ผ่านไปเกือบจะครบสองปีแล้ว ตั้งแต่เธอถูกจับกุมดำเนินคดี...แต่คดียังไม่ได้เริ่มสืบพยานโจทก์เลยแม้สักปากเดียว
เสาวณี อินต๊ะหล่อ เคยทำงานเป็นแม่ครัวในร้านอาหารแห่งหนึ่งในจังหวัดลำพูน แต่บ้านที่เธออยู่อาศัยนั้นอยู่ที่อำเภอสันป่าตอง จังหวัดเชียงใหม่
เธอถูกทหารและตำรวจจับกุมหลังรัฐประหาร 5 วัน คือวันที่ 26 พ.ค.57 หลังจากเจ้าหน้าที่เข้าตรวจค้นสวนลำไยแห่งหนึ่ง บริเวณตำบลเหมืองจี้ จังหวัดลำพูน และได้มีการตรวจพบอาวุธปืนแก๊ป อาวุธปืนสั้น เครื่องกระสุนจำนวนหนึ่ง พร้อมเสื้อเกราะกันกระสุน วิทยุสื่อสาร และสัญลักษณ์เสื้อ-ป้ายเกี่ยวกับคนเสื้อแดงอีกจำนวนหนึ่ง โดยรายงานข่าวช่วงนั้นระบุว่ามีชายจำนวนหนึ่งหลบหนีไปขณะเจ้าหน้าที่เข้าตรวจค้น
ตัวเสาวณีเอง ซึ่งไม่เคยไปร่วมการชุมนุมทางการเมืองใดๆ มาก่อน เล่าว่าตอนนั้น เนื่องจากเธอรู้จักกับเจ้าของสวนลำไย จึงได้ถูกว่าจ้างมาหารายได้เสริม โดยทำกับข้าวเลี้ยงกลุ่มคนเสื้อแดงที่เดินทางกลับจากการชุมนุมที่ถนนอักษะ แต่กลับมีเจ้าหน้าที่เข้าตรวจค้น โดยขณะนั้นเธอมีอาการป่วย จึงนอนพักอยู่ และคิดว่าตัวเองไม่ได้กระทำความผิด หรือเกี่ยวข้องกับอาวุธใด จึงไม่ได้คิดจะหลบหนีไปไหน แต่กลับถูกเจ้าหน้าที่ควบคุมตัวไปค่ายทหารเพื่อสอบสวน 1 คืน ก่อนนำตัวเธอมาแจ้งความดำเนินคดีในข้อหาครอบครองอาวุธต่างๆ เหล่านั้นโดยผิดกฎหมาย
แม้ในช่วงแรกเธอจะไม่ได้ถูกคุมขัง แต่เมื่อมีการส่งฟ้องคดีต่อศาลทหารเชียงใหม่ในช่วงกลางเดือนก.ย.57 ทำให้เธอต้องถูกควบคุมตัวในเรือนจำ แม้จะยื่นขอปล่อยตัวชั่วคราวหลายครั้ง แต่ศาลก็ไม่อนุญาต
ภาพเหตุการณ์ขณะเจ้าหน้าที่เข้าตรวจค้นสวนลำไยในจังหวัดลำพูน เมื่อวันที่ 26 พ.ค.57 เสาวณีใส่เสื้อสีขาวกลางภาพ (ภาพจากรายงานข่าวในผู้จัดการออนไลน์)
ก่อนจะได้รับการประกันตัว จากการยื่นขอครั้งที่ 5 เมื่อทนายความได้พยายามยื่นเอกสารเกี่ยวกับอาการป่วยของเธอประกอบการพิจารณาของศาล และเริ่มมีรายงานข่าวถึงกรณีของเสาวณีในสื่อบ้างแล้ว ทำให้รวมแล้วเธอถูกคุมขังในเรือนจำเป็นเวลา 86 วัน (ตั้งแต่วันที่ 15 ก.ย.ถึง 9 ธ.ค.57) (ดูรายงานข่าวคดีในเว็บไซต์ประชาไท 1 และ 2)
