Skip to main content

แปลมาจากบทความของคุณอิลิซาเบท ชวาร์ม เกลสเนอร์  จาก www.w3.rz-berlin.mpg.de

 

Symphony No.1, Op.21

 

ดังเช่นฮอลลีวูดมีความสำคัญต่ออุตสาหกรรมภาพยนตร์ของโลกในปัจจุบันนี้ กรุงเวียนนานั้นเปรียบได้โลกแห่งดนตรีในช่วงปลายทศวรรษที่ 1700 มันเป็นเมืองหลวงซึ่งมีความยิ่งใหญ่และทรงอำนาจ กรุงเวียนนาเป็นหัวใจทางวัฒนธรรม เศรษฐกิจและการเมืองของทวีปยุโรป เมืองซึ่งเป็นแม่เหล็กที่ดึงดูดบุคคลที่ทะเยอทะยานในด้านต่าง ๆ สำหรับคีตกวีคนสำคัญ ๆ ซึ่งมีชื่อเกี่ยวข้องกับเมืองนี้ มีเพียงไม่กี่คนที่เป็นชาวเมืองเวียนนาจริง ๆ เพราะโดยมากพวกเขามาจากที่อื่น ๆ ด้วยความหวังต่ออาชีพที่มั่นคงรุ่งเรือง ทั้งไฮเดิน และ โมซาร์ท ก็จัดอยู่ในคนกลุ่มนั้นที่ประสบความสำเร็จในระดับแตกต่างกันไป เมื่อเบโธเฟนก้าวตามรอยของคนทั้งสองบ้างในปี 1792 คีตกวีผู้อาวุโสกว่าก็ได้สร้างรูปแบบของซิมโฟนี โซนาตา และสตริง ควอเท็ต (วงที่ใช้เครื่องสาย 4 ชิ้น) ไว้เรียบร้อยแล้ว ฉันลักษณ์เหล่านี้คือส่วนผสมของความอลังการ ความกระจ่างแจ้งและความสง่างาม แต่ในไม่ช้าพวกเขาก็ลดบทบาทความสำคัญไป ทว่ายังคงเหลือไว้ในดนตรียุคต้น ๆ ของเบโธเฟน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเปียโนคอนแชร์โต  2   บทแรกและซิมโฟนีหมายเลข 1 ของเขา ซิมโฟนีหมายเลข1  นั้นถูกนำออกแสดงเป็นครั้งแรกในโรงละครโฮฟเบิร์ก ในวันที่ 2 เมษายน ปี 1800 การแสดงดนตรีซึ่งเป็นการเปิดตัวครั้งแรกของเบโธเฟนในกรุงเวียนนายังรวมไปถึงเซปเท็ต (เพลงที่ใช้เครื่องดนตรี 7 ชิ้น) เปียโนคอนแชร์โตหมายเลข 1  ซิมโฟนีของโมซาร์ทและบางส่วนจาก The Creation ของ ไฮเดิน งานของคีตกวีดาวรุ่งที่ถูกนำแสดงพร้อมกับคีตกวีอาวุโสเป็นการย้ำความเหมือนกันระหว่างรูปแบบของพวกเขา แต่ความแตกต่างก็ยังมีให้เห็น นั่นคือถึงแม้เบโธเฟนจะคงรูปแบบเก่าไว้ แต่เขาก็ได้ทดลองด้วยความคิดใหม่ ๆ

