Skip to main content
 
"Whoever you are, I have always depended on the kindness of strangers."
 
Blanche Dubois 
 
ไม่ว่าคุณเป็นใคร ฉันมักจะพึ่งพิงความเมตตาจากคนแปลกหน้าเสมอ
 
บลังช์ ดูบัวส์
 
 
(ภาพยนตร์เรื่องนี้มีการเปิดเผยเนื้อหาทั้งหมด)
 
ก่อนจะมาเป็นภาพยนตร์ที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงในปี 1951 รถรางคันนั้นชื่อปรารถนา หรือ A Streetcar Named Desire เคยเป็นละครบรอดเวย์มาหลายปีดีดัก ละครเรื่องนี้เปิดการแสดงครั้งแรกในปี 1947 ที่โรงละครอีเทล แบร์รีมอร์ มหานครนิวยอร์ก เป็นผลงานของนักเขียนบทละครชื่อดังนามว่าเทนเนสซี วิลเลียมส์ซึ่งก็ได้รับรางวัลพูลิเซอร์จากละครเรื่องนี้   ส่วนในเมืองไทยนั้น ตอนผมยังเด็กจำได้ว่าละครหรือภาพยนตร์เรื่องนี้เคยถูกนำมาสร้างเป็นแบบไทยๆ ด้วยแต่เนื้อหาจะถูกเปลี่ยนอย่างไรก็จำไม่ได้แต่แน่ใจว่าโทรทัศน์สมัยนั้นยังขาวดำอยู่เลย สำหรับผู้ที่นำละครเวทีเรื่องนี้มาโลดแล่นสู่โลกเซลลูลอยด์นั้นคืออีเลีย คาร์ซานที่เคยสร้างชื่อมาแล้วกับหนังระดับรางวัลออสการ์คือ Gentleman's Agreement (1947) รวมไปถึงหนังหลังจากนั้นคือ On the Waterfront (1954) จะว่าด้วยโชคชะตาหรือเนื้อหาในหนังของเขาก็เลยแต่ ไม่นานนักเขาก็โดนมรสุมชีวิตคือถูกคณะกรรมการสืบสวนกิจกรรมที่ไม่เป็นอเมริกัน (HUAC) ในยุคล่าคอมมิวนิสต์เล่นงานจนแทบเอาตัวไม่รอด 
 
 
 
                          
 
                       ภาพจาก  www.filmsite.org
 
รถรางคันนั้นชื่อปรารถนา (ขอเขียนเป็นชื่อสั้้นๆ ว่า "รถรางฯ") เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับหญิงสาวนามว่าบลังช์ ดูบัวส์  สาวผู้ดีตกยากที่เคยมีนิวาสสถานที่เมืองลอเรล รัฐมิสซิปซิปี  เธอเดินทางมาเยี่ยมและพักอาศัยอยู่กับน้องสาวคือสเตลลา โควัลสกีที่มาตั้งครอบครัวใหม่ในเมือง นิวออร์ลีนส์ ณ ที่นั่นเธอก็ได้ตกใจ ไม่นึกไม่ฝันว่าจะได้น้องเขยจากชนชั้นล่างที่สุดแสนจะเถื่อนและกักขฬะอย่างเช่นชายหนุ่มเชื้อสายโปแลนด์นามว่าสแตนลีย์ โควัลสกี โชคร้ายสำหรับสเเตลลาที่ทั้งคู่ไม่ชอบขี้หน้ากัน และเป็นสแตนลีย์นั่นเองที่ไปสืบค้นหาความลับของบลองช์ที่พยายามซ่อนไว้ภายใต้ลักษณะท่าทางผู้ดีเก่า เป็นสาวบริสุทธิ์ใสซื่อ อันนำไปสู่โศกนาฏกรรมของบลองช์ในที่สุด 
 
