Skip to main content

การรอคอยที่ไทเปสิ้นสุดลง เมื่อประตูสู่นิวยอร์กได้เปิดออกให้ผู้โดยสารเดินเข้าไปในเครื่องบิน ระยะทางกว่าสิบสี่ชั่วโมง ผมอยู่กับเพลง World Music ซึ่งเป็นเมนูที่มีให้เลือกจากสายการบิน บางเพลงมีเสียงระนาด ขลุ่ย และมีจังหวะหมอลำปะปนด้วยได้กลิ่นไอดนตรีไทยเป็นอย่างสูง ผมจึงยกหูฟังให้พี่สานุ นักดนตรีและโปรดิวเซอร์จากกรุงเทพฟัง เขาฟันธงเลยว่าเสียงทั้งหมดเป็นการ Samp มาทั้งนั้น ไม่ใช่เสียงจริงดั้งเดิมที่คนเล่นมา แต่ถึงอย่างไรก็เป็นการฆ่าความน่าเบื่อของการอยู่บนเครื่องเป็นเวลานานได้เป็นอย่างดี

 

สนามเด็กเล่นโรงเรียนเก่าของผมที่บนดอย ผมวิ่งเล่นหยอกล้อกับเพื่อนผมหลายคน เพื่อนคนให้นิ้งแหย่ตูดผมไม่ยอมปล่อย ผมเซ็งมาก ผมจึงจับมือเพื่อนคนนั้นให้ปล่อยมือ เมื่อเพื่อนไม่ยอมปล่อยผมจึงจับนิ้วเพื่อนมาเพื่อหักนิ้วเขา

ปล่อยๆ ปล่อยมือ!” เสียงผมหลุดออกมาจากฝัน จนสะดุ้งตื่นแล้วต้องขยับเปลี่ยนตำแหน่งก้นจากท่าเดิมที่นั่งนานจนรู้สึกปวดชาไปหมด

 

นกเหล็กยักษ์ร่อนลงสู่สนามบิน Newark ในเมือง นิวยอร์ก ได้เวลาลุ้นอีกครั้งที่จุดตรวจคนเข้าเมือง ทำให้นึกถึงหนังเรื่อง the terminal ขึ้นมาทันที เราวางแผนโดยที่ให้คนที่พูดภาษาอังกฤษไม่ได้เดินตามหลังคนที่พูดได้ ซึ่งมีแถวหลายแถว บางแถวก็ได้ผลบางแถวคนที่เราเตรียมไว้ถูกจับแยกไปอยู่คนละแถวเนื่องจากแถวยาวเกิน แต่สุดท้ายทุกคนก็ผ่านไปได้ด้วยดีเนื่องจากเอกสารที่เตรียมมาค่อนข้างละเอียด

 

เมื่อเปิดประตูออกนอกสนามบิน Jimmy มือกลองซึ่งเป็นเพื่อนพี่ทอด์ดและ Joe น้องเขยพี่ทอด์ด มารับที่สนามบินพร้อมรถตู้สองคัน แต่เมื่อเขาเห็นสัมภาระของเราทั้งกระเป๋าเสื้อผ้าและเครื่องดนตรีต่างๆ เขาถึงกับตาค้างกับมัน

 

ปลายทางของเราอยู่ที่เมือง Scranton รัฐเพนโซเวเนียบ้านเกิดพี่ทอด์ด เดินทางโดยรถตู้ใช้เวลากว่า สองชั่วโมงครึ่ง เมืองเล็กเป็นชนบทแบบอเมริกาทางตะวันออกเฉียงเหนือของสหรัฐ เป็นเมืองที่ค่อนข้างสงบ สงบกว่าอำเภอปาย แม่ฮ่องสอนอีก

 

พี่ทอด์ดเคยเล่าให้ผมฟังว่า ที่เพนโซเวเนียก็มีภูเขา เขาจึงเป็นลูกภูเขาเหมือนกัน วันนี้ผมมาเห็นด้วยตาของตนเองภูเขาที่นี่ ออกจะเป็นสันเขามากกว่า แม้จะเป็นสันเขาก็เพียงพอที่ทำให้ผมคิดถึง “บือโส่โจะ”หรือดอยข้าวลีบแห่งมูเจะคีที่บ้านของผม เหมือนครั้งที่ผมมองดอยสุเทพแล้วผมิดถึงมัน “เอาเราออกจากภูเขาได้ แต่เอาภูเขาที่เราเกิดออกจากใจเราไม่ได้” จริงอย่างที่พี่ทอด์ดเคยบอก

