(ผมยืนยันว่าบทความแปลคือ "จอห์น ราเบ้ นาซีผู้เป็นพระโพธิสัตว์แห่งเมืองนานกิง" นั้นต้นฉบับเป็นของผมเองซึ่งได้เขียนลงบล็อกมานานแล้ว หลังจากไปลองค้นหาดูกูเกิลก็พบว่ามีการลอกเอาบทความของผมไปลงในเว็บของตัวเองผสมกับบทความอื่นอย่างแนบเนียนโดยระบุแหล่งที่มาซึ่งสืบถึงตัวผมได้ยากเหลือเกินหรือก็ไม่ได้พูดถึงเลย จึงขอชี้แจงมา ณ ที่นี้)
รู้จักกันไหมกับคำว่า perfect murder หรือ "ฆาตกรรมอันสมบูรณ์แบบ" ? สำหรับพวกเราที่คุ้นเคยกับฆาตกรรมที่ผลุดขึ้นมาราวกับดอกเห็ดในหนังสือพิมพ์หัวสีก็พบว่าล้วนมีแรงจูงใจซ้ำกันๆ ไม่ว่าเรื่องการขัดผลประโยชน์กัน เรื่องชู้สาว หรือการประสงค์ต่อทรัพย์กับร่างกายของเหยื่อหรือแม้แต่เรื่องโง่ๆ เช่นเกิดบันดาลโทสะเพราะมองหน้ากันนานเกินควร การจับกุมฆาตกรจึงไม่ใช่เรื่องยากเท่าไรนัก แต่ก็คงมีไม่น้อยที่ในหน้าหนังสือพิมพ์ที่ตำรวจยังจับคนผิดไม่ได้เพราะถึงแม้จะทราบว่าเหยื่อเป็นใครแต่ไม่ทราบว่าใครฆ่าและฆ่าเพื่ออะไร
ฆาตกรรมอันสมบูรณ์แบบจึงหมายถึงการฆ่าแบบแนบเนียนแบบไร้ร่องรอย หลักฐานและผู้ฆ่าไม่ได้ฆ่าเหยื่อเพราะมีวัตถุประสงค์ใดแน่นอน การฆาตกรรมอันสมบูรณ์แบบที่ปรากฏในภาพยนตร์ของอัลเฟรด ฮิตช์ค็อกสุดยอดผู้กำกับภาพยนตร์ชาวอังกฤษอยู่หลายเรื่องดังเช่น Rope (1948) อันเป็นเรื่องของชายหนุ่ม 2 คนฆ่าเพื่อนของเขาคนหนึ่งแล้วเอาศพมาซ่อนไว้ในลังที่กลายเป็นโต๊ะชั่วคราวสำหรับจัดงานเลี้ยงเพื่อพวกเพื่อนๆ รวมไปถึงพ่อและป้าของเหยื่อ โดยไม่ได้มีความโกรธแค้นต่อเหยื่อแม้แต่น้อยเพียงแต่เห็นว่าเป็น"งานศิลปะ"อย่างหนึ่งและเป็นการพิสูจน์ทฤษฎีของฟรีดริก นิตเช่ต์ (เอาตามจริงผมว่าเป็นการตีความของผู้สร้างภาพยนตร์ต่อนักปรัชญาชาวเยอรมันเช่นนี้คลาดเคลื่อนไปมากเหมือนกัน) แต่ฆาตกรรมอันสมบูรณ์แบบของฮิตช์ค็อกใช่ว่าจะหมายความอย่างนี้เท่านั้นหากหมายถึงการที่ผู้ฆ่าลวงหรือข่มขู่ให้คนอื่นซึ่งไม่ได้เป็นนักฆ่าอาชีพและไม่ได้เกี่ยวข้องกับเหยื่อมาฆ่าเหยื่อเพื่อไม่ให้ตำรวจสามารถสาวไปถึงได้อย่างเช่น Dial M for Murder (1954) ที่สามีข่มขู่เพื่อนเก่าให้มาลอบฆ่าภรรยาของตนซึ่งเป็นเศรษฐีนีหรือ Vertigo (1958) ที่สามีลวงให้ผู้อื่นมาเป็นพยานในการฆ่าภรรยาของตัวเองที่ใช้วิธีแนบเนียนที่สุดแต่ในที่นี้เราจะพูดถึง Strangers on a Train (1951) ซึ่งในทัศนะของผมเองเห็นว่าสนุกตื่นเต้นกว่าภาพยนตร์ 3 เรื่องที่ได้กล่าวมา
ภาพจาก www.Hitchcokzone.com
