Skip to main content

ข้าวเย็นมื้อหนักจบลง ตัวแทนสมาคมไทย-เท็กซัส ได้พาคณะไปที่พักผู้หญิงพักที่บ้านคนไทย ผู้ชายพักที่วัดไทยที่อยู่ใกล้ๆ ชื่อ”วัดป่าศรีถาวร” ซึ่งมีที่พัก มีห้องน้ำที่อยู่ในขั้นสะดวก พระสงฆ์ที่จำวัดอยู่ที่นี่เป็นกันเองนอกจากบริการที่พักแล้ว ยังให้ข้าวปลาอาหารให้ทานอีกเล่นเอาทีมงานผู้ชายต่างซึ้งไปตามๆกัน

\\/--break--\>

หลังจากที่จัดแจงที่พักกันลงตัวแล้ว ได้มีสัญญาณให้ไปรวมตัวกันที่บ้านพักของผู้หญิง เมื่อผมไปถึงผมเห็นทุกคนมาถึงกันหมดแล้ว

 

โอเค ครบล่ะนะ มีอะไรก็ว่ากันมา” พี่ทอด์ดบอกกับทุกคน

คือหนูคิดว่า ตอนคุยกันก่อนมากับตอนนี้มันไม่เหมือนเดิม ทุกอย่างมันไม่เหมือนอย่างที่คุยกัน ทุกคนต้องเหนื่อยกับเรื่องที่ไม่ควรจะเหนื่อย ต้องทนกับเรื่องที่ไม่ควรจะทน เช่น พี่ๆ นักดนตรีที่อายุห้าสิบกว่าต้องมาแบกเครื่องเสียงด้วยตนเอง น้องๆ แดนเซอร์ ต้องขนเสื้อผ้าด้วยตัวเอง และบางคนปวดฉี่ระหว่างทางแต่รถก็ไม่ยอมจอดให้ หนูว่ามันไม่ใช่ มันต้องดูแลกันบ้าง” หนูคนหนึ่งพูดเปิดประเด็น

 

คนอื่นๆ ล่ะว่ายังไง” พี่ทอด์ดถามคนอื่นต่อ

ผมเห็นด้วยกับที่หนูพูดเมื่อกี้นะ วันนั้นผมปวดขี้มากเลย ผมอยากขี้ ผมขอให้คนขับรถหยุดเข้าห้องน้ำ แต่เขาไม่ยอมหยุด เขามาต่อว่าผม เขาบอกให้ผมหุบปาก ถ้าเป็นเมืองไทย ผมกระโดดลงจากรถไปแล้ว” นักดนตรีไทยกล่าวเสริม

 

หนูขอพูดบ้างนะ หนูไปแสดงมาหลายประเทศ หนูไม่เคยกลัวความลำบาก แต่ทุกอย่างต้องมีแผน ต้องอยู่ในแผน และทุกคนต้องรู้แผนล่วงหน้า ทั้งเรื่องเวลาเดินทาง เวลากินข้าว เวลาแสดง สถานที่แสดง สถานที่เปลี่ยนชุดเปลี่ยนผ้า คิวเพลงต่าง ๆ ถ้ารู้ล่วงหน้าอย่างที่หนูว่ามา ทุกอย่างมันจะง่ายขึ้นและมันจะเหนื่อยน้อยลง อย่างนี้ต้องมาเหนื่อยกับการทำอะไรที่กะทันหันทันทีทันใด โดยไม่รู้โปรแกรมล่วงหน้า หนูเหนื่อยกับการต้องรีบเร่ง ไหนต้องรีบเปลี่ยนชุด ไหนต้องรีบเปลี่ยนคิวการแสดง หนูเหนื่อยกับสิ่งเหล่านี้มากกว่าเรื่องการเดินทางไกล เรื่องได้กินไม่ได้กิน สำหรับหนูไม่ใช่เรื่องใหญ่” แดนเซอร์คนหนึ่งพูดขึ้นมาพร้อมกับน้ำเสียงสะอื้น

 

