Skip to main content
 

บรรยากาศงานมหกรรมชนเผ่าพื้นเมืองแห่งประเทศไทย คำรบที่สาม เป็นไปอย่างเรียบง่ายเล็กๆ กะทัดรัด ตามประเด็นหัวข้อที่นำเอาเรื่องของ "การจัดการทรัพยากรบนพื้นที่สูงในรูปแบบโฉนดชุมชน" ผู้เฒ่าผู้แก่ ผู้อาวุโสชนเผ่าทางภาคเหนือต่างมากันอย่างครบครันเช่นเดิม

\\/--break--\>

ช่วงหนึ่งของงานได้มีวาระการสัมมนาเกี่ยวกับผลกระทบของนโยบาย การขายคาร์บอนเครดิต หรือ REDD ชุมชนชนเผ่าพื้นเมืองบนพื้นที่สูง เป็นประเด็นเป็นปัญหาใหม่ที่คนชนเผ่าต้องหาวิธีการรับมือกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับแผ่นดินบ้านเกิดของตนเอง

 

ท้ายห้อง ผู้อาวุโสปกาเกอะญอนั่งฟังพร้อมกับกัดฟันเป็นจังหวะๆ ส่งสัญญาณการขบคิดแนวทางแก้ไขปัญหาให้ลูกหลานอย่างเข้มขรึม

 

"โพโดะควา (หลานชาย) มานี่" เขาควักมือเรียกผมมานั่งใกล้เขา

"นี่ ลุงจะบอกให้นะ สมัยลุงได้มีการต่อสู้มา สิบปี ยี่สิบปีผ่านมาได้ในระดับหนึ่งถ้าลูกหลานไม่มารับช่วงต่อก็ถือว่าสูญเปล่า ม้าเดินทางไกลได้ด้วยกีบเล็บที่แข็งแรง คนจะขับเคลื่อนชุมชนต่อได้ด้วยลูกหลาน ผู้เฒ่าผู้แก่บอกไว้อย่างนั้น ครั้งนี้เขาจะพูดถึงเรด ระหรืออะไรก็แล้วแต่ ลูกหลานต้องตามทันไม่อย่างงั้นชุมชนของเราจะไม่เหลือ

 

พาตี่เองไม่รู้จะอยู่อีกนานเท่าไหร่ จะมีกำลังเหลืออีกแค่ไหน คนรุ่นหนึ่งไป คนอีกรุ่นหนึ่งต้องมา อย่าทิ้งช่องว่างการต่อสู้ให้มันเกิดขึ้น เราต้องปกป้องป่า ปกป้องชุมชน ปกป้องชนเผ่า ปกป้องวัฒนธรรมของเรา มีหลายคนเคยต่อสู้มาแต่ตอนนี้ไม่ได้อยู่กับเราแล้ว เช่น พ้อเหล่ป่า หรืออีกหลายๆคน" พาตี่ จอนิ ได้พูดถึงพ้อเหล่ป่าผู้จากไป พร้อมถามถึงบรรยากาศงานลาโลกของพ้อเหล่ป่า ผมจึงเล่าบรรยากาศรวมทั้งเรื่องเพลงต้องห้าม

 

"พาตี่คิดอย่างไร หากลูกหลานคนปกาเกอะญอไม่รู้จักเพลงธาปลือ หรือเพลงสวดศพแบฉบับของคนปกาเกอะญอ?" ผมใคร่รู้มุมมองของผู้ที่ได้การยอมรับจากทั้งสังคมภายนอกและสังคมปกาเกอะญอเองว่าเป็นปราชญ์ชาวบ้าน

 

"มันจะไปกันใหญ่ หากคนปกาเกอะญอไม่รู้จากธาปลือหรือ เพลงสวดศพของคนปกาเกอะญอ มันจะทำให้เขาไม่รู้จักตัวเองว่าเป็นใครมาจากไหน ไม่รู้จักความหมายที่แท้จริงของการมีชีวิต ไม่รู้จักสาเหตุของความทุกข์ ไม่เข้าใจที่มาของความตาย เขาจะมีชีวิตอยู่บนโลกนี้อย่างล่องลอยไร้รากของความเป็นมนุษย์ที่แท้จริง" พาตี่เปิดมุมมองเกี่ยวกับเพลงสวดศพแบบคนปกาเกอะญอ

