Skip to main content
 
ตามความเข้าใจของเราที่ได้รับอิทธิพลจากยุควิคตอเรียนของอังกฤษ ผู้หญิงในสังคมของทุกชาติในอดีตมักเป็นช้างเท้าหลังที่สงบเสงี่ยม ทำตามคำสั่งของสามีอยู่ต้อยๆ แต่พวกเราเองก็ยอมรับว่ามีผู้หญิงไม่น้อยที่เข้ามามีอิทธิพลต่อสามีซึ่งเป็นผู้ยิ่งใหญ่ของโลกหรือแม้แต่ก้าวขึ้นมาใหญ่เสียเองและประวัติศาสตร์ก็จะย้อนไปประเมินค่าตีตราเธอเหล่านั้นว่าจะเป็นนางฟ้าผู้บริสุทธิ์หรือนางแพศยาสุดโฉดชั่วก็แล้วแต่ตัวบุคคลไปดังเช่นสมเด็จพระสุริโยทัยกับท้าวศรีสุดาจันทร์ สำหรับตัวกวีเอกของโลกอย่างเช่นวิลเลียม เช็คสเปียร์ซึ่งมีชีวิตอยู่ในช่วงสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่หนึ่งของอังกฤษ (ครองราชย์ระหว่างปี ค.ศ.1558 – 1603) ซึ่งถือว่าเป็นยุคทองของอังกฤษที่เจริญรุ่งเรืองในด้านต่างๆ โดยเฉพาะด้านวัฒนธรรมแล้วก็คงจะตระหนักถึงพลังเช่นนี้ของสตรี บทละครของเขาเรื่องหนึ่งคือโศกนาฎกรรมของแม็คเบ็ธ (The Tragedy of Macbeth) หรือที่นิยมเรียกกันสั้น ๆ ว่า Macbeth จึงเป็นตัวสะท้อนโลกทัศน์ของเช็คสเปียร์ต่อผู้หญิงถึงประโยคที่ได้กล่าวแนะนำมา บทละครเรื่องนี้เชื่อกันว่าถูกเขียนในช่วง ปี ค.ศ.1603 ถึง 1607 อันอิงมาจากชีวิตจริงของกษัตริย์ของสก็อตแลนด์พระองค์หนึ่งซึ่งมีครองราชย์ในช่วงศตวรรษที่ 11 
 
อย่างไรก็ตามบทความนี้ไม่ได้กล่าวถึงบทละครของเช็คสเปียร์แต่เป็นอุปรากรของจูเซปเป เวอร์ดี (1)  คีตกวีชาวอิตาลีที่เวอร์ดีได้นำบทบทละครของเช็คสเปียร์ผู้มีชีวิตอยู่ก่อนหน้าเขากว่าสองร้อยปีมาดัดแปลงถึงสามเรื่องคือ Macbeth (1846) Otello (1887)และ Falstaff (1893) ซึ่งเป็นอุปรากรหรรษาเรื่องสุดท้ายในชีวิตของเวอร์ดีที่อิงจากละครชื่อ The Merry Wives of Windsor ความจริงแล้วสำหรับ Macbeth เวอร์ดีต้องขอบคุณนักแต่งบทอุปรากรคู่บุญของเขาคือฟรานเชสโก้ มาเรีย เปียบซึ่งก็อิงจากการแปลมาเป็นเชิงร้อยแก้วเป็นภาษาอิตาลีของคาร์โล รุสโคนีอีกทีหนึ่ง แต่ก็ถือได้ว่าเนื้อหาโดยส่วนใหญ่ ตัวอุปรากรจะซื่อสัตย์ต่อละครของเช็คสเปียร์อย่างมาก มีการเปลี่ยนแปลงรายละเอียดเพียงเล็กน้อยเช่นในบทละครมีแม่มดเพียงสามคน แต่ในอุปรากรจะเป็นกลุ่มแม่มดกว่าสิบคน  
 
