Skip to main content

 

ผมพบแกครั้งแรกน่าจะตั้งแต่สิงหาคม 2554 ที่เรือนจำจังหวัดเชียงใหม่ ในกิจกรรมของขวัญสีแดง ซึ่งช่วงนั้นถูกจัดขึ้นเดือนละครั้ง เพื่อมอบเงินรายเดือนช่วยเหลือนักโทษการเมืองที่อยู่ในเรือนจำ และร่วมให้กำลังใจผู้ที่อยู่ภายในนั้น ถ้าจำไม่ผิดช่วงนั้นน่ามีนักโทษการเมืองในคุกที่เชียงใหม่ราว 6-7 คน ซึ่งช่วงนั้นญาติและนักกิจกรรมยังมาร่วมเยี่ยมกันพอสมควร

 

วันนั้นไม่ได้คุยอะไรกับแกมากนัก เห็นแต่แกแพ็คแคบหมู เนื้อทอด น้ำพริกหนุ่ม ข้าวเหนียว เพื่อเตรียมส่งเข้าไปให้ลูกชายในเรือนจำ หลังจากนั้นได้พบแกอีกหลายครั้งในกิจกรรมของกลุ่มญาตินักโทษการเมืองที่เชียงใหม่ จึงทำให้พอรู้เห็นความเป็นมาเป็นไปของครอบครัวแก

 

แกชื่อป้าบัวจันทร์ เป็นแม่ของนักโทษเสื้อแดงคนหนึ่งชื่อแดง ปวนมูล ตอนนั้นลูกชายแกถูกศาลชั้นต้นพิพากษาจำคุก 5 ปี 6 เดือนในข้อหาพยายามฆ่า และมีอาวุธปืนในครอบครอง ซึ่งเป็นคดีที่เกิดขึ้นในเหตุการณ์ปะทะกันระหว่างคนเสื้อเหลืองกับคนเสื้อแดงที่หมู่บ้านระมิงค์ จังหวัดเชียงใหม่ ช่วงปลายปี 2551

 

อ้ายแดง ลูกชายแกติดคุกมาตั้งแต่ปี 2553 หลังโดนจับและเผชิญข้อหาดังกล่าว ก็ตัดสินใจรับสารภาพ เพราะไม่มีเงินประกัน และอยากให้มันจบๆ จึงไม่ได้มีการพิสูจน์ข้อเท็จจริงในคดี

 

ตั้งแต่นั้น ป้าบัวจันทร์ก็ต้องรับภาระหนักเลี้ยงดูอีก 2 ชีวิต คือสามีที่ประสาทไม่ค่อยดี และลูกชายคนโตของอ้ายแดง ซึ่งจบชั้นม.6 แล้ว แต่ก็ยังไม่มีการงานทำ ขณะลูกชายคนเล็กที่บวชอยู่ที่อำเภอหางดง ก็ถูกขอว่าอย่าเพิ่งสึกออกมา เพราะจะไม่มีเงินเลี้ยงดู ส่วนเมียอ้ายแดงนั่นหรือ ก็หนีไปแต่งงานใหม่เสียแล้วหลังสามีติดคุก ทิ้งหลานเอาไว้ให้ดูแลอีก

 

อาชีพของแกคือการตั้งโต๊ะของชำ ผักผลไม้ ของป่าริมถนนในอำเภอแม่ออน ก็ดำเนินไปอย่างยากลำบาก ค้าขายไม่ได้มาก ต้องอาศัยตระเวนไปตามตลาดนัด กับเพิ่มการไปรับจ้างตัดหญ้าตามบ้านเพิ่มเติม วันๆ หนึ่งได้รายได้ 100 กว่าบาทให้พอใช้จ่ายในครอบครัว ถึงตอนนี้ก็มีหนี้สินอยู่หลายหมื่นบาท แถมได้โรคความดันที่ทำให้ต้องกินยาอยู่ประจำ

 

