"...ข้าพเจ้าสังเกตว่าในวันหนึ่งขณะที่ข้าพเจ้ากำลังเดินเข้าไปในเมือง คนที่อยู่ในร้านค้าต่างก็มองข้าพเจ้าด้วยสายตาแปลกๆ ต่อมาไม่นานพวกญาติๆ ของข้าพเจ้าก็เริ่มเอาอาหารมาให้ ไถ่ถามอาการว่าที่ข้าพเจ้า "ป่วย" นั้นเป็นอย่างไรบ้าง ข้าพเจ้าค่อยมาคิดได้ทีหลังว่าทำไมผู้คนจึงปฏิบัติกับข้าพเจ้าเช่นนี้ ครั้งหนึ่งคนรับใช้ในบ้านบอกแก่ข้าพเจ้าว่า "ต่อไปนี้นายท่านควรอยู่แต่ในบ้านแล้วพักผ่อนเสียจะดีกว่า" ข้าพเจ้าถามว่าทำไมถึงเป็นเช่นนั้น เขาก็ตอบกลับมาว่า "ผู้คนข้างนอกนั่นต่างก็พูดกันน่ะสิว่านายท่านน่ะบ้าไปแล้ว นายท่านควรจะพักผ่อนแล้วก็ดูแลตัวเองจะดีกว่า" คำตอบของเขาเกือบทำให้ข้าพเจ้าต้องตายเพราะหัวร่อ..."
การรวมตัวต่อสู้ของบุคคลทั้ง 6
หลังจากวันนั้น ข้าพเจ้าได้ใช้เวลาสองสัปดาห์อยู่ที่บริเวณทางแยก หากไม่พูดคุยกับชาวนาที่เดินผ่านมาก็จะกล่าวปราศรัย พวกชาวนาที่มาคุยกับข้าพเจ้าก็ได้เพิ่มขึ้นเป็นสิบคนแล้ว สำหรับผู้ฟังนั้นก็มีสักสามสิบหรือสี่สิบคนได้ นี่ถือเป็นก้าวที่สำคัญก้าวหนึ่งโดยแท้จริง ข้าพเจ้าสังเกตว่าในวันหนึ่งขณะที่ข้าพเจ้ากำลังเดินเข้าไปในเมือง คนที่อยู่ในร้านค้าต่างก็มองข้าพเจ้าด้วยสายตาแปลกๆ ต่อมาไม่นานพวกญาติๆ ของข้าพเจ้าก็เริ่มเอาอาหารมาให้ ไถ่ถามอาการว่าที่ข้าพเจ้า "ป่วย" นั้นเป็นอย่างไรบ้าง ข้าพเจ้าค่อยมาคิดได้ทีหลังว่าทำไมผู้คนจึงปฏิบัติกับข้าพเจ้าเช่นนี้ ครั้งหนึ่งคนรับใช้ในบ้านบอกแก่ข้าพเจ้าว่า "ต่อไปนี้นายท่านควรอยู่แต่ในบ้านแล้วพักผ่อนเสียจะดีกว่า" ข้าพเจ้าถามว่าทำไมถึงเป็นเช่นนั้น เขาก็ตอบกลับมาว่า "ผู้คนข้างนอกนั่นต่างก็พูดกันน่ะสิว่านายท่านน่ะบ้าไปแล้ว นายท่านควรจะพักผ่อนแล้วก็ดูแลตัวเองจะดีกว่า" คำตอบของเขาเกือบทำให้ข้าพเจ้าต้องตายเพราะหัวร่อ ในภายหลังข้าพเจ้าจึงค้นพบว่าพวกชนชั้นสูงเป็นต้นเหตุปล่อยข่าวลือเรื่องข้าพเจ้าเสียสติ ไม่เพียงเท่านั้น พวกชาวนาในหมู่บ้างบางกลุ่มก็พาลเชื่อข่าวลือนี้เสียด้วย พวกเขาหวาดกลัวและพยายามหลบหน้าข้าพเจ้า แต่ก็ไม่เป็นไร ข้าพเจ้ายังคงมุ่งหมายเผยแพร่ความคิดอยู่ที่ด้านหน้าของวัดหลงหวางต่อไป
