Skip to main content

"...ด้านล่างนี้เป็นส่วนหนึ่งจากบันทึกของเผิงพ่าย (ค.ศ. 1896-1929) เกี่ยวกับความพยายามบุกเบิกจัดตั้งสหภาพชาวนาขึ้นในช่วงปี ค.ศ. 1921-1923 เผิงพ่ายเริ่มมีความสนใจในลัทธิสังคมนิยมของชาวนาขณะที่เขาศึกษาอยู่ในประเทศญี่ปุ่นช่วงปี ค.ศ. 1918-1921 ต่อมาเขาได้เข้าร่วมกับพรรคคอมมิวนิสต์จีนเมื่อเดินทางกลับจากประเทศญี่ปุ่นและเริ่มนำความคิดสู่การปฏิบัติ บันทึกนี้ครอบคลุมเรื่องราวความสำเร็จในช่วงต้น ก่อนที่เผิงผ่ายจะต้องหลบหนีจากตำบลไห่เฟิงเมื่อเจ้าหน้าที่รัฐท้องถิ่นตัดสินใจกำจัดสหภาพชาวนา..."
 



สมาคมชาวนาไห่เฟิง[1]

ลัทธิสังคมนิยมคือหนึ่งในความคิดและอุดมการณ์จากต่างชาติที่ดึงดูดความสนใจของเหล่าปัญญาชนจีนในช่วงสองทศวรรษแรกของศตวรรษที่ 20 ผู้สมาทานลัทธิมาร์กซ์ได้เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วโดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังชัยชนะของการปฏิวัติบอลเชวิคในรัสเซีย ปี ค.ศ. 1917 จากนั้นในปี ค.ศ. 1921 พรรคคอมมิวนิสต์จีนก็ได้ถือกำเนิดขึ้น ในช่วงปี ค.ศ. 1920s พรรคคอมมิวนิสต์จีนซึ่งเพิ่งกำเนิดขึ้นใหม่นั้นมีฐานสนับสนุนอยู่ในเขตเมือง เช่น ปัญญาชนและผู้ใช้แรงงานที่มีการรวมตัวเป็นสหภาพ ในช่วงนี้เองที่การจัดตั้งชาวนาได้มีความคืบหน้าขึ้น

ด้านล่างนี้เป็นส่วนหนึ่งจากบันทึกของเผิงพ่าย** (ค.ศ. 1896-1929) เกี่ยวกับความพยายามบุกเบิกจัดตั้งสหภาพชาวนาขึ้นในช่วงปี ค.ศ. 1921-1923 เผิงพ่ายเริ่มมีความสนใจในลัทธิสังคมนิยมของชาวนาขณะที่เขาศึกษาอยู่ในประเทศญี่ปุ่นช่วงปี ค.ศ. 1918-1921 ต่อมาเขาได้เข้าร่วมกับพรรคคอมมิวนิสต์จีนเมื่อเดินทางกลับจากประเทศญี่ปุ่นและเริ่มนำความคิดสู่การปฏิบัติ บันทึกนี้ครอบคลุมเรื่องราวความสำเร็จในช่วงต้น ก่อนที่เพิงผ่ายจะต้องหลบหนีจากตำบลไห่เฟิงเมื่อเจ้าหน้าที่รัฐท้องถิ่นตัดสินใจกำจัดสหภาพชาวนา

บันทึกว่าด้วยขบวนการชาวนาไห่เฟิง

* บันทึกว่าด้วยขบวนการชาวนาไห่เฟิง (海丰农民运动)
[1] - ภาษาอังกฤษ (บางส่วน) Chinese Civilization : A source book edited by Patricia Buckley Ebrey, Second Edition
[2] - ภาษาจีน (ฉบับเต็ม) https://www.marxists.org/chinese/reference-books/pengpai/pengpai-192601.htm

เผิงพ่าย (ค.ศ. 1896-1929)

** เผิงพ่าย (彭湃) ปัญญาชน นักสิทธิชาวนา และผู้นำพรรคคอมมิวนิสต์จีน มีบทบาทในการจัดตั้งขบวนการชาวนา ภายหลังถูกจับกุมคุมขังและประหารอย่างลับๆ โดยคำสั่งของเจียง ไคเช็ค

