Skip to main content
หากพูดถึงหนังเพลงหรือ musical ที่มีสีสันมากที่สุดเรื่องหนึ่งในทศวรรษที่ห้าสิบและหกสิบ เราก็คงจะนึกถึงเรื่อง West Side Story เป็นเรื่องแรก ๆ อาจจะก่อน Singin' in The Rain หรือ Sound of Music เสียด้วยซ้ำ ด้วยหนังเรื่องนี้มีจุดเด่นคือเพลงทั้งบรรเลงและเพลงร้องที่แสนไพเราะ ฝีมือการกำกับวงของวาทยากรอันดับหนึ่งของอเมริกาและเป็นอันดับสองตลอดกาลของโลก รองแค่เฮอร์เบิร์ต ฟอน คารายาน ท่านผู้นั้นก็คือลีโอนาร์ด เบอร์สไตน์ ส่วนคนเขียนบทคืออาร์เทอร์ เลอเรนท์ส และคนแต่งเนื้อร้องก็คือสตีเวน ซาวน์ไฮม์ แน่นอนว่ามันสร้างมาจากละครเวที ที่มีชื่อเสียงมากเรื่องหนึ่งและยังถูกนำมาแสดงจนถึงทุกวันนี้ นับอายุตั้งแต่ละครเรื่องนี้ถูกนำออกมาแสดงเป็นครั้งแรกที่วินเทอร์การ์เดนเทียเตอร์  เมื่อ 26 กันยายน ปี 1957 ก็ถือได้ว่ามีอายุเกินครึ่งศตวรรษ ผู้กำกับละครเวทีมีนามว่าเรโรเม รอบบินส์ และก็ได้มากำกับร่วมกับโรเบิร์ต ไวส์ (ผู้กำกับ หนังเรื่อง Sound of Music) เมื่อถูกสร้างเป็นหนังและออกฉายในปี 1961 ก็โกยเงินได้จำนวนสูงสุดแห่งปีเลยทีเดียว แถมยังได้รางวัลออสก้าไปถึงสิบสาขารวมไปถึงสาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยมจากการถูกเสนอเข้าชิงสิบเอ็ดสาขา ปัจจุบันถูกจัดโดยสมาคมภาพยนตร์อเมริกาให้เป็นหนึ่งในร้อยภาพยนตร์ยอดเยี่ยมในรอบหนึ่งร้อยปี และหากเป็นเฉพาะประเภทของภาพยนตร์เพลงก็จะอยู่ลำดับสาม
 
                            
                                        (ภาพจาก www. Amazon.com)
 
West Side Story มีพล็อตเรื่องที่ได้รับอิทธิพลจากบทละครนามอุโฆษของวิลเลียม เช็คสเปียร์  คือ Romeo and Juliet แต่ในหนังเรื่องนี้มีฉากคือแหล่งเสื่อมโทรมของกรุงนิวยอร์ก เป็นเรื่องราวของความขัดแย้งระหว่างแก๊งค์วัยรุ่นสองกลุ่มที่มีเชื้อชาติต่างกันนั้นคือ แก๊งเจต ซึ่งเป็นคนอเมริกัน และแก๊งชาร์ก ซึ่งมีเชื้อสายปอร์โตริโก ทั้งสองกลุ่มนี้มีการทะเลาะวิวาทกันอยู่บ่อยครั้ง แต่เป็นการทะเลาะกันแบบละครเวทีคือเต้นสไตล์โมเดิร์นแดนซ์ เวลาปะทะกันเหมือนกับเต้นประสานด้วยกัน ดูไม่น่ากลัวเลย เข้าใจว่าคงมีอิทธิพลต่อหนังเพลงและละครเพลงของไทยในช่วงทศวรรษที่ยี่สิบอย่างมากมาย กระนั้นนายตำรวจ (คนที่แสดงเป็นจิตแพทย์ในหนังเรื่อง Psycho) พยายามเข้ามาแทรกแซงเพื่อไม่ให้ทั้งสองแก๊งค์ประพฤติตนนอกลู่นอกทาง แต่ก็ไร้ผล หนังให้เขาเป็นตัวแทนของอำนาจรัฐที่พยายามสร้างอิทธิพลเหนือวัยรุ่นหัวขบถ
 