หลังจากนั้น คดีก็คืบหน้าไปอย่างล่าช้า เบื้องต้นเธอและทนายความได้ยื่นคำร้องขอให้มีการวินิจฉัยเขตอำนาจของศาลในการพิจารณาคดีนี้ ผ่านไปหลายเดือนศาลทหารและศาลยุติธรรมได้วินิจฉัยร่วมกันว่าคดีนี้อยู่ในอำนาจพิจารณาของศาลทหาร กระบวนพิจารณาจึงดำเนินต่อมา (ดูสรุปคำวินิจฉัยของศาล จากเพจศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน)
จนถึงปัจจุบัน (มี.ค.59) มีการเลื่อนสืบพยานโจทก์มาแล้วสามครั้ง โดยพยานโจทก์ที่เป็นทหารยังไม่สามารถเดินทางมาเบิกความได้ ทำให้ศาลต้องนัดหมายคดีใหม่ทุกๆ สองเดือนเรื่อยมา โดยเธอต้องไปศาลทุกครั้ง อย่างไม่มีความคืบหน้าใด
เกือบสองปีผ่านไป ไม่ได้มีการควบคุมตัวใครเพิ่มเติมจากเรื่องนี้ กลับมีแต่เพียงอดีตแม่ครัวคนหนึ่ง ถูกดำเนินคดีในหลายข้อหาหนัก เกี่ยวข้องกับอาวุธที่เธอไม่เคยหยิบจับ และยังไม่รู้ว่าคดีจะยืดเยื้อไปอีกนานเท่าไร
ผลกระทบสำคัญหลังถูกจับกุมคุมขัง คือทำให้เธอต้องออกจากงานประจำที่ร้านอาหาร และยังทำให้เกิดความเครียดต่อร่างกายและจิตใจ อาการโรคประจำตัวต่างๆ ที่สะสมมา ส่งผลกระทบหนักขึ้นกว่าก่อนหน้านี้อย่างเห็นได้ชัด ทั้งโรคหัวใจ เบาหวาน ความดัน และโรคเลือด
ช่วงนั้น ถ้าใครไปเยี่ยมเธอในคุก จะเห็นเธอร้องไห้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนเธอมาบอกตอนหลังว่า “ตอนนั้นร้องจนไม่มีน้ำตาจะไหล”
ปัจจุบัน ในวัย 52 ปี เสาวณีต้องออกเดินทางจากบ้านที่สันป่าตองตั้งแต่ตีห้า เพื่อเข้ามาทำงานในตัวเมืองเชียงใหม่ โดยรับจ้างเป็นคนเฝ้าไข้และดูแลผู้สูงอายุ เธอได้เงินเป็นรายวัน วันละ 200 บาท และได้ค่ารถไปกลับอีก 50 บาท รวมแล้วต่ำกว่าค่าแรงขั้นต่ำ และยังไม่ได้ทำงานทุกวัน เนื่องจากในวันที่พยาบาลเข้าทำงาน เธอก็ไม่ต้องมาทำงานในวันนั้น ซึ่งนั่นหมายถึงไม่ได้เงินค่าจ้างไปด้วย
แม้เธอจะมีลูกชาย แต่ลูกชายคนโตก็แต่งงานไปมีครอบครัวของตนเอง และจากงานก่อสร้างที่เขาทำ ก็ไม่ได้มีรายได้พอจะมาช่วยเหลือจุนเจือแม่และครอบครัวได้มากนัก
ขณะเดียวกันลูกชายคนเล็ก ก็ยังอยู่ในวัยกำลังเรียนกำลังโต อายุ 12 ปี และอยู่ชั้นประถมปีที่ 6 แม้ส่วนค่าใช้จ่ายไปโรงเรียนรายวันของลูกคนเล็ก จะได้จากพ่อของเด็ก ที่เลิกร้างกับเธอไป ส่งเงินมาช่วยลูกเดือนละ 500 บาท แต่เมื่อขึ้นชั้นมัธยมในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า ทั้งค่าเทอมและค่าใช้จ่ายอื่นๆ ก็คงจะตามมา ซึ่งเธอยังไม่รู้จะทำอย่างไร
