Skip to main content

 

กว่าศาลจะนั่งบัลลังก์ก็เป็นเวลาเลย 10.30 น.ไปแล้ว

ผู้สังเกตการณ์พิจารณาคดีมากกว่า 150 คน มารอในห้องพิจารณาคดีที่ 704 ของศาลอาญา กันตั้งแต่เวลานัดหมายคือ 9.00 น. ห้องพิจารณาเป็นห้องขนาดใหญ่ ส่วนใหญ่ใช้ในคดีใหญ่ๆ และมีผู้คนให้ความสนใจค่อนข้างมาก เช่น คดีก่อการร้ายของแกนนำนปช. ห้องมีม้านั่งไม้สำหรับนั่งฟังการพิจารณาจุคนได้กว่า 100 คน ยังต้องเสริมเก้าอี้เดี่ยวเข้าไปอีกหลายสิบตัว แต่หลายคนที่มาทีหลังก็ยังไม่มีที่นั่ง

ผู้เข้าร่วมสังเกตการณ์คดีนี้จำนวนมากเป็นชาวต่างชาติ ทั้งจากสถานทูตประเทศต่างๆ องค์กรด้านสิทธิมนุษยชน องค์กรด้านแรงงาน รวมทั้งสื่อต่างประเทศ ส่วนคนไทย มีทั้งนักวิชาการ นักกิจกรรม คนเสื้อแดงกลุ่มย่อย รวมทั้งเพื่อนนักศึกษาของไท ลูกชายของสมยศ แต่ดูเหมือนที่ขาดหายไปคือสื่อมวลชนไทยกระแสหลัก และคนในวงการสื่อสิ่งพิมพ์หรือการเขียนการอ่าน ซึ่งเกี่ยวข้องกับประเด็นแห่งคดีนี้พอสมควร

ก่อนขึ้นสู่ห้องพิจารณา หลายคนลงไปทักทายสมยศในเรือนจำใต้ถุนศาล ซึ่งมีกรงกั้นถึงสองชั้น และพูดคุยกันได้ในระยะไกล สมยศยังคงชูสองนิ้วสู้ แต่บอกถึงอาการนอนไม่หลับในคืนก่อนวันพิพากษา นักข่าวหลายสิบคนตั้งกล้องทั้งวีดีโอและกล้องถ่ายรูป รอถ่ายรูปขณะเขาถูกศาลเรียกตัวจากใต้ถุนขึ้นสู่ห้องพิจารณา

ราว 9.30 น. เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์เดินประกบสมยศในชุดนักโทษขณะเข้ามาในห้องพิจารณา เพื่อนที่นั่งข้างๆ บอกทักตั้งแต่เขายังไม่เข้าสู่ห้องว่า “เสียงโซ่ คุณสมยศมาแล้ว” อาจเพราะเสียงโซ่ตรวนดังกระทบพื้นขณะผู้ต้องหาเดินช่างเป็นเอกลักษณ์ สมยศเดินผ่ากลางม้านั่งไม้ตรงกลางเข้าไปนั่งบนม้านั่งด้านหน้าสุด ใบหน้ายังคงมีรอยยิ้ม หลายคนเข้าไปทักทายพูดคุย

สักพักหนึ่ง เจ้าหน้าที่หญิงของศาลเดินมาแจกเอกสารเขียนเป็นภาษาอังกฤษและภาษาจีนให้ผู้สังเกตการณ์ชาวต่างชาติ มีข้อความระบุถึงระเบียบของศาล เช่น ระเบียบการแต่งตัวสุภาพ การให้ปิดโทรศัพท์มือถือ ห้ามนั่งไขว่ห้าง  ขณะที่เจ้าหน้าที่ชายในชุดคล้ายทหารสองสามคนเดินดูผู้สังเกตการณ์ในศาล และคอยห้ามการถ่ายรูปในศาล 