จุดเริ่มต้นของขบวนการชาวนา

ในเดือนพฤษภาคม ปี ค.ศ. 1921 ข้าพเจ้าทำหน้าที่เป็นประธานคณะกรรมการการศึกษาในตำบลไห่เฟิง ขณะนั้นข้าพเจ้ามีความใฝ่ฝันที่จะใช้การศึกษาเป็นเครื่องมือบรรลุการปฏิวัติสังคมนิยม ข้าพเจ้าระดมนักเรียนชายหญิงทั่วทั้งตำบลซึ่งส่วนใหญ่เป็นลูกหลานของครอบครัวที่ร่ำรวยให้มาเฉลิมเฉลองในวันที่ 1 พฤษภาคม ซึ่งเป็น "วันกรรมกร" ณ ที่ทำการตำบล เหตุการณ์เช่นนี้เป็นครั้งแรกของไห่เฟิง แต่ในงานนี้ก็ไม่มีกรรมกรหรือชาวนาแม้แต่คนเดียว เป็นนักเรียนจากชั้นประถมศึกษาปีที่หนึ่งซึ่งเดินพาเหรดไปตามท้องถนน พวกเขาถือป้ายสีแดงที่เขียนข้อความว่า "จงเข้าร่วมกับลัทธิคอมมิวนิสต์" (赤化) นั่นช่างเป็นความคิดที่ไร้เดียงสายิ่งนัก เพราะต่อมาพวกชนชั้นสูงของไห่เฟิงต่างก็พากันคิดว่าพวกเรากำลังจะแบ่งปันผลผลิตและภรรยาของพวกเขา พวกเขารวมทั้งตัวผู้ว่าการฯ เฉิน จย่งหมิง (陈炯明)เริ่มปล่อยข่าวลือโจมตีเรา และเพราะเหตุนี้เองที่ทำให้ข้าพเจ้ารวมถึงครูและผู้อำนวยการโรงเรียนที่มีความคิดก้าวหน้าต้องถูกปลดออกจากตำแหน่ง

ในขณะนั้น พวกเรากำลังต่อสู่อย่างสับสนกับหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นจากบ้านเกิดของเฉิน จย่งหมิง ('หลู่อานรายวัน' -陆安日报) ข้าพเจ้า สหายหลี่ชุนเทา (李春涛) และคนอื่นๆ ได้ร่วมกันตีพิมพ์บทความตอบโต้ผ่านหนังสือพิมพ์ที่พวกเราสถาปนากันเองเป็นกระบอกเสียงของกรรมกรและชาวนา ('หัวใจแดงรายสัปดาห์' - 赤心周刊) ในความเป็นจริงไม่มีกรรมกรหรือชาวนาแม้แต่คนเดียวที่เกี่ยวข้องกับหนังสือพิมพ์ของเราหรือเข้าใจว่าเรากำลังทำอะไรอยู่ และแล้ววันหนึ่งเมื่อข้าพเจ้ากลับบ้าน ก็พบน้องสาวยืนขวางไม่ให้เข้าไปในบ้าน เธอกล่าวว่า "ข้าไม่รู้ว่าทำไม แต่ท่านแม่กำลังร้องไห้ และแม่บอกว่าจะฆ่าพี่ให้ได้" ตอนแรกข้าพเจ้าก็นึกว่าเธอล้อเล่น แต่เมื่อข้าพเจ้าเข้าไปในโถงบ้าน ก็เห็นมารดากำลังร้องไห้อยู่จริงๆ