คนที่มารับบทเป็นบลองช์นั้นแต่เดิมในบรอดเวย์คือเจสซิกา แทนดี  แต่เมื่อกลายเป็นหนัง ผู้มารับบทกลับเป็นวิเวียน ลีห์  ผู้ที่ทำให้เราทั้งรักปนหมั่นไส้กับสการ์เลตต์ โอ ฮาราในหนังมหากาพย์ "วิมานลอย"หรือ Gone With The Wind ในฉากสุดท้าย ความมุ่งมั่นของเธอที่จะผลิกฟื้นแผ่นดินบ้านเกิดและนำคนรัก (แสดงโดยคลาก เกเบิล) กลับมาสู่อ้อมกอดของเธออีกครั้ง ทำให้คนดูรู้สึกว่าเธอเป็นผู้หญิงที่น่าซบตักที่สุดในโลกเลยทีเดียว แต่ถ้าเห็นเธอในหนังเรื่องรถราง ฯ แล้วจะตกใจ เพราะในวิมานลอย เธออายุ 27แต่ถูกจับแต่งตัวให้อายุเพียง16  แต่ในรถรางฯ นี้เราต้องบวกอายุเข้าไปอีก 10 ปี แม้จะมีเค้าความสวยหลงเหลืออยู่บ้างแต่เครื่องสำอางซึ่งแต่หน้าทำให้ลีห์ดูแก่และโทรมกว่าอายุจริงไม่น้อยพร้อมกับท่าทางอะไรบางอย่างที่ทำให้คนดูรู้ว่าเธอไม่ปกติเหมือนคนทั่วไป ส่วนสแตนลีย์ มีคนมารับบทบาทนี้มากหน้าหลายตา แต่ที่โดดเด่นที่สุดทั้งในละครเวทีและภาพยนตร์คือ มาร์ลอน แบรนด์โด ซึ่งตอนนั้นยังไม่มีใครรู้จักนัก ผู้ชมยุคใหม่จะคุ้นเคยและรู้จักกับแบรนโดตอนแก่โดยเฉพาะบทบาทดอน คารีโอเนใน The Godfather แต่ในรถรางฯ ดูตั้งใจจะให้เป็นหนุ่มโฉดหรือ Bad Guy ที่มีเสน่ห์ทางเพศต่อผู้หญิง ความเถื่อนถ่อยของเขาจะเป็นตัวผลักดันเรื่องให้มีพลังเช่นเดียวกับโศกนาฎกรรมของบลองช์ ส่วนผู้แสดงเด่นรองลงมาอีก 2 คนคือคิม ฮันเตอร์  ผู้แสดงเป็นสแตลลาซึ่งสามารถแสดงความรู้สึกอิหลักอิเหลื่อที่ต้องพบกับความขัดแย้งระหว่างความเป็นน้องสาวและภรรยาได้มีพลังเช่นเดียวกับคาร์ล มาเดน ที่รับบทมิทช์เพื่อนของสแตนลีย์ผู้แสนซื่อที่แตกหลุมรักและพยายามจีบบลองช์ได้อย่างดี
 
รถราง ฯ ได้รางวัลออสการ์แค่ 4 สาขาจากการถูกเสนอชื่อเข้าชิงถึง 12 สาขา 3 รางวัลแรกเป็นดารานำ 3  คน สำหรับแบรนโดน่าจะได้เหมือนกันเพียงแต่ว่าในปีนั้นดาราชายอีกคนที่มีบารมีเหนือเขาอย่างเทียบไม่ติดคือฮัมฟรี โบการ์ด สามารถแสดงบทนักเดินเรือในหนังเรื่อง African Queen ได้อย่างสุดยอดคู่กับคาธอรีน แฮปเบิร์น  ซึ่งเข้าถูกเสนอชื่อเข้าชิงเหมือนกันแต่แพ้วิเวียน ลีห์ไปอย่างน่าเสียดาย รถราง ฯถูกจัดให้เป็น 1 ใน 100 ภาพยนตร์ยอดเยี่ยมในรอบ100 ปีของสมาคมภาพยนตร์อเมริกัน
 