ป้าเล่าว่าเคยบากหน้าไปขอทางกลุ่มเสื้อแดงที่ลูกชายไปเป็นการ์ดให้ และนำไปสู่เหตุการณ์ในคดี แต่ก็ไม่ได้รับการเหลียวแล มีแต่ทางกลุ่มเสื้อแดงอีกบางกลุ่มที่ยังคอยส่งเงินให้นักโทษการเมืองใช้จ่ายรายเดือนในเรือนจำอยู่บ้าง ภาระสำหรับครอบครัวจึงเบาลงหน่อย แต่ก็ไม่มีการช่วยเหลือใดๆ มาถึงคนผู้อยู่ภายนอก

 

สองสามปีที่ผ่านมา ทุกๆ วันศุกร์ ป้านั่งรถประจำทางถึงสามต่อจากอำเภอแม่ออน เพื่อมาเยี่ยมลูกชาย กว่าจะถึงเรือนจำเชียงใหม่ก็ใช้เวลาชั่วโมงกว่า ตีเยี่ยม รอคอยเวลาเจอหน้าพูดคุยที่มีให้เพียง 10 นาที แล้วก็ต้องนั่งรถกลับบ้านในเวลาอีกเป็นชั่วโมง แกบอกว่าที่เลือกมาเยี่ยมวันศุกร์เพราะจะได้ทำกับข้าวที่ลูกชอบมาให้ เก็บไว้กินได้ในวันเสาร์-อาทิตย์ที่ปิดไม่ได้เยี่ยม

 

หากหลังเดือนพฤษภาคมปีนี้เป็นต้นมา เรือนจำประกาศห้ามส่งอาหารจากภายนอกเข้าไป เนื่องจากระมัดระวังด้านการส่งของผิดกฎหมายเข้ามาภายใน จึงกำหนดให้ใช้วิธีฝากเงินให้ผู้ต้องขังซื้อของที่ทำอยู่ข้างในกินเองแทน แคบหมู น้ำพริกหนุ่มที่ลูกชายชอบเลยไม่ได้ส่งเข้าไปอีก

 

จำได้ว่าป้าบัวจันทร์เคยบอกผมว่าไม่เสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น ทั้งแกและลูกชายได้ร่วมต่อสู้กับคนเสื้อแดงเพื่อบ้านเพื่อเมือง จึงไม่เสียใจ แต่ก็ยอมรับว่ามันทำให้ชีวิตลำบากเมื่อลูกชายต้องติดคุก บางครั้งก็ท้อและกลุ้มใจอยู่คนเดียว

 

หลังห่างหายไปนานตามภารกิจของชีวิต ผมพบแกอีกครั้งในงานเสวนาเปิดรายงานศปช.ที่เชียงใหม่เมื่อเดือนที่ผ่านมา ป้าบัวจันทร์มาช่วยขายของที่ระลึกของกลุ่มญาตินักโทษการเมือง วันนั้นแกบอกผมว่าตัวเองยังไปเยี่ยมลูกชายทุกๆ วันศุกร์อยู่เหมือนเดิม

 

แม่คนหนึ่งปฏิบัติเช่นนี้ทุกๆ อาทิตย์ มาเป็นเดือน เป็นปี และเริ่มจะหลายปี เดินทางไปเยี่ยมลูกตั้งแต่วันที่ยังมีนักโทษการเมืองคนอื่นๆ และมีเพื่อนๆ ร่วมเยี่ยม จนถึงวันที่ต้องไปเยี่ยมอยู่เพียงลำพัง ด้วยนักโทษการเมืองในคดีอื่นๆ ได้ประกันตัวออกไป

 

วันศุกร์ไม่นานนี้ผมตามไปเป็นเพื่อนเยี่ยมลูกชายแกที่เรือนจำ วันนั้นแกบ่นว่า อิดขนาดหรือ เหนื่อยมากๆอยู่หลายครั้ง แต่ก็ไม่ได้เอ่ยปากขอความช่วยเหลืออะไร

 

