Skip to main content

เมื่อเข็มนาฬิกาเข็มที่สั้นที่สุด เลื่อนไปยังหมายเลขเก้า ทุกคนจึงขึ้นรถตู้ เคลื่อนขบวนไปยังศูนย์ศิลปและวัฒนธรรมแสงอรุณ  เมื่อถึงมีทีมงานเตรียมข้าวกล่องไว้รอให้ทาน

พอทานข้าวเสร็จพี่อ้อย ชุมชนคนรักป่า ก็มาบอกผมว่า  งานจะเริ่มบ่ายโมง  พร้อมกับยื่นใบกำหนดการให้ผมดู  ผมตื่นเต้นนิดหน่อย

พอบ่ายโมง งานก็เริ่มขึ้น โดยการฉายสไลด์เกี่ยวกับป่าชุมชนที่หมู่บ้านสบลาน อำเภอสะเมิงเชียงใหม่   
"ถ้าถึงคิวแล้วจะมาเรียกนะ” ทีมงานบอกกับผม

ในระหว่างที่ผมรออยู่หน้างานนั้น ผมก็ได้เจอกับนักเขียน นักดนตรี นักกวี ที่ทยอยมา ได้มีโอกาสคุยกับคนที่ผมรู้จัก และกำลังรู้จัก และที่ไม่รู้จักด้วย  ส่วนมากจะไต่ถามเรื่องของเตหน่ากู วิธีเล่น วิธีจับต่าง ๆ   ผมก็แนะนำตามที่ผมรู้  นับว่าเตหน่ากูเป็นเครื่องดนตรี แปลกใหม่สำหรับคนกรุงเทพฯและคนอื่นๆที่พบเห็น แต่ปัจจุบันเป็นเรื่องที่น่าเศร้า  ที่เตหน่ากู กลายเป็นเครื่องดนตรีแปลกใหม่สำหรับลูกหลานปวาเก่อญอแท้ๆ  ทั้งที่เป็นต้นตำรับของเครื่องดนตรีชนิดนี้  มันเป็นไปได้อย่างเหลือเชื่อ

การรอคอยผ่านไปเรื่อย ๆ  ตอนนี้ผมเห็นอ้ายไพฑูรย์  พรหมวิจิตร เริ่มแต่งองค์ทรงเครื่องแล้ว ผมก็เลยไปหยิบกางเกงสะดอของผมมาใส่พร้อมกับเสื้อปวาเก่อญอ แล้วเอาผ้าโพกหัวคล้องคอตามฉบับของผม  ผมสังเกตเห็นศิลปินรับเชิญหลายท่าน เริ่มเรียกอารมณ์กันแล้ว ผมนึกในใจว่า “พวกนี้กินน้ำชา หรือว่ากินเหล้ากันแน่?? กินได้ไม่หยุดหย่อน ไม่เมา ยากที่ผมจะลอกเลียนแบบ”

สักครู่ผู้จัดก็มาเชิญพี่อัคนี  มูลเมฆ  อ้ายไพฑูรย์ กับอ้ายแสงดาว ศรัทธามั่น ขึ้นเวที พี่ภูเชียงดาว มาเรียกผมกับพี่นก โถ่เรบอ บอกว่า "เตียมตั่วเน้อ เฮาจะขึ้นเวทีต่อจากอ้ายแสงดาว”
“ขออนุญาตไปเข้าห้องน้ำแป๊บนึ่งนะครับ” ผมบอกพี่ภู เชียงดาว
“โวยๆๆ หน้อยเน้อ” พี่ภู บอกผม ผมจึงรีบไปด้วยความเร่งรีบ

เมื่อเจอห้องน้ำผมรีบเข้าไปทันที จนผมทำธุระส่วนตัวเกือบเสร็จแล้วนั้น มีผู้หญิงกลุ่มใหญ่มาเข้าห้องน้ำ พร้อมทั้งคุยกันเสียงดัง โดยไม่เกรงใจคนอยู่ในห้องน้ำอย่างผม จนผมชักไม่แน่ใจว่า “นี่ เราเข้าห้องน้ำผู้หญิงหรือเปล่าวะ?”   ผมพยายามสำรวจห้องน้ำ เพื่อให้เห็นอะไรสักอย่างหนึ่งที่เป็นเอกลักษณ์ของห้องน้ำหญิงหรือชาย ผมมองไปที่ประตูห้องน้ำ มีป้ายเขียนว่า "ห้ามทิ้งผ้าอนามัยลงในโถส้วม"