วันหนึ่ง ในขณะที่ข้าพเจ้ากำลังกล่าวปราศรัยว่าหากชาวนาสามารถรวมตัวกันได้แล้วล่ะก็ พวกเขาก็จะสามารถเรียกร้องลดค่าเช่าที่ดินและลดทอนอำนาจของพวกเจ้าที่ดิน และกำจัดพวกเครื่องมือที่เจ้าที่ดินใช้กดขี่ชาวนาอย่างกฎสัญญาสามข้อ การเรียกบังคับของขวัญหรือให้เอาค่าเช่าไปจ่ายที่บ้าน การเพิ่มค่าเช่า การขับไล่ออกจากที่ดิน พอข้าพเจ้ากล่าวถึงตรงนี้ ชาวนาที่อายุประมาณสี่สิบปีก็พูดขึ้นด้วยเสียงอันดังว่า "เจ้าก็ได้แต่พล่ามเท่านั้นแหละ ที่พูดมาทั้งหมดนี่ก็เรื่องลดค่าเช่าไม่ใช่รึ ตราบใดที่ครอบครัวของเจ้าเองยังไม่ยอมลดค่าเช่า ข้าก็คงเชื่อเจ้าไม่ได้แม้สักคำเดียว" ก่อนที่ข้าพเจ้าจะทันโต้ตอบอะไร ชาวนาหนุ่มคนนึงที่นั่งอยู่ใกล้ๆ ข้าพเจ้าก็ยืนขึ้นแล้วตอบชาวนาคนนั้นกลับไปว่า "เจ้าผิดแล้ว" เขาพูด "ที่ดินที่เจ้าสังกัดเป็นของพวกหมิงเหอ (名合, ชื่อเรียกครอบครัวของเผิงพ่าย มาจากชื่อร้านค้าที่ก่อตั้งในสมัยปู่ของเขาและสร้างรายได้อย่างมาก - ผู้แปล) ถ้าหากพวกหมิงเหอยอมลดค่าเช่า ก็มีแค่เจ้าที่ได้ประโยชน์ แล้วพวกข้าล่ะ? ข้าเองก็ไม่ได้สังกัดอยู่ในที่ดินของพวกหมิงเหอ สิ่งที่เรากำลังพูดถึงไม่ใช่การอ้อนวอนขอให้พวกเจ้าที่ดินลดค่าเช่า แต่คือการรวมตัวกัน เรื่องนี้มันก็เหมือนกับการเล่นหมากรุก ชัยชนะจะเป็นของคนที่เล่นด้วยยุทธวิธีที่ดีที่สุด ถ้าหากเราไม่มียุทธวิธีอะไรเลย เราก็จะพ่ายแพ้ในท้ายที่สุด มันเปล่าประโยชน์ที่เราจะเที่ยวไปร้องขอจากคนอื่น เราไม่ได้กำลังพูดถึงเฉพาะปัญหาของเจ้าคนเดียว เรากำลังพูดถึงปัญหาของชาวนาทั้งหมด ปัญหาของคนส่วนใหญ่"
ข้าพเจ้ามีความสุขมากที่ได้ยินเช่นนี้ ข้าพเจ้ากล่าวกับตัวเองว่า "คนนี้แหละคือเพื่อนร่วมอุดมการณ์ของข้าพเจ้า" หลังจากได้ไถ่ถามชื่อของเขา ข้าพเจ้าก็ได้เชิญให้สุภาพบุรุษชื่อจางมาอาน(张妈安)คนนี้มาพบที่บ้านในตอนกลางคืนเพื่อพูดคุยกันต่อ ข้าพเจ้ายินดีอย่างยิ่งเมื่อเขามาถึง เขากล่าวแก่ข้าพเจ้าว่า "ท่านรู้ไหม บ่อยครั้งที่เราฟังท่านปราศรัยแล้วได้ถกเถียงกับชาวนาที่ยัง 'หลับไหล' อยู่ พวกเขามักจะคิดว่าท่านกำลังเล่าเรื่องโกหก แต่ก็มีพวกเราอยู่สองสามคนที่เชื่อในสิ่งที่ท่านพูด"
