ตามความจริง คำว่า Godfather เป็นคำที่ดีมาก หมายถึงพ่อทูนหัว ของศาสนาคริสต์ที่หมายถึงใครสักคนหนึ่งยอมรับเป็นพ่อทูนหัวของเด็กซึ่งเป็นลูกของคนอื่นในพิธีศีลจุ่มหรือ Baptism เขาก็จะเป็นผู้ประกันว่าเด็กคนนั้นจะได้รับการศึกษาทางศาสนาและถ้าพ่อแม่ของเด็กคนนั้นตายก็ต้องรับอุปการะ นอกจากนี้ยังหมายถึงฝ่ายหญิงก็ได้คือ Godmother แต่ด้วยอิทธิพลของหนังเรื่องนี้ ความหมายจึงเปลี่ยนเป็นเจ้าพ่อมาเฟีย
ภาพยนตร์เรื่อง The Godfather สมควรอย่างยิ่งที่ได้รับเลือกว่าเป็นภาพยนตร์ที่ดีที่สุดเรื่องหนึ่งของโลก ไปพร้อมๆ กับ ภาคสอง ทุกอย่างสมบูรณ์แบบไม่ว่าการลำดับ ภาพ เนื้อเรื่อง การแสดงที่ยอดเยี่ยมของมาร์ลอน แบรนโดในบทบาทของดอน วีโต คอร์ลีโอเน (ได้รับเลือกจากผู้ชมทั่วโลกว่าเป็นตัวละครที่ทรงอิทธิพลที่สุดของโลกภาพยนตร์ โดยเฉพาะฉากที่นั่งอุ้มแมวเหมียวเหมือน ดร.โนในหนังเจมส์ บอนด์) และอัลปาชิโนกับโรเบิร์ต เดอ นีโรก็ได้แจ้งเกิดกันเต็มๆ จากเรื่องนี้ (เพราะหน้าแบบชาวเกาะซิซีเลี่ยน)จะว่าด้วยบุคลิกส่วนตัวหรืออะไรก็แล้วแต่ ภาพของเจ้าพ่อยังคงติดตัวไปกับ เดอนีโรเพียงคนเดียว จนมาถึงปัจจุบัน
แน่นอนว่าฟรานซิส ฟอร์ด คอปโปลา นอกจากจะได้รับคำชมแล้ว ก็ต้องถูกกล่าวหาว่า Glorify หรือเชิดชูพวกมาเฟียให้เป็นพระเอก โดยที่ในภาคแรกไม่มีการเอ่ยคำว่ามาเฟียแม้แต่คำเดียว คาดว่าน่าจะเพราะคำสั่งของพวกมาเฟีย อย่างไรก็ตาม ในภาคสอง คอปโปลาก็ได้แสดงให้เห็นถึงวิถีอันยิ่งใหญ่ของมาเฟียว่าแท้ที่จริงเปรียบได้กับคนบ้า หรือคนสิ้นหวังที่สร้างกำแพงขึ้นกักขังตัวเองออกจากคนรอบข้างที่ตนรัก (พร้อมกับมีคำว่ามาเฟียโผล่มาด้วย)
นอกจากความสมบูรณ์ในตัวหนังแล้ว เหตุใดหนังเรื่อง The Godfather ภาคหนึ่งและสอง จึงได้รับคำนิยมอย่างมากมาย ? (ภาคสามไม่ต้องไปพูดเพราะออกมหาสมุทรแปรซิฟิกไปโน้น แต่ความจริงก็มีส่วนดีอยู่บ้าง ไม่ว่าแสดงถึงความเก็บกดของไมเคิลจากการฆ่าพี่ชายตัวเอง การพยายามฟอกขาวให้กับตัวเองผ่านกิจกรรมทางศาสนา จนไปถึงการตายของเขาแบบสูงสุดกลับสู่สามัญ)