 

"การห้าม มันมีที่มาจากสองลักษณะ อย่างแรกมาจากความรักและความเป็นห่วง ไม่อยากให้คนที่ตนเองรัก คนที่ตนเองเป็นห่วงต้องได้รับสิ่งที่ไม่ดี หากทำในสิ่งใดลงไป ลักษณะที่สอง ความกลัว และความไม่เข้าใจ ความกลัวนี้ก็มีหลายอย่าง กลัวคนอื่นจะเจ็บเป็นการห้ามเพื่อคนอื่น กลัวตนเองจะเจ็บเป็นการห้ามเพื่อตนเอง ส่วนความไม่เข้าใจนี้ยิ่งไปใหญ่ หากสิ่งที่ห้ามนั้นเป็นสิ่งที่ผู้ห้ามเองไม่เข้าใจถ่องแท้ อาจทำให้เป็นการปิดโอกาสในการเรียนรู้ การค้นพบบางอย่างที่มีค่าและสำคัญก็ได้ สิ่งที่สำคัญคือเจตนาของการห้าม ห้ามเพื่อตนเอง หรือห้ามเพื่อคนอื่น?" ศาสนาจารย์ที่คริสตจักรบรรยายเกี่ยวกับการห้ามให้ฟัง

 

ในขณะที่ดนตรีตามวัฒนธรรมชนเผ่าถูกสืบทอดต่อจากรุ่นสู่รุ่น ขณะเดียวกันดูเหมือนแนวคิดในการกีดกันบทเพลงตามวัฒนธรรมชนเผ่าให้กลายเป็นบทเพลงต้องห้ามก็ถูกสืบทอดจากรุ่นสู่รุ่นเช่นกันจนชุมชนปกาเกอะญอหลายแห่งไม่มีใครกล้าร้องเพลงเหล่านี้อีกแล้ว การเดินตามแนววัฒนธรรมในชุมชนถูกมองเป็นการทำลาย

 

ในขณะที่ยุคแห่งการล่าอาณานิคมทางดินแดนสิ้นสุดลง ประเทศที่ตกอยู่ในอาณานิคมต่างประกาศอิสรภาพในการปกครองตนเองแล้ว ระบบการปกครองแบบเผด็จการจากหลายประเทศได้ถูกล้มเลิก การประกาศของคณะปฏิวัติต่างๆ หลายชุดบนโลกได้ถูกยกเลิกไปแล้ว แต่บทเพลง ธาปลือ ซึ่งเป็นบทเพลงสวดศพในวัฒนธรรมปกาเกอะญอ ยังคงเป็นบทเพลงต้องห้ามในสังคมคริสเตียนปกาเกอะญออยู่อย่างต่อไป

 

กลับมานึกถึงเพลงปุนุ เนื่องจากบางครั้งยังไม่เข้าใจว่า งานศพแท้ๆ ไม่ให้ร้องเพลงสวดศพ แต่ไม่มีงานศพแท้ๆ ยังอนุญาตให้ร้องเพลงสวดศพได้ เพลงสวดศพถูกเข้าใจว่าอย่างไรกันแน่? สิ่งที่ห้ามนั้นมีความเข้าใจมันดีหรือยัง? บทเพลงสวดศพเคยทำร้ายสังคมอย่างไร???

 

เมื่อบทเพลงที่สร้างมาจากภูมิปัญญาของคนชนเผ่าเอง ถูกห้ามร้อง แล้วมันจะเดินต่ออย่างไร?


"
ชุมชนใด มีบทเพลง แต่ไม่มีคนร้องขับขาน มีเครื่องดนตรีแต่ไม่มีคนเล่น มีภาษาแต่ไม่มีคนพูด มีชุมชนแต่ไม่มีคนอาศัยอยู่ มีวัฒนธรรมแต่ไม่มีคนสืบต่อ จะเรียกว่าชุมชนได้อย่างไร?" นึกถึงคำพูดผู้เฒ่า

 

หากสิ่งที่ยืนหยัดได้แน่ๆ คือความจริง สิ่งไหนที่เป็นความจริงย่อมไม่มีวันตาย โดยเฉพาะความจริงที่เป็นรากเหง้าทางวัฒนธรรม หวังว่าคงหยัดยืนต่อไป

 

 