"เขาคือใครกันบ้างหรือครับ?" ข้าพเจ้าถาม
เขาพูดถึงคนชื่อหลินเพ่ย (林沛) หลินห้วน(林焕) หลี่เล่าสื้อ(李老四) และหลี่ซือเสียน(李思贤) ก่อนจะตบท้ายว่า "พวกเขาต่างเป็นเพื่อนที่ดีของข้า"
"ท่านคิดว่าเราควรจะชวนพวกเขามาพูดคุยด้วยดีหรือไม่? ระหว่างที่ท่านไปตามพวกเขามา ผมจะเป็นคนเตรียมน้ำชาเอง"
เขาตอบว่าเห็นด้วย แล้วจางมาอานก็กลับมาพร้อมกับเพื่อนๆ ซึ่งต่างก็เป็นชาวนาหนุ่มในวัยไม่เกินสามสิบปี พวกเขาแสดงความเห็นด้วยความกระตือรือร้น หลังจากที่ข้าพเจ้าได้รู้จักกับแต่ละคนดียิ่งขึ้นแล้ว ข้าพเจ้าก็เริ่มชวนพวกเขาพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องขบวนการชาวนา ข้าพเจ้าพูดถึงปัญหาหนักใจ "ทุกๆ ครั้ง ที่ผมพยายามเข้าไปในหมู่บ้านเพื่อเผยแพร่ความคิด ไม่มีชาวนาคนไหนให้ความสนใจกับความคิดของผมสักคนเดียว บางคนก็ไม่ยอมแม้แต่จะพูดด้วย พวกท่านมีทางออกหรือไม่?"
หลินเพ่ยตอบ "มันก็มีสาเหตุอยู่ คือ หนึ่ง ชาวนาต่างก็ยุ่ง พวกเขามีงานต้องทำ สอง สิ่งที่ท่านพูดมันลึกซึ้งเกินไป บางครั้งแม้แต่พวกเราเองก็ไม่เข้าใจ สาม ท่านไม่มีคนที่ช่วยนำทาง เวลาที่เหมาะสมที่สุดในการเข้าไปในหมู่บ้านก็คือช่วงหนึ่งหรือสองทุ่ม เพราะเป็นช่วงที่พวกชาวบ้านว่างที่สุด ดังนั้น ถ้าหากว่าพวกเราสามารถพาท่านเข้าไปในหมู่บ้าน ส่วนท่านก็ย่อยในสิ่งที่จะพูดให้เข้าใจง่ายขึ้น ถึงตอนนั้นก็คงจะไม่มีปัญหาอะไรแล้ว"
จากสิ่งที่เขาพูด ทำให้ข้าพเจ้าพบว่าเขาเป็นคนที่ฉลาดมาก เขายังเตือนข้าพเจ้าด้วยว่าให้ระมัดระวังคำพูดโดยไม่ควรพูดถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในทางไม่ดีระหว่างที่พูดคุยกับพวกชาวนา คำแนะนำของเขาทำให้ข้าพเจ้าเคารพเขามากยิ่งขึ้นไปอีก
"ขอให้ถือว่าพวกเราได้ตั้งสหภาพชาวนาขึ้นแล้ว" หลี่เล่าสื้อกล่าว "ถ้าหากมีคนร่วมกับเรามากขึ้นก็คงจะดีเยี่ยม แต่ถ้าไม่ พวกเราก็แค่เดินหน้าต่อไป คิดว่าอย่างไรล่ะ?"
