Skip to main content

 

(Atticus told me that)... it was a sin to kill a mockingbird. Well, I reckon because mockingbirds don't do anything but make music for us to enjoy. They don't eat people's gardens, don't nest in the corncrib, they don't do one thing but just sing their hearts out for us. 

Jean Louise Finch 


ปัญหาการเหยียดสีผิวหรือ Racism เป็นโรคเรื้อรังของสังคมอเมริกันมาตั้งแต่ก่อตั้งประเทศได้แล้วกระมัง ชาวแอฟริกันหลายล้านคนถูกพวกยุโรปจับไปเป็นทาสและนำไปรับใช้ชาวอาณานิคมอเมริกาเมื่อหลายร้อยปีก่อน เมื่ออเมริกาประกาศตัวเป็นเอกราชจากอังกฤษเมื่อปี 1776 และชูธงเรื่องเสรีภาพกับสิทธิครอบครองทรัพย์สินอันเท่าเทียมกันของมนุษยชาติ ดูเหมือนคนผิวดำจะไม่ได้การเหลียวแลเพราะบรรดานักการเมืองทั้งหลายที่ได้ชื่อว่าเป็นบิดาแห่งสหรัฐฯ ต่างครอบครองทาสไว้เป็นของตัวเองคนละมาก ๆ เหมือนกัน จนเมื่ออับลาฮัม ลินคอร์น  ประธานาธิบดีคนที่ 16 ได้ประกาศเลิกทาสอันเป็นสาเหตุไปสู่สงครามกลางเมือง (1861–1865) คนผิวดำกลายเป็นเสรีชนแต่ชีวิตความเป็นอยู่ยังแร้นแค้นและอันตรายเหมือนเดิม ที่ว่าอันตรายนั้นคือเกิดขบวนการคนขาวผยอง (White Supremacy) ที่ชื่อว่า Klu Klux Klan พวกนี้มีเป้าหมายคือการปองร้ายคนผิวดำเป็นพิเศษ ภาพยนตร์แสนอื้อฉาวที่ได้ชื่อว่าเชิดชูหน้าชูตาคนเหล่านี้ก็คือ Birth of A Nation (1915)ของ D. W. Griffith ได้สร้างความประทับใจให้กับพวกคนขาวผยองด้วยฉากคนขาวจับคนผิวดำที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นภัยต่อสังคมไปแขวนคอ

จนต้องรอมาถึงทศวรรษที่ห้าสิบนี่เองที่เกิดขบวนการต่อสู้เพื่อสิทธิมนุษยชนของคนผิวดำที่นำโดยสาธุคุณ Martin Luther King จนประธานาธิบดี Lyndon B.Johnson ประธานาธิบดีของอเมริกาในช่วงกลางทศวรรษที่หกสิบต้องลงนาม ในกฏหมาย Civil Rights Act of 1964 ที่ยุติกิจกรรมการแบ่งแย่งสีผิวทั้งหมดเช่นอนุญาตให้คนผิวดำสามารถเรียนในมหาวิทยาลัยเดียวกับคนผิวขาวได้ กระนั้น คนผิวดำก็ยังเป็นพลเมืองชั้นสองอยู่ดี คนผิวดำจำนวนมากยังอยู่ในแหล่งเสื่อมโทรมที่เต็มไปด้วยอาชญากรรม การศึกษาและรายได้โดยเฉลี่ยก็ต่ำกว่ามาตรฐาน นักการเมืองตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันก็สัญญากับคนผิวดำแบบลมๆ แล้งๆ เพื่อป้อยอขอคะแนนเสียง ส่วนหนังฮอลลี่วูดก็สมมติให้คนผิวดำเป็นโน้นเป็นนี่ มีตำแหน่งใหญ่โตในรัฐบาล เพื่อดึงดูดให้คนเข้าชมภาพยนตร์ของตน ทั้งที่โอกาสคนผิวดำจะได้เป็นอย่าง Condoleezza Rice หรือ Colin Powell รัฐมนตรีในรัฐบาลของบุชยุคก่อนก็มีน้อยมาก  หรือจะเป็นประธานาธิบดีผิวสีคนแรกของสหรัฐฯ อย่างบารัก โอบามาก็คงเป็นได้แค่ยุคเดียว