เป็นที่น่าสนใจว่ากฏหมายเซ็นเซอร์ภาพยนตร์ของอเมริกาในทศวรรษที่ 50 อิงอยู่บนแนวคิดอนุรักษ์นิยมและเข้มงวดอย่างยิ่งโดยเฉพาะฉากโป๊เปลือย จึงไม่มีวันให้ผู้แสดงหญิงโชว์เนื้อหนังภายใต้ร่มผ้าจนเกินไป (ยกเว้นตอนใส่ชุดว่ายน้ำ) ผู้แสดงทั้งชายและหญิงต้องจูบแบบแค่เอาปากมาแตะกัน ห้ามท่า French Kiss หรือเอาลิ้นมาพัวพันกันเป็นอันขาด จากนั้นก็เป็นท่าบังคับคือพระเอกกับนางเอกต้องเอาแก้มแนบกัน หากยังจูบกันอยู่และภาพตัดไปก็ให้คนดูคิดเอาเองว่าทั้งคู่ได้กันไปแล้ว น่าสนใจว่าแนวโน้มเช่นนี้ได้รับการเสริมแรงจากองค์กรทางศาสนาโดยเฉพาะของนิกายคาทอลิก และละครไทยก็ดูราวกับลอกกลยุทธ์เช่นนี้มาใช้ไม่ผิดเพี้ยนเพราะหน่วยงานที่ดูและเนื้อหาละครและภาพยนตร์ของไทยก็เป็นอวตารของหน่วยงานในสหรัฐฯ เมื่อเกินครึ่งศตวรรษก่อนมาเป็นแน่  
 
รถราง ฯ นี้จึงได้รับการจงใจสร้างให้เป็นหนังคลุมเครือเพื่อแสดงเรื่องทางเพศไม่ชัดเจนหนักเป็นเชิงท้าทายกรรไกรของแผนกเซนเซอร์ อย่างเช่นหนังทั่วไปอาจจะแค่เน้นทรวดทรงของฝ่ายหญิงภายใต้ร่มผ้าแต่รถรางฯ กลับเน้นมุมมองจากฝ่ายหญิงคือให้บลองช์รู้สึกหวั่นไหวไปกับรูปร่างบึกบึนของสแตนลีย์ในช่วงแรกที่ทั้งคู่พบกัน เข้าใจว่ากฏหมายเซ็นเซอร์คงไม่ได้ใส่ใจกับเรือนร่างของผู้ชายนัก ตามแบบของสังคมที่ผู้ชายเป็นใหญ่ เช่นเดียวกับสเเตลลาถึงแม้จะเกลียดชังสามีในเรื่องความก้าวร้าวของเขาและการปฏิบัติไม่ดีต่อพี่สาวของเธอแต่ดูเหมือนจะถูกพันธนาการโดยเสน่ห์ทางเพศของสามี ส่วนที่ทำให้คนดูในอเมริกายุคนั้นน่าจะตกใจคือพฤติกรรมในอดีตของบลองช์ที่ค่อย ๆ โผล่ออกมา เช่นการสารภาพของเธอต่อมิทช์ ในงานเต้นรำ เธอบอกเขาว่าเธอเคยแต่งงานกับเด็กหนุ่มคนหนึ่งแต่แล้วก็ต่อว่าเขาหลังจากล้มเหลวเรื่องบนเตียงทำให้สามีไปฆ่าตัวตาย หนังไม่ได้บอกชัดเจนว่าทำไมเขาถึงฆ่าตัวตาย แต่ในละครบอกชัดเจนว่า เพราะความกดดันที่ตัวเองเป็นพวกแอบจิต หากเป็นปัจจุบันถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา แต่สังคมเมื่อ 60 ปีที่แล้วของอเมริกาน่าจะมองพวกรักร่วมเพศเป็นพวกาลีบ้านกาลีเมืองอะไรทำนองนั้น
 