 
 
 
 
 
ภาพจาก www.musicweb-international.com
 
 
Macbeth ของเวอร์ดีถูกนำแสดงเป็นครั้งแรกในวันที่ 14 มีนาคม ปี ค.ศ. 1847 ที่โรงละครทีโทร เดลล่า เปอโรโกล่าของนครฟลอเรนซ์และประสบความสำเร็จอย่างมาก ก่อนจะถูกเวอร์ดีนำมาเพิ่มเติมดนตรีเข้าและเปลี่ยนแปลงเนื้อหาในบางองก์ เพื่อนำออกแสดงอีกครั้งใน กรุงปารีส เมื่อปี ค.ศ.1865 แต่กลับได้รับความนิยมน้อยกว่าฉบับแรก  อุปรากรเรื่องนี้ก็ได้จางหายไปจากความนิยมของชาวโลกจนกระทั้งได้รับการฟื้นฟูอีกครั้งในหลังสงครามโลกครั้งที่สองและได้รับความนิยมอย่างมากในปัจจุบัน
 
อุปรากรมีทั้งหมดสี่องก์ เป็นเรื่องของนายพลแม็คเบ็ธพร้อมเพื่อนคือบังโกวได้พลัดหลงไปในป่าลึกหลังจากได้ชัยชนะจากสงครามและพบกับฝูงแม่มดซึ่งทำนายว่าแม็คเบ็ธจะได้เป็นขุนนางชั้นอัศวินและจะได้เป็นกษัตริย์สืบต่อพระเจ้าดันแคนของอาณาจักรสก็อตแลนด์ แม็คเบ็ธเชื่อในคำทำนายมากเพราะหลังจากคำทำนายเขาได้รับการแต่งตั้งจากกษัตริย์ให้เป็นอัศวินทันที เขาจึงไปบอกให้ภรรยาของเขาคือเลดี้แม็คเบ็ธ เธอเฝ้าครุ่นคิดที่จะผลักดันให้สามีขึ้นเป็นใหญ่ตามคำทำนาย แต่แล้วก็ได้รับแจ้งว่ากษัตริย์ดันแคนทรงเสด็จมาแปรพระราชฐานที่ปราสาทของแม็คเบ็ธพอดี เลดี้แม็คเบ็ธจึงวางแผนการร้ายที่จะปลงพระชนม์กษัตริย์ (เป็นเพลง aria หรือเพลงร้องเดี่ยวที่ไพเราะและดุดันที่สุดในอุปรากรคือ Or tutti, sorgete หรือ "จงลุกขึ้นมาเจ้าพวกอสุรกายแห่งนรกทั้งหลาย")และสามารถเกลี่ยกล่อมแม็คเบ็ธซึ่งลังเลใจในตอนแรกให้ลอบเข้าไปใช้กริชแทงกษัตริย์ดันแคนในห้องบรรทมจนสิ้นพระชนม์หลังจากนั้นก็แอบเอากริชไปไว้ที่ตัวยามซึ่งเผลองีบหลับพร้อมกับเอาพระโลหิตของกษัตริย์มาป้ายที่ตัวของหมอนั่น ทุกคนจึงเชื่อว่าเป็นฝีมือของยามและสองสามีภรรยายังพยายามใส่ร้ายว่าผู้บงการคือมัลคอล์มซึ่งเป็นพระโอรสของพระเจ้าดันแคนเอง มัลคอล์มจึงต้องหลบหนีไปยังอังกฤษ
 