 

ผมไม่แน่ใจว่าคนที่นี่รู้จักแนวคิด “เศรษฐกิจพอเพียง” หรือเปล่า แต่ผู้คนที่นี่มีการทำสวนหน้าบ้าน มีการปลูกผัก ปลูกแครอท มะเขือเทศ ถั่ว เขาปลูกแล้วเขาก็กินจริงๆ มือที่ปลูกคือมือที่ดูแลรักษาคือมือที่เด็ดคือมือที่กิน ประเทศพัฒนาก็ยังมีวิถีแบบนี้อยู่ น่าให้เมืองในประเทศไทยหลายเมืองมาดูเป็นตัวอย่างได้เลย

 

เย็นวันที่4 ตุลาฯตามเวลาอเมริกา ได้มีโอกาสไปทานอาหารเย็นที่ร้านอาหารของคนไทย ชื่อร้าน “ไทยรักไทย” ซึ่งเปิดมาเป็นเวลาเกือบหกปีแล้ว เจ้าของร้านเล่าให้ฟังว่า อาหารไทยที่นี่มันต้องปรับสูตรเพื่อให้ฝรั่งทานได้ ไม่เผ็ดมากเกินไป เพิ่มหวานเข้าไปหน่อย แต่หน้าตายังคงเป็นต้นตำรับอยู่ แต่ประเด็นคำถามที่หนีไม่พ้นอันเนื่องมาจากชื่อร้านก็คือ

 

คิดอย่างไรกับที่พรรคไทยรักไทยถูกยุบครับ?” คนในกลุ่มคนหนึ่งถาม

ผมไม่คิดอะไรครับ พรรคไหนเป็นรัฐบาล ใครเป็นนายก ผมก็ยังต้องผัดข้าว ผัดผัก ต้มแกงอยู่ แต่ขออย่างเดียวคือเป็นแล้วให้ประเทศชาติเกิดประโยชน์ให้มากที่สุด เรื่องโกงกินมันมีอยู่ทุกคนทุกพรรคแหละ แต่โกงแล้วอย่าให้ประเทศชาติเสียหาย ไม่เอาละ ไม่พูดเรื่องการเมือง กินข้าวกันดีกว่า (หัวเราะ)”เจ้าของร้านพูดพร้อมเชิญชวนทานข้าว

 

ออกจากร้านอาหารกลับมาคุยกับ Tish เจ้าของบ้านทีเราพักซึ่งเป็นน้องสาวพี่ทอด์ด

สแครตัน เป็นเมืองที่มีสี่ฤดู ฉันชอบที่นี่มาก น่าฝนฉันจะเห็นดอกไม้บานหลากสี หน้าหนาวหิมะตกหนักมากสูงเกือบเมตร เมื่อหิมะตกทุกอย่างดูขาวสะอาดมาก เมื่อแดดส่องลงมาแสงสะท้อนมันจ้ามากจนไม่สามารถมองมันด้วยตาเปล่าได้ สวยมาก

 

หน้าหิมะทุกปีโรงเรียนจะหยุดเป็นอาทิตย์เลย เด็กๆ(ลูกๆ)ชอบมากเราอยู่แต่ในบ้านทำอาหารกินด้วยกัน ร้องเพลงด้วยกัน เที่ยงออกไปปาหิมะหน้าบ้านเล่นกัน ฉันชอบมาก ส่วนใหญ่รถที่เป็นเกียร์ออโตเมติก ไม่สามารถขับได้เวลาหิมะหนาๆ แต่รถฉันขับได้เพราะเป็นเกียร์ธรรมดา ฉันใช้คลัชช่วย ต้องใช้เท้าเลียคลัชรถมันจะขยับไปได้ สุกมาก” Tish เล่าอย่างสนุกสนานได้อารมณ์ ทำให้ผมนึกถึงการที่ต้องใช้เท้าเลียคลัชเวลาขึ้นดอยสูงหรือบรรทุกของหนักจนรถเริ่มอ่อนกำลังที่บ้าน

 

เวลาฤดูใบไม้ผลิ จะมีใบไม้หลายสี สีเหลือง สีแดง สีม่วง สีชมพู สีน้ำตาล โอ๊ย! สวย หน้าร้อน ร้อนมาก เราทำไอศกรีมกินกันทุกวัน ฉันชอบสแครตัน” Tish ได้ย้ำถึงความรู้สึกที่ผูกพันกับบ้านเกิดเมืองนอนของเขาอย่างจริงจัง