วันนั้นมีข่าวดีเล็กน้อยเมื่อลูกชายแจ้งว่าเจ้าหน้าที่เพิ่งมาให้กรอกใบพักโทษ แต่ต้องรอเรื่องส่งขึ้นไปทางกรมราชทัณฑ์ รอการตรวจสอบประวัติ ตรวจสอบบ้านช่องของผู้ดูแล และอาจได้ออกในอีกหลายเดือนข้างหน้า อิสรภาพดูเหมือนอยู่อีกไม่ไกล

 

วันนี้ แกเพิ่งโทรมาหาผม เอ่ยปากอยากให้ช่วยหางานอะไรก็ได้ให้กับหลานชาย ลูกของอ้ายแดง อายุ 21 ปี ที่จบชั้นม.6 และไม่มีเงินเรียนต่อ งานที่พอจะเป็นหนทางหารายได้ช่วยครอบครัวได้ ซึ่งผมเองก็ได้แต่รับปากว่าจะปรึกษามิตรสหายให้ และทำได้แต่เพียงเขียนถึงพอเป็นปากเสียงให้แกได้ ณ ที่นี้

 

เรื่องราวของแก ทำให้นึกถึงรายงานคอป.ที่เพิ่งออกไป บทหนึ่งใหญ่ๆ ในรายงานว่าด้วย เหยื่อ และการเยียวยาและฟื้นฟูเหยื่อตามจุดประสงค์หนึ่งของคณะทำงานนี้ที่ว่าด้วยการเยียวยาฟื้นฟูผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ทางการเมือง ผมเปิดผ่านๆ ดูเห็นพูดถึงทฤษฏีแนวคิดการดำเนินการเยียวยาฟื้นฟู พูดถึงหลักการใหญ่ๆ โตๆ พูดถึงจำนวนเงินเยียวยา ตัวเลขสำรวจผู้ได้รับผลกระทบต่างๆ 

 

แต่แทบไม่เห็นชีวิตเลือดเนื้อของผู้คนที่อาจพอเรียกว่า เหยื่อ ไม่เห็นเรื่องราวที่พวกเขาและเธอต้องเผชิญ ไม่มีแม้แต่รายชื่อที่อาจพอรวบรวมส่งต่อหาทางช่วยเหลือต่อไป ถ้าเยียวยาไม่ได้เอง

 

ถึงวันนี้การเยียวยาปรองดองของรัฐบาลดำเนินไปถึงไหนไม่ทราบได้ แต่เท่าที่รู้เห็นและเป็นอยู่ ผู้คนตัวเล็กๆ ที่ลงกายลงใจไปกับการผลักดันสังคมนี้ ยังคง อิดขนาดยังคงต้องดิ้นรน ยังคงปาดเหงื่อปาดน้ำตา และยังต้องเผชิญความเจ็บปวดจากผลกระทบของความรุนแรงเหล่านั้นไม่จบสิ้น...

 

ป.ล. ดูข้อมูลคดีแดง ปวนมูล เพิ่มเติมได้ที่ http://prachatai.com/journal/2011/06/35645

 

 

บล็อกของ กำลังก้าว

กำลังก้าว
1ใครๆ ก็สงสัยว่าเขา “บ้า” หรือเปล่า...บ้าในความหมายทำนองว่าไม่กลัวเกรงอันใด ไม่วิตกกังวลเหมือนคนอื่นๆ ที่ต้องเผชิญกับข้อหาในลักษณะเดียวกัน
กำลังก้าว
 กว่าศาลจะนั่งบัลลังก์ก็เป็นเวลาเลย 10.30 น.ไปแล้ว
กำลังก้าว
พรุ่งนี้.. สมยศขึ้นศาล
กำลังก้าว
 
กำลังก้าว
 ประสบการณ์และความรู้สึกบางส่วนจากการเข้าเยี่ยมผู้ต้องขังในเรือนจำ
กำลังก้าว
ผมตั้งชื่อบล็อกนี้ว่า “สนามหลังบ้าน”