บล็อกของ ชิ สุวิชาน

ชิ สุวิชาน
ผมฝ่าชุมชนมูเจะคีหลายชุมชน ซึ่งล้วนแล้วแต่ปรากฏร่องรอยเล็บตีนเล็บมือรวมทั้งเริ่มเห็นมูลอันเป็นของเสียแห่งระบบทุนนิยมที่ถ่ายทิ้งเอาไว้ในชุมชนปกาเกอะญอที่มีอายุหลายร้อยปีแห่งนี้ และมีแนวโน้มที่ทรัพยากรธรรมชาติ ผู้คนและวัฒนธรรมจะถูกกลืนกินเป็นอาหารอันโอชะมากขึ้นเรื่อยๆ  เมื่อได้มีโอกาสกลับมา พอมาถึงหมู่บ้านแรกของชุมชนปกาเกอะญอในบริเวณมูเจะคี ทันทีที่ได้สัมผัสมันเหมือนได้กลับคืนสู่รัง ได้เติมเต็มสิ่งที่ขาดหายไปตอนอยู่ในเมือง เมื่อผ่านชุมชนแต่ละหมู่บ้านจะพยายามมองรถทุกคันที่ผ่าน มองคนทุกคนที่เจอว่าเป็นเพื่อนเราหรือเปล่า? ลุง ป้า น้า อา หรือเปล่า? ญาติพี่น้องหรือเปล่า?…
ชิ สุวิชาน
 หลังเสร็จงานศพ ความรู้สึกจำใจจากบ้านมาเยือนอีกครั้ง  แต่การกลับบ้านครั้งนี้แม้จะเห็นการเปลี่ยนแปลงหลายอย่างโดยเฉพาะในวิถีประเพณี ที่มีคนตายในชุมชน  ได้เห็นสภาพของป่าช้าที่ถูกผ่าตัดตอนแล้วพยายามเปลี่ยนอวัยวะชิ้นส่วนใหม่จากภายนอกเข้ามาแทนที่ 
ชิ สุวิชาน
 โลงศพถูกหย่อนลงในหลุม  ลูกชายที่เป็นศาสนาจารย์และเป็นผู้สืบทอดตำแหน่งศิษยาภิบาลได้จับดินก้อนหนึ่งกำไว้ในมือ  แล้วชูดินต่อหน้าผู้ร่วมงาน"ชีวิตเราถูกสร้างมาจากดิน แล้วพระเจ้าได้เป่าลมหายใจ คือชีวิตสู่เรา การรักษาร่างกายไม่สำคัญเท่ากับการรักษาชีวิต ชีวิตที่แม้ไม่มีร่างกายก็มีชีวิตอยู่ได้ เพราะเมื่อร่างกายเราถูกสร้างมาจากดิน ถูกใช้งานมาระยะหนึ่งก็ต้องเสื่อมและต้องกลับคืนสู่ดิน แต่ชีวิตไม่ได้ถูกสร้างมาจากดิน ชีวิตถูกสร้างมาจากลมหายใจที่มาจากพระเป็นเจ้า ถ้าเรารักษาชีวิตไว้ในขณะที่อยู่บนโลกให้เป็นไปตามพระวจนะของพระเป็นเจ้า…
ชิ สุวิชาน
จบพิธีทางคริสต์ศาสนา แขกเหรื่อที่มาต่างทยอยเดินลงบันใด และยืนกองรวมกันที่ลานหน้าบ้านผู้ตาย รถกระบะสองคันซึ่งเป็นของลูกชายศาสนาจารย์ที่จากไปได้แล่นมาแหวกกลุ่มคนที่ยืนอยู่ลานหน้าบ้าน และจอดท่ามกลางวงห้อมล้อมของฝูงชน  "กางเขนนี้คนเอาไม่อยู่ โคตรหนักเลย" เสียงของหนึ่งในชายฉกรรจ์ พูดขึ้นหลังจากนำไม้กางเขนซีเมนต์ขนาดประมาณ 2 เมตรครึ่ง หน้ากว้างประมาณ 6 นิ้วได้ขึ้นไว้บนรถกระบะ ครั้งหนึ่งพระเยซูได้แบกไม้กางเขนของตนเองไปยังภูเขาที่พระองค์จะถูกตรึง ระหว่างทางได้อ่อนระโหยโรยแรง มีชายผู้หนึ่งที่สงสารจึงอาสาช่วยแบก แต่มาครั้งนี้คนเอาไม่อยู่ ผมเพียงแต่นึกในใจว่ากางเขนซีเมนต์นี้…