เมื่อเวลารอคอยในศาลเริ่มนานขึ้น เสียงพูดคุยปรึกษาในศาลก็ยิ่งดังขึ้น หลายคนเริ่มกระสับกระส่าย บางคนการเดินไปเดินมา ทักทายผู้คน และพูดกันเล่นๆ ว่าศาลอาจกำลังเขียนคำพิพากษาอยู่  เมื่อใกล้เวลา เจ้าหน้าที่ชายตะโกนแจ้งให้คนอยู่ในความสงบ ศาลใกล้นั่งบังลังก์แล้ว และเอ่ยเตือนว่าเสียงโทรศัพท์ที่ดังถือเป็นการละเมิดอำนาจศาล

หลังจากนั้นความเงียบของการรอคอยเข้าปกคลุมห้องพิจารณาเกือบสิบนาที จนผู้พิพากษาสี่ท่านนั่งบัลลังก์ในเวลาราว 10.35 น. เป็นองค์คณะที่มีการเปลี่ยนแปลงจากช่วงที่มีการสืบพยานในปีที่แล้ว โดยเป็นชายสามท่าน และหญิงอีกหนึ่งท่าน

จากนั้นผู้พิพากษาชายหนุ่มท่านหนึ่งก็เริ่มต้นอ่านคำพิพากษาขนาดยาวใช้เวลามากกว่าครึ่งชั่วโมง โดยประโยคขึ้นต้นว่า “ในพระปรมาภิไธยพระมหากษัตริย์...” โดยทนายจำเลยสองท่านและสมยศ ลุกขึ้นยืนฟังตลอดการอ่านคำพิพากษา ขณะที่อัยการฝ่ายโจทก์ในคดีไม่ได้มาศาลด้วย ในระหว่างนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจ เริ่มไปยืนบริเวณประตูออกจากพิจารณาราว 6-7 คน เข้าใจว่าเพื่อป้องกันคนเข้าออกจากห้องขณะอ่านคำพิพากษา

ช่วงแรกศาลใช้เวลาค่อนข้างยาวอ่านคำฟ้อง โดยส่วนใหญ่เป็นเนื้อหาบทความสองบทความของนิตยสาร Voice of Taksin ที่เป็นเหตุแห่งการฟ้อง มีข้อสังเกตว่าศาลอ่านบทความทั้งสองอย่างติดๆ ขัดๆ และอ่านชื่อคนผิดบางส่วน เช่น ชื่อของ “ป๋วย อึ้งภากรณ์” หรือ “บุญสนอง บุณโยทยาน”

จากนั้นศาลอ่านถึงประเด็นที่ฝ่ายโจทก์และจำเลยนำสืบในศาล โดยปัดตกการนำสืบของจำเลยเรื่องบรรณาธิการไม่จำเป็นต้องรับผิดชอบตามพระราชบัญญัติจดแจ้งการพิมพ์ พ.ศ.2550 ทิ้งไป ตามด้วยการวินิจฉัยว่าจำเลยทำผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 หรือไม่ โดยมีข้อสังเกตในช่วงนี้ว่าศาลอ่านถึงการตีความบทความตามฟ้องของฝ่ายพยานโจทก์แทบทุกคน เป็นจำนวนเกือบ 10 ปาก ซึ่งทุกคนชี้ว่าบทความนี้เข้าข่ายความผิดมาตรา 112 แต่เมื่ออ่านถึงการนำสืบและตีความของพยานฝ่ายจำเลย ศาลอ่านชื่อพยานจำเลยทั้งหมด แล้วระบุเพียงสั้นๆ ว่าทั้งหมดเบิกความไปในทำนองเดียวกันว่าอ่านแล้วไม่ได้นึกไปถึงพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และรวบรัดว่าการตีความแบบนี้ฟังไม่ขึ้น สัดส่วนของกล่าวถึงการตีความของสองฝ่ายจึงเป็นไปอย่างไม่สมดุล จนสังเกตเห็นได้

นอกจากนั้น ศาลยังอ้างถึงประวัติศาสตร์ในแบบเรียน เป็นฐานของการพิจารณาบทความ และตีความไปถึงเหตุการณ์ตั้งราชวงศ์จักรีอีกด้วย

ในช่วงท้ายของการอ่านคำพิพากษา ซึ่งเป็นช่วงของการตีความโดยศาลเอง ได้เปลี่ยนให้ผู้พิพากษาหญิงเป็นผู้อ่าน เมื่อเริ่มคาดเดาทิศทางของคำพิพากษาได้ ในห้องพิจารณาเริ่มได้ยินเสียงถอนหายใจดังหลายเฮือกเป็นระยะ