"ท่านกล่าวได้ดี" ข้าพเจ้าพูดขึ้น "วันพรุ่งนี้ผมจะเข้าไปในหมู่บ้านกับพวกคุณสองคน ในตอนกลางคืนพวกเราจะจัดปราศรัยกัน" พวกเขาเห็นด้วยว่านี่เป็นความคิดที่ดีและเราได้ตัดสินใจว่าจะให้จางมาอานและหลินเพ่ยเข้าไปในหมู่บ้านพร้อมกับข้าพเจ้า
พวกเราพูดคุยกันต่อเป็นเวลานาน หลังจากประชุมเสร็จสิ้นแล้ว ข้าพเจ้าได้เขียนในบันทึกส่วนตัวว่า "ชัยชนะอยู่ใกล้แค่เอื้อม"
ในวันรุ่งขึ้น หลังเวลาอาหารเช้า เพื่อนชาวนาของข้าพเจ้าคือจางมาอานและหลินเพ่ยก็มาพบกับข้าพเจ้าและนำข้าพเจ้าไปยังหมู่บ้านที่อยู่รอบๆ ภูเขาชื่อซาน เพราะเหตุที่พวกเขาช่วยแนะนำตัวให้กับข้าพเจ้า พวกชาวนาจึงรู้สึกเป็นกันเองและพูดคุยกับข้าพเจ้าอย่างเปิดอก ข้าพเจ้าชวนให้พวกเขามาร่วมฟังบรรยายในตอนกลางคืนและพวกเขาก็ตอบกลับมาด้วยความกระตือรือร้น พอถึงตอนกลางคืน ข้าพเจ้าก็พบว่าพวกเขาเตรียมโต๊ะ เก้าอี้และโคมไฟไว้ให้เรียบร้อยแล้ว ขณะนั้นมีผู้ฟังอยู่ประมาณหกถึงเจ็ดสิบคน เด็กๆ นั่งอยู่ด้านหน้า ถัดไปก็เป็นพวกผู้ชาย ส่วนผู้หญิงนั่งอยู่ข้างหลัง ข้าพเจ้าได้พูดถึงสาเหตุแห่งความทุกข์ยากที่พวกเขาต้องผจญ การกดขี่บีฑาของพวกเจ้าที่ดิน และชี้หนทางแห่งการปลดแอกชาวนา ข้าพเจ้าใช้วิธีให้ผู้ฟังถามและข้าพเจ้าตอบ จากนั้นจึงถามผู้ฟังว่าเห็นด้วยหรือไม่ ข้าพเจ้าพบว่าพวกเขาเข้าใจสิ่งที่ข้าพเจ้าพูดอย่างดี จากนั้นข้าพเจ้าจบการบรรยายโดยทิ้งท้ายว่า ในการบรรยายครั้งหน้า ข้าพเจ้าจะแจ้งให้ทราบล่วงหน้าและจะมีการเล่นแผ่นเสียงกับเล่นมายากลให้พวกเขาดูด้วย
ในวันต่อมา เมื่อพวกเราเข้าไปในหมู่บ้านอื่นๆ ก็พบผลตอบรับที่ดีไม่น้อยกว่ากัน ในวันที่สาม ข้าพเจ้าจึงประกาศว่า ในการบรรยายครั้งนี้จะมีการเล่นมายากลด้วย เมื่อถึงวันบรรยายก็มีชาวบ้านมาเข้าร่วมฟังกว่าสองร้อยคน พวกเขาปรบมือให้กับการแสดงมายากลของข้าพเจ้าและตั้งใจฟังการบรรยายอย่างดี ในสัปดาห์ต่อๆ มา ข้าพเจ้าก็ยังคงใช้วิธีเช่นนี้อยู่เพราะพบว่ามันประสบความสำเร็จอย่างยิ่ง แต่แล้วข้าพเจ้าก็สังเกตเห็นว่าหลินเพ่ยและจางมาอานแสดงอาการเครียดและวิตก ข้าพเจ้าคิดว่าอาจจะเป็นเพราะข่าวลือของพวกเจ้าที่ดินที่ทำให้พวกเขาไม่สบายใจก็เป็นได้ จนต่อมาข้าพเจ้าจึงมีโอกาสได้ถามว่าเกิดอะไรขึ้นกับพวกเขา ในตอนแรกพวกเขาตอบว่าไม่มีอะไร แต่เมื่อข้าพเจ้ากดดันมากเข้า