หลังจากดูหนังเรื่องนี้มาหลายรอบ ผมก็ได้เรียนรู้สัจธรรมอะไรหลายอย่างในชีวิต ที่เด่นชัดที่สุดคือสัญชาติญาณด้านมืดของมนุษย์ที่มุ่งเน้นในการประหัตประหารกันเพื่อที่ตัวเองจะได้ขึ้นเป็นใหญ่ และความไม่ไว้วางใจซึ่งกันและกัน แม้แต่เพื่อนที่กอดคอกันมาด้วยกัน ก็ยังต้องกำจัดเพราะว่าหักหลังกัน (เช่นเทสซิโอซึ่งร่วมมือกับเจ้าพ่ออีกแก๊งค์เพื่อกำจัดไมเคิล แต่โดนเล่นงานเสียก่อน) ในภาคหนึ่งยังไม่มีการฆ่ากันระหว่างพี่กับน้อง แต่มีภาคสองที่พระเอกจำต้องสังหารพี่ชายคือเฟรโด ที่ไม่ได้เรื่องและทรยศน้องของตัวเอง (ถือว่าเป็นฉากการฆ่าที่ค่อนข้างคลาสสิกมากคือให้ลูกน้องฆ่าพี่ชายตอนออกไปตกปลาด้วยกันและไมเคิลดูอยู่ห่างๆ จากบ้านพัก) จะว่าไปแล้ว ไมเคิลไม่ต่างอะไรจาก ฮิตเลอร์หรือสตาลินเลย
แน่นอนว่าคนดูตาดำๆ เช่นเราและสังคมย่อมไม่บูชา สรรเสริญคนชั่วแบบฮิตเลอร์ (ความจริงคนชั่วแบบโจรเสื้อนอกยังมีเยอะแยะไปที่สามารถเป็นฮิตเลอร์ได้) แต่ก็แน่นอนที่ว่าคนดูทั่วไปมีสิทธิ์ว่าตัวเองจะฝันเฟื่องว่าตัวเองเปรียบได้ดังเจ้าพ่อที่สุขุมลุ่มลึกแบบไมเคิลในขณะที่ความเป็นจริงตัวเองเป็นลูกน้องต้องให้เจ้านายด่าเช้าด่าเย็น หรือว่าไปติดต่อหน่วยงานราชการไหนก็ช้าเอื่อยเฉื่อย ไม่ได้รับความยุติธรรมจากสังคม (อย่างเช่นสัปเหร่อที่มาขอความช่วยเหลือจาก คอร์ลีโอเนในตอนต้นเรื่อง) หากมาจินตนาการว่าตัวเองมีอำนาจ สั่งคนโน้นคนนี้ที่เราเหม็นขี้หน้าได้ ก็คงจะดี ดังคำพูดที่ว่า "ข้าจะยื่นข้อเสนอที่แกปฏิเสธไม่ได้" หรือ "แกปฏิเสธข้าได้ครั้งเดียว และข้าจะไม่เซ้าซี้อีก" (เพราะแกจะได้ไปนอนเป็นเพื่อนปลาอยู่ใต้ทะเลโน้น) บรรดานักการเมือง ตำรวจ พ่อค้าใหญ่ (ที่เราทั้งเหม็นขี้หน้าและทึ่งในอำนาจของคนเหล่านั้น) จะมาซุกใต้ปีกของเรา
ฉากที่น่าสะใจคนดูก็คงเป็นตอนที่ไมเคิลเล่าให้แฟนสาวฟังถึงตอนที่พ่อของเขากับลูกน้องไปเล่นงานผู้จัดการที่ไม่ยอมรับ จอห์นนี ฟอนแทนมาเป็นนักร้องในสังกัด โดยจะให้เลือกเอาว่าจะมีลายเซ็นต์รับจอห์นมาเป็นนักร้องหรือว่ามันสมองของเขาอยู่บนกระดาษ (แน่นอนคนที่โกรธหนังเรื่องนี้ที่สุดก็ได้แก่แฟรงค์ ซิเนตรา ที่ ว่ากันว่าเป็นต้นแบบของ จอห์น ซึ่งได้รับการอุปถัมน์ จาก ดอน คอร์ลีโอเน ดังนั้นเมื่อปู่แฟรงค์ได้พบกับพูโซก็ไม่ยอมพูดด้วย) หรือฉากโหด ๆที่ผู้กำกับผู้ไม่ยอมรับจอห์นเป็นดาราต้องพบกับหัวม้าที่แสนจะรักอยู่บนเตียงนอนของตัวเองตอนใกล้รุ่ง ย่อมทำให้ผู้ดูสะใจเพราะได้คิดเล่นๆว่า ถ้าได้ทำเช่นนั้นกับคนที่รู้สึกว่าเรื่องมากด้วย สีหน้าหมอนั้นจะเป็นอย่างไร (ข้าไม่ต้องเซ้าซี้แกแล้ว ใช้ปืนดีกว่า ง่ายดี)