กลายเป็นว่าน้องชายคนที่เจ็ดของข้าพเจ้ากำลังถือหนังสือพิมพ์ 'หัวใจแดงรายสัปดาห์' และอ่านบทความชื่อ 'จดหมายถึงชาวนา' ของข้าพเจ้าด้วยเสียงอันดัง เมื่อมารดาของข้าพเจ้าได้ยินเข้า น้ำตาของหล่อนก็ไหลนองแก้ม แล้วหล่อนก็ปล่อยโฮออกมาพลางพูดเสียงดังว่า "บรรพบุรุษของเจ้าคงจะสะสมคุณงามความดีมาไม่พอ เราจึงได้มีลูกที่อกตัญญูเช่นนี้ ปู่ของเจ้าทำงานหนักเพื่อให้พวกเราได้สุขสบายอย่างทุกวันนี้ ถ้าหากเจ้ายังทำแบบนี้ต่อไป ครอบครัวของเราก็คงจะพังพินาศแน่แท้!" ข้าพเจ้าทำได้แต่พยายามปลอบมารดาอย่างเต็มที่เพื่อให้หล่อนใจเย็นลง

แล้วตอนนั้นเองที่ข้าพเจ้าคิดได้ว่า หากชาวนาสามารถอ่านบทความของข้าพเจ้า พวกเขาก็คงจะมีความสุขมาก มากพอๆ กันกับที่มารดาของข้าพเจ้าเสียใจเป็นแน่ สิ่งนี้ทำให้ข้าพเจ้ามั่นใจอย่างยิ่งว่าชาวนาสามารถจัดตั้งได้ หลังจากนั้นข้าพเจ้าก็ละทิ้งสงครามน้ำลายที่ไร้สาระกับหนังสือพิมพ์หลู่อานรายวันแล้วริเริ่มลงมือปฏิบัติในหมู่บ้านของชาวนา ขณะนั้นเพื่อนฝูงของข้าพเจ้าต่างไม่เห็นด้วย พวกเขากล่าวว่า "พวกชาวนาไม่มีระเบียบวินัยอย่างยิ่ง นายคงไม่สามารถจัดตั้งพวกเขาได้หรอก แถมพวกเขายังโง่เง่าและต่อต้านการรณรงค์ทุกรูปแบบ นายจะต้องเสียความพยายามโดยเปล่าประโยชน์อย่างแน่นอน"

แม้ว่าครอบครัวของข้าพเจ้าจะจัดได้ว่าเป็นเจ้าที่ดินรายใหญ่ เพราะทุกๆ ปี เราจะสามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตได้มากกว่า 1,000 ต้าน* (1 ต้าน (石)~ ประมาณ 100 ลิตร) และมีชาวนาในสังกัดไม่น้อยกว่า 1,500 คน แต่สมาชิกในครอบครัวของข้าพเจ้ามีเพียงประมาณ 30 คน ดังนั้นสมาชิกครอบครัวแต่ละคนจึงมีชาวนาทาสติดที่ดินเฉลี่ยคนละ 50 คน จึงไม่น่าแปลกใจที่พอพวกเขาได้ยินว่าข้าพเจ้ากำลังพยายามจัดตั้งขบวนการชาวนา จึงพากันเกลียดข้าพเจ้าอย่างยิ่ง (จะมียกเว้นแค่พี่ชายคนที่ 3 และน้องชายคนที่ 5 ของข้าพเจ้า) พี่ชายคนโตของข้าพเจ้าก็แทบจะฆ่าข้าพเจ้า เช่นเดียวกันกับญาติคนอื่นๆ ดังนั้นจึงมีเพียงประการเดียวที่ข้าพเจ้าจะทำได้ คือไม่สนใจไปเสีย

ในวันหนึ่งของเดือนพฤษภาคม ข้าพเจ้าได้เริ่มการจัดตั้งขบวนการชาวนาขึ้น สถานที่แรกที่ข้าพเจ้าไปก็คือหมู่บ้านที่อยู่ในภูเขาชื่อซาน (赤山) ข้าพเจ้าแต่งกายอย่างนักเรียนนอก สวมเสื้อสูทและหมวกสีขาว ที่ทางเข้าหมู่บ้านมีชาวนาอายุราว 30 ปีกำลังผสมมูลสัตว์อยู่ เมื่อเขาเห็นข้าพเจ้าเดินเข้าไปจึงถามขึ้นว่า "ท่านเป็นอย่างไรบ้างขอรับ ท่านมาเก็บภาษีหรือเปล่า? เราไม่ได้มีเล่นละคงละครอะไรกันที่นี่หรอกนะ"

