วันนี้ได้อ่านเกี่ยวกับบริการของบริษัท FullContact ซึ่งเพิ่งไปซื้อกิจการบริษัท Cobook ผู้ผลิตโปรแกรมสมุดโทรศัพท์บนระบบปฏิบัติการ (Mac) OS X มาเมื่อปลายปีก่อน
ความสามารถอันนึงของ Cobook และซอฟต์แวร์คล้ายๆ กัน อย่างตัว Contacts ของ Gmail ก็คือ มันสามารถ "merge" หรือรวมที่อยู่ติดต่อที่ซ้ำๆ กันให้มาเป็นอันเดียวได้ เช่น คนๆ นึงอาจจะมีมีหลายเบอร์โทร มีอีเมล มีทวิตเตอร์ มี LinkedIn มีบัญชีโซเชียลมีเดียอื่นๆ บางบัญชีใช้ชื่อจริง บางบัญชีเป็นชื่อเล่น ซอฟต์แวร์พวกนี้มันช่วยรวมทั้งหมดให้มาอยู่ในระเบียนเดียวกันได้ จะได้จัดการและค้นหาได้ง่ายๆ
แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะ merge ได้เสมอไป ก็ได้บ้างไม่ได้บ้าง ตามความกำจัดของข้อมูลที่มีในสมุดโทรศัพท์นั้น ที่ถ้ามีข้อมูลน้อยเกินไปก็อาจจะมองไม่เห็นความเชื่อมโยงระหว่างกัน
บริการของ FullContact นี่เก่งกว่า เพราะมันไม่ได้ใช้เฉพาะข้อมูลเท่าที่เรามีในสมุดโทรศัพท์ มันไปดึงข้อมูลจากอินเทอร์เน็ตและจากแหล่งอื่นๆ มาด้วย ทำให้สามารถเห็นความเชื่อมโยงได้มากขึ้น สามารถประกอบชิ้นส่วนข้อมูลเล็กๆ เข้าด้วยกันเป็นข้อมูลประวัติบุคคลที่สมบูรณ์มากขึ้น
เช่น รู้แค่ชื่ออะไร ทำงานที่ไหน ก็หาเบอร์มือถือหรืออายุได้แล้ว เป็นต้น
คือในทางหนึ่ง มันก็สะดวกดี สำหรับคนที่ต้องการติดต่องานหรือมีธุระอะไรจำเป็น (และชอบธรรม)
แต่มันก็ทำให้เราได้เห็นว่า เครือข่ายสารสนเทศที่เชื่อมโยงไปทุกที่และพลังการประมวลผลของคอมพิวเตอร์ ก็ทำให้การเก็บรวบรวมข้อมูลชิ้นเล็กๆ ที่กระจัดกระจายในเครือข่าย แล้วเอามาประกอบเป็น "profile" หรือ "หน้าตา" ของคนๆ หนึ่ง มันเป็นไปได้ง่ายๆ
Person API ของ FullContact ก็เสนอบริการแบบนั้น มันใช้ข้อมูลที่เก็บรวบรวมมาจากทั่วอินเทอร์เน็ตและฐานข้อมูลที่เปิดเผยสาธารณะ เอามาประมวลผล ต่อจิ๊กซอว์ และสร้างประวัติของบุคคล พร้อมที่อยู่ติดต่อ อายุ และข้อมูลส่วนตัวอื่นๆ ได้
FullContact บอกว่าตัวเองเป็นบริษัทให้บริการ "contact management" ข้อมูลที่ให้บริการก็มี ประวัติบุคคล ชื่อ อีเมล พิกัดที่ตั้ง โดยโฆษณาว่า มีข้อมูลติดต่ออยู่ 1 พันล้านระเบียน สามารถจับคู่ข้อมูลพวกนี้ให้เราได้ 6 ใน 10 ครั้ง ในเวลาแค่ 150 มิลลิวินาที (หนึ่งวินาที จับคู่ให้เราแบบนี้ได้เกือบ 7 คน) และมีความแม่นยำสูงถึง 90%
หน่วยงานความมั่นคงก็ต้องมีอะไรทำนองนี้ใช้แน่ๆ ล่ะครับ ถ้าในตลาดมันมีซะขนาดนี้แล้ว
คำถามหนึ่งที่น่าสนใจคือ การเก็บรวบรวมข้อมูลมาประกอบร่างแบบนี้ ชอบด้วยกฎหมายไหม? คือข้อมูลพวกนี้ คนใช้เน็ตก็เปิดเผยให้กับผู้ให้บริการ หรือโพสต์เอาไว้ในเว็บไซต์หรือโซเชียลมีเดียของตัวเองอยู่แล้ว มันก็น่าจะเป็นข้อมูลที่ไม่ใช่ความลับ และเขาก็สมัครใจจะเปิดเผยเอง แต่ก็นั่นล่ะ การเปิดเผยส่วนนึงให้กับคนนี้ อีกส่วนนึงให้กับคนนั้น คนเปิดนี่ก็ไม่ได้คิดว่าข้อมูลพวกนั้น สุดท้ายมันจะถูกรวมร่าง กลายเป็นข้อมูลแบบสมบูรณ์เกี่ยวกับตัวเขา