นอกจากนี้ The Godfather ยังมีคุณสมบัติอันสุดแสนน่าประทับใจสำหรับเจ้าพ่อ คือทำให้เจ้าพ่อมีเนื้อหนัง มีอารมณ์ มีความรักเหมือนคนทั่วไป ความน่าเกรงขามของ ดอนวีโต้และความสง่างามของไมเคิลทำให้คนดูประทับใจ ถึงขนาดส่งผลกระทบถึงภาพพจน์ของมาเฟียตัวจริง ว่ากันว่า แต่เดิมไม่เคยจูบมือกันเลย ก็หันมาเลียนแบบหนังบ้าง หรือว่า อิทธิพลที่มีต่อหนังเจ้าพ่อฮ่องกง ซึ่งเราคงจะจำเจ้าพ่อเซี่ยงไฮ้กันได้ ผมเคยอ่านหนังสือและเห็นภาพของเจ้าพ่อเซี่ยงไฮ้ (แก๊งเขียว) ตัวจริงแล้ว หน้าเหมือนกับซีอุยใส่ชุดหรูหรา ดังนั้นอย่าได้ประหลาดใจว่าติงลี่นั้นไซร์คือไมเคิลนั่นเอง นอกจากนี้หนังยังเชิดชูตระกูลคอร์ลีโอเนเช่น ทั้ง วีโตและไมเคิลต่างรักและซื่อสัตย์กับครอบครัว (ตรงกันข้ามกับ เฟรโดที่มีอะไรกับสาวเสิร์ฟพร้อมกันถึงสองคน) ตระกูลนี้ไม่ค้ายาเสพติด แต่เน้นการพนัน (ซึ่งเป็นสิ่งที่ยังพอยอมรับกันได้)ในขณะที่ ตัววีโต้เองดูเป็นคนมีสัจจะ กตัญญูต่อผู้มีพระคุณแต่รู้ทันคน และพัฒนาการอันแสนน่าทึ่งของไมเคิลจาก College boy (เด็กมหา'ลัย) ที่ไร้เดียงสามาเป็นเจ้าพ่อที่ร้ายลึกกว่าพ่อและซานติโนพี่ชายเสียอีก
สิ่งที่พิสูจน์ความร้ายลึกของไมเคิ้ลคือตอนที่เขาร่วมพิธีศีลจุ่มในโบสถ์เพื่อรับเป็น godfather ของหลานชาย สลับไปพร้อมๆ กับการเข่นฆ่าพวก 5 ตระกูล ทำให้ภาพดูขัดแย้งกัน อย่างมีเสน่ห์ เมื่อบาทหลวงถามเขาว่า "Do you renounce Satan ?" (ท่านไม่ยุ่งเกี่ยวกับซาตานใช่ไหม) และไมเคิลตอบยอมรับด้วยสีหน้าเรียบๆ ไปพร้อมกับมือปืนของเขาเข่นฆ่าฝ่ายตรงกันข้ามอย่างเมามัน กลายเป็นแรงบันดาลใจให้หนังจำนวนนับไม่ถ้วนต้องเลียนแบบ
สำหรับหนังไทยดูเหมือนไม่ค่อยเลียนแบบเท่าไร ผู้ร้ายในหนังไทยตั้งแต่สมัยรัชกาลที่เจ็ดจนไปถึงทศวรรษที่สิบและ ยี่สิบ เจ้าพ่อก็จะเป็นไทยแท้ หัวเราะอย่างไม่มีเหตุผล ชอบเตะลูกน้องและฆ่าคนเล่นสามเวลาหลังอาหาร จะมาเหมือน The Godfather บ้างก็หนังเรื่อง อุบัติโหดที่มีลิขิต เอกมงคลกุล และหนุ่มเสกเล่น เจ้าพ่อดูคลาสสิกและสมจริงดีหรือไม่ก็ละครช่องเจ็ดเรื่องสารวัตรใหญ่ ที่เจ้าพ่อเหมือนจะลอกมาจาก The Godfather ภาคสองมาเลย