"ผมไม่ได้มาเก็บภาษีอะไรหรอก" ข้าพเจ้าตอบ "ผมมาที่นี่เพื่อนเป็นเพื่อนกับพวกคุณ ผมรู้ว่าพวกคุณมีความยากลำบาก ผมอยากพูดคุยกับพวกคุณ"

แล้วชาวนาคนนั้นก็ตอบกลับมา "อ่อ ใช่ ความยากลำบากก็คือชะตากรรมของคนอย่างพวกเราน่ะ นี่ก็คุยนานไปแล้วนะ พวกเราไม่มีเวลาว่างมาคุยกับท่านหรอก ขอโทษด้วยนะ" แล้วเขาก็ผละจากไป

สักพักหนึ่งชาวนาอีกคนก็เดินมา เขาดูอายุจะมากกว่ายี่สิบสักเล็กน้อยและก็ดูมีไหวพริบดี เขาถามข้าพเจ้าขึ้นก่อนว่า "ท่านสังกัดกองพันอะไร มียศอะไรรึ แล้วมาทำอะไรที่นี่?"

ข้าพเจ้าตอบว่า "ผมไม่ใช่เจ้าหน้าที่รัฐแล้วก็ไม่ใช่ทหารด้วย ผมเป็นนักเรียน แล้วก็มาที่นี่เพื่อเป็นเพื่อนกับพวกคุณ"

เขาหัวร่อแล้วก็พูดขึ้นว่า "พวกเรามันอ้ายคนไร้ประโยชน์ ไม่มีค่าพอที่คนชั้นสูงอย่างท่านจะมาสุงสิงด้วยหรอก ท่านคงจะต้องล้อข้าเล่นแน่ๆ ข้าขอตัวไปก่อนล่ะ ลาก่อน" แล้วเขาก็หันหน้าเดินจากไปโดยไม่รีรอ แม้ข้าพเจ้ากำลังจะกล่าวอะไรบางอย่างแต่เขาก็เดินไปไกลเสียแล้ว ข้าพเจ้ารู้สึกแย่มาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อนึกถึงคำเตือนของเพื่อนฝูงที่ว่าความพยายามของข้าพเจ้าคงเสียเปล่า

เมื่อข้าพเจ้าเข้าไปยังหมู่บ้านแห่งที่สอง สุนัขก็แยกเขี้ยวและเห่าเสียงดัง ข้าพเจ้าถือเสียว่าการแสดงอำนาจของสุนัขนี้เป็นสัญลักษณ์แสดงการต้อนรับ ดังนั้นข้าพเจ้าจึงเดินเข้าหมู่บ้านไปโดยทันที แต่แล้วข้าพเจ้าก็พบว่าประตูทุกบานถูกล็อกเอาไว้ ชาวบ้านคงจะเข้าไปในเมืองหรือไม่ก็อยู่ในทุ่งนากันหมด ดังนั้นข้าพเจ้าจึงรีบเดินทางไปยังหมู่บ้านแห่งที่สาม แต่มันก็โพล้เพล้เสียก่อน ข้าพเจ้าจึงเกรงว่าชาวบ้านจะสงสัยแล้วพาลคิดว่าข้าพเจ้าเล่นไม่ซื่อ ข้าพเจ้าจึงเปลี่ยนใจเดินทางกลับบ้าน

พอถึงบ้าน ข้าพเจ้าไม่พบแม้แต่คนเดียวที่อยากจะคุยกับข้าพเจ้า บัดนี้ข้าพเจ้ากลายเป็นศัตรูของพวกเขาเสียแล้ว พวกเขาต่างกินอาหารกันเสร็จสิ้น เหลือเพียงข้าวต้มไว้เพียงเล็กน้อย ข้าพเจ้าจึงกินข้าวต้มที่เหลืออยู่และกลับเข้าห้อง ข้าพเจ้าเปิดสมุดบันทึกออกและบันทึกความสำเร็จของวันนั้น แต่มีเพียงอย่างเดียวเท่านั้นที่ข้าพเจ้าจะเขียนลงไปได้ ก็คือเลขศูนย์ตัวใหญ่ๆ