คำพิพากษาปิดท้ายด้วยการอ้างถึงระดับการศึกษาของจำเลย อาชีพความเป็นสื่อมวลชน และวิจารญาณ ที่ควรมี “สูง” กว่าคนทั่วไป ศาลจึงเห็นไปถึงเจตนาทำผิดของจำเลยและพิพากษาความผิดจำคุกรวมแล้ว 11 ปี ในที่สุด

หลังอ่านคำพิพากษาเสร็จ ศาลแจ้งว่าสื่อมวลชนสามารถไปรับคำพิพากษาย่อได้ด้านหลัง ก่อนลงจากบัลลังก์ไป หลายคนเดินเข้าไปหาสมยศและครอบครัว พักเดียวเท่านั้น เจ้าหน้าที่เกือบ 10 นายซึ่งรออยู่ด้านทางออกประตูรีบเข้าไปนำตัวสมยศออกจากห้องพิจารณา โดยยืนล้อม เดินนำเขาออกไป และไม่ให้โอกาสพูดคุยกับใคร ก่อนนำตัวลงไปใต้ถุนศาลอย่างรวดเร็ว

บรรยากาศในห้องคดีพิจารณาหลังจากนั้นชวนอึดอัด เสียงวิพากษ์วิจารณ์อื้ออึง อารมณ์คละเคล้าด้วยความโกรธ หดหู่ และเศร้า จนบางคนน้ำตาไหล

จากนั้นทนายจำเลยและภรรยาของสมยศได้เดินทางลงไปให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าว นักกิจกรรมบางส่วนไปจุดเทียนดำไว้อาลัยเล็กๆ พร้อมชูป้ายปลดปล่อยสมยศและนักโทษการเมืองด้านหน้าป้ายศาลอาญา และเชิญชวนไปในการชุมนุมวันที่ 29 ม.ค.นี้ที่หมุดคณะราษฎร เพื่อยื่นเรื่องนิรโทษกรรมต่อรัฐบาล

ขณะทำกิจกรรม ก็มีรถยนต์คันหนึ่งบุกเข้ามาจอดนิ่งด้านหน้าของศาลไม่ยอมไปไหน พร้อมมีข้อความยั่วยุต่างๆ ติดอยู่ที่กระจกรถหลายแผ่น จนคนเสื้อแดงที่ร่วมกิจกรรมบางส่วนไม่พอใจ และต้องมีห้ามปรามกันไว้ให้ใจเย็น ก่อนตัดสินใจแยกย้ายกิจกรรมไปในที่สุด และให้เจ้าหน้าที่ตำรวจบริเวณนั้นเข้ามาดูแล

หลังจากผู้สังเกตการณ์ทยอยกลับ ภรรยาของสมยศ และสมาชิกจำนวนหนึ่งจากกลุ่ม 24 มิ.ย.ซึ่งเป็นกลุ่มเคลื่อนไหวที่สมยศก่อตั้งขึ้น ยังคงรอคอยจัดทำเอกสารยื่นเรื่องประกันตัว หากเมื่อลงไปบริเวณเรือนจำใต้ถุนศาลจึงได้ทราบจากเจ้าหน้าที่ว่าสมยศถูกนำตัวเดินทางกลับเรือนจำไปแล้ว ซึ่งโดยปกติแล้ว ทางราชทัณฑ์จะรอนักโทษทั้งหมดที่มาศาลเสร็จภารกิจพร้อมกัน และนำตัวกลับเรือนจำพร้อมกันในช่วงเย็น ทางภรรยาและคณะจึงจำเป็นต้องเดินทางตามไปให้เขาเซ็นเอกสารเพื่อใช้ในการยื่นประกันตัว

