมีบ้านให้กลับบ้างไหม และมันฝันถึงสิ่งใดบ้างในชีวิต“เถอะนะ บางทีการพเนจรก็เป็นชีวิตอีกรูปแบบหนึ่งเหมือนกัน”
นาโก๊ะลี
ดูเหมือนว่าขณะที่มุมหนึ่งหรือหลายมุมของโลกผันแปรไปในระบบระบอบของเทคโนโลยีอย่างรวดเร็ว เกิดนวัตกรรมสำหรับชีวิตมากขึ้นทุกวัน ตัวแทนหรือผู้ผลิตบอก กรอกข้อมูลเข้าไปในจิตไร้สำนึกของเราทุกวันว่า สิ่งทั้งหลายนั้นล้วนจำเป็นสำหรับชีวิต หรืออย่างน้อยมันก็ทำให้ชีวิตเราสุขสบายขึ้น หลายวาระที่สิ่งทั้งหลายนั้นมันไม่ได้นำพาเฉพาะความสะดวกเพียงอย่างเดียว แต่มันได้นำพาความยุ่งยากซับซ้อนมาด้วยเสมอ ทั้งโดยตรงและโดยอ้อม ทั้งรู้ตัวหรือไม่รู้ตัว หรือบางครั้งเราก็เสพได้สะดวกขึ้น แต่ก็ทำให้เวลาส่วนหนึ่งหายไปจากชีวิตเรา หรือเมื่อเริ่มจากสิ่งหนึ่ง มันก็พาเราไปสู่อีกสิ่งหนึ่ง อีกสิ่งหนึ่ง หลายๆ สิ่ง และในที่สุดมันก็เคลื่อนไปอย่างไม่รู้จบหากนั่นคือส่วนหนึ่งครึ่งค่อนโลก ในยุคสมัยทั้งหมดนี้มันมีภาพในอีกมิติเคียงคู่กันมา เมื่อโทรศัพท์มือถือกลายเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับผู้คนมากกว่าค่อนโลกในเวลานี้ แต่ก็ยังมีหลายผู้คนที่ไม่ได้ใช้โทรศัพท์มือถือ เมื่อผู้คนส่วนใหญ่ของโลกติดต่อสื่อสารกันด้วยจดหมายไฟฟ้า (Email) ก็ยังมีบางคนที่ยังเขียนจดหมายใส่ซองส่งไปรษณีย์ มีผู้คนมากมายที่กินอาหารขยะ ด้วยแทบทั้งวันเขาไม่มีเวลาแม้กระทั่งจะกินข้าว นั่นก็ยังมีคนจำนวนหนึ่งที่ตื่นมาทำอาหารเช้า และกินอย่างมีความสุข ขณะที่ผู้คนมากมายสวมใส่เสื้อผ้าราคาแพงเพราะยี่ห้อมันดัง แต่บางคนกลับยังมีความสุขกับการตัดเย็บเสื้อผ้าใส่เองด้วยความภาคภูมิใจ นี่อาจจะเป็นตัวอย่างเพียงเล็กน้อยที่มันมีคำตอบอยู่ในตัวของมันเองแล้วว่า คนในแบบไหนที่ใช้ชีวิตได้อย่างลุ่มลึกและมีความหมายมากกว่ากันจากทะเลผ่านทุ่งราบถึงภูเขา แผ่นดินของประเทศนี้ยาวเหยียดนับพันกิโลเมตร ถนนขนาดใหญ่เชื่อมต่อระหว่างเมือง รถยนต์หลากแบบหลายพันธุ์ผ่านทางสัญจรด้วยความเร็ว ห่างไปไม่ไกลนักถนนดินสายเล็กๆ ทอดขนานกันไป ลัดเลาะไปตามหมู่บ้าน ชายหาด แม่น้ำ ทุ่งนา กิ่วดอย บางแห่งมันอาจจะดูเงียบเหงาอยู่บ้างสำหรับคนที่คุ้นเคยกับความอึกทึก แต่หลายครั้งเราจะพบว่านั่นเป็นถนนที่เต็มไปด้วยชีวิตชีวาอย่างยิ่งทีเดียว หากสืบสาวลึกลงไปบนถนนชนบทเหล่านี้ ศึกษาเทียบเคียงกับถนนสายใหญ่ที่อยู่ไม่ไกลกันนั้น