To Kill A Mocking Bird เป็นภาพยนตร์ปี 1962 ที่สร้างมาจากนวนิยายรางวัล Pulitzer ปี 1960 ของ Harper Lee ที่ สะท้อนภาพของสังคมอเมริกันในประเด็นของการเหยียดสีผิวช่วงทศวรรษที่สามสิบได้อย่างแหลมคม ที่น่าสนใจก็คือ ลีนั้นเป็นเพื่อนตั้งแต่เด็กกับ Truman Capote นักเขียนที่มีชื่อเสียงโด่งดังที่สุดคนหนึ่งในอเมริกา ความสัมพันธ์ของคนทั้งสองถูกนำเสนอในหนังที่เอาชีวิตเสี้ยวหนึ่งของคาโปเต้มาเป็นข้อมูลนั้นคือเรื่อง Capote (2005) หากจะเทียบชั้นกันโดยไม่ใช้รางวัลพูลิท์เซอร์มาวัดแล้ว คาโปเต้เหนือว่าลีมาก นวนิยายที่เข้าทำเนียบหนังสือขายดีที่สุดในอเมริกาของเขาที่ชื่อ In Cold Blood ของเขาถือได้ว่าเป็นจุดกำเนิดของประเภท (Genre) ใหม่ของวรรณกรรมที่มีชื่อว่า Non-Fiction Novel หรือนวนิยายที่อิงอยู่กับข้อเท็จจริง โดยผสมผสานลีลาทางวรรณกรรมเข้ากับรายงานอาชญากรรม หรือเรื่อง Breakfast at Tiffany's ของเขาก็ถูกสร้างเป็นหนังจนโด่งดัง ดังนั้นจึงไม่น่าประหลาดใจที่จะมีข่าวลือว่าคาโปเต้แท้ที่จริงเป็นผู้เขียนนวนิยาย To Kill A Mocking Bird เกือบทั้งหมด กระนั้นก็มีการพิสูจน์ได้ในภายหลังจากจดหมายของคาโปเท่ที่มีถึงป้าของเขาว่าข่าวลือเหล่านั้นไม่เป็นความจริง 

เมื่อ Robert Mulligan นำนวนิยายเรื่องนี้มาสร้างเป็นภาพยนตร์ก็สามารถกวาดรางวัลตุ๊กตาทองไปได้สามสาขาจากการส่งเข้าประกวดแปดสาขา ที่สำคัญพระเอกของเรื่องที่แสดงโดย Gregory Peck นอกจากจะได้รางวัลตุ๊กตาทองแล้ว ได้รับการจัดอันดับจากสมาคมภาพยนตร์อเมริกาหรือ AFI ให้เป็นพระเอกอันดับหนึ่งตลอดกาล (ตรงกันข้ามกับผู้ร้ายอันดับหนึ่งตลอดกาลนั้นคือ Hannibal Lecter ในหนังเรื่อง Silence of The Lamb) ภาพยนตร์เรื่องนี้ใช้เสียงบรรยายประกอบและมุมมองเกือบทั้งหมดจากเด็กผู้หญิงที่แก่นแก้วเป็นทอมบอยคือ Jean Louise Finch ชื่อเล่นว่า Scout ผู้อาศัยอยู่กับพี่ชายที่มีชื่อเล่นว่า Jem และพ่อซึ่งต้องสูญเสียภรรยาไปตั้งแต่ลูก ๆ ยังไม่รู้ความนัก (ลักษณะเด่นของเรื่องนี้คือสเก๊าท์จะไม่เรียกพ่อของตัวเองว่าพ่อแต่จะเรียกชื่อจริงไปตลอดเรื่อง) ครอบครัวของเธออยู่ในเมืองเล็กๆ ที่ลีคนเขียนนวนิยายจินตนาการขึ้นมาเองคือ Maycomb ในรัฐ Alabma ซึ่งอยู่ทางตอนใต้ของสหรัฐ ฯ ช่วงวิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ในทศวรรษที่สามสิบ พ่อของเธอคือ Atticus Finch เป็นทนายที่มีชื่อของเมือง ๆ นี้ แน่นอนว่าบทบาทนี้เป็นผลงานชิ้นโบว์แดงของ Gregory Peck และต่อมาเขาก็ยอมรับว่าชอบบทบาทนี้มากที่สุดในอาชีพนักแสดง