 
ต่อมาหัวหน้ากลุ่มเจ็ตที่ชื่อริฟฟ์ ก็คิดจะต่อสู้กันให้แตกหักกันไปข้างเลยไปชวนเพื่อนรักของเขาคือ โทนี มาร่วมแก๊งค์อีกครั้ง โทนีเคยร่วมกับเขาในการตั้งกลุ่มเจ็ตขึ้นมา แต่ปัจจุบันวางมือไปทำงานเป็นลูกจ้างของร้านอาหารแห่งหนึ่ง ด้วยความเป็นพระเอ๊กพระเอก โทนี่ก็ปฏิเสธเพราะเป็นคนรักสงบไปเสียแล้ว แต่โทนี่ก็ไปร่วมกับงานเต้นรำที่มีทั้งสองแก๊งค์เข้าร่วมเพื่อหวังจะให้ทั้งสองกลุ่มเกิดความสมานฉันท์ ณ ที่นั่นเขาได้ตกหลุมรักมาเรีย  น้องสาวคนสวยของเบอร์นาโด หัวหน้าแก๊งชาร์คแน่นอนว่าย่อมเหมือนกับโรมีโอและจูเลียต ที่มาเรียเองก็ไม่อาจถอนสายตาจากชายหนุ่มรูปหล่อได้เช่นกัน ความรักของทั้งคู่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและต้องพบกับอุปสรรค์อันใหญ่หลวงคือความเกลีดชังระหว่างสองฝ่าย โทนี่จะทำอย่างไรเพื่อให้เกิดสันติภาพขึ้นเพื่อที่เขาจะได้สมหวังในความรัก หากใครรู้เกี่ยวกับพล็อตเรื่องของโรมิโอและจูเลียตแล้วอย่าเพิ่งคิดว่าทั้งสองเรื่องจะเหมือนกันเสียทีเดียวกระนั้นในตอนจบก็เต็มไปด้วยโศกนาฏกรรมอันแสนเศร้าไม่แพ้กับละครของเช็กส์เปียร์เลยทีเดียว
 
West Side Story ถือได้ว่ามีอิทธิพลต่อละครเพลงยุคใหม่ของอเมริกาเป็นยิ่งนักจากเดิมที่ละครเพลงส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องเกี่ยวกับรัก ๆใคร่ ๆ หรือความสัมพันธ์ในครอบครัวหรือเรื่องตลก หนังเรื่องนี้กลับด้วยการนำเสนอด้านมืดของสังคมอเมริกันที่อุดมไปด้วยเชื้อชาติต่าง ๆ (ดังที่เขาเรียกว่า Melting pot นั้นแล) ที่สำคัญคือปัญหาของวัยรุ่นในช่วงปลายทศวรรษที่ห้าสิบที่เกิดจากทางบ้านที่ยากจนและขาดความรักความเข้าใจจากพ่อแม่ของตนจนต้องออกมารวมตัวกันเป็นแก๊งค์เพื่อก่อความวุ่นวายให้กับชาวบ้านแถวนั้น แน่นอนว่าเนื้อหาของเพลงย่อมมีหลายๆ ส่วนค่อนข้างจะแรงและใช้คำทางเพศแบบโจ๋งครึม แต่เมื่อมาทำเป็นหนัง ด้วยระเบียบอันเข้มงวดของฮอลลี่วู๊ดหรือ Hollywood Production Code ผู้สร้างต้องเหนื่อยต่อการเปลี่ยนคำใหม่ให้ดูสุภาพยิ่งขึ้น จะได้ผ่านเซนเซอร์ แต่เพลงของหนังเรื่องนี้หลายเพลงก็ได้รับความนิยมและถูกนำไปดัดแปลงเสียใหม่จากคนรุ่นหลังอย่างเช่นเพลงโหมร้องหรือ Overture ซึ่งหนังเพลงในสมัยก่อนจะมีกันทุกเรื่องพร้อมกับฉากเบลอๆ ที่เปลี่ยนสีไปเรื่อย ๆ เมื่อดูได้สักพักก็รู้ว่าเป็นภาพวาดแบบยุคใหม่ของทัศนียภาพกรุงนิวยอร์ก นอกจากนี้หนังเพลงยุคเก่ายังมีพักช่วงกลางนั้นคือไม่มีภาพมีแต่เสียงเพลงดังที่เรียกว่า Intermission สำหรับเพลงที่ไพเราะมากคือเพลง America ซึ่งเป็นการร้องหมู่ระหว่างหนุ่มสาวชาวปอร์โตริโก ซึ่งมีเนื้อหาในการเชิดชูสังคมอันอุดมไปด้วยวัตถุของอเมริกา ซึ่งเพลงๆ นี้ถูกวิจารณ์ว่าออกไปแนวเหยียดสีผิวโดยให้พวกปอร์โตริโก้ดูกระจอกงอกง่อยเมื่ออพยพมาอยู่อเมริกา 
 