เรามักจะพบว่ามันมีความเป็นมาแบบเดียวกัน ดังว่าคราหนึ่งมันเคยเป็นทางที่สัญจรด้วยเกวียน ช้าง ม้า วัว ควาย เมื่อมีถนนลาดยาง รถราวิ่งสะดวกขึ้น ลึกไปกว่านั้นมันเป็นทางผ่านระหว่างอารยธรรมหนึ่งไปสู่อารยธรรมหนึ่ง ขณะที่ทางขนานในชนบทที่ไม่ไกลกันนั้น มันยังคงสภาพเดิมอยู่มาก ตรงที่เคยเป็นหลุมเป็นบ่อก็ยังเป็นหลุมเป็นบ่อ ทางที่ถูกชำแรกด้วยสายน้ำหลากก็ยังคงรักษาสภาพเดิมไว้ได้ ยังมีวัวควายเดินร่วมทางเดียวกับรถยนต์ มอเตอร์ไซค์หรือจักรยาน แน่นอนว่ามันมีอะไรๆ เปลี่ยนไปมาก แต่สภาพมันก็ยังเต็มไปด้วยชีวิตชีวา เพราะมันเป็นหนทางที่ติดอยู่แนบแน่นกับวิถีชีวิตของผู้คน มันเป็นหนทางที่เชื่อมระหว่างบ้านพี่ป้าน้าอาญาติพี่น้องและวัดวาดังก่อนเก่า ในขณะที่ถนนลาดยางหน้าหมู่บ้าน มันเชื่อมระหว่างเมืองกับเมือง หลายคราวที่สัญจรผ่านหนทางอันเก่าแก่ เรามักได้เห็นแง่มุมอันเก่าแก่ของจิตวิญญาณของเรา บางครั้งที่เราพบว่าสิ่งที่วิญญาณเราโหยหาไม่ใช่ความล้ำสมัยของเทคโนโลยี แต่เราโหยหาความลุ่มลึก ความมีชีวิตชีวาของชีวิต แล้วเราก็มักจะพบว่า โลกแห่งเทคโนโลยีนั้นเราไม่ต้องแสวงหามันหรอก เพราะมันจะวิ่งมาหาเราเอง ภาพอันเก่าแก่ทั้งหลายนั้นต่างหากที่มันค่อยๆ หนีห่างเราออกไป และทั้งหมดนั้นมันนำพาความหมายในจิตวิญญาณอันเก่าแก่ของเราไปด้วย หากเราได้สืบค้นลงไปอย่างจริงแท้โดยไม่ลำเอียงแล้วไซร้ บางหนทางในชนบทมันจะนำพาเราไปสู่ความหมายแห่งจิตวิญญาณอันเก่าแก่และงดงาม…
กอแก้ว วงศ์พันธุ์
หายไปหลายอาทิตย์เพราะอาการเจ็บไข้และติดพันภารกิจการงาน กลับมาไม่นาน ได้ทราบข่าวจากเพื่อนสื่อชาวอินโดนีเซียว่า ผู้อาวุโสนักต่อสู้เพื่อสื่อเสรีและวิทยุชุมชนคนสำคัญคนหนึ่งของอินโดนีเซีย เสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลือง ซึ่งผู้เขียนไม่อยากจะเชื่อว่าท่านจะไปเร็วด้วยโรคร้าย แม้ว่าอายุอานามของท่านจะ 70 กว่าๆ แล้ว แต่สมองของท่านเฉียบยังคมดีอยู่ ร่างกายแข็งแรง ปราดเปรียวเคลื่อนไหวคล่องตัวไม่เหมือนคนอายุ 70 ทั่วไป ทั้งยังท่วงท่าสง่างาม หลังไม่ค้อม เดินเหินคล่องแคล่ว สำคัญคือ ท่านลดอายุด้วยเสื้อผ้าที่สวมใส่ ขนาดวัยรุ่นยังอาย เพราะอินเทรนด์ ตลอดเวลา ผมและหนวดขาว ไม่ทำให้รู้สึกว่าท่านอายุเกิน 70 แล้ว เลย ซานอล ซูร์โยกูซูโม