นอกจากลูกชายคนเล็ก เธอยังต้องรับภาระดูแลแม่ในวัย 76 ปี เนื่องจากสูงอายุแล้ว จึงอยู่บ้านเฉยๆ ไม่ได้ทำงานหรือมีรายได้อะไร รวมแล้วเดือนๆ หนึ่ง เธอบอกว่าทั้งสามชีวิตในครอบครัว ต้องพยายามอยู่ให้ได้ด้วยเงินเดือนละ 6,000-7,000 บาท
นี่ยังไม่นับหนี้สินแต่ละเดือน ทั้งการส่งเงินที่กู้ยืมมาจากธกส.และธนาคารออมสิน รวมทั้งเงินประกันชีวิตและประกันสังคม ที่ทำไว้ตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้ว รวมแล้วมีค่าใช้จ่ายเหล่านี้ประจำเดือนละพันกว่าบาท จนเธอเรียกว่าเป็น “เงินตาย” ที่กลายเป็นภาระหนักอีกอย่างหนึ่ง
เหมือนเคราะห์ซ้ำกรรมซัด นอกจากปัญหาโรคประจำตัวต่างๆ ที่มีมาก่อนหน้านี้ เธอยังมีปัญหาใหม่เกี่ยวกับสายตา เนื่องจากประสาทตาเสื่อมและเส้นเลือดในตาแตก ทำให้ต้องไปนอนโรงพยาบาลอยู่ช่วงหนึ่งหลังได้รับการประกันตัว และยังต้องรอผ่าตัดเส้นเลือดในตาที่คลั่งอยู่ อาการเหล่านี้ ทำให้เธอมีปัญหาการมองเห็น มองได้แค่ระยะใกล้ๆ ไม่สามารถขี่รถจักรยานยนต์ไปทำงานหรือไปไหนมาไหนได้เหมือนก่อนหน้านี้
โรคประจำตัวต่างๆ ยังทำให้ต้องไปพบหมอ พร้อมรับยาที่โรงพยาบาลสันป่าตองและแม่ริมเป็นประจำ แม้จะได้ประโยชน์จากโครงการ 30 บาทรักษาทุกโรค ทำให้ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายมากนัก แต่ถ้าศาลมีคำพิพากษา ที่ทำให้เธอต้องติดคุก เธอก็ยังไม่รู้ว่าจะมีชีวิตรอดในเรือนจำได้หรือไม่ อย่างไร ในสภาพร่างกายเช่นนี้
ในวัยขนาดนี้และโรคประจำตัวต่างๆ เธอบอกว่าคงจะหางานประจำทำได้ยาก แต่ถ้าทำได้ เธออยากจะลองหาทางรับผลไม้มาขายที่บ้าน เพื่อจะได้ไม่ต้องเดินทางไปรับจ้างในเมืองอีก แต่การเริ่มค้าขายแบบนี้ ก็ต้องใช้เงินก้อนจำนวนหนึ่งในการลงทุน ซึ่งเธอยังไม่มีแม้แต่เงินเก็บในวันนี้
“ลำบากน่ะ ลำบากมาก” เธอพูดซ้ำๆ หลายรอบ สลับกับบอกถึงอาการทดท้อในการดิ้นรนหาเลี้ยงปากท้องให้สามชีวิต และรอคอยการต่อสู้คดีของตัวเองอยู่ในขณะนี้
คงไม่ต้องบอกกระมัง ว่านอกจากเสาวณี....มีพลเรือนอีกหลายพันคนถูกนำขึ้นพิจารณาคดีในศาลทหาร และเราแทบไม่รู้ว่าจำนวนมากต้องดิ้นรนอย่างไรในสถานการณ์แบบนี้
000000
สามารถบริจาคเงินช่วยเหลือเธอและครอบครัว ได้ที่
นางเสาวณี อินต๊ะหล่อ บัญชีเลขที่ 020033317037 ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร สาขาทุ่งเสี้ยว