เนื่องจากเมืองไทยยังไม่มีกฎหมายคุ้มครองส่วนบุคคลเป็นการเฉพาะ (แม้รัฐธรรมนูญจะระบุถึงสิทธิในความเป็นส่วนตัวเอาไว้หลายมาตรา) เราลองไปดูคำพิพากษาของศาลฎีกาสหรัฐที่คล้ายๆ กับเรื่องนี้กัน
“People disclose the phone numbers that they dial or text to their cellular providers, the URLS that they visit and the e-mail addresses with which they correspond to their Internet service providers, and the books, groceries and medications they purchase to online retailers . . . I would not assume that all information voluntarily disclosed to some member of the public for a limited purpose is, for that reason alone, disentitled to Fourth Amendment protection.” United States v. Jones, 565 U.S. ___, 132 S. Ct. 945, 957 (2012) (Sotomayor, J., concurring).
อ้างจาก International Principles on the Application of Human Rights to Communications Surveillance
“ผู้คนเปิดเผยหมายเลขโทรศัพท์ที่พวกเขาโทรหรือส่งข้อความ ให้กับผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือ เปิดเผยตัวชี้แหล่งในอินเทอร์เน็ต (URL) ที่พวกเขาเข้าชมและที่อยู่อีเมลที่พวกเขาติดต่อด้วย ให้กับผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต และเปิดเผยถึงหนังสือ ของชำ และยาที่พวกเขาซื้อ ให้กับผู้ขายปลีกทางอินเทอร์เน็ต … ศาลไม่เชื่อว่าข้อมูลทั้งหมดที่มีการเปิดเผยโดยสมัครใจให้กับสมาชิกบางคนในพื้นที่สาธารณะเพื่อจุดประสงค์เฉพาะอย่าง ไม่ควรได้รับการคุ้มครองตามข้อแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งที่ 4 (Fourth Amendment) เพียงเพราะเหตุผลนั้นเพียงอย่างเดียว” United States v. Jones, 565 U.S. ___, 132 S. Ct. 945, 957 (2555) (Sotomayor, J., พิพากษายืน).
อ้างจาก หลักการระหว่างประเทศว่าด้วยการใช้หลักสิทธิมนุษยชนกับการสอดแนมการสื่อสาร
Fourth Amendment หรือ ข้อแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งที่ 4 นี่พูดถึงสิทธิในความเป็นส่วนตัว พูดถึงเรื่องการขอค้นตัวค้นบ้าน
ศาลฎีกาในคดีนี้บอกว่า ใช่ คนน่ะเปิดเผยข้อมูลต่างๆ ให้กับผู้ให้บริการ แต่มันก็มีเจตนาในการเปิดเผยอยู่ ว่าเปิดเผยเพราะเขาจะรับบริการนี้ ในครั้งนี้ ดังนั้นข้อมูลก็ควรจะถูกใช้เพื่อการนั้นเท่านั้น ไม่ควรจะถูกเอาไปใช้ในเรื่องอื่นต่อ
เทคโนโลยีเปลี่ยนไปเร็วมาก ข้อมูลออนไลน์มากขึ้นเรื่อยๆ คอมพิวเตอร์เก่งขึ้นเร็วขึ้นเรื่อยๆ กฎหมายควรจะให้ความคุ้มครองที่ได้สัดส่วนกัน
(ภาพประกอบจากเว็บไซต์ FullContact)