Strangers on a Train เป็นภาพยนตร์แนวตื่นเต้น เขย่าขวัญปนแนวคิดจิตวิทยาของฮิตช์ค็อกที่สร้างมา จากนวนิยายของแพทริเชีย ไฮสมิธ เจ้าของนวนิยายชื่อดังที่ถูกสร้างเป็นภาพยนตร์ที่เรารู้จักกันดีคือ The Talented Mr.Ripley และ Ripley's Game ซึ่งเรื่องแรกมีลักษณะของตัวละครและโครงเรื่องคล้ายกับ Strangers on a Train อยู่มาก ฮิตช์ค็อกใช้กลยุทธในการซื้อลิขสิทธิ์ของนวนิยายจากไฮสมิธด้วยราคาถูกแสนถูกเพราะเป็นนวนิยายเรื่องแรกของเธอ ในภาพยนตร์เรื่องนี้ ตัวเอกเป็นนักเทนนิสชื่อดังนามว่า กาย เฮนส์ (ฟาร์ลีย์ แกรงเจอร์)ซึ่งกำลังดำเนินเรื่องหย่ากับภรรยาเพื่อที่จะได้ไปแต่งงานกับแอน มอร์ทัน (รูธ โรมัน) ซึ่งเป็นลูกสาวของวุฒิสมาชิก ขณะที่เขานั่งอ่านหนังสืออยู่ในห้องนั่งเล่นของรถไฟอย่างสบายอารมณ์อยู่นั้น เท้าของเขาก็ไปปัดกับเท้าของผู้ชายที่นั่งอยู่ตรงกันข้ามโดยบังเอิญ หมอนั้นก็เข้ามาตีความสนิทกับกายพร้อมกับแนะนำตนว่าชื่อแอนโทนี บรูโน (โรเบิร์ต วอล์คเกอร์) และเป็นแฟนพันธุ์แท้ตัวจริงที่ติดตามดูการแข่งขันของเขาอยู่เสมอ และรู้ถึงเรื่องส่วนตัวของกายจนดูเกินงาม จนทำให้คิดว่าที่จริงเป็นความบังเอิญหรือไม่ที่เขามานั่งในรถไฟคันเดียวกับกาย
การสนทนาดำเนินไปพร้อมกับความอึดอัดใจของกายต่อลักษณะซึ่งดูประหลาดขึ้นเรื่อย ๆ ของชายแปลกหน้า บรูโนได้เล่าเรื่องเล่าส่วนตัวให้กับกายโดยเฉพาะความเป็นปรปักษ์อย่างรุนแรงกับพ่อแท้ๆ ของตน และในที่สุดก็ได้เสนอโครงการน่าสยองก็คือเขากับกายน่าจะสลับกันฆ่าบุคคลที่ไม่พึงปรารถนาของอีกฝ่ายคือภรรยาของกายและพ่อของบรูโนเสียเพื่อที่ตำรวจไม่สามารถสืบมาถึงคนทั้งคู่ได้เพราะทั้งพวกเขาเป็นเพียงคนแปลกหน้าที่บังเอิญมารู้จักกันบนรถไฟเท่านั้น กายแสร้งแสดงความเห็นดีเห็นงามด้วยเพราะนึกว่าบรูโนพูดเล่น โดยหารู้ไม่ว่าต่อมาบรูโนได้แสดงตนว่าเป็นโรคจิตขนานแท้โดยเดินทางไปฆ่าภรรยาของกายที่ชื่อมิเรียมจริง ๆ และได้มาหากายอีกครั้งพร้อมกับยื่นคำขาดให้เขาฆ่าพ่อของตนตามเงื่อนไขที่ตกลงกันไว้ กายตกอยู่ในที่นั่งลำบากเพราะทางตำรวจสงสัยเขาว่าเป็นคนฆ่าภรรยาของตนด้วยมีพยานเห็นว่าเขากับภรรยาทะเลากันอย่างรุนแรง ครั้นจะไปแจ้งความเกี่ยวกับเรื่องของบรูโน กายก็ไม่แน่ใจว่าตำรวจจะเชื่อเรื่องนี้หรือไม่ บรูโนยังบีบบังคับกายโดยบอกว่าเขาเก็บที่จุดบุหรี่ของกายได้และจะนำไปไว้ในที่จุดเกิดเหตุเพราะตำรวจซึ่งจะไปสืบหาร่องรอยอีกครั้งจะได้เข้าใจว่าเป็นฝีมือของกายจริง ๆ กายจะทำอย่างไรต่อไปเพื่อเอาตัวรอดจากทั้งตำรวจและบรูโนเป็นหน้าที่ของผู้อ่านจะหาชมเอง