ข้าพเจ้าใช้เวลาตลอดทั้งคืนเฝ้านึกคิดหาวิธีที่จะทำให้แผนของข้าพเจ้าสำเร็จลงได้ ตอนใกล้รุ่งข้าพเจ้าก็รีบลุกออกจากที่นอน รับประทานอาหารเช้าแล้วก็กลับเข้าไปในหมู่บ้านอีก ระหว่างทางข้าพเจ้าเห็นว่ามีชาวนาหลายคนเดินทางเข้าเมือง บางคนหิ้วมันเทศ บางคนหาบถังปัสสาวะ เมื่อใดก็ตามที่ข้าพเจ้าสวนพวกเขาในถนนแคบๆ ข้าพเจ้าจะเบี่ยงหลบด้วยความเคารพเพื่อให้พวกเขาเดินผ่านไปได้ น่าแปลกที่คนในเมืองไม่ยอมหลีกทางให้กับชาวนา แต่กลับเป็นพวกชาวนาที่ต่างก็ถือของเต็มไม้เต็มมือพะรุงพะรังอยู่แล้วต้องหลีกทางให้กับคนในเมืองที่มือเปล่า ข้าพเจ้าจึงคิดว่า อย่างน้อยต้องมีชาวนาสักหลายคนที่เห็นถึงความเคารพที่ข้าพเจ้าแสดงแก่พวกเขา

ข้าพเจ้ากลับเข้าไปในหมู่บ้านที่เคยมาเมื่อวานอีกครั้ง คราวนี้ข้าพเจ้าพบกับชาวนาอายุประมาณสี่สิบปี เขาถามข้าพเจ้าว่า "ท่านมาเก็บค่าที่ดินหรือขอรับ?"

"เปล่าครับ เปล่า ผมมาที่นี่เพื่อช่วยพวกคุณเก็บหนี้ต่างหาก มีคนบางจำพวกที่ติดเงินพวกคุณอยู่ แต่พวกคุณหลงลืมไปหมดแล้ว ผมมาที่นี่เพื่อช่วยเตือนความจำ"

"ฮะ อะไรกันนะ" ชาวนาคนนั้นอุทาน "แค่การไม่ได้เป็นหนี้ใครนี่ก็เป็นโชคดีแก่ข้าอย่างยิ่งแล้ว ว่าแต่นี่ใครติดหนี้ข้าอยู่หรอกรึ?"

"คุณไม่รู้จริงๆหรือ" ข้าพเจ้าบอกเขา "พวกเจ้าที่ดินนั่นไงเป็นหนี้พวกคุณมากมาย ทั้งปีทั้งชาติพวกเขาเพียงนั่งอยู่ที่บ้านและไม่ทำอะไร แต่ว่าคุณสิต้องใช้แรงงานในท้องนาตั้งแต่เกิดจนตาย ในท้ายที่สุดพวกเขาก็จะคอยตักตวงผลผลิตเป็นค่าเช่า ลองคิดดูนะว่าที่ดินนี่มีมูลค่าอย่างมากก็หนึ่งร้อยหยวน แต่พวกคุณคือคนที่คอยหว่านไถอยู่นับร้อยนับพันปี เสร็จแล้วคุณยังต้องส่งผลผลิตให้พวกเจ้าที่ดินอีกตั้งเท่าไร พวกเราคิดว่ามันไม่ยุติธรรม และนั่นคือเหตุผลว่าทำไมผมจึงมาคุยกับคุณ เพื่อหาทางให้พวกคุณได้เอาคืนพวกเจ้าที่ดินเสียบ้าง"

