เมื่อได้มีโอกาสกลับมา พอมาถึงหมู่บ้านแรกของชุมชนปกาเกอะญอในบริเวณมูเจะคี ทันทีที่ได้สัมผัสมันเหมือนได้กลับคืนสู่รัง ได้เติมเต็มสิ่งที่ขาดหายไปตอนอยู่ในเมือง เมื่อผ่านชุมชนแต่ละหมู่บ้านจะพยายามมองรถทุกคันที่ผ่าน มองคนทุกคนที่เจอว่าเป็นเพื่อนเราหรือเปล่า? ลุง ป้า น้า อา หรือเปล่า? ญาติพี่น้องหรือเปล่า? หรือคนบ้านใกล้เรือนเคียงหรือเปล่า? เป็นคนรู้จักหรือเปล่า? หากใช่เมื่อไหร่ การทักทายจะเกิดขึ้นทันทีแม้เพียงประโยคสั้นๆ หนึ่งหรือสองประโยคก็เพียงพอต่อความรู้สึกแล้ว
ตรงกันข้ามกับเวลาที่ต้องจากบ้านเข้าไปในเมือง ผมถอนหายใจทุกครั้งเมื่อล่วงเลยผ่านหมู่บ้านสุดท้ายของมูเจะคี นั่นก็ก็คือหมู่บ้านแรกตอนขากลับ อารมณ์มันถูกเปลี่ยนถูกครั้งเมื่อเลยผ่านหมู่บ้านสุดท้ายไปแล้ว มันเหมือนต้องไปสู่สมรภูมิรบอีกครั้ง
อีกครั้งที่ผมได้ถอนหายใจ แต่ครั้งนี้มีความรู้สึกแอบภูมิใจและดีใจไม่น้อยในการกลับมาของเพลง ธา ปลือ ในสังคมปกาเกอะญอคริสตเตียน โดยที่การกลับมาครั้งนี้ไม่ธรรมดา มันกลับมาในงานศพของศาสนาจารย์ผู้บุกเบิกคริสตจักรในบริเวณมูเจะคี ซึ่งเป็นนิมิตหมายที่ไม่เลวเลยทีเดียว
"เมื่อมาแล้วครั้งหนึ่ง มันต้องมาอีกแน่" ผมนึกในใจอย่างตื่นเต้น
รุ่งเช้ามีเพื่อนพ้องน้องพี่ทักทายไถ่ถามบรรยากาศงานศพของศาสนาจารย์ผู้บุกเบิกคริสต์จักรมูเจะคีกับผมเนื่องจากไม่สามารถร่วมงานได้ผ่านทางโทรศัพท์มาหลายราย ผมจึงกลายเป็นเป็นผู้รายงานเหตุการณ์โดยจำเป็น โดยไม่ลืมที่จะนำเสนอช่วงของการร้องเพลง ธา ปลือ ให้ผู้ฟังได้รับทราบด้วย เมื่อรายงานเหตุการณ์เสร็จมักจะมีคำถามกลับมาเกือบทุกครั้ง
"ร้อง ธา ปลือ ในงานศพเขา (ศาสนาจารย์) ไม่มีใครว่าให้เหรอ?" มักจะมีคำถามกลับมา
"ไม่มี ไม่มี ลูกหลานเขาเปิดโอกาสและชาวบ้านเริ่มเข้าใจแล้ว"ผมเองมักตอบกลับไปแบบนี้เช่นกัน
เย็นวันนั้น ขณะที่ผมกำลังรายงานเหตุการณ์ให้อีกคนอยู่นั้น
"เดี๋ยวก่อนนะ มีสายโทรศัพท์ซ้อนเข้ามา ผมรับรับสายก่อนแล้วค่อยเล่าให้ฟังต่อนะ"เมื่อเขาตกลงผมจึงสลับสายเพื่อรับสายที่เข้ามาใหม่ โดยยังไม่รู้ว่าเป็นใคร
"ขอถามหน่อยว่า ใครใช้ให้คุณร้องเพลง ธา ปลือ ในงานศพของพ่อผม???" ผมงงและตกใจนิดหน่อยก่อนตั้งสติฟังต่อ
"ผมทำทุกอย่าง เป็นไปอย่างยิ่งใหญ่ไม่มีที่ติ ยกเว้น ที่มีการร้องเพลง ธา ปลือของคุณ เป็นการทำให้งานของพ่อผมซึ่งเป็น ศาสนาจารย์ เสียหายหมดเลย เป็นที่ครหานินทา ผมเป็นลูกหลานและเป็นผู้นำศาสนาผมต้องเป็นตัวอย่าง ไม่ใช่เป็นผู้ทำในสิ่งที่ไม่ถูกต้องอย่างนี้ มันเป็นการทำลายความน่าเชื่อถือทางศาสนา ถ้ารู้ว่าคุณจะร้องธา ปลือผมห้ามคุณอย่างเด็ดขาด ทุกอย่างเสียหายหมดเลย" เสียงพูดของเขาสั่นเครือ สะอึกสะอื้น ผมรู้ได้เลยว่าเขาร้องให้เหมือนมีอะไรผิดพลาดเกิดขึ้นในชีวิตเขาอย่างใหญ่หลวง และนั่นไม่ต้องทำนายว่าเป็นเรื่องอะไร
ผมไม่ตอบโต้อะไรมากนัก เพียงแต่บอกเขา
"พาตี่เป็นตัวอย่างที่ดีแล้ว พาตี่ทำดีแล้ว ทุกคนชื่นชมโดยเฉพาะช่งธา ปลือ ก็มีคนเข้าใจอยู่นะ"ผมพยายามอธิบาย
"แต่ผมไม่เข้าใจว่าทำไมคุณต้องร้อง คุณปรึกษาคนในครอบครัวผมก่อนมั้ย?" เขาย้อนถามผม
"ผมขอโทษครับ ที่ผมทำไม่ดีในงาน" คำขอโทษผมทำให้เสียงเขาอ่อนลงและยุติการต่อว่าจนวางสายในที่สุด โดยที่ผมไม่ได้บอกว่าพี่ชายของเขาเป็นมาขอผมให้ร้องเพลง ธา ปลือ ผมเกรงว่าหากบอกเขาแล้วอาจทำให้เกิดการผิดใจกันในพี่น้อง และผมยังไม่ได้บอกว่าที่ผมขอโทษและที่พูดว่าทำไม่ดีในงานนั้น แท้ที่จริงผมอยากบอกว่าผมทำไม่ดี ผมควรร้องเพลงธา ปลือ ให้มากกว่านั้น และควรชวนผู้เฒ่าผู้แก่มาให้มากกว่านั้นต่างหาก
สองวันต่อมา ผมได้ข่าวว่ามาจากบ้านว่า พือ ส่าอุเง ถูกต่อว่าเนื่องจากร่วมมือกับผมร้อง ธา ปลือ ในงานศพ ดังกล่าว สงสารแต่เพียงผู้เฒ่าที่ตั้งแต่เกิดมาเป็นขุนเพลงธา เขายังไม่เคยถูกต่อว่าเลย เขาเป็นขวัญใจมาโดยตลอด แต่งานนี้เขาโดนเต็มเปา เขาคือผู้ที่สมควรจะได้รับคำขอโทษจากผม