ภาพยนตร์โดยทั่วไปของฮิตช์ค็อกมักไม่ใช่ภาพยนตร์ธรรมดาที่ผู้ชมจะออกจากโรงแล้วสมองกลวงเปล่า เพราะนอกจากปรัชญาและจิตวิทยาอันลึกซึ้ง นอกจากนี้ภาพยนตร์มักมีบางอย่างที่หวือหวาและท้าทายจารีตของสังคมร่วมสมัยสอดแทรกเข้าไปด้วย อย่างเช่น Strangers on a Train ที่นอกจากแนวคิดการฆาตกรรมสมบูรณ์แบบแล้วยังมีประเด็นของความรักร่วมเพศที่โชยมาด้วย บรูโนถูกนำเสนอในภาพยนตร์ในลักษณะของอัตลักษณ์ทางเพศที่กำกวม เขาเป็นชายหนุ่มหน้าดี บุคลิกดีแต่งชุดสูทหรูหราและมีลวดลายมากกว่าผู้ชายทั่วไป ที่สำคัญภาพยนตร์ได้แสดงให้เห็นว่าเขารักและมีความสนิทสนมกับแม่อย่างมาก เหมือนนอร์แมน เบทส์กับแม่ใน Psycho (1960) แม่ของบรูโนดูเหมือนเป็นผู้หญิงที่สติไม่สมประกอบอย่างตอนที่แอนพยายามจะบอกเธอถึงพฤติกรรมชั่ว ๆของบรูโนแต่ดูเหมือนหญิงชราจะไม่ใส่ใจนัก ในขณะเดียวกันบรูโนก็จงเกลียดจงชัดพ่อของเขาซึ่งเป็นเผด็จการชอบวางกฎระเบียบ จนความต้องการปิตุฆาตบังเกิดขึ้นมาในจิตใจของบรูโน อย่างไรก็ตามการที่บรูโนเข้าไปแสดงความชื่นชอบกายจนเกินงามจนทำให้มีผู้วิเคราะห์ว่าเป็น "การจีบกัน" นั้นหากมองได้อีกแง่คือบรูโนมีความปรารถนาต่อต้นแบบของพ่อ (father figure)จากผู้อื่น ดังจะสังเกตได้ว่าบรูโนล่วงรู้เรื่องทุกอย่างเกี่ยวกับกายจนดูราวกับว่าเขาอยากจะเป็นกายเสียเอง อันเป็นลักษณะคล้าย The Talented Mr.Ripley ที่เสนอสารกำกวมว่าทอม ริปเรย์มีความลุ่มหลงหรือต้องการเป็นตัวของดิกกี กรีนลิฟกันแน่ ด้วยความเป็นอัจฉริยะของฮิชท์ค็อกจึงทำให้ภาพยนตร์รอดพ้นจากการเซ็นเซอร์ของคณะกรรมการที่เคร่งจารีตและหลักศาสนาของฮอลลีวู้ดไปได้
ภาพจาก www.theasc.com/asc_blog
ภาพยนตร์ยังแสดงถึงความเป็นพวกโรคจิตที่ไม่ธรรมดาตามแบบของภาพยนตร์โดยทั่วไปของฮิตช์ค็อกคือคนเหล่านี้จะสามารถซ่อนเร้นความไม่ปกติทางจิตของตนไว้กับบุคคลดูทรงเสน่ห์ มากความรู้ วาทศิลป์ยังดีเลิศจนสามารถดึงดูดความสนใจจากคนรอบข้างโดยไม่ยากดังเช่นอย่างเช่นตอนที่บรูโนตามไปสังหารภรรยาของกายที่สวนสนุกนั้น ภรรยาของกายเองก็รู้ตัวว่ามีคนติดตามมาแต่ดูเหมือนเธอจะพึงพอใจเพราะเข้าใจว่ามีชายหนุ่มหน้าตาดีมาตามจีบเธอ หรือตอนที่บรูโนแอบเข้าไปมั่วร่วมงานในคฤหาสน์ของวุฒิสมาชิกมอร์ตันและคุยกับภริยาของผู้พิพากษาอย่างสนิทสนมอย่างรวดเร็วถึงขั้นที่สามารถแนะนำเป็นทีเล่นทีจริงว่าควรจะสังหารสามีของเธออย่างไร อันเป็นลูกเล่นของฮิตช์ค็อกที่ทำมาแล้วหลายเรื่องคือให้ฆาตกรกำลังเล่นเกมกับเหยื่อหรือคนที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่อะไร