สิ่งสำคัญที่สุดของหนังอีกอย่างหนึ่งคือเพลงประกอบของนีโน โรตา ซึ่งดูจะมีมิติที่ลุ่มลึกมากทำให้คนดูรู้สึกถึงความอลังการ ความลึกลับและความเศร้าสร้อยได้ในธีม ๆเดียวกัน
ชู้รักเก่าของซัดดัม ฮุซเซนอดีตจอมเผด็จการของอิรัก เปิดเผยว่าถึงแม้ซัดดัมจะเกลียดอเมริกา (โดยเฉพาะตอนบุชเป็นประธานาธิบดี)แต่เขาก็ชอบของอเมริกัน ซึ่งหนึ่งในนั้นคือ The Godfather (คิดว่าทั้งสองภาค) เพราะคอร์ลีโอเนมีชีวิตเหมือนกับเขานั่นคือทั้งคู่ขึ้นมาเป็นใหญ่โดยมีอดีตที่เท่ากับศูนย์ แต่ซัมดัมอาจจะลืมบอกไปว่า เพราะทั้งคู่ต่างขึ้นเป็นใหญ่โดยปีนหัวกระโหลกคนด้วย
บล็อกของ อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
ถือได้ว่า It's A Wonderful Life เป็นภาพยนตร์ที่อเมริกันชนแสนจะรักใคร่มากที่สุดเรื่องหนึ่งในประวัติศาสตร์ก็ว่าได้นอกจากจะเป็นแรงบันดาลใจสำหรับหนังชีวิตในยุคหลังมากมายหลายเรื่องแล้ว ภาพยนตร์ขาวดำเรื่องนี้ยังถูกนำมาฉายทางโทรทัศน์ในช่วงคริสต์มาสของทุกปีในอเมริกา คอหนังอเมริกันมักจะเอยชื่อหนังเรื่อง
อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
ผลพวงแห่งความคับแค้นหรือ The Grapes of Wrath เป็นเรื่องเกี่ยวกับครอบครัวโจดส์ที่อาศัยอยู่ใน รัฐโอกลาโอมา พวกเขาเป็นหนึ่งในหลาย ๆ หมื่นครอบครัวของชนชั้นระดับรากหญ้าของอเมริกาที่ต้องพบกับความยากลำบากของชีวิตในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจ (Great Depression) ในทศวรรษที่ 30 ซึ่งสหรัฐฯเป็นต้นกำเนิดนั้นเอง  
อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
เคยสังเกตไหมว่าพวกที่เป็นเซเลบและพวกที่ไม่ได้เป็นเซเลบแต่อยากจะเป็นเซเลบ มักจะหันมาใช้อาวุธชนิดหนึ่งในการโฆษณาสร้างภาพตัวเองซึ่งดูเหมือนจะได้ผลไม่น้อยไปกว่าให้หน้าม้ามาโผล่ตามเว็บไซต์ต่างๆ หรือเสนอหน้าผ่านเกมโชว์หรือรายการทั้งหลายในโทรทัศน์ก็คือหนังสือนั้นเอง หนังสือที่ว่ามักจะเป็นเรื่องเ
อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
บทความเกี่ยวกับภาพยนตร์เรื่องนี้แปลมาจากบทความของโรเจอร์ อีเบิร์ต ที่เขียนขึ้นในเวบ Rogerebert.com เมื่อวันที่ 25 กรกฏาคม ปี ค.ศ.
อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
1."วันข้างหน้า ถ้าไม่มีมาตรา 44 ไม่มีคสช.เราจะอยู่กันอย่างไร"
อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
from A to Z , rest of one's life If the officers want to inspect Dhammakay temple from A to Z , they must spend the rest of their lives.
อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
ต่อไปนี้เป็นเคล็ดลับของหมอดูที่ผมรวบรวมมาจากการประสบพบเองบ้าง (ในชีวิตนี้ก็ผ่านการดูหมอมาเยอะ) จากการสังเกตการณ์และนำมาครุ่นคิดเองบ้าง ซึ่งก็ไม่ได้หมายความถึงหมอดูทุกคน เพราะคงมีจำนวนไม่น้อยที่มีฝีมือจริงๆ กระนั้นผมเห็นว่าไม่ว่าเก่งหรือไม่เก่ง พวกเขาหรือเธอต้องใช้เคล็ดลับ
อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
หากพูดถึงหนังเรื่อง Lolita ไม่ว่าเวอร์ชั่นไหนแล้วคำ ๆ แรกที่ทุกคนนึกถึงก็คือ Paedophilia หรือโรคจิตที่คนไข้หลงรักและต้องการมีเพศสัมพันธ์กับเด็กที่อายุน้อย ๆ สาเหตุที่ถูกตีตราว่าโรคจิตแบบนี้เพราะสังคมถือว่ามนุษย์จะสามารถมีเพศสัมพันธ์ได้เมื่อมีอายุที่สมควรเท่านั้น และสำคัญที่มันผิดทั้งกฏหมายและศี
อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
1.Blade Runner (1982) สุดยอดหนังไซไฟที่มองโลกอนาคตแบบ Dystopia นั่นคือเต็มไปด้วยความมืดดำและความเสื่อมโทรม ถึงแม้บางคนอาจจะผิดหวังในตอนจบ(แต่นั่นเป็นไปตามวัตถุประสงค์ของหนัง) แต่ด้วยฝีมือ Ridley Scott ที่สร้างมาจากงานเขียนของ Philip K.Dick ทำให้
อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
มีการถกเถียงกันทางญาณวิทยาซึ่งเป็นสาขาหนึ่งของปรัชญามาเป็นพัน ๆ ปีว่าความจริง (Truth) แท้จริงเป็นอย่างไร แล้วเราจะสามารถรู้หรือเข้าสู่ความจริงได้หรือไม่ แน่นอนว่าผู้อ่านย่อมสามารถโต้ตอบผู้เขียนได้ว่าความจริงที่เรากำลังสัมผัสอยู่ขณะนี้เช่นหูได้ยินหรือจ
อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
จำได้ว่าตั้งแต่เกิดมาเป็นตัวเป็นตน ภาพยนตร์ที่สร้างความเพลิดเพลินและความชื่นอกชื่นใจให้แก่ผมมากที่สุดเรื่องหนึ่งก็คือหนังเรื่อง "มนตร์รักลูกทุ่ง" ของสยามประเทศนี่เอง เคยดูเป็นเวอร์ชั่นโรงใหญ่จากโทรทัศน์ก็ตอนเด็ก ๆ ความจำก็เลือนลางไป เมื่อเข้าเรี
อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
อาคิระ คุโรซาวาเป็นผู้กำกับญี่ปุ่นชื่อเสียงโด่งดังที่สุดคนหนึ่งของโลก ด้วยความยิ่งใหญ่จนถึงระดับคลาสสิกของภาพยนตร์ที่เขาสร้างหลายสิบเรื่องทำให้มีผู้ยกย่องเขาว่าเหมือนกับจักรพรรดิหรือแห่งวงการภาพยนตร์ไม่ว่าญี่ปุ่นหรือแม้แต่ระดับนานาชาติคู่ไปกับสแตนลีย์ คิวบริก อัลเฟรด