ซวยละกู ! ผมต้องรอจนกว่าผู้หญิงกลุ่มนั้นออกจากห้องน้ำจนหมด แล้วค่อยย่องออกไป โดยก่อนออกไปพ้นปากประตูห้องน้ำ  ผมดูป้ายห้องน้ำอีกทีหนึ่งเพื่อความแน่ใจ  คราวนี้ผมแน่ใจแล้วว่าเข้าห้องน้ำผิดจริง ๆ  เพราะป้ายห้องน้ำเขียนคำสั้น ๆ เอาไว้ว่า "หญิง” ผมจึงรีบเผ่นทันทีเลย พอไปถึงหน้างาน พี่นกกับพี่ภูตามหาผมกันใหญ่เลย

พี่นกชวนเข้าไปรอด้านในงาน  เมื่อเข้าไปในงานก็เห็น อ้ายไพฑูรย์ กำลังอยู่บนเวที  พร้อมกับเสียงปะทัด  ต่อจากอ้ายไพฑูรย์ก็เป็นอ้ายแสงดาว กับบทกวี  “ห่อโข่เลอเหย่อโอะแผล่" ต่อด้วย "The World is My Country" ก็เริ่มขึ้น และสุดท้ายก็จบลงด้วย "เราจะอยู่ที่นี่เพราะ ห่อโข่เหม่เป่อต่าลอ"

พอพิธีกรประกาศให้พี่ภู เชียงดาวขึ้นไป พี่ภูก็ชวนพี่นก โถ่เรบอ พร้อมผมขึ้นไปด้วย โดยพี่ภู เป็นคนอ่านบทกวี พี่นก โถ่เรบอเป็นคนเป่าปี่เขาควาย ผมเป็นคนคลอเสียงเตหน่ากู ไปตามบทกวี
เมื่อขึ้นไปถึงบนเวที มีการทักทายผู้ชมนิดหน่อย ตามสไตล์ พี่ภู ผมเริ่มคลอเสียงเตหน่ากู เสียงปี่เขาควายของพี่นก โถ่เรบอก็ดังขึ้น พร้อมกับบทกวีของพี่ภู  เชียงดาวเริ่มขับขาน

ช่วงขณะจิตนั้น ทำให้ผมย้อนกลับมานึกทบทวนวัตถุประสงค์ของการมากรุงเทพฯ อีกครั้ง  คำบอกเล่า ของผู้เฒ่าได้แล่นเข้ามาในสมองของผม ทำให้คิดขึ้นมาอีกครั้ง พร้อมกับฟังบทกวีของพี่ภูไป เมื่อบทกวีจบลง เสียงปี่เขาควาย และเตหน่ากู ก็สงบลงเช่นกัน

พี่นก โถ่เรบอและพี่ภูลงเวทีไป  พี่นก โถ่เรบอหันมาบอกผมว่า  "มา เก แน เต่อ กา อ่อ"   พร้อมส่งยิ้มมา ซึ่งแปลว่า คุณต้องลุยเดี่ยวแล้วนะ

ผมจับไมค์ขึ้นมา คำบอกเล่าของผู้เฒ่ายังไม่ได้แล่นออกจากสมองของผม ทำให้ผมเห็นภาพของพี่น้องชนเผ่า ผู้หญิงแก่ เด็กๆ ผู้เฒ่า คนหนุ่ม คนสาว ที่รอฟังข่าว อยู่ที่บ้านป่าบ้านดอย พร้อมลุ้นทุกเวลาว่า หน่วยงานรัฐจะมีมติออกมายังไงเกี่ยวกับ พ.ร.บ.ป่าชุมชน

นั่นหมายถึงการชี้อนาคตของพวกเขารวมถึงผม ว่าจะอยู่หรือจะไป หรือหากอยู่ก็มีสิทธิ์แค่อยู่โดยไม่มีสิทธ์ในการใช้ทรัพยากรในพื้นที่หรือ?                                                                   