ชิ สุวิชาน
"ที่จะร้องให้ฟังต่อไปนี้เป็น ธา ปลือ ร้องเพื่อให้คนเป็นรู้ว่าคนตายได้ตายเพื่อไปที่อื่นแล้ว ร้องเพื่อให้คนตายรู้ว่าตัวว่าได้ตายและต้องไปอยู่อีกที่แล้ว ในวันที่ไม่มีคนตายห้ามพูดห้ามร้องเด็ดขาด ไม่ว่าในบ้าน ใต้ถุนบ้านหรือที่ใดก็ตาม ในวันที่มีคนตายนั้นต้องร้อง" พือพูดก่อนร้อง พือหยิบไมโครโฟน หันมาทางผม ผมจึงเริ่มบรรเลงเตหน่า
ชิ สุวิชาน
ข่าวเรื่องการละสังขารของศาสนาจารย์ผู้ก่อตั้งคริสตจักรมูเจะคีในวัย 96 ปีได้ถูกกระจายออกไป ไม่เพียงแค่ในพื้นที่มูเจะคีเท่านั้น เชียงราย กาญจนบุรี ซึ่งเป็นที่เกิดและที่เติบโตของพื้นที่อื่นที่เขาเคยเผยแพร่และเทศนาเรื่องราวของพระคริสต์ทั้งในพื้นที่เชียงใหม่ แม่ฮ่องสอน ตาก ข่าวการจากไปของเขาไม่เลยผ่านไปได้ งานศพถูกจัดการอย่างดีตามรูปแบบของคริสเตียน ข่าวไปถึงที่ไหนผู้คนจากที่นั่นก็มา คนในพื้นที่กับคนนอกพื้นที่ดูแล้วปริมาณไม่ต่างกันเท่าเลย เหมือนมีการจัดงานมหกรรมบางเกิดขึ้นในชุมชน ลูกหลานที่ไปทำงานจากที่ต่างๆ ของเขาก็มากันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา โดยที่งานศพถูกเก็บไปสามคืน
ชิ สุวิชาน
พี่นนท์เล่าให้ฟังว่า หลังจากที่ได้ฟังพาตี่ทองดี จึงร้องเพลงธาปลือให้ฟัง จนกระทั่งถึงท่อน โย เย็นนั้นระหว่างงาน พี่นนท์จึงถามคำแปลของเพลงเหล่านั้น หลังจากเสร็จงานนั้นเพลงเส่อเลจึงมีการต่อเติมจนเป็นเพลงขึ้นมาจนได้ “พี่นึกถึงหญิงสาวที่ต้องโตขึ้นมาอย่างลำบาก นึกถึงพัฒนาการการเติบโตของชีวิต ต้องตามพ่อตามแม่ปลูกข้าว กว่าจะโตเป็นสาวต้องผ่านการตรากตรำทำงานอย่างลำบาก พี่เลยจินตนาการการตายของเธอว่า เป็นการเสียชีวิตด้วยไข้ป่า”
ชิ สุวิชาน
แม้ว่าฤดูเกี่ยวข้าวมาถึงแล้วแต่ฝนยังคงโปรยปรายลงมาอยู่ คนทำนาได้แต่ภาวนาว่าขออย่าตกตอนตีข้าวก็แล้วกัน เพราะฝนตกตอนตีข้าวนั้นมันยิ่งกว่าค่าเงินลอยตัวเสียอีก ผมเตรียมตัวกลับบ้านอีกครั้งเพื่อกลับไปเกี่ยวข้าว ผืนนาที่เคยวิ่งเล่นตอนเด็กๆกวักมือเรียกผมจากเมืองคืนสู่ทุ่งข้าวเหลืองอีกฤดู ซึ่งก็ได้จังหวะพอดีที่พ่อผมลงมาทำธุระที่เชียงใหม่ ทำให้ผมได้อาศัยรถของพ่อในการกลับครั้งนี้
ชิ สุวิชาน