หนูพูดดีนะ แต่เวลาพูด หนูอย่าร้องไห้” มือคีย์บอร์ดกล่าวให้กำลังใจแดนเซอร์

ผมขอพูดนิดหนึ่ง ไอ่ที่ว่าให้ผมหยุดรถแล้วผมไม่หยุดรถ คุณอย่าลืมว่าที่นี่อเมริกา ไม่ใช่เมืองไทย เราขับรถบนถนนไฮเวย์ รถเร็ว รถเยอะ ผมรู้แล้วว่าคุณปวดขี้ แต่มันยังไม่ถึง Exit ที่เป็นทางออกเพื่อเข้าปั๊มน้ำมัน ไม่ใช่ผมไม่อยากจอด แต่มันจอดไม่ได้ ผมพูดคุณก็ฟังไม่เข้าใจ คุณก็มาพูดภาษาไทย เดี๋ยวก็บ่น เดี๋ยวก็บ่น ผมก็เลยบอกว่าให้คุณหุบปากซะ แค่นี้แหละ พอถึง exit ผมก็เข้าไปจอด แต่ว่าขี้คุณแตกหรือยังผมก็ไม่รู้” นักดนตรีและคนขับรถจากฝรั่งเศสชี้แจง

 

ผมมีความคิดเห็นที่อยากแลกเปลี่ยนหน่อย ผมรู้สึกว่างานบางงานที่เราไปไม่ทันจริง ๆ ควรจะยกเลิก เพราะถ้าเราเล่นด้วยบรรยากาศที่ฉุกละหุก มันจะออกมาไม่ดี เราควรจะดูให้ดีว่า ที่ที่เราจะเล่นอยู่ห่างไกลจากที่ที่เราพักตอนนี้หรือเปล่า ถ้ามันอยู่ไกลจนต้องรีบเดินทางขับรถเร็ว มันอันตราย” มือเบสจากฮอลแลนด์ แลกเปลี่ยนนำเสนอความเห็น

 

หนูเห็นด้วยกับพี่มือเบสนะ หนูว่างานบางงาน หรือที่บางที่ เราต้องดูว่า มันเหมาะกับโชว์ของเราหรือเปล่า ถ้ามันไม่เหมาะ เราเล่นไปก็เหนื่อยเปล่า เสียแรงเปล่า” แดนเซอร์ อีกคนกล่าวเสริม

 

โอเค บางอย่างเรายอมรับผิด แต่บางอย่างเราอยากบอกว่า เรามาที่นี่เพื่อมาเพาะเมล็ดพันธุ์ด้วยกัน เราถือเมล็ดพันธุ์ร่วมกันคนละเม็ด ลานนาถือเมล็ดพันธุ์ของเหนือมา ซอถือเมล็ดพันธุ์ทางใต้มา ป้อถือความเป็นไทยภาคกลาง อ.ยอด ถือเมล็ดพันธุ์จากแม่น้ำโขงมา ชิถือเมล็ดพันธุ์ของคนปกาเกอะญอ ของคนชนเผ่ามา ส่วนนักดนตรีคนอื่น ๆ และผม เรามาร่วมกันเพาะเมล็ดหว่านเมล็ดพันธุ์เหล่านี้ ให้มันงอกออกมาสู่พื้นที่ใหม่ สู่ดินแดนใหม่ ผมเชื่อว่านี่คือ โอกาสของเราทุกคน

 

เวลาผมพานักดนตรีไทยมา ปัญหาใหญ่คือเรื่องภาษา อย่างเรื่องที่จะเข้าห้องน้ำแต่คนขับรถไม่ยอมจอดให้ ผมมองว่าปัญหามีอยู่นิดเดียว คือเรื่องภาษา สื่อสารกันไม่รู้เรื่อง เราเป็นคนไทย เรารักในวัฒนธรรมไทยก็จริงอยู่ แต่เมือเราจะมาประเทศเขา เราน่าจะเอาหน่อย ศึกษาภาษาเขาหน่อย ศึกษาวัฒนธรรมเขาหน่อย แต่พรุ่งนี้เราจะทำใหม่ให้ดีกว่าเดิม” พี่ทอด์ดกล่าวทิ้งท้าย