หนึ่งในพวกเขาจึงอธิบายว่า "บิดามารดาและพี่น้องของพวกเราต่างเสียใจที่เราใช้เวลาไปกับท่านแทนที่จะทำงานในท้องนา บิดาและมารดาของข้าตะคอกว่า 'แกเอาแต่เที่ยวเตร่กับเผิงพ่าย เผิงพ่ายมันไม่อดตายหรอก แต่พวกเราน่ะสิจะเอาตัวรอดยังไง!' ในตอนเช้าวันนี้ ตอนที่ข้าออกจากบ้านมา บิดาของข้าเกือบจะทุบตีข้า ไม่ใช่แค่บิดามารดา แม้แต่เมียและพี่น้องของข้าต่างก็เสียใจ นั่นคือเหตุผลว่าทำไมข้าถึงดูเศร้าหมอง"
หลังจากพูดคุยถกเถียงกันอยู่เป็นเวลานาน พวกเราสามคนก็ได้แผนขึ้นมาดังนี้ คือข้าพเจ้าจะไปยืมเงินจำนวนสามเหรียญเงินจากเพื่อนแล้วก็ให้หลินเพ่ยยืมไป พอเขากลับบ้าน เขาก็จะเอาเงินออกมานับ แล้วก็แกล้งทำตกพื้นให้มีเสียงดัง ซึ่งแน่นอนว่า มารดาของเขาจะต้องถามว่าได้เงินมาจากไหน เขาก็จะได้ตอบไปว่า "ใครกันหาว่าข้าเอาแต่เที่ยวเตร่ไม่ทำมาหากิน? แม่คิดว่าที่ข้าลงทุนลงแรงไปนี่เพื่อเอาสนุกอย่างนั้นหรือ? ข้าทำเพื่อเงินต่างหาก" พอมารดาของเขาได้ยินเช่นนี้ หล่อนย่อมเปลี่ยนความโกรธเป็นความยินดี พี่น้องของเขาจะต้องหยุดวิจารณ์ แม้แต่ภรรยาก็จะต้องดีใจที่เห็นว่าสามีทำเงินได้ไม่น้อย พอเหตุการณ์เป็นปกติดังนี้ หลินเพ่ยก็ส่งเงินนั้นต่อให้จางมาอานผู้ซึ่งประสบความสำเร็จเช่นเดียวกัน จนท้ายที่สุดพวกเราก็ได้คืนเงินให้กับเจ้าของเงิน แผนนี้ช่วยซื้อเวลาประมาณหนึ่งสัปดาห์ ในระหว่างนี้หลินเพ่ยกับจางมาอานได้ฝึกฝนอย่างหนักจนพวกเขาสองคนก้าวหน้าเป็นอย่างมากและสามารถขึ้นกล่าวปราศรัยได้ด้วยตนเอง
อย่างไรก็ตาม ไม่มีอะไรยากยิ่งไปกว่าการชักชวนให้ชาวนาเข้าร่วมสหภาพ พวกเขามักจะตอบว่า "ฉันก็เห็นด้วยนะ แต่ฉันจะเข้าร่วมก็ต่อเมื่อคนอื่นๆเข้าร่วมกันหมดก่อน" เราอธิบายให้พวกเขาฟังว่า ถ้าหากทุกคนพากันคิดอย่างนี้ สหภาพชาวนาก็คงจะไม่สามารถเกิดขึ้นจริงได้ในพันหรือหมื่นปีนี้หรอก เราบอกกับพวกเขาว่าการเข้าร่วมสหภาพชาวนาก็เหมือนกับการข้ามแม่น้ำ ในฝั่งนี้คือความทุกข์ยาก แต่เมื่อข้ามไปแล้ว อีกฝั่งนึงก็คือความสุขสมบูรณ์ พวกเราทุกคนต่างก็กลัวจะจมน้ำกันทั้งนั้น จึงไม่มีใครกล้าข้ามแม่น้ำเป็นคนแรก แต่การเข้าร่วมสหภาพก็คือการร่วมมือกัน ช่วยเหลือให้ข้ามแม่น้ำไปด้วยกันได้ เราอธิบายว่า สหภาพชาวนาก็คือองค์กรที่พวกเราสามารถร่วมกันแสดงความเห็นและตัดสินใจ สมาชิกสหภาพผูกพันกันยิ่งกว่าพี่น้อง