แต่ที่ทำให้คนดูตกใจยิ่งกว่าคือการไปเสาะแสวงหาข้อมูลของสแตนลีย์ว่าที่จริงแล้วที่บลองช์ถูกไล่ออกจากอาชีพครูสอนภาษาอังกฤษที่โรงเรียนเพราะไปมีความสัมพันธ์กับเด็กนักเรียนหนุ่มและเธอก็ผันอาชีพไปเป็นโสเภณีโดยมีนิวาสสถานอยู่ในโรงแรมชั้นสอง ส่วนบ้านถูกธนาคารยึด แต่ในหนังตอนที่เธอยอมรับอดีตของตัวเองกับมิทช์ก็ไม่ได้บอกแบบตรงๆ เพียงแต่เป็นเชิงเปรียบเปรยอย่างเช่น
 
Blanche DuBois: Tarantula was the name of it. I stayed at a hotel called the Tarantula Arms. 
 
บลังช์ :ทารันทูลาเป็นชื่อของมัน ฉันอาศัยอยู่ที่โรงแรมชื่อว่า ทารันทูราอาร์มส์
 
Mitch: Tarantula Arms? 
 
มิทช์ : ทารันทูราอาร์มส์ ?
 
Blanche DuBois: Yes, a big spider. That's where I brought my victims. Yes, I've had many meetings with strangers. 
 
บลังช์: ใช่ แมงมุมยักษ์ มันเป็นที่ฉันพาเหยื่อมา ใช่แล้วฉันได้พบกับคนแปลกหน้าหลายต่อหลายครั้ง
 
 
ประโยคสุดท้ายนี้คือตัวอย่างของความยอดเยี่ยมของคาซานผู้กำกับในการนำเอาสัญลักษณ์มาใช้ในหนังมากกว่าจะพูดถึงแบบตรงๆ อันนอกจากจะทำให้หนังสวยงามแล้วยังหลีกเลี่ยงการเซ็นเซอร์ได้ด้วย นอกจากนี้ยังมีสัญลักษณ์อีกมากมายที่หนังนำเสนอเพื่อสื่อแบบตรงไปตรงมาหรือขัดแย้งกันเองเช่นชื่อของบลองช์ที่เป็นภาษาฝรั่งเศสแปลว่าสีขาว ดูจะขัดแย้งกับปมอดีตที่ดำข้นของเธอ และเธอมักจะชอบอยู่ในความมืด อันส่อให้เห็นว่าเธอชอบซ่อนเร้นตัวจากภาพลักษณ์อันเลวร้ายที่เมือง อีกด้วย เช่นเดียวกับชื่อเรื่องที่ว่า A Streetcar Named Desire ซึ่งปกติแล้วเป็นชื่อของรถรางในเมืองนิวออร์ลีนที่บลองช์ในโดยสารไปบ้านน้องสาว แต่ความปรารถนาในที่นี้น่าจะหมายถึงของความรู้สึกของบลองช์เอง จะว่าการที่เธอเป็นโสเภณีก็หาใช่เพราะความยากแค้นเพียงอย่างเดียว หากเกิดจากความปรารถนาของตัวเองที่เกิดจากความเหงาลึกๆ แต่ทางวงการจิตวิทยากลับเรียกว่า Nymphomania (ไม่ใช่ Hysteria อย่างที่คุ้นเคย เพราะโรคนั้นหมายถึงการชักกระตุก หรือตัวสั่นเหมือนกับผีเข้าสิง) พร้อม ๆ กับอาการโรคประสาทที่ลีห์สามารถแสดงได้อย่างดีเยี่ยมนับตั้งแต่ในระดับที่คนทั่วไปสังเกตไม่ชัดเจน แม้แต่สเเตลลาผู้เป็นน้องสาว ซึ่งอาการโรคประสาทนี้จะเป็นเหมือนกับเกราะที่สร้างโลกส่วนตัวให้กับบลองช์หลงละเมอว่าเธอยังเป็นสาวผู้ดีและมีหนุ่มไฮโซมาพัวพันเธออยู่เหมือนเดิม 
 