 

หลังจากนั้นทุกคนแยกย้ายกันกลับเข้านอน ในขณะที่ทีมงานของพี่ทอด์ดต้องประชุมวางแผน ปรับปรุงแก้ไข สิ่งที่ได้รับการสะท้อนจากวันนี้ เพื่อนำไปแก้ในงานที่เหลืออยู่

 

รุ่งเช้าผมตื่นมาเห็นพี่ทอด์ดนั่งทำรายละเอียดเกี่ยวกับกำหนดการที่เหลืออยู่

 

มันเป็นเรื่องธรรมดานะคุณ ไม่ใช่กลุ่มนี้กลุ่มเดียวที่เป็นแบบนี้ ทุกครั้งที่ผมนำนักดนตรีไทยมาทัวร์อเมริกา ผมจะเจอแบบนี้ทุกครั้ง เรื่องอาหาร การเดินทาง ที่พัก เป็นปัญหาหลัก ผมต้องคอยแก้ปัญหาอยู่เสมอ ถ้าชิอยากเขียนสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมด แล้วค่อยมาลุ้นกันต่อว่าท้าย ๆ เหตุการณ์มันจะคลี่คลายลงอย่างไร ชิเขียนสิ่งที่เกิดขึ้นได้เต็มที่เลย” พี่ทอด์ดคุยกับผม

 

ตามประสบการณ์ผมนะพี่ เวลาพาชาวบ้านไปศึกษาดูงาน มันจะมีอยู่ 2 อย่างที่สำคัญ คือเรื่องที่พัก กับเรื่องอาหาร ถ้าที่พักดี อาหารถูกปาก คุณเอาไปเลย คะแนนเต็มร้อย แต่หากที่พักไม่ดีขอให้อาหารถูกปากและกินอิ่ม คุณเอาไปเลย เก้าสิบ หรืออาหารอาจจะไม่ถูกปาก แต่ที่พักดี คุณก็อาจจะได้ เจ็ดสิบถึง แปดสิบอยู่ แต่หากที่พักแย่ อาหารไม่ถูกปาก คะแนนคุณติดลบทันที” ผมแลกเปลี่ยนกับพี่ทอด์ด

 

เรื่องอาหารเรายอมรับผิด เพราะเราไม่มีเวลาหยุดพักนาน ๆ เพื่อกินอาหาร เราต้องรีบเดินทางไปเพื่อไปให้ทันเวลาการแสดง นี่เราต้องหาทางแก้ปัญหา” พี่ทอด์ดบอก

สักพักผมเดินออกไปนอกบ้าน สายตาผมไปสะดุดอยู่ที่ป้ายหน้าปากซอย

 

Stop, Karen street” ผมแปลกใจกับชื่อซอยมาก หรือซอยนี้เป็นซอยของคนปกาเกอะญอ ผมถามพี่ต้อย คนไทยในเทกซัส เขาก็ไม่เข้าใจที่มาที่ไปว่าทำไมถึงชื่อ Karen street ตั้งแต่เขามาอยู่เมื่อสามสิบปีที่แล้ว ถนนซอยนี้ก็ชื่อแบบนี้แล้ว

 

แถวนี้ไม่มีคนคาเรนหรอก มีแต่คนแมกซิโก” พี่ต้อยบอกผม ผมจึงกลับไปเอาเตหน่าออกมา แล้วไปชักรูปคู่กับ Karen street Houston, Texas

 


วัดไทย ใน Houston


 


คณะถ่ายรูปหน้าวัดเป็นที่ระลึก


 


เตหน่ากู Stop at Karen Street,Houston,TX.