 

 

 

 


หน้าสนามบิน
Newark


 


สวนหน้าบ้าน


 


มะเขือเทศในสวนหน้าบ้าน



หน้าร้านอาหาร “ไทยรักไทย” ใน Scranton

บล็อกของ ชิ สุวิชาน

ชิ สุวิชาน
ผมฝ่าชุมชนมูเจะคีหลายชุมชน ซึ่งล้วนแล้วแต่ปรากฏร่องรอยเล็บตีนเล็บมือรวมทั้งเริ่มเห็นมูลอันเป็นของเสียแห่งระบบทุนนิยมที่ถ่ายทิ้งเอาไว้ในชุมชนปกาเกอะญอที่มีอายุหลายร้อยปีแห่งนี้ และมีแนวโน้มที่ทรัพยากรธรรมชาติ ผู้คนและวัฒนธรรมจะถูกกลืนกินเป็นอาหารอันโอชะมากขึ้นเรื่อยๆ  เมื่อได้มีโอกาสกลับมา พอมาถึงหมู่บ้านแรกของชุมชนปกาเกอะญอในบริเวณมูเจะคี ทันทีที่ได้สัมผัสมันเหมือนได้กลับคืนสู่รัง ได้เติมเต็มสิ่งที่ขาดหายไปตอนอยู่ในเมือง เมื่อผ่านชุมชนแต่ละหมู่บ้านจะพยายามมองรถทุกคันที่ผ่าน มองคนทุกคนที่เจอว่าเป็นเพื่อนเราหรือเปล่า? ลุง ป้า น้า อา หรือเปล่า? ญาติพี่น้องหรือเปล่า?…
ชิ สุวิชาน
 หลังเสร็จงานศพ ความรู้สึกจำใจจากบ้านมาเยือนอีกครั้ง  แต่การกลับบ้านครั้งนี้แม้จะเห็นการเปลี่ยนแปลงหลายอย่างโดยเฉพาะในวิถีประเพณี ที่มีคนตายในชุมชน  ได้เห็นสภาพของป่าช้าที่ถูกผ่าตัดตอนแล้วพยายามเปลี่ยนอวัยวะชิ้นส่วนใหม่จากภายนอกเข้ามาแทนที่ 
ชิ สุวิชาน
 โลงศพถูกหย่อนลงในหลุม  ลูกชายที่เป็นศาสนาจารย์และเป็นผู้สืบทอดตำแหน่งศิษยาภิบาลได้จับดินก้อนหนึ่งกำไว้ในมือ  แล้วชูดินต่อหน้าผู้ร่วมงาน"ชีวิตเราถูกสร้างมาจากดิน แล้วพระเจ้าได้เป่าลมหายใจ คือชีวิตสู่เรา การรักษาร่างกายไม่สำคัญเท่ากับการรักษาชีวิต ชีวิตที่แม้ไม่มีร่างกายก็มีชีวิตอยู่ได้ เพราะเมื่อร่างกายเราถูกสร้างมาจากดิน ถูกใช้งานมาระยะหนึ่งก็ต้องเสื่อมและต้องกลับคืนสู่ดิน แต่ชีวิตไม่ได้ถูกสร้างมาจากดิน ชีวิตถูกสร้างมาจากลมหายใจที่มาจากพระเป็นเจ้า ถ้าเรารักษาชีวิตไว้ในขณะที่อยู่บนโลกให้เป็นไปตามพระวจนะของพระเป็นเจ้า…
ชิ สุวิชาน
จบพิธีทางคริสต์ศาสนา แขกเหรื่อที่มาต่างทยอยเดินลงบันใด และยืนกองรวมกันที่ลานหน้าบ้านผู้ตาย รถกระบะสองคันซึ่งเป็นของลูกชายศาสนาจารย์ที่จากไปได้แล่นมาแหวกกลุ่มคนที่ยืนอยู่ลานหน้าบ้าน และจอดท่ามกลางวงห้อมล้อมของฝูงชน  "กางเขนนี้คนเอาไม่อยู่ โคตรหนักเลย" เสียงของหนึ่งในชายฉกรรจ์ พูดขึ้นหลังจากนำไม้กางเขนซีเมนต์ขนาดประมาณ 2 เมตรครึ่ง หน้ากว้างประมาณ 6 นิ้วได้ขึ้นไว้บนรถกระบะ ครั้งหนึ่งพระเยซูได้แบกไม้กางเขนของตนเองไปยังภูเขาที่พระองค์จะถูกตรึง ระหว่างทางได้อ่อนระโหยโรยแรง มีชายผู้หนึ่งที่สงสารจึงอาสาช่วยแบก แต่มาครั้งนี้คนเอาไม่อยู่ ผมเพียงแต่นึกในใจว่ากางเขนซีเมนต์นี้…