 
                                 
 
                                          ภาพจาก www.asset1.net
 
 
ต่อมาสถานการณ์ตึงเครียดมากขึ้นเมื่อเธอพบว่าทั้งสแตนลีย์และมิทช์ต่างรู้อดีตของตน โดยเฉพาะมิทช์ถึงกลับปฏิเสธไม่ยอมขอเธอแต่งงานดังที่ตั้งใจไว้แต่แรก และเป็นฟางเส้นสุดท้ายในคืนวันที่สเเตลลาไปคลอดลูก เธอถูกสแตนลีย์ข่มขืน หากเป็นสมัยนี้คงจะมีฉากที่เร้าใจน่าดู (แต่ก็มีม่านหมอกแห่งคุณธรรมบังก้นพระเอกหรือนมนางเอกไว้)แต่ในสมัยนั้น หนังได้ฉลาดในการตัดภาพจากสแตนลีย์กำลังฉุดไม้ฉุดมือเธอไปยังรูปของเธอในกระจกข้างผนังและกระจกที่แตกร้าวอย่างรวดเร็วเป็นสัญลักษณ์ให้เห็นว่า โลกมายาที่เธอเฝ้าทะนุทะนอมได้แตกสลายลงจากน้ำมือของผู้ชายที่เธอเห็นว่าชั้นต่ำ บลองช์จึงเข้าไปสู่โลกแห่งความบ้าอย่างสมบูรณ์เหมือนกับนอร์มา เดสมอนด์ นางเอกในหนังเรื่อง Sunset Boulevard เรื่องจึงจบลงที่สแตนลีย์ให้เจ้าหน้าที่ 2 คนจากโรงพยาบาลบ้ามารับบลองช์ไปรักษา ซึ่งเธอก็ยินยอมโดยดีพร้อมกับพูดประโยคที่แสนจะโด่งดังและบทความได้ยกมาข้างบนสุด นั่นคือเธอจะพึ่งได้กับคนแปลกหน้าเกือบตลอดเวลาที่ผ่านมา ก่อนหน้าก็ เธอก็ใช้ผู้ชายแปลกหน้าในการบรรเทาความเหงาและตอนจบ คนแปลกหน้าก็มาช่วยพาเธออกไปจากกลุ่มคนที่เธอรู้จักแต่ทำให้ร้าวรานใจ ราวกับจะเป็นการพลิกสามัญสำนึกของคนทั่วไปที่เห็นว่าคนรู้จักดีกว่าคนแปลกหน้า 
 
และทุกคนราวกับจะรู้ว่าสแตลีย์ได้ทำอะไรลงไปกับบลองช์ (แม้ในหนัง บลองช์จะไม่ได้บอกก็ตาม)สแตลลาถึงกลับอุ้มลูกหนีขึ้นไปอาศัยอยู่กับเพื่อนบ้านเพื่อเป็นการลงโทษสแตนลีย์ โดยไม่สนใจคำอ้อนวอนของเขาอีกต่อไป จุดนี้จะต้องตรงกันข้ามกับในละครที่สุดท้ายเธอก็กลับมาหาเขาเหมือนเดิมเพราะไม่สามารถขัดขืนความรัก (หรือว่าเซ็กส์ ?) ที่มีต่อสามีไม่ไหว ดังนั้นคำว่า ความปรารถนาจึงรวมไปถึงความต้องการกันและกันของสแตลลาและแสตนลีย์อีกด้วย สามีและภรรยาคู่นี้มักจะมีความสัมพันธ์กันแบบที่เราเห็นกับหลายคู่ คือทั้งสามีจะรุนแรงกับภรรยาสลับกันไปจนโกรธกัน แต่ต่อมาทั้งคู่ก็จะคืนดีกันแบบเหมือนไม่มีอะไรอันเป็นคำตอบว่าทำไมผู้หญิงถึงชอบผู้ชายเลว ๆ อาจเพราะผู้หญิงมีแนวโน้มที่จะมีความสุขในฐานะถูกกระทำหรือ Masochism มากกว่าผู้ชายก็เป็นได้ แต่เพราะกองเซนเซอร์ของอเมริกาซึ่งเคร่งครัดศีลธรรมต้องการให้หนังลงโทษผู้กระทำผิด หนังจึงดูอ่อนลงในเรื่องการสื่อความปรารถนาสุดท้ายที่ละครมี จนรถรางสายปรารถนาจะกลายเป็นรถรางสายคุณธรรมไป
 