เพลงแรก ที่ผมจะขับร้องและบรรเลงคือเพลงหน่อฉ่าตู  เพลงนิทานปวาเก่อญอ ที่เคยขับร้องกันมาเป็นร้อย ๆ ปีมาแล้ว ที่บอกว่า "งูใหญ่จะกลืนเอาลูกหลานปวาเก่อญอลงไปในท้องงู”

ซึ่งในท้องงูนั้น น่ากลัว เหมือนหุบเหว หน้าผาสูงชัน  มีแต่เสียงโหวกแหวกจนหูอื้อไปหมด จนทำให้ลูกหลานชนเผ่าปวาเก่อญอลืมความเป็นคนปวาเก่อญอ  ลืมแม้กระทั่งว่าตัวเองเป็นใครมาจากไหน  ผู้เฒ่าเล่าขันเอาไว้เป็นตำนาน แต่มาวันนี้มันกลายเป็นความจริงหรือ?

ผมเห็นกับตา! มันเป็นความจริงที่เกิดขึ้นกับชนเผ่าปวาเก่อญอ โดยที่คนปวาเก่อญอไม่ทันตั้งตัว โดยที่คนปวาเก่อญอไม่อาจต้านทานไหว  มันเป็นความจริงที่ผมเห็นมากับตา

งูใหญ่ตัวนี้มันใหญ่มันยาว จากเหนือจดใต้  ลำตัวมันคดเคี้ยวลดเลี้ยวจนเวียนหัว มันกลืนแล้ว มันกลืนลูกหลานคนปวาเก่อญอลงสู่ท้องของมันแล้ว ท้องของมันที่เป็นหน้าผาสูงสามสิบสี่สิบชั้น มีเสียงโหวกแหวกจนหูอื้อไม่เพียงเท่านั้นยังมีควันดำควันขาวตามเสียงนั้นด้วย

งูใหญ่ไม่เพียงแต่กลืนลูกหลานของคนปวาเก่อญอเท่านั้น แต่มันจะกลืนทั้งหมู่บ้าน ทั้งผืนป่า วิถีชีวิตและวัฒนธรรมของเราไปหมดเลย  มันเป็นไปแล้ว ไก่ป่าขันเรียกไก่บ้าน แผ่นดินจะไม่เหมือนเดิม  ยิ่งไก่ป่ารุกรานไก่บ้าน แผ่นดินยิ่งไม่เหมือนเดิม

ผมพยายามจะสื่อสารไปยังผู้ฟังในวันนั้น  แต่ผมมิอาจห้ามความรู้สึกหดหู่กับเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับชนเผ่าของผมได้  เราต่อสู้มาเป็นเวลาเกือบสิบปี แทบทุกวิถีทาง เพื่อป่าซึ่งเป็นเหมือนชีวิต ทั้งร่างกายและวิญญาณของพวกเรา แล้วเราจะทำร้ายชีวิตของเราเองได้อย่างไร  เราได้พิสูจน์มาแล้วพอสมควร ต้นไม้ ป่าไม้ก็เป็นพยานเป็นอย่างดี แต่เขายังไม่ไว้ใจเราอยู่ดี 

เหมือนเราเกิดมาภายใต้คำแช่งสาปบางอย่างที่ไม่มีวันแก้มันได้  เราเกิดมาผิดที่หรือผิดที่เราเกิดมา  

ช่วงที่ผมกำลังพูดอยู่บนเวทีนั้นความคิดเหล่านี้ได้มาโจมตีสมาธิของผม จนเสียงพูดของผมเริ่มสั่นกลายเป็นคลอนสะอื้ ผมพยายามหยุดพูดเพื่อให้สถานการณ์ บรรยากาศและอารมณ์ของผมจะได้กลับมาสู่ภาวะปกติ

แต่ถึงที่สุดแล้ว ผมควบคุมมันไม่ได้จริงๆ จนหยดน้ำจากมุมตาเอ่อล้น เต็มเป้าตา แล้วค่อยๆ ร่วงไหลเป็นน้ำตาออกมา โดยไม่ได้เจตนา

ผมต้องฝืนร้องเพลงหน่อฉ่าตู ทั้งที่อารมณ์และความรู้สึกไม่อยู่ในภาวะปกติ เพลงจบไปอย่างสะอึกสะอื้น ผมไม่ทราบว่าคนที่ได้ฟังในวันนั้นจะรู้สึกอย่างไร เพราะผมเองก็งงเหมือนกัน ว่ามันเกิดขึ้นบนเวทีอย่างนี้ได้อย่างไร ทั้งที่ผมไม่เคยเป็นอย่างนี้มาก่อน

