ในฐานะนักประวัติศาสตร์
ผมได้พบข้อมูลระหว่าง พ.ศ. 2475
จนถึงปัจจุบันเป็นเวลา 81 ปีว่า
เรามีการออกกฎหมายนิรโทษกรรมมาแล้ว 22 ฉบับ
โดยแบ่งเป็นพ.ร.ก. 4 ฉบับ พ.ร.บ. 17 ฉบับ และรธน. 1 ฉบับ
สาระสำคัญของกฎหมายนิรโทษกรรมทั้ง 22 ฉบับ
คือ การนิรโทษกรรมให้ความผิดโดยแบ่งออกเป็น
- ความผิดฐานเปลี่ยนแปลงการปกครอง 1 ฉบับ
- ความผิดฐานก่อกบฎ 6 ฉบับ
- ความผิดจากการก่อรัฐประหาร 10 ฉบับ
- ความผิดจากการต่อต้านสงครามของญี่ปุ่น 1 ฉบับ
- ความผิดจากการชุมนุมทางการเมือง 3 ฉบับ
- ความผิดจากการกระทำอันเป็นคอมมิวนิสต์ 1 ฉบับ
ถ้านับกันจากระยะเวลา 81 ปี เฉลี่ยแล้ว 3 ปีครึ่ง
เราจะมีกฎหมายนิรโทษกรรม 1 ฉบับ
เหตุที่มีมากเช่นนั้น เพราะเป็นการรวมการรัฐประหาร 10 ฉบับ
และความผิดฐานกบฏ 6 ฉบับ
ซึ่งส่วนใหญ่เป็นความขัดแย้งของชนชั้นนำ
คิดเป็นร้อยละ 72.7
ขณะที่การนิรโทษกรรมความผิดจากการชุมนุมทางการเมือง 3 ฉบับในเหตุการณ์สำคัญ คือ
*เหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 : พ.ร.บ.นิรโทษกรรมแก่นักเรียน นิสิต นักศึกษา และประชาชน ซึ่งกระทำความผิดเกี่ยวเนื่องกับการเดินขบวนเมื่อวันที่ 13 ตุลาคม 2516
*เหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 : พ.ร.บ.นิรโทษกรรมแก่ผู้ซึ่งกระทำความผิดเนื่องในการชุมนุมในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ระหว่างวันที่ 4 ถึงวันที่ 6 ตุลาคม 2519
*เหตุการณ์พฤษภาคม 2535 : พ.ร.ก.นิรโทษกรรมแก่ผู้กระทำความผิดเนื่องในการชุมนุมระหว่างวันที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2535 ถึงวันที่ 21 พฤษภาคม 2535
กลายเป็นตลกร้ายทางการเมือง
เพราะ กฎหมายที่มุ่งนิรโทษกรรมความผิดจากการชุมนุมทางการเมืองทั้ง 3 ฉบับ
กลายเป็นว่าเป็นการนิรโทษกรรมเจ้าหน้าที่ไปพร้อมกันด้วย
กฎหมายนิรโทษกรรมกลายเป็น "ใบอนุญาตฆ่าประชาชน"
ผู้ซึ่งใช้สิทธิในทางการเมืองอย่างสุจริตไปโดยปริยาย
หลังจากรัฐประหาร 19 กันยายน 2549
ตามมาด้วยความขัดแย้งทางการเมืองที่ยืดเยื้อมาเกือบ 7 ปี
มีการล้มตายของประชาชนกลางเมืองหลวง และหัวเมืองต่างๆ
ในเหตุการณ์เมษา-พฤษภา 2553
จนกลายมาเป็นประวัติศาสตร์บาดแผล ที่ยากจะสมานได้ในเร็ววัน
แต่ผลพวงจากเหตุการณ์ดังกล่าว