สำหรับตัวของกายนั้นใช่ว่าจะบริสุทธิ์แบบพระเอกในภาพยนตร์น้ำเน่านัก การที่เขาต้องการแต่งงานกับลูกสาวของวุฒิสมาชิกทำให้คนดูเกิดความสงสัยว่าที่จริงเขามีความทะเยอทะยานอยากได้ดิบได้ดีในวงการเมืองหรือไม่ แต่ภาพยนตร์ก็ทำให้คนดูลืมประเด็นนี้ไปเพราะการที่เขาต้องการหย่าจากภรรยาก็เพราะภรรยาของกายเป็นคนเจ้าชู้ ตั้งท้องเพราะไปมั่วกับผู้ชายคนอื่นแต่ยังอยากอยู่กับกายต่อไปเพราะพ่อเด็กไม่รับผิดชอบ นอกจากนี้กายยังเป็นคนที่ดูซื่อ ๆ ขาดไหวพริบในการเอาตัวรอดจากการคุกคามจากบรูโนจนกลายเป็นเกมแมวไล่จับหนูไป โชคยังดีเขาได้รับความช่วยเหลือจากแอนซึ่งเป็นคนสมบูรณ์แบบทั้งสวย ชาญฉลาดและรักกายอย่างแท้จริงรวมไปถึงน้องสาวของแอนชื่อบาร์บาราซึ่งเป็นเด็กใส่แว่นหนาเตอะดูแก่แดดมีความรู้มากจนเหมือนจะรู้ทันบรูโนในบางครั้ง
Strangers on a Train เป็นภาพยนตร์ที่มีลูกล่อลูกชนที่ทำให้คนดูในยุคนั้นตัวเกร็งบนเก้าอี้เพราะความตื่นเต้น ฉากเกือบทุกฉากทำให้ได้ลุ้น ภาพยนตร์ยังอาศัยแสงเงาของภาพขาวดำเพื่อสะท้อนความชั่วร้ายของตัวแสดงได้อย่างดีเยี่ยม ฉากหลายฉากมีความแปลกใหม่ที่ทำให้คนดูเกิดความสยดสยองกับความชั่ววิปริตจาก บรูโนซึ่งมีนักวิจารณ์ชี้ว่าเป็นด้านมืดของตัวกายเอง อย่างเช่นหลังจากมิเรียมถูกบรูโนบีบคอจนสิ้นใจ แว่นของเธอก็ตกลงพื้นและมีภาพของบรูโนสะท้อนออกมา หรือฉากที่กายนั่งรถยนต์ตำรวจออกไปจากอนุสาวรีย์เจฟเฟอร์สัน เมมเมอร์เรี่ยล และกายก็ได้แลเห็นร่างของบรูโนยืนมองเขาอยู่ลิบ ๆ อยู่บนอนุสาวรีย์พร้อมกับเพลงบรรเลงของดมิทรี ทีโอมคิน และฉากที่จะไม่กล่าวถึงเป็นไม่ได้คือฉากที่กายซึ่งหยุดพักจากการเล่นเทนนิสและมองไปที่อัฒจันทร์แลเห็นคนดูซึ่งทั้งหมดหันซ้ายหันขวาไปตามลูกเทนนิสมีเพียงบรูโนซึ่งนั่งจ้องมองเขาตาเขม็งเพียงคนเดียว ฉากเหล่านี้ดูเรียบง่ายทำให้คนดูขนลุกขนพองได้ เช่นเดียวกับการแสดงของโรเบิร์ต วอล์คเกอร์ซึ่งถือได้ว่ายอดเยี่ยมที่สุดของเรื่อง
ภาพจาก www.jasonbovberg.com
บล็อกของ อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
เข้าใจว่าผลงานของ William Shakespeare ที่คนไทยรู้จักกันดีรองจากเรื่อง Romeo and Julius ก็คือวานิชเวนิส หรือ Merchant of Venice ด้วยเหตุที่ล้นเกล้ารัชกาลที่หกทรงแปลออกมาเป็นหนังสืออ่านนอกเวลาสำหรับเด็กนักเรียนได้อ่านกัน และประโยค ๆ หนึ่งกลายเป็นประโยคยอดฮิตที่ยกย่องดนตรีว่า  
อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
หากพูดถึงหนังเพลงหรือ musical ที่มีสีสันมากที่สุดเรื่องหนึ่งในทศวรรษที่ห้าสิบและหกสิบ เราก็คงจะนึกถึงเรื่อง West Side Story เป็นเรื่องแรก ๆ อาจจะก่อน Singin' in The Rain หรือ Sound of Music เสียด้วยซ้ำ ด้วยหนังเรื่องนี้มีจุดเด่นคือเพลงทั้งบรรเลงและเพลงร้องที่แสนไพเราะ ฝีมือการกำกับวงของวาทยากรอ
อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
มักเป็นที่เข้าใจว่าอเมริกาเป็นประเทศแห่งความเท่าเทียมกัน อาจด้วยอเมริกานั้นไม่เคยเปลี่ยนผ่านยุคศักดินาเหมือนกับประเทศในเอเชียและยุโรป อเมริกาถึงแม้จะมีชนชั้นกลางมากแต่บรรดาในชนชั้นกลางก็มีการแบ่งแบ่งแยกที่ดีที่สุดคือเงิน รองลงมาก็ได้แก่ฐานะทางสังคม สีผิว เพศ ฯลฯ เอาเข้าจริงๆ ไม่มีสังคมไหนในโลกท
อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
1.นอยด์ เป็นคำแสลงที่ถือกำเนิดได้มานานหลายปีแล้ว มาจากคำว่า noid กร่อน (โดยคนไทยเอง) จากศัพท์อังกฤษ paranoid ซึ่งแปลว่า ความวิตกกังวลว่าคนอื่นไม่ชอบหรือพยายามจะทำร้ายตัวเองแม้ว
อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
ผีเป็นบุคคลที่เราไม่พึงปรารถนาจะพบ แต่เราชอบนินทาพวกเขาแถมยังพยายามเจอบ่อยเหลือเกินในจอภาพยนตร์ ทั้งที่ก็ไม่รู้ว่ามีตัวตนจริงหรือเปล่า ด้วยส่วนใหญ่ได้ยินกันปากต่อปาก ประสบการณ์ส่วนตัวก็ไม่ชัดเจน อาจเกิดจากความผิดปกติทางประสาทสัมผัส หรือการหลอกตัวเองก็ได้ ยิ่งหนังผีทำได้วิจิตร พิศดารออกมามากเท่า
อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
แปลและตัดต่อบางส่วนจากบทความ Gustav Mahler : The Austrian composer เขียนโดยเดรีก วี คุก จาก www.britannica.com
อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
ทศวรรษที่ 80 ของฝรั่งคือปี 1980-1989 หรือว่าช่วง พ.ศ. 2523 ถึง พ.ศ.
อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
ถึงแม้เบโธเฟน (Ludwig Van Beethoven) จะได้ชื่อว่าเป็น คีตกวีที่แสนเก่งกาจคนหนึ่งในยุคคลาสสิกและโรแมนติก แต่ศิลปะแขนงหนึ่งที่เขาไม่สู้จะถนัดนักคือการเขียนอุปรากร เหมือนกับ โมซาร์ท คาร์ล มาเรีย ฟอน เวเบอร์ หรือ โจอากีโน รอสซีนี ดังนั้นช่วงชีวิต 50 กว่าปีของเบโธเฟนจึงสามารถสร้างอุปรากรออกมาไ
อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
ตามความจริง คำว่า Godfather เป็นคำที่ดีมาก หมายถึงพ่อทูนหัว ของศาสนาคริสต์ที่หมายถึงใครสักคนหนึ่งยอมรับเป็นพ่อทูนหัวของเด็กซึ่งเป็นลูกของคนอื่นในพิธีศีลจุ่มหรือ Baptism เขาก็จะเป็นผู้ประกันว่าเด็กคนนั้นจะได้รับการศึกษาทางศาสนาและถ้าพ่อแม่ของเด็กคนนั้นตายก็ต้องรับอุปการะ นอกจากนี้ยังหมายถึงฝ่ายห
อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
visionary ,under the shadow Prayut tries to be the most visionary politician,but he is merely under the shadow of Thacky.&