ชาวนาคนนั้นยิ้มและตอบกลับ "นั่นคงดีมากๆ เลย แต่เราคงจะถูกขังแล้วก็ทุบตีเสียมากกว่าถ้าหากว่าเราติดหนี้พวกเขาสักเพียงเล็กน้อย รู้ไหม นี่คือชะตากรรมล่ะ คนที่เก็บค่าเช่าที่ดินก็คือคนที่คอยเก็บค่าเช่าที่ดินตลอดไป และคนที่ทำหน้าที่หว่านไถก็คือคนที่จะต้องหว่านไถตลอดไป ขอให้โชคดีนะขอรับท่าน ข้าต้องเข้าไปในเมืองแล้ว"

"ท่านพี่มีชื่อว่าอะไร?" ข้าพเจ้าถาม
"ชื่อของข้าคือ...อืม ข้าอยู่ในหมู่บ้านแห่งนี้แหละ ค่อยมาอีกก็ได้ถ้าท่านมีเวลา"

ข้าพเจ้ารู้ว่าเขาคงไม่อยากบอกชื่อกับข้าพเจ้า ดังนั้นข้าพเจ้าจึงตัดสินใจไม่กดดัน

ในหมู่บ้านยังมีผู้หญิงทำงานอยู่เหมือนกันแต่ว่าพวกผู้ชายออกไปทำงานในทุ่งนา เนื่องจากมันคงดูไม่เหมาะสมที่ข้าพเจ้าจะคุยกับพวกผู้หญิง ข้าพเจ้าจึงอ้อยอิ่งอยู่สักพักนึงก่อนที่จะเดินทางไปอีกหมู่บ้านหนึ่ง

แม้ว่าวันนั้นข้าพเจ้าจะเดินผ่านหมู่บ้านเสียหลายแห่ง แต่ผลกลับเหมือนกับวันก่อน ก็คือ ศูนย์ จะต่างอยู่บ้างก็เพียงแต่ข้าพเจ้าได้เขียนลงในสมุดบันทึกเพิ่มสักสองสามประโยค

ในคืนนั้นเองมีสองสิ่งที่ข้าพเจ้าคิดขึ้นได้ นั่นคือ หนึ่ง ภาษาของข้าพเจ้าเป็นทางการและซับซ้อนเกินไป ดังนั้นชาวนาจึงไม่เข้าใจ ข้าพเจ้าจะต้องย่อยคำศัพท์เฉพาะที่ยุ่งยากให้กลายเป็นภาษาพูดที่ใช้ในชีวิตประจำวัน และสอง รูปลักษณ์และการแต่งกายของข้าพเจ้าช่างแตกต่างจากชาวนาอยู่หลายขุม พวกเขาต่างถูกกดขี่และหลอกลวงอยู่เป็นเวลาเนิ่นนานโดยคนที่ดูต่างจากพวกเขา ดังนั้นพวกเขาจึงอาจสงสัยไปโดยอัตโนมัติว่าข้าพเจ้าคือศัตรู นอกจากนี้รูปลักษณ์ภายนอกของข้าพเจ้าบ่งบอกถึงชนชั้นและทำให้ข้าพเจ้าดูแปลกแยกจากชาวนา ดังนั้นข้าพเจ้าจึงตัดสินใจว่าจะแต่งตัวอย่างง่ายๆ คราวนี้ข้าพเจ้ามีแผนใหม่ วันพรุ่งนี้ แทนที่ข้าพเจ้าจะเข้าไปในหมู่บ้าน ข้าพเจ้าจะไปดักรอตรงทางแยกซึ่งสามารถเจอชาวนาได้มากกว่าเดิม