                

                                                 Vintage: Behind the Scenes from To Kill a Mockingbird (1962)

                                                          ภาพจาก  monovisions.com

ในช่วงเริ่มต้นของเรื่องสเก๊าท์ได้พาคนดูดื่มด่ำไปกับเป็นมุมมองของเด็กที่พบกับเหตุการณ์ปริศนาบางอย่างจากข่าวลือว่า บ้านที่อยู่ไม่ไกลนัก เจ้าของบ้านมีน้องเป็นชายผู้น่ากลัวนามว่า Boo อาศัยอยู่ในห้องใต้ดินโดยไม่ออกไปไหนเลยเป็นเวลาสี่ปี ทั้งเธอ พี่ชายและ Dill เด็กชายข้างบ้าน (ที่มีต้นแบบมาจากคาโปเท่เพื่อนของลีเองในวัยเด็ก) ต่างพยายามเข้าไปพิสูจน์ข้อเท็จจริงเช่นนี้ กระนั้นก็หาได้เจอตัวบูไม่ จนในตอนกลางเรื่องหนังก็ได้พาคนดูกลับไปยังแก่นของเรื่องจนได้ เมื่อชุมชนที่มีวิถีชีวิตราบเรียบแห่งนี้ได้พบกับคดีอันน่าตกอกตกใจนั้นคือ หญิงสาวผิวขาววัยสิบเก้าปีได้กล่าวหาว่าคนงานผิวดำนามว่า Tom Robinson พยายามลวนลามและข่มขืนเธอ โรบินสันถูกจับกุมแต่ปฏิเสธข้อกล่าวหา ถึงแม้ยังไม่มีการพิจารณาความผิดของเขาในศาล แต่เขาก็กลายเป็นเป้าหมายของความประสงค์ร้ายของชุมชนทางใต้ที่ยังเห็นคนผิวดำเป็นเดนมนุษย์ อย่าลืมว่าสงครามกลางเมืองเกิดขึ้นเพราะอเมริกาทางเหนือต้องการเลิกทาสแต่ทางใต้ยังต้องการคงทาสไว้ ดังนั้นทางใต้จึงยังเป็นพวกอนุรักษ์นิยมและคงไว้ซึ่งลัทธิเหยียดสีผิวจนถึงปัจจุบัน

ในที่สุดอัตติกัสก็สร้างความประทับใจให้กับคนดูเมื่อเขาเสนอตัวเข้ามาเป็นทนายเพื่อแก้ต่างให้กับโรบินสัน จึงไม่น่าประหลาดใจว่าเขาจะกลายเป็นแกะดำในสายตาของพวกคนขาวที่ใช้อคติของตนในการสร้างคำตอบให้กับพวกตนเรียบร้อยแล้ว อย่างไรก็ตาม หนังก็แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนอยู่หลายครั้งว่าคำตอบนั้นผิดพลาด กระนั้นครอบครัวของอัตติกัสจึงต้องพบกับความกดดันทางสังคมอย่างสูงเช่นการข่มขู่อย่างน่าประหวั่นพรั่นพรึงจากพ่อของหญิงสาวผู้เสียหาย ส่วนตัวสเก็าท์เองก็ถูกเด็กๆ ที่โรงเรียนกลั่นแกล้ง ฉากหนึ่งที่มีส่วนให้อัตติกัสกลายเป็นพระเอกตลอดกาลก็คือความกล้าหาญของเขาในการเข้าไปขวางไม่ให้พวกชาวบ้านที่แห่กันจะพังคุกของอำเภอเพื่อลากโรบินสันไปแขวนคออย่างไม่ยินดียินร้ายต่ออาญาของบ้านเมือง เข้าทำนองกฎหมู่อยู่เหนือกฏหมาย แต่อัตติกัสเองต้องขอบคุณความกล้าหาญของพวกเด็ก ๆ ในการเข้าไปช่วยเขาจนเหตุการณ์คลี่คลายไปได้ และก็เกิดเรื่องที่ตาลปัดกัน ก็คือครอบครัวของอัตติคัสกลับได้รับความเห็นอกเห็นใจและความอบอุ่นจากพวกคนผิวดำ ซึ่งหนังก็สะท้อนให้เห็นอย่างชัดเจนว่าเป็นชนชายขอบที่น่าเห็นใจที่สุด ฉากที่ชัดเจนที่สุดคือตอนที่ครอบครัวของอัตติกัสเดินทางไปหาครอบครัวของโรบินสันเพื่อแจ้งข่าวร้าย ทำให้เราเห็นสภาพความเป็นอยู่ของคนผิวดำที่แสนจะอัตคัดยากไร้ แน่นอนว่าสิ่งเหล่านี้ก็จะถูกสืบทอดโดยลูกหลานจนถึงปัจจุบัน 