 
เพลงที่ถือได้ว่าดังที่สุดของเรื่องคือ Tonight ซึ่งเป็นการร้องคู่กันอย่างแสนหวานระหว่างโทนีและมาเรีย ตอนที่โทนี่แอบปีนบันไดหนีไฟไปหามาเรียที่อาพาตเมนท์หลังจากที่ทั้งคู่ปึ๊งกันในงานเต้นรำที่มีเนื้อร้อง (และ เพลงนี้ก็ถูกดัดแปลงไปเป็นอีกเวอร์ชั่นหนึ่งสำหรับร้องหมู่กันอย่างสนุกสนานในขณะที่ทั้งสองแก๊งค์กำลังจะปะทะกัน)หรือเพลงคร่ำครวญของโทนีต่อมาเรียคือ Maria ก็ไพเราะไม่แพ้กัน เพลงที่จังหวะสนุกสานเช่น I Feel pretty ตอนที่มาเรียร้องบรรยายความสุขที่เกิดจากการอยู่ในห้วงรักให้เพื่อน ๆที่ทำงานตัดผ้าด้วยกันฟังก็ได้รับความนิยมไม่น้อย หนังเรื่อง Anger Management ก็หยิบยืมเพลงนี้โดยให้จิตแพทย์ที่แสดงโดยแจ๊ค นิโคลสันเอามาสอนให้อดัมแซนเดอร์ร้องขณะขับรถยนตร์บนสะพานข้ามแม่น้ำเพื่อให้ใจเย็น ๆ อย่างไรก็ตามเพลงที่น่าจะอื้อฉาวที่สุดของเรื่องก็คือ Gee, Officer Krupke คือตอนที่พวกเจ็ตมามั่วสุ่มกันและโดนตำรวจหาเรื่องจากนั้นพวกเขาก็ร้องเพลงหมู่ประชดเสียดสีครอบครัวของตัวเองและผู้ทรงเกียรติในสังคมที่พยายามจัดระเบียบพวกเขาไม่ว่าตำรวจ, ศาล ,นักวิชาการ หรือนักสังคมสงเคราะห์กันอย่างสนุกสนานซึ่งสามารถสะท้อนสังคมของคนระดับล่างในอเมริกาสมัยนั้นได้แบบแสบๆ คันๆ (นอกจากนี้ดูหนังเรื่องนี้แล้วทำให้รู้ว่าในสังคมยุคหกสิบได้มี "ทอม"กับเขาด้วย เธอเป็นผู้หญิงที่ตัดผมสั้น ห้าว ๆ และต้องการจะเข้ารวมกลุ่มกับพวกเจ๊ตแต่ได้รับการปฏิเสธในตอนท้ายๆ กลับมีบทบาทสำคัญขึ้นมาต่อตัวโทนี)
 