ท่านเป็นหนึ่งในสมาชิกอาวุโสของสมาคมผู้สื่อข่าวอินโดนีเซีย และเป็นที่ปรึกษาอีกหลายสมาคมหรือชมรมสื่อของอินโดนีเซีย ท่านเป็นคนพื้นเพดั้งเดิมจากเกาะมาดูลา ซึ่งเป็นเกาะที่แห้งแล้ง และขาดแคลนทรัพยากรธรรมชาติมากที่สุดของอินโดนีเซียและเป็นพื้นที่ติดอันดับยากจนของประเทศ ผู้คนจึงอพยพโยกย้ายถิ่นฐานมาตั้งบ้านเรือนในแถบพื้นที่อื่นๆ ของอินโดนีเซีย แต่ท่านต่างจากคนอื่น เพราะเป็นตระกูลที่มีฐานะในมาดูลา จึงได้รับการศึกษาอย่างดีในโรงเรียนของดัชต์ ในยุคอาณานิคม แต่ที่เหมือนคนอื่นทั่วไปคือ ท่านอพยพโยกย้ายถิ่นฐานมาอยู่จาการ์ตา และกลายเป็นบ้านถาวรของท่านและครอบครัวท่านเป็นนักคิด และนักเขียน สามารถเขียนได้ทุกช่วงเวลา ในยุคสมัยที่เทคโนโลยีก้าวล้ำ ท่านมีแลปท้อปคอมพิวเตอร์ติดตัวไปทุกหนทุกแห่ง ด้วยประสบการณ์ด้านสื่อและความเป็นนักสู้เพื่อเสรีภาพของสื่อ ทำให้บรรดาสื่อรุ่นน้อง รุ่นลูก รุ่นหลานมักเชิญท่านไปบรรยาย ไปเป็นที่ปรึกษา ไปช่วยเหลือ ไปเล่าประสบการณ์เกี่ยวกับงานด้านสื่อ ทั่วอินโดนีเซีย หลังจากบรรยายและสนทนาปราศัยกับบรรดาสื่อรุ่นหลังแล้ว ช่วงกลางคืนท่านจะนั่งทำงานเขียนจนดึกดื่น งานเขียนของท่านไม่เพียงช่วยพัฒนาวงการสื่อเท่านั้น ยังเป็นการพัฒนาเชิงสังคมไปด้วยหลังจากสิ้นยุคซูฮาร์โต ท่านเป็นคนหนึ่งที่ให้การสนับสนุนและพัฒนาด้านสื่อวิทยุของอินโดนีเซีย ซึ่งก่อนหน้านี้สื่อวิทยุถูกปิดล้อมด้วยอำนาจมืดของรัฐบาล ไม่มีเสรีภาพในการสื่อข่าวสารที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชน เมื่อมาถึงยุคประชาธิปไตย ท่านจึงหันมาร่วมมือกับสื่อวิทยุรุ่นหลังพัฒนาสื่อวิทยุเชิงธุรกิจ นอกจากนี้ท่านยังให้การสนับสนุนและร่วมพัฒนาสื่อวิทยุชุมชร่วมกับชุมชนในจังหวัดต่างๆ ในทุกภาคของอินโดนีเซียเหตุผลในการเข้าไปพัฒนาสื่อวิทยุในเชิงธุรกิจ ท่านมองว่า การที่สื่อสามารถพึ่งตนเองได้ ธุรกิจของสื่อไปได้ด้วยดี ทำให้สื่อมีอำนาจทางด้านเศรษฐกิจ ซึ่งจะทำให้สื่อมีเสรีภาพทางด้านความคิดด้วย ทั้งนี้ต้องปราศจากการควบคุมของรัฐ ในแง่การต่อสู้กับอำนาจรัฐ ท่านได้ต่อสู้กับกฎหมายว่าด้วยสื่อวิทยุและโทรทัศน์ของอินโดนีเซีย ชื่อว่า the Broadcasting Act No. 32/2002 ในเรื่อง อายุในการครอบครองคลื่นความถี่ และกฎเกณฑ์ในการตัดสิทธิการครอบครองคลื่นความถี่ที่ยังให้อำนาจของหน่วยงานรัฐไว้มากผู้เขียนมองว่า