เมื่อแม็คเบ็ธขึ้นครองบัลลังก์เป็นกษัตริย์ เขาก็ยังคงไม่สบายใจเกี่ยวกับคำทำนายที่พวกแม่มดต่อตัวบังโกวเพื่อนของเขาว่าลูกชายของบังโกวนามว่าฟลีนซีโอ้จะได้เป็นกษัตริย์ในอนาคต แม็คเบ็ธได้ส่งกลุ่มนักฆ่ามาดักรอขณะที่คนทั้งคู่กำลังเดินทางมายังงานเลี้ยงบนทางอันมืดมิด บังโกวถูกรุมแทงเสียชีวิต แต่ฟลีนซีโอ้หนีไปได้ ฉากที่สามในองก์ที่สองถือว่าเพลงไพเราะไม่น้อยเป็นฉากในห้องโถงที่แม็คเบ็ธและภรรยาต้อนรับแขกทั้งหลาย เลดี้แม็คเบ็ธร้องนำให้แขกดื่มสุรากันอย่างสนุกสนาน (Si colmi il calice หรือ "เอ๊า มาเต็มแก้วสุรากันให้เต็ม") หลังจากที่นักฆ่ามารายงานให้แม็คเบ็ธทราบถึงการลอบสังหาร แม็คเบ็ธแลเห็นผีของบังโกวมาร่วมงานด้วยจึงเอะอะโวยวายราวกับคนบ้าถึงแม้ศรีภรรยาจะพยายามกลบเกลื่อนอย่างไรก็ตามสุดท้ายงานเลี้ยงก็ล่ม 
 
ต่อมาแม็คเบ็ธได้เดินทางไปในถ้ำของพวกแม่มดเพื่อขอความช่วยเหลืออีกครั้ง พวกแม่มดก็ทำหน้าที่เป็นสื่อกลางให้กับวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ซึ่งทำนายอนาคตให้แม็คเบ็ธถึงสามข้อ ข้อแรกให้ระวังแม็คดัฟฟ์ให้จงดี ข้อสองผู้ที่เกิดจากผู้หญิงจะไม่สามารถฆ่าแม็คเบ็ธได้ ที่สำคัญข้อสามแม็คเบ็ธจะไม่พ่ายแพ้จนกว่าป่าเบอร์นัมจะเดินมาประชิดวังตน ทำให้แม็คเบ็ธดีใจมากถึงแม้ตนจะทุกข์ทรมาณเพราะถูกผีหลอก ส่วนเลดี้แม็คเบ็ธนั้นเดินละเมอไปรอบพระราชวังและเกิดสติฟั่นเฟือนเข้าใจว่ามีเลือดที่เปรอะเปื้อนอยู่บนมือของตนอยู่ตลอดเวลา (Una macchia e qui tuttora! หรือ "มักจะมีจุดเลือดอยู่เสมอ")
 
 
 
 
 
(ภาพจาก www.scena.org/blog)
 
 
 
คู่กษัตริย์ราชินีสั่งให้ทหารไปฆ่าแม็คดัฟฟ์แต่เขาสามารถหลบหนีไปได้อย่างหวุดหวิด ด้วยความแค้นเคืองที่ลูกและเมียถูกสังหาร แม็คดัฟฟ์จึงร่วมมือกับมัลคอล์มและกองทัพอังกฤษในการบุกสก็อตแลนด์อย่างเต็มกำลังศึกเพื่อปลดปล่อยสก็อตแลนด์ออกจากน้ำมือของทรราช (La patria tradita หรือ "ชาติของเราถูกทำการทุรยศ") ฉากสุดท้ายที่น่าสะเทือนใจคือแม็คเบ็ธนั่งพร่ำพรรณนาถึงความตกต่ำของตนอย่างเดียวดายท่ามกลางราชวังซึ่งรกร้างเพราะข้าราชบริพารต่างหลบหนีด้วยความกลัวต่อกองทัพอังกฤษ(Pieta, rispetto, amore หรือ "ความเมตตา เกียรติยศและความรัก") ส่วนเลดี้แม็คเบ็ธที่ได้ตัดช่องน้อยเสียชีวิตไปแล้ว แต่แม็คเบ็ธก็ยังมั่นใจในคำทำนาย จึงได้รวบรวมพลที่เหลือเข้าโรมรันกับกองทัพอังกฤษและตกตะลึงที่ว่ากองกำลังอังกฤษใช้กิ่งไม้ของป่าเบอร์นัมมาพรางตัวจึงเปรียบเสมือนกับป่าที่เดินได้ ในที่สุดกองทัพของแม็คเบ็ธก็พ่ายแพ้แต่เขาได้ต่อสู้กับแม็คดัฟฟ์ตัวต่อตัว เมื่อแม็คเบ็ธกล่าวถึงคำทำนายที่เหลือด้วยความลำพองใจ แม็คดัฟฟ์ก็เฉลยว่าเขาไม่ได้ "เกิด"จากมารดาแบบคนทั่วไปเพราะเขาถูกนำตัวออกจากครรภ์โดยการผ่า เขาจึงฆ่าแม็คเบ็ธได้สำเร็จ และมัลคอล์มก็ได้ขึ้นครองราชย์แทนท่ามกลางความยินดีของเหล่าทหารประชาชน (การร้องประสานเสียง Salva, o re! หรือ "กษัตริย์ทรงพระเจริญ")ในการแสดงบางครั้งนั้นตอนจบจะให้ฟลีนซีโอ้ลูกชายของบังโกวก้าวมาเดินต่อหน้าทุกคนราวกับจะบอกว่าคำทำนายของแม่มดยังไม่จบสิ้น 
 