ชาวนาหลายคนเห็นด้วยกับความคิดนี้ เมื่อพวกเขาตัดสินใจจะเข้าร่วมสหภาพและเราเริ่มเขียนชื่อพวกเขาลงในบันทึก ชาวนาคนอื่นๆ ต่างก็หวาดกลัวและพากันเดินหนีไปอย่างรวดเร็ว ข้าพเจ้าต้องหยุดการลงทะเบียนด้วยวิธีจดชื่อ ถึงกระนั้นก็หาสมาชิกเพิ่มได้แค่สองคนภายในหนึ่งสัปดาห์ เมื่อถึงตอนสิ้นเดือน พวกเราก็มีสมาชิกเพียงประมาณสามสิบคน
ในช่วงเวลานี้เอง มีอุบัติเหตุเกิดขึ้นในหมู่บ้านอวิ๋นลู่ซึ่งอยู่ในเขตภูเขาชื่อซาน ลูกสะใภ้ของสมาชิกคนหนึ่งในสหภาพชาวนาซึ่งมีอายุเพียง 6 ขวบ จมน้ำเสียชีวิต ชาวบ้านประมาณสามสิบหรือสี่สิบคนจากหมู่บ้านของเธอพากันมาที่หมู่บ้านของพวกเรา พวกเขากล่าวหาว่าสมาชิกของเราเป็นคนสังหารและต้องการล้างแค้น สมาชิกสหภาพของเราทั้งสามสิบคนจัดประชุมเพื่อหาทางตอบโต้ พวกเราตัดสินใจพากันไปเจอพวกเขาเพื่อหาข้อสรุปกับครอบครัวของผู้ตาย พอเราไปถึงที่นั่น เราถามพวกเขาว่าอะไรคือหลักฐานที่พวกเขาใช้กล่าวหาสมาชิกของเราและพวกเราก็ขอจดชื่อพวกเขาทุกคนลงในสมุดบันทึก จากนั้นพวกเราก็กล่าวข่มพวกเขาว่า "พวกเจ้าพลาดแล้ว" พอได้ยินดังนั้นพวกเขาต่างก็หวาดกลัวเพราะถูกจดชือไว้หมดทุกคน หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่ระดับตำบลคนหนึ่งชื่อโจวเมิ่งเหมยก็เดินทางมาไกล่เกลี่ย เขาบอกว่าสมาชิกของเราควรจะยอมรับโทษเสีย พวกเราจึงพากันขับไล่จนเขาแทบหนีไปไม่ทัน ในตอนนี้ญาติๆ ของผู้เสียชีวิตต่างก็หวาดกลัวยิ่งขึ้นกว่าเดิม พวกเขาขอร้องเรา "อย่างน้อยก็ให้พวกเราได้ตรวจดูศพสักหน่อยเถอะ"
เราตอบพวกเขาว่า "เอาเลย ถ้าพวกเจ้ากล้า ถ้าพวกเจ้าไม่กลัวจะถูกจับขังคุกน่ะนะ เอาเลย ไปเปิดโลงดูเอาเลย" พวกผู้หญิงของทางฝั่งนั้นต่างก็แสดงอาการกลัวเมื่อเราพูดถึงคำว่า "คุก" ขึ้นมา พวกหล่อนกระตุกเสื้อของพวกผู้ชาย ส่งสัญญาณว่ากลับหมู่บ้านเสียจะดีกว่า
พอถึงตอนนี้ เราก็กดดันพวกเขามากขึ้น จนพวกเขาถามว่า "พวกเรามาในฐานะของญาติผู้ตาย แล้วพวกเจ้ามาเกี่ยวอะไรด้วย"
"พวกเจ้าไม่รู้หรือว่าตอนนี้เราจัดตั้งสหภาพชาวนาขึ้นแล้ว?" พวกเราตอบ "สหภาพชาวนาก็คือสหภาพของผู้ยากไร้ สมาชิกสหภาพสามัคคีกลมเกลียวยิ่งกว่าพี่น้องจริงๆ เสียอีก อะไรที่ทำให้สมาชิกคนหนึ่งเดือดเนื้อร้อนใจก็คือปัญหาของสมาชิกทุกคนด้วย ในวันนี้ สหายของเราคนนี้ได้รับความเดือดร้อน พวกเราจึงเสี่ยงชีวิตมาช่วยเขา พวกเจ้าเองก็ต่างก็เป็นชาวนาเหมือนกัน วันหนึ่งก็คงจะได้เข้าร่วมสหภาพอย่างแน่นอน พวกเราจะช่วยพวกเจ้าเช่นเดียวกับที่ช่วยผู้ชายคนนี้ เอ้า! พวกเจ้ารีบกลับบ้านไปซะเถอะ"