เบโธเฟนได้ใช้ความพยายามนำเอาเครื่องดนตรีที่ใช้ลมมากกว่าตามรูปแบบเดิมและยังเพิ่มความมีชีวิตชีวาอย่างมากมายในกระบวนที่ 3  หรือ Minuet (จังหวะเต้นรำ) ที่เดิมเคยอ่อนนุ่ม จนคนดูตกใจ เบโธเฟนได้สร้างสีสันให้กับฉันทลักษณ์ทางดนตรีด้วยความเฉลียวฉลาด เช่นจากส่วนเริ่มต้นโดยคีย์ที่ไม่เหมือนเดิม มายังตอนจบที่มีส่วนเหมือนเพลงมาร์ชที่มีลักษณะเดียวกับเพลงที่คนเยอรมันร้องไปพร้อมกับดื่มเหล้า ถึงแม้ว่านักวิจารณ์หัวอนุรักษ์นิยมจะตกตะลึง นักสังเกตุการณ์โดยมากจะตอบรับในด้านบวกต่องานใหม่ชิ้นนี้ หนังสือพิมพ์ อัลล์เกอมาย มูสิกาลิช ที่ทรงอิทธิพลเขียนยกย่องอย่างมากมายว่า ซิมโฟนีชิ้นนี้ได้แสดงถึงศิลปะ ความเป็นนวตกรรมและความร่ำรวยทางความคิด  คาร์ล มาเรีย ฟอน เวเบอร์ยกย่องว่ามันเป็นซิมโฟนีที่ทรงพลัง กระจ่างแจ้งและยอดเยี่ยม ซิมโฟนีหมายเลข  1  นี้เป็นงานขนาดใหญ่ชิ้นแรกที่เบโธเฟนตีพิมพ์ออกมา

 

เวลาที่ใช้เล่นทั้งหมด 28 นาที มี 4 กระบวน

 

1. Adagio molto - Allegro con brio

 

2. Andante cantabile con moto

 

3. Menuetto (Allegro molto e vivace)

 

4. Adagio - Allegro

 

                              

                                             

                                                         นำมาจาก www.boxset.ru

 

Symphony No.2, Op.36

 

ซิมโฟนีหมายเลข 2 ของเบโธเฟนเป็นประจักษ์พยานต่อความกล้าหาญที่ไม่เหมือนใคร มันถูกเขียนในช่วงที่เบโธเฟนกำลังเผชิญกับช่วงอันมืดมนที่สุดซึ่งกลายมาเป็นชีวิตอันทุกข์ระทม ถึงแม้อาชีพของเขาจะเจริญก้าวหน้า ความสามารถด้านการฟังของเบโธเฟนเริ่มอ่อนแอลงอย่างรวดเร็ว และในปี 1802 เขาไม่ได้สามารถละเลยคำว่า"หูหนวก"ได้อีกต่อไป คุณหมอแนะนำว่าการไปพักผ่อนที่ชนบทอันเงียบสงบ ปราศจากเสียงอึกทึกในเมืองใหญ่อาจจะช่วยรักษาอาการได้ อย่างน้อยที่สุดก็ในเรื่องของอารมณ์ ในฤดูใบไม้ผลิต ของปี 1802 เบโธเฟนก็ได้ออกจากกรุงเวียนนาเพื่อไปอาศัยอยู่ในหมู่บ้านไฮลิเกนสตาดท์ ซึ่งอยู่ไม่ไกล แต่ไม่เป็นผล อาการหูหนวกของเขาไม่ได้ดีขึ้น ถึงแม้จะอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่เป็นชนบทและน่ารื่นรมย์ คีตกวีของเราอยู่ในภาวะแห่งความเศร้าหมองสุดขีด ความทุกข์แสนสาหัสนั้นถูกระบายออกมาในจดหมายที่เขียนถึงบรรดาน้อง ๆ แต่ไม่เคยส่งถึงมือคนเหล่านั้น ซึ่งมีคนมาพบในกองจดหมายหลังจากเบโธเฟนได้เสียชีวิตไปแล้ว

"มันเป็นไปไม่ได้สำหรับพี่ที่จะพูดกับคนรอบข้างว่า "ช่วยพูดดังๆ หรือไม่ก็ตะโกนก็ได้ เพราะผมหูหนวก !" อา พี่จะสามารถประกาศความอ่อนแอในส่วนของประสาทที่พี่ควรจะมีความเฉียบไวมากกว่าคนอื่นได้อย่างไร ... ช่างน่าละอายใจอะไรเช่นนี้ เมื่อคนที่ยืนอยู่ใกล้พี่และได้ยินเสียงฟลูตแว่วมาแต่ไกล แต่พี่กลับไม่ได้ยินอะไรเลย หรือแม้แต่เด็กเลี้ยงแกะร้องเพลง แต่พี่ไม่ได้ยินอะไรเลยอีกเหมือนกัน เหตุการณ์เช่นนี้ทำให้พี่สิ้นหวังเสียแล้ว"