                        
                                      ภาพจาก www.a.ltrbxd.com
 
เมื่อเอาละครเพลงเรื่องนี้มาทำเป็นหนังแล้ว ผู้กำกับจึงจำเป็นต้องหานักแสดงใหม่เนื่องจากนักแสดงบรอดเวย์ดูขึ้นไม่ขึ้นกล้องและอายุมากโขแล้ว อีกทั้งหนังเพลงในยุคนั้นนิยมให้นักแสดงลิปซิ้งค์จากเสียงร้องของนักร้องอาชีพ จึงทำให้ผู้กำกับหาดาราแบบไม่ต้องสนใจว่าคนนั้นจะมีเสียงร้องอย่างไร และไม่น่าเชื่อว่านักแสดงที่ไวส์ผู้กำกับมุ่งมั่นเหลือเกินคือเอลวิส เพรสเลย์ ราชาร็อค เอน โรลล์นั้นเอง โดยที่เจ้าตัวก็กระตือลือล้นอยากจะแสดงด้วย แต่ติดอยู่ที่ผู้จัดการส่วนตัวคือผู้พันปาร์คเกอร์ ที่ไม่ยอมให้แสดงจึงต้องอดไป สุดท้ายก็ได้นักแสดงที่ไม่ดังนักอย่างเช่นริชาร์ด เบย์เมอร์  ถึงแม้จะอายุมากเกินไปสำหรับบทโทนี่แต่อาศัยหน้าเด็ก ส่วนมาเรียนั้นไวส์ก็เล็งหาดาราสาวมากมายอีกเช่นกัน ซึ่งหนึ่งในนั้นก็ได้แก่ดาวจรัสแสงที่ชื่อออเดรย์ เฮบเบิร์น แต่เธอปฏิเสธไปเพราะกำลังตั้งครรภ์อยู่พอดี นึกภาพไม่ออกว่าถ้า เอลวิสได้ร้องและแสดงคู่กับเฮฟเบิร์นว่าหนังจะเป็นอย่างไร ? อาจจะยิ่งใหญ่กว่านี้หรือว่าอาจจะดูด้อยไปมาก เพราะโดนบารมีของนักร้องและดาราคู่นี้กลบทับเอาเสียหมด ท้ายสุดไวส์ก็ได้นาตาลี วูดผู้มีชื่อเสียงจากหนังเรื่อง Rebel Without A Cause ทั้งคู่สามารถแสดงรับส่งกันได้ดีแต่ไม่ดีพอที่จะได้รางวัลออสการ์ และยังถูกเบียดบังโดยตัวประกอบคนอื่น ๆ คือเพื่อนวัยรุ่นทั้งสองแก๊งที่แสดงได้อย่างยอดเยี่ยม และกลับเป็นผู้แสดงเป็นเบอร์นาโด (จอร์จ ชากิริส) และแอนนิตา (ริตา โมเรโน) ที่ได้รางวัลออสการ์สาขาดาราสมทบชายหญิงไป ที่น่าสังเกตว่าทุกคนยังเเก่งในเรื่องกายกรรมเป็นอย่างน้อยเพื่อที่จะได้ห้อยโหนบนรั้วไวส์ถึงกลับลงทุนให้ทั้งผู้แสดงของทั้งสองแก๊งค์ยั่วโทสะกันแม้จะไม่ได้อยู่ในช่วงถ่ายทำเพื่อให้เกิดความตึงเครียดต่อกันและเกิดความสมจริงสมจัง
 
ในปี 1984  เบอร์สไตน์ นำเอาดนตรีของหนังเรื่องนี้มาเรียบเรียงเสียงใหม่ให้อยู่ในรูปแบบอุปรากรโดยให้นักร้องโอเปร่าเสียงทั้งเทนเนอร์และโซฟราโนชื่อดังมาร้อง เช่นให้ โฮเซ คาร์เรรัส  มาร้องส่วนของโทนีและคิริ เต คานาวา  มาร้องส่วนของมาเรีย เป็นต้น อัลบั้มนี้ได้รางวัลแกรมมี่ในปี 1985 นอกจากนี้ยังถ่ายทำเป็นวีดีโอตอนที่ทั้งหมดกำลังฝึกซ้อมและบันทึกเสียงด้วย หากใครได้ยินจะรู้สึกว่าเสียงมีความลึกและพริ้วไหวกว่าเวอร์ชั่นของละครเวทีหรือหนังมาก นับได้ว่าเป็นอุปรากรฉบับอเมริกันเลยก็ว่าได้
 