 

                                        à¸œà¸¥à¸à¸²à¸£à¸„้นหารูปภาพสำหรับ to kill a mockingbird
                                                         ภาพจาก r.t.com
 

ภาพยนตร์เรื่องนี้ส่วนหนึ่งมีลักษณะเป็นหนังชีวิตแบบขึ้นโรงขึ้นศาลหรือ Court Room Drama ที่เข้มข้นแต่ก็คงความเสมือนจริงไว้นั้นคือไม่ได้มีการหักมุมแบบเหนือจริงอะไรให้คนดูได้ลุ้นแบบหนังน้ำเน่าทั่วไป ทว่าคุณค่าของหนังคือการสะท้อนให้เห็นถึงกระบวนการศาลในยุคนั้นที่ลูกขุนทั้งสิบสองคนล้วนแต่เป็นคนผิวขาวทั้งสิ้น ดังนั้นการตัดสินจึงอิงอยู่กับมุมมองแบบขาวผยองอย่างไม่ผิดเพี้ยน นอกจากนี้คุณค่าของหนังยังรวมไปถึงการนำเสนอสัญลักษณ์อันลึกซึ้งอย่างเช่นอาติคัสอธิบายให้ลูกฟังบนโต๊ะอาหารถึงธรรมชาติของ Mocking Birdเป็นนกที่ชอบเลียนแบบเสียงของนกอื่นได้อย่างไพเราะให้ความสุขกับผู้ได้ยินเป็นตัวแทนของผู้บริสุทธิ์ที่มีความดีงาม หรือเหตุการณ์ที่ไม่น่าจะเกี่ยวกับพล็อตเรื่องหลักเช่นตอนที่อัตติกัสกลับไปบ้านเพื่อยิงสุนัขบ้าที่เข้ามาป้วนเปี้ยนแถวบ้านเขา ที่สำคัญคือชายร่างใหญ่สติไม่สมประกอบที่พวกเด็ก ๆ กลัวคือ Boo Bradley (แสดงโดยปู่ Robert Duvall แกประเดิมชีวิตนักแสดงกับหนังเรื่องนี้เป็นครั้งแรกเลยล่ะ)ในช่วงต้นของเรื่องก็สามารถเข้ามามีบทบาทในตอนท้ายเรื่องได้อย่างที่คนดูคาดไม่ถึง หากเราดูจนจบเรื่องก็จะพบว่าหนังสามารถทักทอเหตุการณ์ทั้งหมดนี้ให้เป็นสัญลักษณ์เข้าประเด็นหลักของเรื่องคืออคติหรือความเกลียดชังที่ผิวขาวมีต่อผิวดำ จนกลายเป็นชื่อของหนังที่ว่า To Kill a Mocking Bird ที่ผมขอแปลเป็นไทยได้ตรง ๆ คือ "การฆ่านกม็อคคิ่ง" ได้อย่างงดงาม (ส่วนหนังสือนั้นถูกแปลเป็นภาษาไทยแล้วและมีอีกชื่อหนึ่งว่า "ผู้บริสุทธิ์")