จดหมายนี้ต่อมาเป็นที่รู้จักกันภายในชื่อบันทึกแห่งไฮลิเกนสตาดท์ (Heligenstadt Testament) ข้างในนั้นเบโธเฟนได้เขียนไว้ว่าชีวิตเป็นเรื่องที่สุดแสนจะทนทาน เขาจึงคิดจะฆ่าตัวตาย แต่เขาก็ระงับความคิดไว้ โดยบอกว่า "มันดูเหมือนว่าพี่จะจากโลกนี้ไปไม่ได้ จนกว่าพี่จะสร้างสรรค์สิ่งที่พี่รู้สึกภายในทั้งหมด" นี่คือบุรุษผู้เลือกที่จะใช้ชีวิตเพียงประการเดียวนั่นคือเพื่อศิลปะ ตราบใดแรงบันดาลใจของเขายังดำรงอยู่

จนกระทั้งถึงวันสุดท้ายของชีวิตเขาอีก 25 ปีต่อมา เบโธเฟนได้ผลิตงานที่ยิ่งใหญ่ที่สุดนั่นคือเปียโนโซนาตาอันแสนยิ่งใหญ่และซิมโฟนีที่โด่งดังที่มีอิทธิพลต่อซิมโฟนีอื่น ๆ ในอนาคต แต่ในบรรดางานเหล่านั้นไม่มีงานใดที่ยิ่งใหญ่ไปกว่าซิมโฟนีหมายเลข 2  ซึ่งถูกเขียนจนเสร็จสิ้นในช่วงแห่งความทุกข์ระทมของตน แต่กลับไม่ได้แสดงอารมณ์เหล่านั้นออกมาเลย ในทางกลับกัน มันกลับเต็มไปด้วยจิตวิญญาณอันสูงส่งและร่าเริง ราวกับว่าถูกเขียนโดนคนที่ไร้กังวลในชีวิตนี้ มีเพียงคีตกวีผู้มีอุทิศตนด้วยใจเด็ดเดี่ยวต่องานศิลปะ ผู้ซึ่งสามารถละทิ้งความทุกข์ใจเพียงเพื่องานศิลปะที่เขียนซิมโฟนีในเวลาเช่นนั้น ในแง่มุมนี้ งานอันทรงเสน่ห์นี้จึงเป็นสารัตถะแห่งความห้าวหาญ ซิมโฟนีหมายเลข 2 ถูกนำออกแสดงในกรุงเวียนนาเมื่อวันที่ 5 เมษายน 1803 เบโธเฟนมาควบคุมรายการด้วยตนเอง ซึ่งยังรวมไปถึงออราโตริโอ ที่ชื่อว่า Christ on the Mount of Olives รวมไปถึงเปียโนคอนแชร์โตหมายเลข 3 ปฏิกิริยาที่สาธารณชนมีต่อการแสดงนั้นค่อนข้างจะหลากหลาย และต่อมาการแสดงก็ได้รับการวิจารณ์โดยรวมในด้านลบเพียงน้อยนิด นักวิจารณ์ชาวเมืองไลป์ซิกเขียนบรรยายว่า "ในตอนจบของเพลงนั้นเหมือนกับอสุรกายผู้น่าเกลียดชัง หรือไม่ก็งูหางกระดิ่งที่ได้รับบาดเจ็บ ซึ่งยังดิ้นพรวดพราด อาละวาดไปจนกว่าจะสิ้นลม" แต่หนังสือพิมพ์อัลล์เกอมาย มูสิกาลิช กลับยกย่องว่าเป็นงานที่เต็มไปด้วย "ความคิดใหม่ๆ เป็นของตัวเอง"ความแปลกใหม่นั้นเองจึงเป็นสาเหตุให้คนมองในแง่มุมที่ต่างกัน อันเป็นจุดเริ่มต้นของความคิดสร้างสรรค์ทางศิลปะของเบโธเฟน