แม็คเบ็ธเป็นตัวละครที่แตกต่างจากละครแบบโศกนาฎกรรมทั้งหลายของเช็คสเปียร์ไม่ว่าจะเป็น เอียโก  ใน Othello พระเจ้าริชาร์ดที่สามใน Richard III เอ็ดมุนด์ใน King Lear ที่แม็คเบ็ธเป็นผู้ที่มีทั้งความแข็งแกร่งและความอ่อนแอในตัวเอง ในขณะที่เขาทะเยอทะยานถึงขั้นลอบปลงพระชนม์กษัตริย์แต่เขาก็มีความสงสัยในใจว่าสิ่งที่ทำลงไปในถูกต้องหรือไม่และต้องมาทุกข์ทรมานไปกับความรู้สึกผิดบาปซึ่งปรากฎตัวในรูปแบบของผีบังโกว แต่ในท้ายสุดแล้วแม็คเบ็ธก็ยังมีความแข็งแกร่งคือไม่เคยคิดจะฆ่าตัวตายเหมือนกับตัวละครอื่นๆ ของเช็คสเปียร์ที่แต่ตัดสินใจจบชีวิตตนในสมรภูมิ ส่วนเลดี้แม็คเบ็ธเป็นกรณีที่น่าสนใจสำหรับบทบาทของผู้หญิง เธอเป็นภาพสะท้อนให้เห็นว่าผู้หญิงเองก็มีความทะเยอทะยาน ความชั่วร้ายแต่จารีตของสังคมโบราณที่ผู้ชายเป็นใหญ่ทำให้เธอไม่สามารถแสวงหาความยิ่งใหญ่ด้วยตัวเองจึงพยายามใช้ผู้ชายให้เป็นเครื่องมือแม้แต่เหล่าแม่มดเองซึ่งเป็นตัวแทนของโชคชะตาที่กำหนดชีวิตของมนุษย์ทั้งมวลก็เป็นผู้หญิง
 