ผมต้องกราบขอโทษคนที่มาฟังในวันนั้น  ที่ผมได้ทำให้เสียบรรยากาศ และเสียอารมณ์ในการฟังเพลง แต่ผมอยากบอกว่า นั่นแหละคือความรู้สึกที่แท้จริงที่ออกมาจากก้นบึ้งของหัวใจของลูกหลานชนเผ่าปวาเก่อญอ ที่ตกเป็นเหยื่อของสังคมตลอดมา

แต่เมื่อชะตาลิขิตมาให้เป็นแบบนี้ เราก็จะต้องเคลื่อนไหวกันต่อไป ต้องเป่าร้องกันต่อไป ต้องขับขานบรรเลงกันต่อไป ต้องขีดเขียนกันต่อไป ต้องพูดคุยสื่อสารกันต่อไป โดยหวังว่าสักวันหนึ่งผู้ที่มีอำนาจในการตัดสินใจ  จะได้รับรู้และเข้าใจพวกเรา    แล้วอะไรต่าง ๆ ก็คงจะดีขึ้นบ้าง  โดยที่ไม่สามารถคาดเดาได้ว่า มันจะสิ้นสุดลงเมื่อใด???

แม้จะเกิดในที่ที่ต่างกัน  ระบบการปกครองที่ดูเหมือนจะต่างกัน แต่เราคนรากหญ้า คนด้อยโอกาส คนจน และประชาชนไม่เคยห่างเหินและปราศจากจากน้ำตาแห่งความทุกข์ยากจากผลแห่งนโยบายการบริหารปกครองบ้านเมืองได้เลย 

“มันจะสิ้นสุดลงเมื่อใด???”