ลืมบอกไปว่ารางวัลออสการ์ตัวที่ 4 ซึ่งหนังเรื่องนี้ได้รับคือสาขาการสร้างฉากซึ่งหนังทั้งเรื่องใช้ฉากในสตูดิโอทั้งหมด สิ่งที่พิสูจน์รางวัลนี้ได้อย่างดีคือตอนที่บลองช์เดินทางมาถึงเมืองนิวออร์ลินใหม่ ๆ หนังซึ่งเป็นขาวดำใช้แสงเงาทำให้คนดูรู้สึกว่ามีบางสิ่งบางอย่างที่ชั่วร้ายแต่ยั่วยวนใจกำลังแฝงเร้นอยู่ในเมืองๆ นี้ สิ่งนี้มีพลังยิ่งขึ้นจากดนตรีของอาเล็กซ์ นอร์ท  (ที่ถูกเสนอชื่อเข้าชิงเหมือนกัน) แต่จะว่าจริงๆ แล้วถ้าเทียบหนังเรื่องนี้ก็หนังที่ได้รางวัลออสการ์สาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยม (Best Picture)ในปีเดียวกันคือ หนังเพลง An American in Paris ของ จีน เคลลี ก็ถือว่ากรรมการมีอคติไม่น้อย เพราะจากการได้ดูหนังทั้งสองเรื่องผมรู้สึกว่า รถราง ฯ ยอดเยี่ยมกว่ามาก เพียงแต่ท้ายทายต่อศีลธรรมอันดีงามของสังคมในยุคนั้น คงเหมือนกับใครหลายคนที่ร้องยี้เพราะ Crashแย่งรางวัลสาขานี้ไปจาก Brokeback Mountain ในปี 2005 กระนั้นเราต้องขอบคุณตัวเองที่เกิดมาในยุคดีวีดี ราคาแค่ไม่กี่ร้อย (แต่ต้นทุนไม่เกินสิบบาท) หรือสามารถไปหาจากดูจากเว็บไซต์ต่าง ๆ ไม่ใช่ยุคทศวรรษที่ 50  เพราะนอกจากจะมีการบูรณะฟิล์มเสียใหม่ แล้วผู้ทำดีวีดีได้นำหลายฉากที่เจ้าหน้าที่เซ็นเซอร์ผู้แสนดีในยุคโน้นได้ตัดออกไปกลับมาสู่ที่เดิมอีกครั้ง
 
 