ยังปรากฏนักโทษการเมือง ที่ถูกจองจำมาเป็นเวลานานนับปีอยู่หลายร้อยคน
นี่เป็นเหตุผลหนึ่ง ที่เราควรจะบอกให้โลกรู้่ว่า
นักโทษการเมือง จะต้องหมดไปจากประเทศไทย
ด้วยการออกกฎหมายนิรโทษกรรม
แต่ แต่ ขณะเดียวกัน การนิรโทษกรรมในปี 2556
ต้องไม่ใช่การนิรโทษกรรมเช่นในเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516
เหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519
และเหตุการณ์พฤษภาคม 2535
ที่เป็นการนิรโทษกรรมแบบ "เหมาเข่ง"
ให้ผู้ก่อความรุนแรงต่อผู้ชุมนุมทางการเมืองได้รับการนิรโทษกรรมไปด้วย
เพราะประวัติศาสตร์บอกเราชัดเจนว่า
ตราบใดที่ผู้กระทำผิดไม่ถูกลงโทษ ก็จะมีความุรนแรงตามมา
อย่าให้ประวัติศาสตร์สอนเราว่า
เราไม่เคยเรียนรู้อะไรจากประวัติศาตร์ต่อไปอีกเลย
cK@NoBlanketAmnestyนิรโทษกรรมเหมาเข่ง
บล็อกของ ชาญวิทย์ เกษตรศิริ
ชาญวิทย์ เกษตรศิริ
บทความของนักวิชาการฝรั่งสงครามกลางเมือง ในสยามประเทศไทยควรอ่าน ครับ (ข้างล่าง)
ชาญวิทย์ เกษตรศิริ
(ผมได้อ่าน ข้อคิด (ยาวๆ ข้างล่าง) ของปราบ อย่างละเอียดประทับใจ และดีใจ ที่มีเยาวชน คนหนุ่มสาว รุ่นใหม่คิดอะไร ที่เป็นบวก สร้างสรรค์ มากกว่าเป็นลบ และทำลาย)ผมขอเสนอความเห็นเพิ่มเติม cK@MyThoughtRicePledging ดังนี้:
ชาญวิทย์ เกษตรศิริ
2/2 Election or No Electionตลก.รธน และ กกต. ร่วมกับ ม็อบ ปกกส. และ ปชปให้เลื่อนเลือกตั้งแต่ พลเมืองดี (มธก.) เสนอว่า"ไปเลือกตั้ง ทั้งก่อนและหลัง 2 กุมภา"Go to the Poll before and on 2 Feb 2014ด้วยเหตุผล ดังต่อไปนี้
ชาญวิทย์ เกษตรศิริ
หนึ่ง)“ศรีสิขเรศวร” หรือ ปราสาทเขาพระวิหารปวศ บาดแผล เป็นหลุมดำปราสาท และ ดินเขา ศักดิ์สิทธิ ต้องมนตร์สาปผู้ไม่ใช่ ลูก หลาน เหลน โหลน ของสุริยวรมัน ชัยวรมันไปแตะ ไปต้อง ไปข้อง ไปเกี่ยวโดยขาดความเคารพ ในอดีต ในบรรพชนก็จะมี อันเป็นไป ครับสอง)
ชาญวิทย์ เกษตรศิริ
14 ตุลาคม 2516 ผ่านไปครบ 40 ปี "ไวเหมือนโกหก" และไม่ว่าเราจะเรียกเหตุการณ์นั้นว่าอะไรก็ตาม ก็เป็นหนึ่งในเหตุการณ์ของการที่ "ผู้กุมอำนาจรัฐ" กระทำกับประชาชนของตน และก็เกิดขึ้นกลางกรุงเทพมหานคร ที่มาจนถึง ณ วันนี้เกิดซ้ำแล้วซ้ำอีก รวม 4 ครั้งด้วยกัน (นี่ยังไม่นับรวมถึง เหตุการณ์ทำนองเดียวกันที่เกิดขึ้นในต่างจังหวัด หรือในดินแดนชายขอบ)