แท้ที่จริงผู้หญิงมีอำนาจแฝงที่น่ากลัวเทียบได้กับธาตุหยินซึ่งอ่อนแอแต่สามารถใช้ความอ่อนแอนั้นสยบความแข็งแกร่งของผู้ชายซึ่งเป็นตัวแทนของธาตุหยางอันไม่ได้หมายถึงการใช้เสน่ห์ทางเพศของเท่านั้นหากยังหมายถึงสติปัญญาหรือความกล้าหาญของเธออีกด้วย แม้ในบทละครหรืออุปรากรเรื่องนี้จะเป็นในด้านชั่วร้ายก็ตาม ฉากที่ฟ้องถึงสิ่งนี้ได้อย่างดีคือฉากที่แม็คเบ็ธชายชาติทหารร่างบึกบึนแสดงท่าทางกระอักกระอ่วนใจแต่ก็จำใจถือกริชตามคำชักจูงกึ่งคำสั่งของผู้หญิงร่างอ้อนแอ้นอรชรและเมื่อแม็คเบ็ธเดินตัวสั่นเหงื่อโทรมกายออกจากห้องบรรทมของกษัตริย์มาทรุดตัวนั่งลงเงียบ ๆ ก็เป็นผู้หญิงคนเดิมอีกเช่นกันที่จัดการกลบเกลื่อนทุกอย่างเพื่อให้ลุตามความทะเยอทะยาน แม็คเบ็ธจึงดูไม่ต่างจากหุ่นเชิดของเลดี้แม็คเบ็ธแม้แต่น้อย
 
 
 
 
(1) นอกจากอุปรากรแล้ว  บทละครของเช็คสเปียร์เรื่องยังถูกดัดแปลงไปเป็นภาพยนตร์หลายเรื่องอย่างเช่น Macbeth ของออร์สัน เวลล์ส และโรมัน โปลันสกี หรือถูกดัดแปลงไปใช้บริบทของชาติอื่นๆ เช่น  Throne of Blood ของอาคิระ คูโรซาว่า  และ ล่าสุดเมื่อ 2 ปีที่แล้ว ภาพยนตร์แนวอิสระนอกรีต (อินดี) ของไทย คือ Shakespeare Must Die  ซึ่งสร้างความฮือฮาเพราะถูกแบน 
 

 