วัฒนธรรมการต่อสู้ด้านเสรีภาพของสื่ออินโดนีเซียมีความเข้มข้นสูง สังเกตว่าพวกเขาจะกลัวการถูกกำหนดจากอำนาจรัฐบาล อำนาจของทหาร (หรืออำนาจของสถาบันต่างๆ) อย่างมาก เพราะประวัติศาสตร์ที่พวกเขาเคยอยู่ภายใต้มันในช่วงเผด็จการนั้น มีแต่เรื่องเลวร้าย การถูกสั่งปิดสื่อ สั่งห้ามพูด ห้ามทำ เป็นเรื่องที่พวกเขาไม่อยากให้เกิดขึ้นอีกในยุคประชาธิปไตย เพราะฉะนั้น อะไรที่สามารถดึงองค์กรสื่อออกมาเป็นองค์กรอิสระ หรือเป็นองค์กรธุรกิจที่เข้มแข็งได้ โดยไม่มีอำนาจรัฐอยู่เหนือขึ้นไป พวกเขายอมทำทั้งนั้น ท่านจึงเป็นหนึ่งในผู้ก่อตั้งสมาคมวิทยุเอกชนแห่งชาติ หรือ PRSSNI (Indonesian Private National Broadcasting Radio Association) คนในวงการสื่อให้การเคารพอยู่เสมอ การบรรยาย หรือเป็นที่ปรึกษาของแวดวงสื่อจึงเป็นงานสำคัญอีกงานหนึ่งนอกจากนี้ ท่านสามารถรวมสื่อวิทยุเอกชนในจังหวัดชวาตะวันออกได้จำนวนมากถึง 140 สถานี ชื่อแปลเป็นไทยๆ ว่า สมาคมวิทยุเอกชน จังหวัดชวาตะวันออก ประกอบด้วย เมืองสุราบายา เมืองจอมบัง เมืองมารัง นับว่าเป็นสมาคมวิทยุเอกชนที่เข้มแข็งแห่งหนึ่ง ที่ไม่เพียงแต่สะสมกำไรเท่านั้น ทุกปีสมาชิกของสมาคมจะมาประชุมประจำปีเพื่อกำหนดนโยบายสาธารณะร่วมกัน จะต้องมีรายการเพื่อประโยชน์ต่อประชาชนกี่นาที มีรายการบันเทิงกี่นาที มีการโฆษณากี่นาที โดยไม่ต้องให้สาธารณะต่อว่าต่อขานก่อนแล้วจึงมาปรับเปลี่ยนแก้ไข นอกจากนี้แล้ว สมาชิกของสมาคมวิทยุเอกชน จังหวัดชวาตะวันออกยังต้องแบ่งบันผลกำไร 5% เข้าสู่สมาคม เพื่อนำเงินเหล่านั้นไปทำประโยชน์และพัฒนาสมาคม รวมไปถึงพัฒนาบุคลากรต่อไป กองทุนดังกล่าวประธานสมาคมไม่เปิดเผยตัวเลข แต่บอกกับผู้เขียนว่า ครั้งหนึ่ง พวกเขาเช่าเหมาลำเครื่องบินให้สมาชิกไปประชุมกับกลุ่มวิทยุโทรทัศน์ระดับกลุ่มประเทศเอเชียที่สิงคโปร์มาแล้ว และไม่ใช่ปีเดียว ทำเป็นประจำเกือบทุกปีหากมีการประชุมระดับนานาชาติเช่นนี้ ซานอลกับสมาชิกวิทยุชุมชนในหมู่บ้านแห่งหนึ่งของเมืองจอมบังอีกงานที่หนักหนาไม่แพ้กัน คือ งานด้านวิทยุชุมชน ท่านศึกษาจากประเทศต้นแบบหลายประเทศ เช่น ฟิลิปปินส์และประเทศที่แยกตัวออกจากประเทศรัสเซีย เพราะประเทศเหล่านั้นใช้สื่อ (ทางเลือก) เป็นเครื่องมือในการต่อสู้เพื่อประกาศอิสรภาพ ความจริงแล้ววิทยุชุมชนที่อินโดนีเซียเริ่มเติบโต