การจากไปของพวกเขาทำให้พวกเราทุกคนโล่งอก ไม่มีใครในหมู่เราที่ได้รับบาดเจ็บแม้แต่รอยขีดข่วน หลังจากนั้นข่าวก็แพร่กระจายออกไป ชาวนาจำนวนมากเริ่มรู้ว่าสมาชิกของสหภาพรักใคร่ดุจพี่น้องและสามารถรวมตัวกันช่วยเหลือสมาชิกคนอื่นๆ ได้ พวกเราใช้เหตุการณ์นี้เป็นเครื่องมือโฆษณาชวนเชื่อ "หากเราไม่ร่วมมือกัน เราย่อมไม่มีพลัง และหากเราไม่มีพลัง เราย่อมถูกเอาเปรียบได้โดยง่าย ถ้าหากเราต้องการพลัง ชาวนาต้องเข้าร่วมสหภาพโดยทันที" ด้วยเหตุนี้ สมาชิกของเราก็ค่อยๆ เพิ่มขึ้น
ไม่นานหลังจากนั้น เราพบว่าชาวนาบางคนพยายามจะเข้าไปยึดครองที่ดินของคนอื่น พวกเจ้าที่ดินจึงสบโอกาสเพิ่มค่าเช่าและเปลี่ยนคนเช่าใหม่ ดังนั้นสหภาพจึงได้เริ่มกำหนดกฎขึ้นเพื่อป้องกันเหตุการณ์เช่นนี้ โดยกฎเหล่านั้น อาจสรุปโดยย่อได้ดังนี้:
- ห้ามบุคคลอื่นทำงานในที่ดินที่สมาชิกของสหภาพเป็นผู้เช่า เว้นแต่ได้รับอนุญาตจากสหภาพและสมาชิกผู้เช่าที่ดินนั้น
- ห้ามบุคคลอื่นเช่าที่ดินที่สมาชิกของสหภาพได้เช่าอยู่ก่อนแล้ว โดยที่ผู้เช่าที่ดินอยู่ก่อนนั้นไม่ได้บอกเลิกเช่าหรือได้รับอนุญาตจากสหภาพ ผู้ละเมิดข้อบังคับนี้ย่อมได้รับการลงโทษขั้นรุนแรง
- ในกรณีที่เจ้าที่ดินพยายามยึดที่ดินคืนจากสมาชิกของสหภาพด้วยการเพิ่มค่าเช่าและทำให้สภาพความเป็นอยู่ของสมาชิกเลวร้ายขึ้น สมาชิกผู้นั้นอาจร้องขอความช่วยเหลือจากสหภาพ ไม่ว่าจะด้วยการช่วยเหลือให้ได้ทำงานประเภทอื่นหรือโน้มน้าวขอความอนุญาตจากสมาชิกอื่นให้สามารถทำงานในนาของพวกเขา
หลังจากที่เรากำหนดกฎเหล่านี้ขึ้นก็ไม่มีการแก่งแย่งชิงดีกันเองระหว่างสมาชิกของสหภาพอีกเลย แม้แต่พวกเจ้าที่ดินก็ไม่กล้าขึ้นค่าเช่าที่ดินกับสมาชิกของสหภาพ อย่างไรก็ตาม ยังมีกรณีที่ชาวนาซึ่งไม่ใช่สมาชิกสหภาพพยายามจะแย่งที่นาซึ่งเช่าโดยสมาชิกของสหภาพอยู่ก่อนแล้ว แต่เมื่อพวกเขาได้พูดคุยกับตัวแทนของสหภาพ พวกเขาก็ยอมคืนที่ดินให้กับสมาชิกของเราอย่างรวดเร็ว มีอยู่ครั้งหนึ่งที่เจ้าที่ดินไม่ยอมคืนที่ดินให้ผู้เช่าเดิม (ซึ่งเป็นสมาชิกของสหภาพ) ทำให้พวกเราตัดสินใจประกาศบอยคอต เหตุนี้ทำให้เจ้าที่ดินยอมคืนที่ดินให้กับสมาชิกของสหภาพอีกครั้ง เพราะกลัวว่าจะไม่มีคนมาเช่าที่ดินผืนนั้น และนี่คืออีกหนึ่งชัยชนะของพวกเรา