บล็อกของ อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์

อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
ถือได้ว่า It's A Wonderful Life เป็นภาพยนตร์ที่อเมริกันชนแสนจะรักใคร่มากที่สุดเรื่องหนึ่งในประวัติศาสตร์ก็ว่าได้นอกจากจะเป็นแรงบันดาลใจสำหรับหนังชีวิตในยุคหลังมากมายหลายเรื่องแล้ว ภาพยนตร์ขาวดำเรื่องนี้ยังถูกนำมาฉายทางโทรทัศน์ในช่วงคริสต์มาสของทุกปีในอเมริกา คอหนังอเมริกันมักจะเอยชื่อหนังเรื่อง
อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
ผลพวงแห่งความคับแค้นหรือ The Grapes of Wrath เป็นเรื่องเกี่ยวกับครอบครัวโจดส์ที่อาศัยอยู่ใน รัฐโอกลาโอมา พวกเขาเป็นหนึ่งในหลาย ๆ หมื่นครอบครัวของชนชั้นระดับรากหญ้าของอเมริกาที่ต้องพบกับความยากลำบากของชีวิตในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจ (Great Depression) ในทศวรรษที่ 30 ซึ่งสหรัฐฯเป็นต้นกำเนิดนั้นเอง &nbsp
อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
เคยสังเกตไหมว่าพวกที่เป็นเซเลบและพวกที่ไม่ได้เป็นเซเลบแต่อยากจะเป็นเซเลบ  มักจะหันมาใช้อาวุธชนิดหนึ่งในการโฆษณาสร้างภาพตัวเองซึ่งดูเหมือนจะได้ผลไม่น้อยไปกว่าให้หน้าม้ามาโผล่ตามเว็บไซต์ต่างๆ หรือเสนอหน้าผ่านเกมโชว์หรือรายการทั้งหลายในโทรทัศน์ก็คือหนังสือนั้นเอง หนังสือที่ว่ามักจะเป็นเรื่องเ
อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
บทความเกี่ยวกับภาพยนตร์เรื่องนี้แปลมาจากบทความของโรเจอร์ อีเบิร์ต ที่เขียนขึ้นในเวบ Rogerebert.com เมื่อวันที่ 25 กรกฏาคม ปี ค.ศ.
อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
1."วันข้างหน้า ถ้าไม่มีมาตรา 44  ไม่มีคสช.เราจะอยู่กันอย่างไร"
อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
from A to Z , rest of one's life If the officers want to inspect  Dhammakay temple from A to Z , they must spend the rest of their lives.
อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
 ต่อไปนี้เป็นเคล็ดลับของหมอดูที่ผมรวบรวมมาจากการประสบพบเองบ้าง (ในชีวิตนี้ก็ผ่านการดูหมอมาเยอะ) จากการสังเกตการณ์และนำมาครุ่นคิดเองบ้าง ซึ่งก็ไม่ได้หมายความถึงหมอดูทุกคน เพราะคงมีจำนวนไม่น้อยที่มีฝีมือจริงๆ  กระนั้นผมเห็นว่าไม่ว่าเก่งหรือไม่เก่ง พวกเขาหรือเธอต้องใช้เคล็ดลับ
อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
หากพูดถึงหนังเรื่อง Lolita ไม่ว่าเวอร์ชั่นไหนแล้วคำ ๆ แรกที่ทุกคนนึกถึงก็คือ Paedophilia หรือโรคจิตที่คนไข้หลงรักและต้องการมีเพศสัมพันธ์กับเด็กที่อายุน้อย ๆ สาเหตุที่ถูกตีตราว่าโรคจิตแบบนี้เพราะสังคมถือว่ามนุษย์จะสามารถมีเพศสัมพันธ์ได้เมื่อมีอายุที่สมควรเท่านั้น และสำคัญที่มันผิดทั้งกฏหมายและศี
อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
1.Blade Runner (1982)  สุดยอดหนังไซไฟที่มองโลกอนาคตแบบ Dystopia นั่นคือเต็มไปด้วยความมืดดำและความเสื่อมโทรม ถึงแม้บางคนอาจจะผิดหวังในตอนจบ(แต่นั่นเป็นไปตามวัตถุประสงค์ของหนัง) แต่ด้วยฝีมือ Ridley Scott ที่สร้างมาจากงานเขียนของ Philip K.Dick ทำให้
อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
มีการถกเถียงกันทางญาณวิทยาซึ่งเป็นสาขาหนึ่งของปรัชญามาเป็นพัน ๆ ปีว่าความจริง (Truth) แท้จริงเป็นอย่างไร แล้วเราจะสามารถรู้หรือเข้าสู่ความจริงได้หรือไม่ แน่นอนว่าผู้อ่านย่อมสามารถโต้ตอบผู้เขียนได้ว่าความจริงที่เรากำลังสัมผัสอยู่ขณะนี้เช่นหูได้ยินหรือจ
อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
จำได้ว่าตั้งแต่เกิดมาเป็นตัวเป็นตน ภาพยนตร์ที่สร้างความเพลิดเพลินและความชื่นอกชื่นใจให้แก่ผมมากที่สุดเรื่องหนึ่งก็คือหนังเรื่อง "มนตร์รักลูกทุ่ง" ของสยามประเทศนี่เอง เคยดูเป็นเวอร์ชั่นโรงใหญ่จากโทรทัศน์ก็ตอนเด็ก ๆ ความจำก็เลือนลางไป เมื่อเข้าเรี
อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
อาคิระ คุโรซาวาเป็นผู้กำกับญี่ปุ่นชื่อเสียงโด่งดังที่สุดคนหนึ่งของโลก ด้วยความยิ่งใหญ่จนถึงระดับคลาสสิกของภาพยนตร์ที่เขาสร้างหลายสิบเรื่องทำให้มีผู้ยกย่องเขาว่าเหมือนกับจักรพรรดิหรือแห่งวงการภาพยนตร์ไม่ว่าญี่ปุ่นหรือแม้แต่ระดับนานาชาติคู่ไปกับสแตนลีย์ คิวบริก อัลเฟรด