โดยภาคประชาชนและเอ็นจีโอ ที่อินโดนีเซียมีกลุ่มสื่อทางเลือกประเภทต่างๆ รวมไปถึงวิทยุชุมชนที่เข้มแข็งมาก เพราะความกดดันหลายอย่าง ทำให้ภาคประชาชนของอินโดนีเซียเข้มแข็ง ท่านเข้าไปเกี่ยวพันกับการทำงานเพื่อสื่อวิทยุชุมชนก็เนื่องจากประสบการณ์ความเป็นสื่อและเป็นหนึ่งในผู้ต่อสู้เพื่อเสรีภาพของสื่อ เป็นนักค้นคว้าหาความรู้ รู้จักเรียนรู้ประสบการณ์ของคนอื่นและนำมาปรับใช้ จึงได้รับความเชื่อใจจากชุมชน ในการเข้าไปเป็นที่ปรึกษา เพื่อกำหนดทิศทางและแนวทางการทำงานด้านสื่อชุมชนกับกลุ่มคนในชุมชน เมื่อสองปีที่แล้ว วิทยุชุมชนเกิดขึ้นทั่วประเทศอินโดนีเซีย ท่านจึงเดินสายประชุมร่วมกับสื่อวิทยุชุมชนโดยไม่เหน็ดเหนื่อย แท้จริงแล้ว หลังสิ้นยุคซูฮาร์โต สื่อในอินโดนีเซียเติบโตอย่างรวดเร็ว และแบ่งเป็นหลายสาย หลากกลุ่มแนวคิด มีทั้งแบบทุนนิยมจ๋าอย่างกลุ่ม Java post group แบบแนวเสรี อย่าง kompas group แบบ tradition อย่าง waspada แบบท้องถิ่นนิยมอย่าง Kedaulatan Rakyat แบบไม่ขวาแต่ไม่เชิงซ้ายอย่าง Tempo group แบบแนวอิงศาสนาอิสลามเป็นหลักก็มีหลายกลุ่มซึ่งผู้เขียนจำไม่ได้แล้วว่าชื่ออะไรบ้าง แต่มีสื่ออิงศาสนาอยู่มากในอินโดนีเซีย แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ความหลากกรุ๊ป หลายแนวทั้งหลายเหล่านี้ ต่างเปล่งเสียงเดียวกันว่า “ไม่เอารถถังและปืน” ไม่เด็ดขาดที่จะอยู่ภายใต้เผด็จการไม่ว่าจะเป็น เผด็จการทหารหรือเผด็จการในรูปแบบอื่นๆ (เช่น ทักษิโณมิก) ป๊าซานอลผู้ชี้แนะแนวทางและเปิดหูเปิดตาเรื่องสื่ออินโดนีเซียให้แก่ผู้เขียน ผู้เขียนเรียนรู้เรื่องสื่อของอินโดนีเซียได้ เพราะได้รับการช่วยเหลือจากท่าน ขอไว้อาลัยยิ่งต่อการจากไปของสื่อมวลชนที่ยิ่งใหญ่คนหนึ่งของอินโดนีเซีย ผู้อาวุโสที่ใจดี ใจกว้าง ฉลาดลุ่มลึก อ่อนโยน และมีเมตตาต่อผู้เขียน ที่เป็นสื่อท้องถิ่นจากเมืองไทย ซึ่งท่านได้เปิดหูเปิดตากว้างแก่ผู้เขียนอย่างยิ่ง ขอไว้อาลัยอย่างสุดซึ้ง .....ในวันที่ท่านกลับไปสู่อ้อมอกของพระเจ้า
ภู เชียงดาว