วันรุ่งขึ้น ข้าพเจ้าไปอยู่ที่ถนนใหญ่หน้าวัดหลงหวาง ถนนเส้นนี้เป็นทางสัญจรสายหลักระหว่างภูเขาชื่อซานกับเขตเป่ยอู่ เขตชื่ออ้าน และเขตเหอโข่ว ทุกๆ วัน ชาวนาจำนวนมากจะเดินผ่านและพักผ่อนบริเวณหน้าวัดแห่งนี้ ข้าพเจ้าใช้โอกาสนี้เพื่อพูดคุยกับพวกเขา อธิบายพวกเขาถึงสาเหตุแห่งความยากลำบาญและหนทางแก้ไข ข้าพเจ้าได้ชี้ให้เห็นถึงหลักฐานการกดขี่บีฑาของพวกเจ้าที่ดิน และอภิปรายถึงความจำเป็นที่ชาวนาจะต้องรวมตัวกัน ในตอนแรกข้าพเจ้าได้พูดคุยกับคนเพียงสักสองสามคนได้ แต่ต่อมาผู้ฟังก็มากขึ้น ข้าพเจ้าจึงเปลี่ยนเป็นการปราศรัย ขณะนั้นมีชาวนาเพียงครึ่งนึงที่ดูจะเชื่อถือสิ่งที่ข้าพเจ้าพูด ในวันนั้นเองที่ชาวนาสี่ถึงห้าคนเริ่มพูดคุยกับข้าพเจ้า มีชาวนาอีกสักโหลนึงที่คอยฟัง นี่คือความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่
 



ติดตามตอนที่ [2] - "การรวมตัวต่อสู้ของบุคคลทั้ง 6 

 