บล็อกของ ชิ สุวิชาน

ชิ สุวิชาน
สิบกว่าปีผ่านไป ภายในบ้านของครูดอยผู้ช้ำใจจากการนำดนตรีปกาเกอะญอไปเล่นในโบสถ์ เขารู้สึกดีใจมากที่ลูกชายของเขามาขอเรียนดนตรีพื้นบ้านของคนปกาเกอะญอ ทั้งๆที่เด็กรุ่นราวคราวเดียวกันต่างมุ่งหน้าเดินตามดนตรีตามกระแสนิยมกันหมดแล้ว นี่เป็นสิ่งที่เขาเฝ้าคอยและหวังมาโดยตลอดที่จะมีคนมาสืบทอดลายเพลงของชนเผ่า ไม่ว่าจะเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขแท้ๆ ของเขาหรือคนอื่นที่เป็นคนชนเผ่าเดียวกันก็ตาม ทำให้ฝันของเขาเริ่มเป็นจริงว่าทางเพลงแห่งวัฒนธรรมปกาเกอะญอจะไม่สิ้นสุดในยุคของเขา แต่เขารู้สึกตกใจ เมื่อลูกชายบอกเขาว่า จะนำเตหน่ากู ไปเล่นในคืนคริสตมาสปีนี้ที่โบสถ์ในชุมชน “ลูกแน่ใจนะ ว่าจะเล่นในโบสถ์”…
ชิ สุวิชาน
ในขณะที่อีกฝากหนึ่งของชุมชนปกาเกอะญอที่เปลี่ยนมานับถือศาสนาคริสต์แล้ว บทเพลง ธา ทุกหมวด กลายเป็นบทเพลงที่ถูกลืมเลือน ถูกทิ้งร้างจนเหมือนกลายเป็นบทเพลงแห่งอดีตที่ไม่มีค่าแก่คนยุคปัจจุบัน โมะโชะหมดความหมาย เมื่อคนปกาเกอะญอเริ่มเรียนรู้การคอนดัก (Conduct) เพลงแบบในโบสถ์แบบฝรั่ง เพลงธา ไร้คุณค่า เมื่อมีเพลงนมัสการที่เอาทำนองจากโบสถ์ฝรั่งมา เครื่องดนตรีปกาเกอะญอถูกมองข้ามเมื่อมีคนดนตรีจากตะวันตก เช่น กีตาร์ กลองชุด แอคคอร์เดียน เมาท์ออร์แกน ฯลฯ เข้ามา “โด โซ โซ มี โด มี โซ ready… sing ซะหวิ” ประโยคนี้มักจะเป็นประโยคเริ่มต้นของคนที่เป็นผู้นำวงร้องประสานเสียงพูดนำก่อนร้องเพลง…
ชิ สุวิชาน
หลัง ธาหมวด แป่โป่ แปซวย แล้ว ก็จะต่อด้วย ธาหมวดโข่เส่ คะมอ ตามด้วย หมวดโดยมีเด็กชายนำการเดินวนอยู่เหมือนวันแรก  และหมวด ธาปลือลอ ได้เริ่มถูกขับขานต่อจาก หมวดโข่ เส่ คะมอ ต่อด้วย หมวด เชอเกปลือ  หมวดฉ่อลอ หมวดแกวะเก  หมวดธาชอเต่อแล จากนั้น หมวดธาเดาะธ่อ จึงเริ่มขึ้นอีกครั้งพร้อมกับการกลับมาอย่างแน่นขนัดของหนุ่มสาวเช่นเดิม เมื่อธาเดาะธ่อหรือเริ่มต้นมาแล้ว ก็จะมีหมวดธา เดาะแฮ, หมวด ธาเดาะเหน่,หมวด ธาลอบะ ,หมวด ธา ลอกล่อ ซึ่งล้วนแต่เป็น ธา หน่อ เดอ จ๊อหรือธา หนุ่มสาว ซึ่งตั้งแต่ ธา หมวด เดาะธ่อ เป็นต้นไป ถือว่าเป็น เพลงธา ที่สามารถขับขานเป็นปกติได้ทุกโอกาส ทุกสถานที่…
ชิ สุวิชาน
เมื่อได้ยินหมวด ธา ธาชอเต่อแล หนุ่มสาวต่างขยับเข้ามาในวงเพลงธามากขึ้น เพื่อเริ่มงานของหนุ่มสาว ธาชอเต่อแลจึงเปรียบเสมือน หมวดที่เชื้อเชิญหนุ่มสาวเข้าสู่การขับขานเพื่อต่อเพลงธากัน โดยมีโมะโชะฝ่ายหญิงแลโมะโชะฝ่ายชายเป็นหัวหน้าทีมของแต่ละฝ่าย เวทีการดวลภูมิรู้เรื่องธาที่ขุนเพลงธาโปรดปรานได้เกิดขึ้นอีกครั้งในคืนงานศพ หมวดแห่งการดวลเพลงธา เริ่มที่หมวดธาเดาะธ่อ ซึ่งแปลว่า ธาเริ่มต้น ส่วนใหญ่เป็นธาที่ว่าด้วยความรัก ความสามัคคี ความร่วมไม้ร่วมมือ เพื่อให้คนที่มาร่วมงานตระหนักและสำนึกเสมอว่า เป็นคนในชุมชนเดียวกัน ชนเผ่าเดียวกัน สังคมเดียวกัน และโลกใบเดียวกัน ดังตัวอย่างธาที่ว่า   เก่อ…