จุดเด่นของ To Kill A Mocking Bird อีกประการหนึ่งคือการคงอนุรักษ์สีของหนังให้เป็นขาวดำ ในขณะที่หนังในยุคเดียวกันคือต้นทศวรรษที่หกสิบตบเท้าไปเป็นหนังสีธรรมชาติกันเป็นแถว ทำให้หนังดูเหมือนถูกสร้างในทศวรรษที่ห้าสิบมากกว่าหกสิบ โชคไม่ดีของหนังเรื่องนี้ก็คือถูกส่งไปประกวดสาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยมร่วมกับหนังคลาสสิกอีกเรื่องคือ Lawrence of Arabia ซึ่งเกี่ยวชีวิตผจญภัยของนักเขียนอังกฤษที่ชื่อ T.E.Lawrence ในตะวันออกกลางช่วงสงครามโลกครั้งหนึ่ง หากพูดถึงความรู้สึกของชาวโลกคงจะรู้จักกับหนังเรื่องหลังมากกว่าเพราะมีฉากต่อสู้และสงครามที่น่าตื่นตาตื่นใจ ถ้าจะให้เทียบกันจริง ๆ แล้วทั้งสองเรื่องคงจะมีคุณค่าแตกต่างกันไปคนละแบบ แต่สำหรับคณะกรรมการรางวัลออสก้าแล้ว หนังที่เชิดชูความกล้าหาญของผู้ชายผิวขาวเหนือชนผิวอื่น คือชาวตะวันออกกลาง คงจะมีภาษีดีกว่าความกล้าหาญของผู้ชายผิวขาวเพื่อที่จะพิสูจน์ให้เห็นว่าคนผิวดำนั้นดีงามและบริสุทธิ์เป็นแน่ Lawrence of Arabia จึงคว้ารางวัลสาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยมประจำปี 1962 ไปได้ แต่ผมคิดว่าความเป็นอมตะของ To Kill A Mocking Bird เกิดจากเป็นประจักษ์พยานของการต่อสู้ดิ้นรนเพื่อความยุติธรรมและความเสมอภาคของมนุษย์โดยไม่แบ่งแยกสีผิวหรือเชื้อชาติ หาใช่จากรางวัลอย่างใดอย่างหนึ่งไม่