เมื่อได้พบจากการตีเยี่ยมที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ สมยศเล่าว่าหลังจากถูกนำตัวลงมาจากห้องพิจารณา ได้มีคำสั่งให้เจ้าหน้าที่ส่งตัวเขากลับเรือนจำทันที เขาจึงถูกนำตัวเพียงลำพังดันขึ้นรถที่จอดรออยู่แล้วไปอย่างเร่งรีบ โดยยังไม่มีโอกาสได้ใส่รองเท้าที่ติดตัวมาด้วยเลย รถพาขึ้นทางด่วนใช้เวลา 10 กว่านาทีก็เดินทางกลับถึงเรือนจำ จนภรรยาคุณสมยศถึงกับเปรยเมื่อฟังเสร็จว่า “ทำอย่างกับเราเป็นผู้ก่อการร้ายเลย”

เมื่อเจอหน้ากัน สุกัญญา ภรรยาของสมยศทักทายสามีด้วยอารมณ์ขันว่า ทีนี้ก็ต้องไปเอาข้าวของที่แจกให้นักโทษคนอื่นๆ ไปกลับคืนด้วย หลังจากได้ให้ข้าวของส่วนตัวบางส่วนไปแล้ว เนื่องจากคิดว่าจะได้ออกจากเรือนจำ สุกัญญาถามสามีเธอว่าเป็นอย่างไรบ้าง สมยศตอบสั้นๆ ว่า “ไม่มีอะไร ก็สู้กันต่อไป” ก่อนบ่นถึงคำพิพากษาว่าทำราวกับเข้าไปนั่งอยู่ในหัวเราเรียบร้อย และปรึกษากันเรื่องหนทางการสู้คดีต่อไป

รอยยิ้มแม้จะเจื่อนๆ ไปบ้าง ก็ยังคงอยู่บนใบหน้าของสมยศ ระหว่างนั้นเพื่อนนักโทษฝรั่งที่รู้จักกันซึ่งกำลังเยี่ยมญาติอยู่เช่นกัน และได้ทราบผลการพิจารณาคดีของสมยศ ก็เดินเข้ามาตบหัวสมยศเบาๆ เชิงให้กำลังใจ เขายิ้มตอบกลับไป ก่อนจากลา สมยศยังฝากเพื่อนกลุ่ม 24 มิ.ย.ซื้อรองเท้าแตะคู่ใหม่ ซึ่งเจ้าหน้าที่ไม่เปิดโอกาสให้เขาได้ใส่กลับมาจากศาล

ระหว่างเดินทางกลับไปศาลอาญา เพื่อยื่นเรื่องประกันตัวอันพอจะคาดเดาผลของมันได้อยู่ก่อนแล้ว ใครบางคนเอ่ยถามถึงการต่อสู้ในคดีต่อไปว่าอาจจะใช้เวลาอีกนาน เพื่อนกลุ่ม 24 มิ.ย.ที่ดูแลสมยศตลอดการถูกคุมขังของเขา ตอบสั้นๆ ต่อคำถามนั้นว่า “แกสู้ด้วยชีวิต”

เย็นนั้น หลังแยกย้ายกันกลับ ด้านหน้าศาล น้ำตาเทียนสีดำยังทิ้งรอยจางๆ ไว้อยู่บนพื้น สติ๊กเกอร์สีขาวที่ทำเป็นรูปกราฟฟิคใบหน้าของสมยศ พร้อมข้อความ “ปล่อยนักโทษการเมือง” ยังคงติดอยู่ข้างๆ ป้าย “ศาลอาญา”...

บล็อกของ กำลังก้าว

กำลังก้าว
1ใครๆ ก็สงสัยว่าเขา “บ้า” หรือเปล่า...บ้าในความหมายทำนองว่าไม่กลัวเกรงอันใด ไม่วิตกกังวลเหมือนคนอื่นๆ ที่ต้องเผชิญกับข้อหาในลักษณะเดียวกัน
กำลังก้าว
 กว่าศาลจะนั่งบัลลังก์ก็เป็นเวลาเลย 10.30 น.ไปแล้ว
กำลังก้าว
พรุ่งนี้.. สมยศขึ้นศาล
กำลังก้าว
 
กำลังก้าว
 ประสบการณ์และความรู้สึกบางส่วนจากการเข้าเยี่ยมผู้ต้องขังในเรือนจำ
กำลังก้าว
ผมตั้งชื่อบล็อกนี้ว่า “สนามหลังบ้าน”