นอกจากนี้ยังมีเรื่องที่พวกชาวนาต้องพายเรือเข้าไปในเมืองเพื่อเก็บอุจจาระคนมาทำเป็นปุ๋ย พวกนักเลงก็จะบังคับให้พวกเขาจ่ายเงินค่าเทียบท่าเรือ ถ้าชาวนาไม่ยอม พวกนักเลงก็จะเอาหางเสือเรือออก ถ้าชาวนาอยากจะได้หางเสือคืน ก็จะต้องจ่ายเงินเพิ่มขึ้นอีกหลายเท่าตัว พวกชาวนาต่างก็พากันเบื่อหน่ายกับพฤติกรรมเช่นนั้น สหภาพของเราจึงประกาศว่าจะแก้ไขปัญหานี้ วิธีการของเราคือดังนี้ เมื่อใดก็ตามที่พวกนักเลงเดินทางเข้ามาในหมู่บ้าน หรือพายเรือผ่านมา พวกเราจะเรียกค่าผ่านทาง ถ้าหากพวกเขาไม่ยอม เราก็จะไม่ยอมจ่าย "ค่าเทียบเท่าเรือ" ของพวกนักเลงด้วยเช่นเดียวกัน ด้วยวิธีนี้ สุดท้าย "ค่าเทียบท่าเรือ" ก็ถูกยกเลิกไปโดยง่ายดาย
พวกเรายังพบด้วยว่าชาวนามักจะทะเลาะวิวาทกัน เสร็จแล้วพวกชนชั้นสูงก็จะหาประโยชน์จากพวกเขา หากพวกเขาฟ้องร้องคดีต่อศาล ครอบครัวก็จะแตกแยกและสูญเสียทรัพย์สินทุกอย่างไปในคดีความ ด้วยเหตุนี้ เราจึงส่งประกาศไปยังสมาชิกสหภาพทุกคนว่า หากสมาชิกของเรามีข้อทะเลาะวิวาทหรือข้อบาดหมางกันเอง ให้รายงานต่อสหภาพเป็นอันดับแรก หากสมาชิกคนใดไม่ยอมแจ้งให้สหภาพทราบแต่ไปเข้าหาพวกชนชั้นสูงหรือฟ้องร้องต่อศาลเองก่อน สมาชิกคนนั้นจะถูกขับออกจากสหภาพ และสหภาพจะสนับสนุนฝ่ายตรงข้ามทันทีต่อให้เขาเป็นฝ่ายถูกต้องก็ตาม และเมื่อใดก็ตามที่สมาชิกของเรามีข้อพิพาทกับคนที่ไม่ใช่สมาชิกของสหภาพ ก็จะต้องรายงานให้สหภาพทราบก่อนเช่นเดียวกัน นอกจากนี้ ในกรณีที่สมาชิกต้องการต่อรองกับเจ้าที่ดินและไม่ยอมรายงานให้สหภาพทราบก่อน สหภาพจะไม่รับผิดชอบต่อความล้มเหลวที่เกิดขึ้น
หลังจากนั้น อำนาจทางการเมืองก็ย้ายจากมือของพวกชนชั้นสูงและผู้มีอันจะกินมาสู่สหภาพชาวนา ตำรวจและเจ้าหน้าที่รัฐท้องถิ่นต่างก็โกรธแค้นสหภาพชาวนาเพราะพวกเขาสูญเสียรายได้จาก 'ธุรกิจ' (ขูดรีดชาวนาจากการมีคดีความ - ผู้แปล) ไปไม่น้อย และเพราะว่าสหภาพชาวนาของเราสามารถแก้ไขปัญหาจำนวนมากของชาวนาได้และยังนำชัยชนะหลายต่อหลายครั้งมาให้พวกเขา สมาชิกของสหภาพจึงเพิ่มขึ้นวันต่อวัน
ติดตามตอนต่อไป - ตอนที่ 3 จากสหภาพชาวนาแห่งภูเขาชื่อซานสู่ศูนย์กลางสหภาพชาวนาตำบลไห่เฟิง