บล็อกของ Atitheb Chaiyasitdhi

Atitheb Chaiyasitdhi
เมื่อช่วงปลายเดือนมีนาคมปีที่แล้ว (2559) ผมได้เดินทางไปปารีส จึงได้เยี่ยมชมและเก็บภาพสถานที่สำคัญเกี่ยวกับการปฏิวัติฝรั่งเศสมาไว้เป็นที่ระลึก ภาพและสถานที่ที่ผมนำมาลงนี้บางแห่งอาจเป็นที่รู้จักกันดีอยู่แล้ว บางแห่งอาจไม่มีใครรู้จักมาก่อน นอกจากนี้ยังไม่ได้ครอบคลุมสถานที่สำคัญทั้งหมด เนื่องจากบางแห่งอยู่นอกปารีสและกอปรกับผมมีเวลาจำกัด ก็เลยขอนำมาแบ่งปันเท่าที่เอื้ออำนวย ต้องออกตัวก่อนว่าภาพเหล่านี้อาจไม่มีเชิงศิลป์นัก แต่คงจะใช้ประกอบการพาชมสถานที่เหล่านี้ได้อย่างไม่ขาดไม่เกิน
Atitheb Chaiyasitdhi
วันที่ 1 ตุลาคม ถือเป็นวันครบรอบการสถาปนารัฐบาลกลางประชาชนและสาธารณรัฐประชาชนจีนในปี ค.ศ. 1949 ผู้เขียนเห็นเป็นโอกาสอันดี จึงนำเพลงชื่อ "ประเทศชาติ" ซึ่งผู้เขียนได้เคยแปลไว้มาให้ได้ฟังกัน​
Atitheb Chaiyasitdhi
"...ผู้กล่าวปาฐกถาอันประกอบด้วยเผิงพ่าย ฮวงเฟิ่งหลินและหยางฉีซานได้แสดงให้เห็นว่าก่อนที่การปฏิวัติของชนชั้นกรรมาชีพจะเป็นจริงย่อมไม่อาจมีปีใหม่ที่สุขสันต์ เพราะวันตรุษจีนคือช่วงเวลาที่เหล่าผู้กดขี่จะใช้เป็นโอกาสเรียกร้องให้เราชดใช้หนี้ ดังนั้นที่พวกเราได้มารวมกันในวันนี้หาใช่เพราะความสุขไม่ แ
Atitheb Chaiyasitdhi
"...ข้าพเจ้าสังเกตว่าในวันหนึ่งขณะที่ข้าพเจ้ากำลังเดินเข้าไปในเมือง คนที่อยู่ในร้านค้าต่างก็มองข้าพเจ้าด้วยสายตาแปลกๆ ต่อมาไม่นานพวกญาติๆ ของข้าพเจ้าก็เริ่มเอาอาหารมาให้ ไถ่ถามอาการว่าที่ข้าพเจ้า "ป่วย" นั้นเป็นอย่างไรบ้าง ข้าพเจ้าค่อยมาคิดได้ทีหลังว่าทำไมผู้คนจึงปฏิบัติกับข้าพเจ้าเช่นนี้ ครั้งหนึ่งคนรับใช้ในบ้านบอกแก่ข้าพเจ้าว่า "ต่อไปนี้นายท่านควรอยู่แต่ในบ้านแล้วพักผ่อนเสียจะดีกว่า" ข้าพเจ้าถามว่าทำไมถึงเป็นเช่นนั้น เขาก็ตอบกลับมาว่า "ผู้คนข้างนอกนั่นต่างก็พูดกันน่ะสิว่านายท่านน่ะบ้าไปแล้ว นายท่านควรจะพักผ่อนแล้วก็ดูแลตัวเองจะดีกว่า"…
Atitheb Chaiyasitdhi
"...ด้านล่างนี้เป็นส่วนหนึ่งจากบันทึกของเผิงพ่าย (ค.ศ. 1896-1929) เกี่ยวกับความพยายามบุกเบิกจัดตั้งสหภาพชาวนาขึ้นในช่วงปี ค.ศ. 1921-1923 เผิงพ่ายเริ่มมีความสนใจในลัทธิสังคมนิยมของชาวนาขณะที่เขาศึกษาอยู่ในประเทศญี่ปุ่นช่วงปี ค.ศ. 1918-1921 ต่อมาเขาได้เข้าร่วมกับพรรคคอมมิวนิสต์จีนเมื่อเดินทางกลับจากประเทศญี่ปุ่นและเริ่มนำความคิดสู่การปฏิบัติ บันทึกนี้ครอบคลุมเรื่องราวความสำเร็จในช่วงต้น ก่อนที่เผิงผ่ายจะต้องหลบหนีจากตำบลไห่เฟิงเมื่อเจ้าหน้าที่รัฐท้องถิ่นตัดสินใจกำจัดสหภาพชาวนา..." 
Atitheb Chaiyasitdhi
ไม่รู้ว่า ประชาไท เขาให้แปลข่าวเพี้ยนๆ แบบนี้ได้หรือเปล่า แต่ถือว่าเป็นการ "สวัสดีปีใหม่" ด้วยการเอาเรื่องตลกๆ แปลกๆ ที่กำลังฮิตในเมืองจีนตอนนี้มาเล่าให้ฟังแล้วกัน "20 ข่าวเพี้ยนประจำปี 2014" (2014年二十大没品新闻) ถูกโพสต์ในหลายเว็บไซต์ของจีนเช่น Sina Weibo และ i
Atitheb Chaiyasitdhi
ผู้เขียนได้ข้อสรุปที่ต่างจากคนอื่น คือสังคมไทยไม่ได้ย่ำแย่ที่ขาดความตระหนักรู้ในเรื่องความเลวทรามของนาซี เพราะเราจะเห็นคนจำนวนมากลุกขึ้นมาวิจารณ์การกระทำเหล่านั้นว่าโง่เขลาทันที แต่สังคมไทยขาดการเรียนรู้เรื่องของตนเองมากกว่า มีใครรู้บ้างว่ากองทัพญี่ปุ่นทำกิจกรรมประเภทใดในประเทศไทย? มีใครรู้บ้างว่าแถวบางกอกน้อยในอดีตมีสถานีบำเรอกามของกองทัพญี่ปุ่นที่นำเอาชาวจีนโพ้นทะเลจากประเทศเพื่อนบ้านเข้ามาเป็นทาสกาม?
Atitheb Chaiyasitdhi
หลังข่าวการเปิดโปงว่าสำนักงานความมั่นคงแห่งชาติ(NSA)สอดแนมข้อมูลของประชาชนและความลับของประเทศอื่นโดยนายเอ็ดเวิร์ด สโนว์เดน(Edward Snowden) ผู้คนต่างก็จับตามองความเคลื่อนไหวของสหรัฐฯในการไล่ล่าอดีตเจ้าหน้าที่หน่วยข่าวกรองกลาง(CIA)รายนี้ ผู้ยังคงพำนักอยู่ในสนามบินนานาชาติเชเรเมเตียโว(Sheremetyevo)ก