มันเป็นงานที่มีความยิ่งใหญ่กว่าซิมโฟนีของโมซาร์ตหรือไฮเดิน บทนำของมันนั้นมีความมหึมายิ่งกว่า ตอนจบของมันมีความยาวมากกว่าและมันยังมีลักษณะค่อนไปทางซิมโฟนีตามรูปแบบของโรแมนติกที่ยังไม่มีใครก้าวไปถึง นอกจากนี้ ในงานชิ้นใหม่นี้ เป็นครั้งแรกที่ เบโธเฟนไม่ยอมใช้กระบวนที่ 3  หรือ Minuet ตามที่รูปแบบเก่า เพราะเขาหันไปใช้จังหวะ Sherzo (จังหวะที่ออกเชิงขบขัน) กระบวนอันแสนร่าเริงพร้อมด้วยพลังและความกระตือรือล้นเกินกว่าที่นักวิจารณ์หัวอนุรักษ์นิยมบางคนจะทนทานได้ นี่คือหนทางใหม่สุดในการสร้างรูปแบบของดนตรี แต่สำหรับเบโธเฟนแล้วมันเป็นเพียงจุดเริ่มต้น

 

เวลาที่ใช้เล่นทั้งหมด 36 นาที มี 4 กระบวน

 

1. Adagio molto - Allegro con brio

 

2. Larghetto

 

3. Scherzo (Allegro)

 

4. Allegro molto

 

 

                                                   

                                                                          นำมาจาก www.demotivation.us  

 

 

 