ชิ สุวิชาน
หมวด ธาปลือลอ ได้เริ่มถูกขับขาน ซึ่งเป็นหมวดที่ว่าด้วย การจากไปสู่ปรโลก ซึ่งปกติแล้วก่อนที่คนจะตายมักมีลางสังหรณ์ปรากฎแก่คนใกล้ชิดหรือคนรอบข้างเสมอ นั่นหมายความว่าถึงเวลาของผู้ตายแล้ว เวลาแห่งความตายนั้นย่อมมาถึงทุกคน เพราะฉะนั้นก่อนตายควรทำความดีหรือทำคุณประโยชน์ให้เกิดแก่แผ่นดินถิ่นเกิดที่เราอาศัยอยู่ตอนมีชีวิตให้มากที่สุด เมื่อลางสังหรณ์มาถึงเราจะได้จากอย่างหมดทุกข์หมดห่วง ตัวอย่าง ธา หมวดนี้เริ่มต้นดังนี้ มี หม่อ เคลอ ฮะ เหน่ อะ เด                 มีหม่อ คอ ฮะ เหน่ อะ เด เต่อ เหม่ เคลอ ฮะ เหน่ อะเด      …
ชิ สุวิชาน
“โมะโชะมาแล้ว” ชายหนุ่มคนหนึ่งกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ตื่นเต้น เมื่อเห็นร่างชายวัยปลายกลางคนเดินเข้ามา สายตาทุกดวงจึงมองไปที่ โมะโชะ เขาคือผู้นำในการขับขานเพลงธา เขาต้องเรียนรู้และพิสูจน์ตัวเองมาหลายปีกว่าเขาจะได้รับตำแหน่งนี้ หน้าที่รับผิดชอบสำหรับตำแหน่งนี้คือการเป็นผู้นำในการขับขานธาในพิธีกรรมต่างๆ ที่เกิดขึ้นในชุมชนเช่น งานแต่ง หรืองานตาย บางชุมชนทั้งหมู่บ้านไม่มีโมะโชะเลย เวลามีงานต้องไปยืมหรือเชื้อเชิญโมะโชะจากชุมชนอื่นที่อยู่ใกล้ ว่ากันว่าชุมชนที่สมบูรณ์นอกจากต้องมีผู้นำชุมชนตามประเพณีที่เรียกว่า ฮี่โข่ ต้องมีจำนวนหลังคาในชุมชนมากกว่า 30 หลังคาเรือนแล้ว…
ชิ สุวิชาน
ช่วงเย็นหลังจากที่ทำงานในไร่ และกำลังจะนั่งกินข้าวร่วมครอบครัว “ลุงเร็ว ปู่ วาโข่ หายใจขึ้นอย่างเดียว ไม่ได้หายใจลงแล้ว” หลานชายมาวงข่าวเกี่ยวกับพือวาโข่ซึ่งเป็นพ่อของเขา เขาละจากวงทานข้าวของครอบครัว แล้ววิ่งไปหาพ่อทันที พือวาโข่ เป็นฉายาที่เด็กๆ ในหมู่บ้านและหลานๆเ รียกชื่อผู้เฒ่าผู้ชายที่อาวุโส จนผมหงอกทั้งหัว พือหมายถึงพ่อเฒ่า วาโข่หมายถึง ผมขาว หากเป็นผู้หญิงจะเรียกว่า พีวาโข่ พีแปลว่าแม่เฒ่า นั่นเอง คนรุ่นนี้จะเป็นที่รักใคร่ของลูกหลานทั้งในครอบครัวและในชุมชน เพราะถือเป็นทรัพยากรบุคคลของชุมชนทีมีค่า หากมีปัญหาเกิดขึ้นในชุมชนที่คนรุ่นใหม่ไม่สามารถหาทางออกได้…
ชิ สุวิชาน
  บรรยากาศในบ้านเริ่มคึกคักมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อมีเสียงเตหน่าบรรเลงในบ้านไม่เว้นแต่ละคืน  บางคืนเป็นเสียงเตหน่า ลายเดิมที่ผู้เป็นพ่อเป็นคนถ่ายทอด  แต่บางคืนมีเสียงเตหน่าลายแปลกออกมาจนผู้เป็นพ่ออดไม่ได้จนต้องเงี่ยหูฟัง  นานแล้วที่เจ้าของเสียงเตหน่ากูห่างหายไปจากการร่ำเรียนวิชาจากพ่อ  แต่วันนี้เขากลับมาหาครูผู้สอนเตหน่ากูของเขาอีกครั้ง แน่นอนมันต้องมีอะไรบางอย่างสงสัยจึงต้องมา"พ่อผมจะไปล้มไม้มาทำเตหน่ากู ควรจะหาไม้อย่างไรดี" ประโยคแรกที่เขามาถามพ่อ"จริงๆ แล้วไม้อะไรก็ได้ทั้งนั้น ขอให้เป็นไม้ที่โค้งงอ แต่คนสมัยก่อนเขานิยมใช้ไม้เก่อมา หรือภาษาไทยเรียกว่าไม้ซ้อ…