ด้วยความที่อยากให้เกียรติวีรบุรุษในการต่อสู้ของคนที่อยู่กับป่า ทางทีมงานของเครือข่ายกะเหรี่ยงเพื่อวัฒนธรรมและสิ่งแวดล้อมจึงเลือกเพลง ปูนุ ดอกจีมู เป็นเพลงเปิดหัวในการประชาสัมพันธ์อัลบั้มเพลงเกอะญอเก่อเรอ ที่แรกที่เราส่งไปคือสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย ท่าเป็นช่วงภาคภาษาชนเผ่า โดยเฉพาะภาษาปกาเกอะญอ ซึ่งมีพี่มานะ หรือบิหนะ เป็นผู้ประกาศข่าวคราวต่างไปถึงพี่น้องปกาเกอะญอในเขตภูเขา หลังจากที่เพลงถูกเปิด มีพี่น้องปกาเกอะญอจากที่ต่างๆโทรมาแสดงความเห็นมากมาย “ส่วนใหญ่เค้าบอกว่า เค้าชอบเพลงนี้มาก แต่เค้าขอร้องมาว่า ถ้าถึงท่อนที่เป็น ธาโย ช่วยปิดเลยได้มั้ย เพราะเขค้าฟังแล้วขนลุก…
ชิ สุวิชาน
มีผู้อาวุโสปกาเกอะญอ                  แห่งหมู่บ้านโขล่ เหม่ ถ่า ผู้ซึ่งไม่มีชื่อเสียงเรืองนาม              เขาคือ พาตี่ ปูนุ ดอกจีมูอยู่กับลูก อยู่กับเมีย                     ตามป่าเขาลำเนาไพรท่ามกลางพืชพันธุ์แมกไม้              ทั้งคน ทั้งป่าและสัตว์ป่าทำไร่หมุนเวียน ทำนา …
ชิ สุวิชาน
เพื่อเป็นการรำลึกแห่งการครบรอบการจากไป 1 ปี ทางเครือข่ายกะเหรี่ยงเพื่อวัฒนธรรมและสิ่งแวดล้อม ได้มีความประสงค์ในการจัดงานเพื่อรำลึกถึงพาตี่ปุนุ ซึ่งถือเป็นวีรบุรุษในการต่อสู้เพื่อคนอยู่กับป่าคนหนึ่ง โดยเครือข่ายกะเหรี่ยงเพื่อวัฒนธรรมและสิ่งแวดล้อม ได้มีการผลิตซีดีเพลงชุดหนึ่ง โดยมีพาตี่อ็อด วิฑูรย์ เป็นผู้ดูแลเนื้อร้องทำนองขับร้อง "ช่วยแต่งเพลง เกี่ยวกับปุนุ ให้หน่อย พาตี่แต่งไม่ทันแล้ว" พาตี่อ็อดมาบอกผม ผมจึงลงมือเขียนเพลงปูนุด้วยความรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่ง ซึ่งเป็นเพลงแรกที่ผมเขียนถึงคนตาย และต้องพูดถึงเหตุการณ์ในการตายของเขาด้วย จึงทำให้ผมนึกถึงบทเพลงคร่ำครวญในงานศพ…
ชิ สุวิชาน
ปี 2540 สถานการณ์การต่อสู้ของชุมชนที่อยู่กับป่าร้อนระอุขึ้นมาอีกระลอก เมื่อรัฐบาลของนายหัว ชวน หลีกภัย ได้มีนโยบายอพยพคนออกจากป่า นั่นหมายถึงชะตากรรมวิถีของคนอยู่กับป่าจะถูกเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่หลวง ชุมชนเดิม ที่อยู่ ที่ทำกินเดิมนั้นจะกลายเป็นเพียงที่ที่เคยอยู่เคยกินเท่านั้น ตัวแทนขบวนคนอยู่กับป่าจึงมีการขยับเคลื่อนสู่หน้าทำเนียบรัฐบาลอีกครั้ง โดยมีเครือข่ายกลุ่มสมัชชาคนจนจากภาคต่างๆมาสมทบอย่างครบครัน กลายเป็นชุมชนคนจนหน้าทำเนียบโดยปริยาย “ลูกหลานไปเรียกร้องสิทธิหลายครั้งแล้ว ไม่ได้สักที คราวนี้ฉันต้องไปเอง ถ้าเรียกร้องไม่สำเร็จฉันจะไม่กลับมาเด็ดขาด”…