บล็อกของ อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์

อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
หากมีใครถามว่าถ้า จู่ๆ โลกนี้ หนังสือจะหายไปหมด แต่ผมสามารถเลือกหนังสือไว้เป็นส่วนตัวได้เพียงเล่มเดียว จะให้เลือกของใคร ผมก็จะตอบว่าหนังสือ "จันทร์เสี้ยว" หรือ  Crescent Moon ของท่านรพินทรนาถ ฐากูร กวีและนักปราชญ์ชาวอินเดียผู้ได้รับรางวัลโนเบลสาขาวรรณกรรม ในปี 1913  และหนังสือเล่มนี้ก
อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
 "Whoever you are, I have always depended on the kindness of strangers." Blanche Dubois  ไม่ว่าคุณเป็นใคร ฉันมักจะพึ่งพ
อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
หากพูดถึงคำว่า Three Bs ผู้ใฝ่ใจในดนตรีคลาสสิกก็จะทราบทันทีว่าหมายถึงคีตกวีผู้ยิ่งใหญ่ทั้ง 3  ของเยอรมัน นั่นคือ Bach  Beethoven และ Brahms ถึงแม้จะมีความแตกต่างกันในหลายๆ ส่วน นั่นคือบาคเป็นคีตกวีในยุคบาร็อค เบโธเฟนและบราห์ม เป็นคีตกวีในยุคโรแมนติก นอกจากนี้บาคเป็นบิดาที่มีบุตรหลายคน
อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
ถ้าจะดูอย่างพินิจพิเคราะห์แล้ว La Dolce Vita (1960) ของเฟเดริโก เฟลลินี สุดยอดผู้กำกับภาพยนตร์ชาวอิตาลี ไม่ได้ด้อยไปกว่าภาพยนตร์ในเรื่องต่อมาของเขาคือ 8 1/2 ในปี 1963 แม้แต่น้อยโดยเฉพาะการสื่อแนวคิดอันลุ่มลึกผ่านสัญลักษณ์ต่างๆ เพียงแต่ภาพยนตร์เรื่องแรกเป็นสัจนิยมนั้นคือไม่ยอมให้จินตนาการกับความ
อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
    หนึ่งในบรรดาคีตกวีที่อายุสั้นแต่ผลงานสุดบรรเจิดที่เรารู้จักกันดีคือนักประพันธ์เพลงชาวออสเตรียนามว่าฟรานซ์ ชูเบิร์ต (Franz Schubert) ชูเบิร์ตเปรียบได้ดังสหายของเบโธเฟนผู้ส่งผ่านดนตรีจากคลาสสิกไปยังยุคโรแมนติก ด้วยความเป็นคีตกวีผสมนักกวี (และยังเป็นคนขี้เหงาเสียด้วย) ทำให้เขากลายเป็
อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
การสังหารหมู่นักศึกษาเมื่อวันที่ 6 ตุลาคม ปี 2519 เป็นเหตุการณ์ที่น่าสะเทือนใจมากซึ่งน่าจะเป็นเรื่อง"ไทยฆ่าไทย" ครั้งสุดท้ายโดยเฉพาะอย่างยิ่งในปัจจุบันที่สงครามเย็นได้สิ้นสุดไปและคนไทยน่าจะมีความรู้เกี่ยวกับสิทธิมนุษยชนดีกว่าเมื่อหลายสิบปีก่อน แต่การสังหารหมู่ประชาชนกลางเมืองหลวงเมื่อหลายปีก่อน
อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
      ขออุทิศบทความนี้ให้กับโรงเรียนปรินส์รอยแยลส์วิทยาลัย
อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
             เป็นเรื่องตลกถึงแม้ผมเอาแต่นำเสนอแต่เรื่องของดนตรีคลาสสิก แต่ดนตรีซึ่งมีอิทธิพลอย่างมากต่ออารมณ์ความรู้สึกของผมเมื่อ 2-3 ทศวรรษก่อนจนถึงปัจจุบันคือดนตรีแจ๊ส และผมฟังดนตรีชนิดนี้เสียก่อนจะฟังดนตรีคลาสสิกอย่างจริงจังเสียอีก (ซึ่งก็ไม่ได้หมายความว่าในป
อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
หากจะเอ่ยชื่อคีตกวีชื่อดังของศตวรรษที่ 19-20 แล้ว คนๆ หนึ่งที่เราจะไม่พูดถึงเป็นไม่ได้อันขาดคือเดบูซี่ผู้ได้ชื่อว่ามีแนวดนตรีแบบอิมเพรสชั่นนิสต์ (Impressionism) และแน่นอนว่าดนตรีแนวนี้ย่อมได้รับอิทธิพลจากศิลปะภาพวาดของฝรั่งเศสซึ่งโด่งดังในศตวรรษที่ 19 โดยมีโมเนต์และมาเนต์เป็นหัวหอก เพลงของเดบูซ
อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
    เมื่อพูดถึงเพลงประสานเสียงแล้ว คนจะนึกถึงเพลงสวดศพของโมซาร์ทคือ Requiem หรือ Messiah ของแฮนเดิลเป็นระดับแรก สำหรับเบโธเฟนแล้วคนก็จะนึกถึงซิมโฟนี หมายเลข 9 เป็นส่วนใหญ่ ความจริงแล้วเพลงสวด (Mass) คือ Missa Solemnis อันลือชื่อ ของเขาก็ได้รับความนิยมอยู่ไม่
อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
แน่นอนว่าคนไทยย่อมรู้จักเป็นอย่างดีกับฉากของหญิงสาวผมสั้นสีทองในเสื้อและกระโปรงสีดำพร้อมผ้าคลุมด้านหน้าลายยาวที่เริงระบำพร้อมกับร้องเพลงในทุ่งกว้าง เข้าใจว่าต่อมาคงกลายเป็นแรงบันดาลใจสำหรับหนังที่มีสาวม้งร้องเพลง "เทพธิดาดอย"อันโด่งดังเมื่อหลายสิบปีก่อน หรือแม้แต่เนื้อเพลง Lover's Concerto ที่ด
อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
Debate =discussion between people in which they express different opinions about something อ้างจาก