บล็อกของ อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์

อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
 
อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
เข้าใจว่าผลงานของ William Shakespeare ที่คนไทยรู้จักกันดีรองจากเรื่อง Romeo and Julius ก็คือวานิชเวนิส หรือ Merchant of Venice ด้วยเหตุที่ล้นเกล้ารัชกาลที่หกทรงแปลออกมาเป็นหนังสืออ่านนอกเวลาสำหรับเด็กนักเรียนได้อ่านกัน และประโยค ๆ หนึ่งกลายเป็นประโยคยอดฮิตที่ยกย่องดนตรีว่า &nbsp
อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
หากพูดถึงหนังเพลงหรือ musical ที่มีสีสันมากที่สุดเรื่องหนึ่งในทศวรรษที่ห้าสิบและหกสิบ เราก็คงจะนึกถึงเรื่อง West Side Story เป็นเรื่องแรก ๆ อาจจะก่อน Singin' in The Rain หรือ Sound of Music เสียด้วยซ้ำ ด้วยหนังเรื่องนี้มีจุดเด่นคือเพลงทั้งบรรเลงและเพลงร้องที่แสนไพเราะ ฝีมือการกำกับวงของวาทยากรอ
อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
มักเป็นที่เข้าใจว่าอเมริกาเป็นประเทศแห่งความเท่าเทียมกัน อาจด้วยอเมริกานั้นไม่เคยเปลี่ยนผ่านยุคศักดินาเหมือนกับประเทศในเอเชียและยุโรป อเมริกาถึงแม้จะมีชนชั้นกลางมากแต่บรรดาในชนชั้นกลางก็มีการแบ่งแบ่งแยกที่ดีที่สุดคือเงิน รองลงมาก็ได้แก่ฐานะทางสังคม สีผิว เพศ ฯลฯ เอาเข้าจริงๆ ไม่มีสังคมไหนในโลกท
อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
    1.นอยด์ เป็นคำแสลงที่ถือกำเนิดได้มานานหลายปีแล้ว มาจากคำว่า noid กร่อน (โดยคนไทยเอง) จากศัพท์อังกฤษ  paranoid ซึ่งแปลว่า ความวิตกกังวลว่าคนอื่นไม่ชอบหรือพยายามจะทำร้ายตัวเองแม้ว
อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
                                                                                    &
อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
ผีเป็นบุคคลที่เราไม่พึงปรารถนาจะพบ แต่เราชอบนินทาพวกเขาแถมยังพยายามเจอบ่อยเหลือเกินในจอภาพยนตร์ ทั้งที่ก็ไม่รู้ว่ามีตัวตนจริงหรือเปล่า ด้วยส่วนใหญ่ได้ยินกันปากต่อปาก ประสบการณ์ส่วนตัวก็ไม่ชัดเจน อาจเกิดจากความผิดปกติทางประสาทสัมผัส หรือการหลอกตัวเองก็ได้ ยิ่งหนังผีทำได้วิจิตร พิศดารออกมามากเท่า
อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
                 แปลและตัดต่อบางส่วนจากบทความ Gustav Mahler : The Austrian composer เขียนโดยเดรีก วี คุก จาก  www.britannica.com
อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
ทศวรรษที่ 80 ของฝรั่งคือปี 1980-1989  หรือว่าช่วง พ.ศ. 2523  ถึง พ.ศ.
อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
ถึงแม้เบโธเฟน (Ludwig Van Beethoven) จะได้ชื่อว่าเป็น คีตกวีที่แสนเก่งกาจคนหนึ่งในยุคคลาสสิกและโรแมนติก แต่ศิลปะแขนงหนึ่งที่เขาไม่สู้จะถนัดนักคือการเขียนอุปรากร เหมือนกับ โมซาร์ท คาร์ล มาเรีย ฟอน เวเบอร์ หรือ โจอากีโน รอสซีนี  ดังนั้นช่วงชีวิต 50 กว่าปีของเบโธเฟนจึงสามารถสร้างอุปรากรออกมาไ
อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
ตามความจริง คำว่า Godfather เป็นคำที่ดีมาก หมายถึงพ่อทูนหัว ของศาสนาคริสต์ที่หมายถึงใครสักคนหนึ่งยอมรับเป็นพ่อทูนหัวของเด็กซึ่งเป็นลูกของคนอื่นในพิธีศีลจุ่มหรือ Baptism เขาก็จะเป็นผู้ประกันว่าเด็กคนนั้นจะได้รับการศึกษาทางศาสนาและถ้าพ่อแม่ของเด็กคนนั้นตายก็ต้องรับอุปการะ นอกจากนี้ยังหมายถึงฝ่ายห
อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
 visionary ,under the shadow Prayut tries to be the most visionary politician,but he is merely under the shadow of Thacky.&