“...เมื่อมนุษย์จมอยู่กับฝูงชนที่ขาดความเป็นมนุษย์ ถูกผลักไปมาอย่างอัตโนมัติไปตามแรงเหวี่ยง บุคคลนั้นก็สูญเสียความเป็นมนุษย์ที่แท้ สูญเสียคุณธรรม หมดความสามารถที่จะรัก และศักยภาพที่จะกำหนดตนเอง เมื่อสังคมประกอบด้วยผู้คนที่ไม่รู้จักความวิเวกภายใน สังคมนั้นก็ไม่อาจรวมกันได้ด้วยความรัก แต่อยู่ได้ด้วยอำนาจครอบงำและความรุนแรง...” ถ้อยคำของ “โทมัส เมอร์ตัน” คัดมาจากหนังสือ “ความเงียบ” จอห์น เลน เขียน, สดใส ขันติวรพงศ์ แปล สวนบนเนินเขาเหนือหมู่บ้านเกิดของผม ตั้งอยู่ในเนื้อที่สี่เหลี่ยมผืนผ้า มีความกว้างและยาวราวสี่ห้าไร่ ก่อนหน้านั้นส่วนหนึ่งด้านล่างเป็นสวนลำไยประมาณสามไร่ของเพื่อนบ้าน ก่อนเขาจะถามขายให้ในราคาไม่กี่หมื่นบาทเมื่อสิบกว่าปีที่ผ่านมา หลังจากนั้น ผมค่อยขยับขยายหักร้างถางพงป่าไผ่ที่ทอดทมึนขึ้นไปบนเนินเขา จนกลายเป็นเนื้อที่เดียวกัน ครับ, เป็นสวนแห่งความหวัง สวนแห่งชีวิตและความอยู่รอดของผม ที่ต้องการอาศัยอยู่ในยุคสังคมที่เร็วและเร่งเช่นนี้ครั้งหนึ่ง...อาปุ๊ “ ’รงค์ วงษ์สวรรค์” ศิลปินแห่งชาติ ผู้ใหญ่อีกท่านหนึ่งที่ผมเคารพนับถือ...ที่พาชีวิตครอบครัวไปพำนักอยู่ในสวนทูนอิน ในเขต ต.โป่งแยง อ.แม่ริม เอ่ยถามผมว่า สวนที่บ้านมีเนื้อที่เท่าไร ผมบอกว่า ประมาณสี่ห้าไร่“เฮ้ย...สี่ห้าไร่ไม่ใช่น้อยๆ นะ ถ้าเรารู้จักตกแต่งสวน ตกแต่งป่า...” นั่นคือถ้อยคำบอกเล่าของพญาอินทรีแห่งวรรณกรรมบอกย้ำในค่ำคืนนั้นจริงสินะ, หะแรกผมเคยคิดว่ามันดูเหมือนกีดแคบ ยังไม่พอ แต่พอนานเข้าจึงรู้ใช่, ว่ามันไม่ใช่เรื่องเล่นๆ ไม่มากไม่น้อย สำหรับคนๆ คนหนึ่งกับวันเวลาช่วงหนึ่งในชีวิตที่มาอาศัยอยู่ในโลกใบนี้ และคนทำสวนทำไร่จะรู้ว่ามันกว้างใหญ่ก็ในช่วงฤดูฝนนี่แหละ เมื่อฝนหล่นพรำ เนื้อดินชุ่มฉ่ำ แดดฟาด หญ้าก็แทรกแตกหน่อ ม้วนคลี่ ผลิบาน ชูช่อใบ เหยียดร่างชะลูดสูง ขึ้นรกเรื้อปกคลุมไปทั่ว จนต้องแผ้วถางกันไม่หวาดไม่ไหว มาถึงตอนนี้ ทำให้พลอยนึกไปถึงวิธีแก้ปัญหาหญ้ารกปกคลุมสวนของคนขี้เกียจอย่างผม... จำได้ว่าตอนเป็นครูดอย ผมเคยขอเมล็ดถั่วพันธุ์พื้นเมืองของพี่น้องชนเผ่าลีซูจากบ้านฟ้าสวย หลังดอยหลวงเชียงดาว มาหนึ่งถุงใหญ่ เป็นเมล็ดถั่วตระกูลคล้ายๆ ถั่วแปบบ้านเรา แต่ที่น่าสนใจของถั่วพันธุ์นี้ก็คือ วิธีเพาะปลูกถั่วชนิดนี้ ง่ายและไม่ต้องลงแรงอะไรมากเลย เพียงแค่กำเมล็ดโปรยหว่านไปทั่วผืนดินผืนนั้น หลังจากน้ำฟ้าหล่นโปรยลงมาอย่างต่อเนื่อง จนเนื้อดินนุ่มชุ่มพื้น หว่านไปรอบๆ โคนต้นลำไย มะม่วงที่ปลูกเสริมเป็นแนวยาวจากทิศตะวันออกจรดรั้วทางทิศตะวันตก เพียงเท่านั้น