                                à¸œà¸¥à¸à¸²à¸£à¸„้นหารูปภาพสำหรับ to kill a mockingbird poster       

                                      ภาพจาก  AllPosters.com
 

บล็อกของ อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์

อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
ถือได้ว่า It's A Wonderful Life เป็นภาพยนตร์ที่อเมริกันชนแสนจะรักใคร่มากที่สุดเรื่องหนึ่งในประวัติศาสตร์ก็ว่าได้นอกจากจะเป็นแรงบันดาลใจสำหรับหนังชีวิตในยุคหลังมากมายหลายเรื่องแล้ว ภาพยนตร์ขาวดำเรื่องนี้ยังถูกนำมาฉายทางโทรทัศน์ในช่วงคริสต์มาสของทุกปีในอเมริกา คอหนังอเมริกันมักจะเอยชื่อหนังเรื่อง
อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
ผลพวงแห่งความคับแค้นหรือ The Grapes of Wrath เป็นเรื่องเกี่ยวกับครอบครัวโจดส์ที่อาศัยอยู่ใน รัฐโอกลาโอมา พวกเขาเป็นหนึ่งในหลาย ๆ หมื่นครอบครัวของชนชั้นระดับรากหญ้าของอเมริกาที่ต้องพบกับความยากลำบากของชีวิตในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจ (Great Depression) ในทศวรรษที่ 30 ซึ่งสหรัฐฯเป็นต้นกำเนิดนั้นเอง &nbsp
อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
เคยสังเกตไหมว่าพวกที่เป็นเซเลบและพวกที่ไม่ได้เป็นเซเลบแต่อยากจะเป็นเซเลบ  มักจะหันมาใช้อาวุธชนิดหนึ่งในการโฆษณาสร้างภาพตัวเองซึ่งดูเหมือนจะได้ผลไม่น้อยไปกว่าให้หน้าม้ามาโผล่ตามเว็บไซต์ต่างๆ หรือเสนอหน้าผ่านเกมโชว์หรือรายการทั้งหลายในโทรทัศน์ก็คือหนังสือนั้นเอง หนังสือที่ว่ามักจะเป็นเรื่องเ
อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
บทความเกี่ยวกับภาพยนตร์เรื่องนี้แปลมาจากบทความของโรเจอร์ อีเบิร์ต ที่เขียนขึ้นในเวบ Rogerebert.com เมื่อวันที่ 25 กรกฏาคม ปี ค.ศ.
อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
1."วันข้างหน้า ถ้าไม่มีมาตรา 44  ไม่มีคสช.เราจะอยู่กันอย่างไร"
อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
from A to Z , rest of one's life If the officers want to inspect  Dhammakay temple from A to Z , they must spend the rest of their lives.
อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
 ต่อไปนี้เป็นเคล็ดลับของหมอดูที่ผมรวบรวมมาจากการประสบพบเองบ้าง (ในชีวิตนี้ก็ผ่านการดูหมอมาเยอะ) จากการสังเกตการณ์และนำมาครุ่นคิดเองบ้าง ซึ่งก็ไม่ได้หมายความถึงหมอดูทุกคน เพราะคงมีจำนวนไม่น้อยที่มีฝีมือจริงๆ  กระนั้นผมเห็นว่าไม่ว่าเก่งหรือไม่เก่ง พวกเขาหรือเธอต้องใช้เคล็ดลับ
อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
หากพูดถึงหนังเรื่อง Lolita ไม่ว่าเวอร์ชั่นไหนแล้วคำ ๆ แรกที่ทุกคนนึกถึงก็คือ Paedophilia หรือโรคจิตที่คนไข้หลงรักและต้องการมีเพศสัมพันธ์กับเด็กที่อายุน้อย ๆ สาเหตุที่ถูกตีตราว่าโรคจิตแบบนี้เพราะสังคมถือว่ามนุษย์จะสามารถมีเพศสัมพันธ์ได้เมื่อมีอายุที่สมควรเท่านั้น และสำคัญที่มันผิดทั้งกฏหมายและศี
อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
1.Blade Runner (1982)  สุดยอดหนังไซไฟที่มองโลกอนาคตแบบ Dystopia นั่นคือเต็มไปด้วยความมืดดำและความเสื่อมโทรม ถึงแม้บางคนอาจจะผิดหวังในตอนจบ(แต่นั่นเป็นไปตามวัตถุประสงค์ของหนัง) แต่ด้วยฝีมือ Ridley Scott ที่สร้างมาจากงานเขียนของ Philip K.Dick ทำให้
อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
มีการถกเถียงกันทางญาณวิทยาซึ่งเป็นสาขาหนึ่งของปรัชญามาเป็นพัน ๆ ปีว่าความจริง (Truth) แท้จริงเป็นอย่างไร แล้วเราจะสามารถรู้หรือเข้าสู่ความจริงได้หรือไม่ แน่นอนว่าผู้อ่านย่อมสามารถโต้ตอบผู้เขียนได้ว่าความจริงที่เรากำลังสัมผัสอยู่ขณะนี้เช่นหูได้ยินหรือจ
อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
จำได้ว่าตั้งแต่เกิดมาเป็นตัวเป็นตน ภาพยนตร์ที่สร้างความเพลิดเพลินและความชื่นอกชื่นใจให้แก่ผมมากที่สุดเรื่องหนึ่งก็คือหนังเรื่อง "มนตร์รักลูกทุ่ง" ของสยามประเทศนี่เอง เคยดูเป็นเวอร์ชั่นโรงใหญ่จากโทรทัศน์ก็ตอนเด็ก ๆ ความจำก็เลือนลางไป เมื่อเข้าเรี
อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
อาคิระ คุโรซาวาเป็นผู้กำกับญี่ปุ่นชื่อเสียงโด่งดังที่สุดคนหนึ่งของโลก ด้วยความยิ่งใหญ่จนถึงระดับคลาสสิกของภาพยนตร์ที่เขาสร้างหลายสิบเรื่องทำให้มีผู้ยกย่องเขาว่าเหมือนกับจักรพรรดิหรือแห่งวงการภาพยนตร์ไม่ว่าญี่ปุ่นหรือแม้แต่ระดับนานาชาติคู่ไปกับสแตนลีย์ คิวบริก อัลเฟรด