ชิ สุวิชาน
มีบทธา ซึ่งเป็นบทกวีหรือสุภาษิตสองลูกสอนหลานของคนปกาเกอะญอมากมาย ที่กล่าวถึงเตหน่ากูเครื่องดนตรีดั้งเดิมของคนปกาเกอะญอ แต่ในตรงนี้จะยกมาเพียงส่วนหนึ่งเพื่อเป็นตัวอย่างเบื้องต้นของ ธา ที่กล่าวถึงเตหน่ากู 1. เตหน่า อะ ปลี เลอ จอ ชึ             เด เต่อ มึ เด ซึ เด ซึ2.เตหน่า เลอ จอ แว พอ ฮือ            เต่อ บะ จอ จึ แซ เต่อ มึ3.เตหน่า ปวา แกวะ ออ เลอ เฌอ      เด บะ เก อะ หล่อ เลอ เปลอ4.เตหน่า ปวา เจาะ เลอ เก่อ มา     …
ชิ สุวิชาน
ลูกชายหายหน้าไปจากการเรียนรู้การเล่นเตหน่ากูกับพ่อเป็นหลายสิบ จนผู้เป็นแม่ที่คอยหุงอาหารให้หมูในตอนหัวค่ำเกิดคำถามต่อผู้เป็นพ่อ “ไอ้ตัวเล็กมันเล่นเป็นแล้วเหรอ? มันถึงไม่มาฝึกเพิ่ม” แม่ถามพ่อซึ่งนั่งอยู่ตรงข้ามกะบะไฟดินในบ้าน “มันบอก มันจะฝึกเอง มันคงไปฝึกที่บ้านผู้สาวมั้ง?” พ่อตอบแม่พร้อมกับสันนิษฐานพฤติกรรมของลูกชาย “มันก็ธรรมดาแหละ วัวตัวผู้พอมันเริ่มเป็นหนุ่ม มันก็เริ่มแตกฝูงไปหาตัวเมียในฝูงอื่น ก็เหมือนพ่อตอนเป็นหนุ่มนั่นแหละ อยู่บ้านอยู่ช่องซะที่ไหน กลางค่ำกลางคืนดึกแล้วไล่กลับบ้านก็ไม่ยอมกลับ ค่ำไหนค่ำนั้น มาหาทุกคืน” แม่เปรียบเทียบให้พ่อฟัง
ชิ สุวิชาน
“วิธีการเล่นล่ะ? แตกต่างกันมั้ย?” ลูกชายถามพ่อ “ถ้าเล่นอย่างไดอย่างหนึ่งได้นะ ก็เล่นอีกอย่างได้เองแหละ ขอให้เข้าใจวิธีการตั้งสายเถอะ อย่าตั้งสายเพี้ยนละกัน” พ่อบอกและย้ำกับลูกชาย “งั้นพ่อสอนเพลงอีกซักเพลงที่เล่นแบบเมเจอร์สเกลนะ” ลูกขอวิชาจากพ่อ “เอาซิ! เดี๋ยวพ่อจะสอนเพลงพื้นบ้านง่ายๆที่ผู้เฒ่าผู้แก่ชอบร้อง ชอบเล่นกับเตหน่ากูบ่อยๆ อีกเพลง ร้องตามนะ” พ่อเริ่มร้องนำ ลูกจึงเริ่มร้องตาม
ชิ สุวิชาน
สองสามคืนผ่านไป ลูกชายไม่ได้มายุ่งกับพ่อ แต่คืนนี้ภายในบ้านไม้ไผ่ หลังคาตองตึงทรงปวาเก่อญอหลังเดิม ลูกชายถือเตหน่ากูมาอยู่ข้างพ่ออีกครั้ง “ลองฟังดูนะ ใช้ได้หรือยัง?” ลูกชายพูดจบเริ่มดีดเตหน่าและเปล่งเสียงร้องเพลงแบบไมเนอร์สเกลให้พ่อฟัง แต่ด้วยความตั้งใจมากไปหน่อยทำให้การเล่นบางครั้งมีสะดุดเป็นช่วงๆ แต่ลูกชายไม่ยอมแพ้และไม่ยอมหยุด เล่นและร้องให้พ่อซึ่งเป็นครูสอนเตหน่ากูให้เขาจนจบเพลง “ฮึ ฮึ ก็ดี เริ่มต้นได้ขนาดนี้ก็ไช้ได้” พ่อตอบเขาแบบยิ้มๆ “แล้วพ่อจะสอนอีกแบบหนึ่งได้หรือยัง?” เขามองหน้าพ่อ “อ๋อ ที่มาเล่นให้ฟังนี้ก็เพื่อให้รู้ว่าเล่นไมเนอร์ได้แล้ว จะขอเรียนแบบเมเจอร์ต่อว่างั้นเถอะ”…