เพียงข้ามวันผ่านคืนไปไม่นาน เมล็ดถั่วก็งอกติดดิน ก่อนแตกใบ ทอดยาวเลื้อยคลุมผืนดินจนดูเขียวสดไปทั่ว แน่นอนว่า นอกจากจะได้เมล็ดถั่วเอาไว้เป็นเชื้อเป็นเมล็ดพันธุ์ต่อไปแล้ว ต้นถั่วที่ขึ้นเลื้อยปกคลุมไปทั่วผืนดินแปลงนี้ ก็ช่วยคลุมหน้าดินไม่ให้มีหญ้า วัชพืชอื่นได้มีโอกาสขึ้นรกปกคลุมเหมือนแต่ก่อนอีกเลยครั้นเมื่อเก็บเกี่ยวเมล็ดพันธุ์แล้ว ผมก็ปล่อยให้ต้นถั่วเหล่านั้นแห้งตายกลายเป็นปุ๋ยทับถมพื้นดินในสวนนั้น เมื่อฝนแรกของฤดูกาลใหม่มาเยือนแต่นั่นมันก็นานมาแล้ว, หลังจากที่ผมพาตัวเองลงจากดอย มาทำงานในเมืองใหญ่ สวนในชีวิตของผมก็ดูเหมือนรกร้าง ไร้คนเอาใจใส่ มะม่วง ลำไย ที่ปลูกเอาไว้ก็โตขึ้นโดยลำพัง นานและนานเหลือเกิน ที่ผมปล่อยให้มันเป็นอยู่อย่างนั้น ไม่เคยนึกถึงและเอาใจใส่ คอยใส่ปุ๋ย รดน้ำ พรวนดินเหมือนแต่ก่อนเหมือนกับชีวิตตัวเอง...จากที่เคยใช้ชีวิตอยู่กับธรรมชาติมาตลอดเวลา แต่ต้องมาอยู่กับเมือง เทคโนโลยี การงานที่เร็วและเร่งอย่างนี้ ทำให้ชีวิตผมดูเหมือนกำลังถูกผูกติดกับอะไรบางอย่าง บางครั้งเหมือนกับมีสิ่งดึงดูด บางครั้งดูเหมือนมีบางอย่างกระชากให้เหวี่ยงไปตามถนนของความต้องการ กระทั่งคล้ายกับว่า ตัวเราไม่แตกต่างกับเครื่องจักรกล ที่ไหลเลื่อนเคลื่อนไปตามฟันเฟืองของสังคมแห่งทุนและเทคโนโลยี จึงไม่แปลกเลยว่า หลังจากผมพาตัวเองมาใช้ชีวิตอยู่ในเมืองเพียงไม่กี่ปี ผมรู้สึกได้เลยว่า “ชีวิตชำรุด” ถึงขั้นต้องเข้าโรงพยาบาลซ่อมร่างกายหลายต่อหลายครั้งจึงไม่แปลกเลย ที่ “จอห์น เลน” บอกเล่าเอาไว้ในหนังสือ “ความเงียบ” ว่า...“...คนหนุ่มสาวส่วนใหญ่ผู้แสวงหาชีวิตที่เร่งเร็ว ชอบที่จะอยู่ในเมืองใหญ่ พวกเขาไม่ชอบการคิดใคร่ครวญ สนองความสุขทางผัสสะอย่างเท่าที่จะทำได้ วินัยในตน ความสุขุมรอบคอบ ความอ่อนน้อมถ่อมตน และความสำรวมถูกทำให้สลบไสลไปหมดแล้ว พวกเขาชอบดนตรีอึกทึกมากว่าความเงียบ ชอบความรุนแรงมากกว่าความสงบ…”“...ความสำเร็จในชีวิต ไม่ได้อยู่ที่การแสวงหาทรัพย์สิน แต่อยู่ที่การมีสุขภาพดี ชีวิตเป็นอิสระ สามารถใช้ผัสสะและจินตนาการได้อย่างเสรี...” อาจเป็นด้วยเหตุนี้กระมัง ที่ทำให้ผมโหยหาและอยากกลับคืนไปสู่ความเงียบ ใน “สวนแห่งชีวิต” บ่อยครั้ง.หมายเหตุ : งานเขียนชุดนี้เคยตีพิมพ์ใน “พลเมืองเหนือรายสัปดาห์” ผู้เขียนขออนุญาตนำมาลงในประชาไท,อีกครั้ง.