ชิ สุวิชาน
"ที่จะร้องให้ฟังต่อไปนี้เป็น ธา ปลือ ร้องเพื่อให้คนเป็นรู้ว่าคนตายได้ตายเพื่อไปที่อื่นแล้ว ร้องเพื่อให้คนตายรู้ว่าตัวว่าได้ตายและต้องไปอยู่อีกที่แล้ว ในวันที่ไม่มีคนตายห้ามพูดห้ามร้องเด็ดขาด ไม่ว่าในบ้าน ใต้ถุนบ้านหรือที่ใดก็ตาม ในวันที่มีคนตายนั้นต้องร้อง" พือพูดก่อนร้อง พือหยิบไมโครโฟน หันมาทางผม ผมจึงเริ่มบรรเลงเตหน่า
ชิ สุวิชาน
ข่าวเรื่องการละสังขารของศาสนาจารย์ผู้ก่อตั้งคริสตจักรมูเจะคีในวัย 96 ปีได้ถูกกระจายออกไป ไม่เพียงแค่ในพื้นที่มูเจะคีเท่านั้น เชียงราย กาญจนบุรี ซึ่งเป็นที่เกิดและที่เติบโตของพื้นที่อื่นที่เขาเคยเผยแพร่และเทศนาเรื่องราวของพระคริสต์ทั้งในพื้นที่เชียงใหม่ แม่ฮ่องสอน ตาก ข่าวการจากไปของเขาไม่เลยผ่านไปได้ งานศพถูกจัดการอย่างดีตามรูปแบบของคริสเตียน ข่าวไปถึงที่ไหนผู้คนจากที่นั่นก็มา คนในพื้นที่กับคนนอกพื้นที่ดูแล้วปริมาณไม่ต่างกันเท่าเลย เหมือนมีการจัดงานมหกรรมบางเกิดขึ้นในชุมชน ลูกหลานที่ไปทำงานจากที่ต่างๆ ของเขาก็มากันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา โดยที่งานศพถูกเก็บไปสามคืน
ชิ สุวิชาน
พี่นนท์เล่าให้ฟังว่า หลังจากที่ได้ฟังพาตี่ทองดี จึงร้องเพลงธาปลือให้ฟัง จนกระทั่งถึงท่อน โย เย็นนั้นระหว่างงาน พี่นนท์จึงถามคำแปลของเพลงเหล่านั้น หลังจากเสร็จงานนั้นเพลงเส่อเลจึงมีการต่อเติมจนเป็นเพลงขึ้นมาจนได้ “พี่นึกถึงหญิงสาวที่ต้องโตขึ้นมาอย่างลำบาก นึกถึงพัฒนาการการเติบโตของชีวิต ต้องตามพ่อตามแม่ปลูกข้าว กว่าจะโตเป็นสาวต้องผ่านการตรากตรำทำงานอย่างลำบาก พี่เลยจินตนาการการตายของเธอว่า เป็นการเสียชีวิตด้วยไข้ป่า”
ชิ สุวิชาน
แม้ว่าฤดูเกี่ยวข้าวมาถึงแล้วแต่ฝนยังคงโปรยปรายลงมาอยู่ คนทำนาได้แต่ภาวนาว่าขออย่าตกตอนตีข้าวก็แล้วกัน เพราะฝนตกตอนตีข้าวนั้นมันยิ่งกว่าค่าเงินลอยตัวเสียอีก ผมเตรียมตัวกลับบ้านอีกครั้งเพื่อกลับไปเกี่ยวข้าว ผืนนาที่เคยวิ่งเล่นตอนเด็กๆกวักมือเรียกผมจากเมืองคืนสู่ทุ่งข้าวเหลืองอีกฤดู ซึ่งก็ได้จังหวะพอดีที่พ่อผมลงมาทำธุระที่เชียงใหม่ ทำให้ผมได้อาศัยรถของพ่อในการกลับครั้งนี้
ชิ สุวิชาน