บล็อกของ อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์

อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
ผลพวงแห่งความคับแค้นหรือ The Grapes of Wrath เป็นเรื่องเกี่ยวกับครอบครัวโจดส์ที่อาศัยอยู่ใน รัฐโอกลาโอมา พวกเขาเป็นหนึ่งในหลาย ๆ หมื่นครอบครัวของชนชั้นระดับรากหญ้าของอเมริกาที่ต้องพบกับความยากลำบากของชีวิตในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจ (Great Depression) ในทศวรรษที่ 30 ซึ่งสหรัฐฯเป็นต้นกำเนิดนั้นเอง &nbsp
อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
เคยสังเกตไหมว่าพวกที่เป็นเซเลบและพวกที่ไม่ได้เป็นเซเลบแต่อยากจะเป็นเซเลบ  มักจะหันมาใช้อาวุธชนิดหนึ่งในการโฆษณาสร้างภาพตัวเองซึ่งดูเหมือนจะได้ผลไม่น้อยไปกว่าให้หน้าม้ามาโผล่ตามเว็บไซต์ต่างๆ หรือเสนอหน้าผ่านเกมโชว์หรือรายการทั้งหลายในโทรทัศน์ก็คือหนังสือนั้นเอง หนังสือที่ว่ามักจะเป็นเรื่องเ
อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
บทความเกี่ยวกับภาพยนตร์เรื่องนี้แปลมาจากบทความของโรเจอร์ อีเบิร์ต ที่เขียนขึ้นในเวบ Rogerebert.com เมื่อวันที่ 25 กรกฏาคม ปี ค.ศ.
อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
1."วันข้างหน้า ถ้าไม่มีมาตรา 44  ไม่มีคสช.เราจะอยู่กันอย่างไร"
อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
from A to Z , rest of one's life If the officers want to inspect  Dhammakay temple from A to Z , they must spend the rest of their lives.
อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
 ต่อไปนี้เป็นเคล็ดลับของหมอดูที่ผมรวบรวมมาจากการประสบพบเองบ้าง (ในชีวิตนี้ก็ผ่านการดูหมอมาเยอะ) จากการสังเกตการณ์และนำมาครุ่นคิดเองบ้าง ซึ่งก็ไม่ได้หมายความถึงหมอดูทุกคน เพราะคงมีจำนวนไม่น้อยที่มีฝีมือจริงๆ  กระนั้นผมเห็นว่าไม่ว่าเก่งหรือไม่เก่ง พวกเขาหรือเธอต้องใช้เคล็ดลับ
อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
หากพูดถึงหนังเรื่อง Lolita ไม่ว่าเวอร์ชั่นไหนแล้วคำ ๆ แรกที่ทุกคนนึกถึงก็คือ Paedophilia หรือโรคจิตที่คนไข้หลงรักและต้องการมีเพศสัมพันธ์กับเด็กที่อายุน้อย ๆ สาเหตุที่ถูกตีตราว่าโรคจิตแบบนี้เพราะสังคมถือว่ามนุษย์จะสามารถมีเพศสัมพันธ์ได้เมื่อมีอายุที่สมควรเท่านั้น และสำคัญที่มันผิดทั้งกฏหมายและศี
อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
1.Blade Runner (1982)  สุดยอดหนังไซไฟที่มองโลกอนาคตแบบ Dystopia นั่นคือเต็มไปด้วยความมืดดำและความเสื่อมโทรม ถึงแม้บางคนอาจจะผิดหวังในตอนจบ(แต่นั่นเป็นไปตามวัตถุประสงค์ของหนัง) แต่ด้วยฝีมือ Ridley Scott ที่สร้างมาจากงานเขียนของ Philip K.Dick ทำให้
อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
มีการถกเถียงกันทางญาณวิทยาซึ่งเป็นสาขาหนึ่งของปรัชญามาเป็นพัน ๆ ปีว่าความจริง (Truth) แท้จริงเป็นอย่างไร แล้วเราจะสามารถรู้หรือเข้าสู่ความจริงได้หรือไม่ แน่นอนว่าผู้อ่านย่อมสามารถโต้ตอบผู้เขียนได้ว่าความจริงที่เรากำลังสัมผัสอยู่ขณะนี้เช่นหูได้ยินหรือจ
อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
จำได้ว่าตั้งแต่เกิดมาเป็นตัวเป็นตน ภาพยนตร์ที่สร้างความเพลิดเพลินและความชื่นอกชื่นใจให้แก่ผมมากที่สุดเรื่องหนึ่งก็คือหนังเรื่อง "มนตร์รักลูกทุ่ง" ของสยามประเทศนี่เอง เคยดูเป็นเวอร์ชั่นโรงใหญ่จากโทรทัศน์ก็ตอนเด็ก ๆ ความจำก็เลือนลางไป เมื่อเข้าเรี
อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
อาคิระ คุโรซาวาเป็นผู้กำกับญี่ปุ่นชื่อเสียงโด่งดังที่สุดคนหนึ่งของโลก ด้วยความยิ่งใหญ่จนถึงระดับคลาสสิกของภาพยนตร์ที่เขาสร้างหลายสิบเรื่องทำให้มีผู้ยกย่องเขาว่าเหมือนกับจักรพรรดิหรือแห่งวงการภาพยนตร์ไม่ว่าญี่ปุ่นหรือแม้แต่ระดับนานาชาติคู่ไปกับสแตนลีย์ คิวบริก อัลเฟรด
อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
หากมีใครถามว่าถ้า จู่ๆ โลกนี้ หนังสือจะหายไปหมด แต่ผมสามารถเลือกหนังสือไว้เป็นส่วนตัวได้เพียงเล่มเดียว จะให้เลือกของใคร ผมก็จะตอบว่าหนังสือ "จันทร์เสี้ยว" หรือ  Crescent Moon ของท่านรพินทรนาถ ฐากูร กวีและนักปราชญ์ชาวอินเดียผู้ได้รับรางวัลโนเบลสาขาวรรณกรรม ในปี 1913  และหนังสือเล่มนี้ก