ด้วยความที่อยากให้เกียรติวีรบุรุษในการต่อสู้ของคนที่อยู่กับป่า ทางทีมงานของเครือข่ายกะเหรี่ยงเพื่อวัฒนธรรมและสิ่งแวดล้อมจึงเลือกเพลง ปูนุ ดอกจีมู เป็นเพลงเปิดหัวในการประชาสัมพันธ์อัลบั้มเพลงเกอะญอเก่อเรอ ที่แรกที่เราส่งไปคือสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย ท่าเป็นช่วงภาคภาษาชนเผ่า โดยเฉพาะภาษาปกาเกอะญอ ซึ่งมีพี่มานะ หรือบิหนะ เป็นผู้ประกาศข่าวคราวต่างไปถึงพี่น้องปกาเกอะญอในเขตภูเขา หลังจากที่เพลงถูกเปิด มีพี่น้องปกาเกอะญอจากที่ต่างๆโทรมาแสดงความเห็นมากมาย “ส่วนใหญ่เค้าบอกว่า เค้าชอบเพลงนี้มาก แต่เค้าขอร้องมาว่า ถ้าถึงท่อนที่เป็น ธาโย ช่วยปิดเลยได้มั้ย เพราะเขค้าฟังแล้วขนลุก…
ชิ สุวิชาน
มีผู้อาวุโสปกาเกอะญอ                  แห่งหมู่บ้านโขล่ เหม่ ถ่า ผู้ซึ่งไม่มีชื่อเสียงเรืองนาม              เขาคือ พาตี่ ปูนุ ดอกจีมูอยู่กับลูก อยู่กับเมีย                     ตามป่าเขาลำเนาไพรท่ามกลางพืชพันธุ์แมกไม้              ทั้งคน ทั้งป่าและสัตว์ป่าทำไร่หมุนเวียน ทำนา …
ชิ สุวิชาน
เพื่อเป็นการรำลึกแห่งการครบรอบการจากไป 1 ปี ทางเครือข่ายกะเหรี่ยงเพื่อวัฒนธรรมและสิ่งแวดล้อม ได้มีความประสงค์ในการจัดงานเพื่อรำลึกถึงพาตี่ปุนุ ซึ่งถือเป็นวีรบุรุษในการต่อสู้เพื่อคนอยู่กับป่าคนหนึ่ง โดยเครือข่ายกะเหรี่ยงเพื่อวัฒนธรรมและสิ่งแวดล้อม ได้มีการผลิตซีดีเพลงชุดหนึ่ง โดยมีพาตี่อ็อด วิฑูรย์ เป็นผู้ดูแลเนื้อร้องทำนองขับร้อง "ช่วยแต่งเพลง เกี่ยวกับปุนุ ให้หน่อย พาตี่แต่งไม่ทันแล้ว" พาตี่อ็อดมาบอกผม ผมจึงลงมือเขียนเพลงปูนุด้วยความรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่ง ซึ่งเป็นเพลงแรกที่ผมเขียนถึงคนตาย และต้องพูดถึงเหตุการณ์ในการตายของเขาด้วย จึงทำให้ผมนึกถึงบทเพลงคร่ำครวญในงานศพ…
ชิ สุวิชาน
ปี 2540 สถานการณ์การต่อสู้ของชุมชนที่อยู่กับป่าร้อนระอุขึ้นมาอีกระลอก เมื่อรัฐบาลของนายหัว ชวน หลีกภัย ได้มีนโยบายอพยพคนออกจากป่า นั่นหมายถึงชะตากรรมวิถีของคนอยู่กับป่าจะถูกเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่หลวง ชุมชนเดิม ที่อยู่ ที่ทำกินเดิมนั้นจะกลายเป็นเพียงที่ที่เคยอยู่เคยกินเท่านั้น ตัวแทนขบวนคนอยู่กับป่าจึงมีการขยับเคลื่อนสู่หน้าทำเนียบรัฐบาลอีกครั้ง โดยมีเครือข่ายกลุ่มสมัชชาคนจนจากภาคต่างๆมาสมทบอย่างครบครัน กลายเป็นชุมชนคนจนหน้าทำเนียบโดยปริยาย “ลูกหลานไปเรียกร้องสิทธิหลายครั้งแล้ว ไม่ได้สักที คราวนี้ฉันต้องไปเอง ถ้าเรียกร้องไม่สำเร็จฉันจะไม่กลับมาเด็ดขาด”…