 

 

 

บล็อกของ ชิ สุวิชาน

ชิ สุวิชาน
สิบกว่าปีผ่านไป ภายในบ้านของครูดอยผู้ช้ำใจจากการนำดนตรีปกาเกอะญอไปเล่นในโบสถ์ เขารู้สึกดีใจมากที่ลูกชายของเขามาขอเรียนดนตรีพื้นบ้านของคนปกาเกอะญอ ทั้งๆที่เด็กรุ่นราวคราวเดียวกันต่างมุ่งหน้าเดินตามดนตรีตามกระแสนิยมกันหมดแล้ว นี่เป็นสิ่งที่เขาเฝ้าคอยและหวังมาโดยตลอดที่จะมีคนมาสืบทอดลายเพลงของชนเผ่า ไม่ว่าจะเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขแท้ๆ ของเขาหรือคนอื่นที่เป็นคนชนเผ่าเดียวกันก็ตาม ทำให้ฝันของเขาเริ่มเป็นจริงว่าทางเพลงแห่งวัฒนธรรมปกาเกอะญอจะไม่สิ้นสุดในยุคของเขา แต่เขารู้สึกตกใจ เมื่อลูกชายบอกเขาว่า จะนำเตหน่ากู ไปเล่นในคืนคริสตมาสปีนี้ที่โบสถ์ในชุมชน “ลูกแน่ใจนะ ว่าจะเล่นในโบสถ์”…
ชิ สุวิชาน
ในขณะที่อีกฝากหนึ่งของชุมชนปกาเกอะญอที่เปลี่ยนมานับถือศาสนาคริสต์แล้ว บทเพลง ธา ทุกหมวด กลายเป็นบทเพลงที่ถูกลืมเลือน ถูกทิ้งร้างจนเหมือนกลายเป็นบทเพลงแห่งอดีตที่ไม่มีค่าแก่คนยุคปัจจุบัน โมะโชะหมดความหมาย เมื่อคนปกาเกอะญอเริ่มเรียนรู้การคอนดัก (Conduct) เพลงแบบในโบสถ์แบบฝรั่ง เพลงธา ไร้คุณค่า เมื่อมีเพลงนมัสการที่เอาทำนองจากโบสถ์ฝรั่งมา เครื่องดนตรีปกาเกอะญอถูกมองข้ามเมื่อมีคนดนตรีจากตะวันตก เช่น กีตาร์ กลองชุด แอคคอร์เดียน เมาท์ออร์แกน ฯลฯ เข้ามา “โด โซ โซ มี โด มี โซ ready… sing ซะหวิ” ประโยคนี้มักจะเป็นประโยคเริ่มต้นของคนที่เป็นผู้นำวงร้องประสานเสียงพูดนำก่อนร้องเพลง…
ชิ สุวิชาน
หลัง ธาหมวด แป่โป่ แปซวย แล้ว ก็จะต่อด้วย ธาหมวดโข่เส่ คะมอ ตามด้วย หมวดโดยมีเด็กชายนำการเดินวนอยู่เหมือนวันแรก  และหมวด ธาปลือลอ ได้เริ่มถูกขับขานต่อจาก หมวดโข่ เส่ คะมอ ต่อด้วย หมวด เชอเกปลือ  หมวดฉ่อลอ หมวดแกวะเก  หมวดธาชอเต่อแล จากนั้น หมวดธาเดาะธ่อ จึงเริ่มขึ้นอีกครั้งพร้อมกับการกลับมาอย่างแน่นขนัดของหนุ่มสาวเช่นเดิม เมื่อธาเดาะธ่อหรือเริ่มต้นมาแล้ว ก็จะมีหมวดธา เดาะแฮ, หมวด ธาเดาะเหน่,หมวด ธาลอบะ ,หมวด ธา ลอกล่อ ซึ่งล้วนแต่เป็น ธา หน่อ เดอ จ๊อหรือธา หนุ่มสาว ซึ่งตั้งแต่ ธา หมวด เดาะธ่อ เป็นต้นไป ถือว่าเป็น เพลงธา ที่สามารถขับขานเป็นปกติได้ทุกโอกาส ทุกสถานที่…
ชิ สุวิชาน
เมื่อได้ยินหมวด ธา ธาชอเต่อแล หนุ่มสาวต่างขยับเข้ามาในวงเพลงธามากขึ้น เพื่อเริ่มงานของหนุ่มสาว ธาชอเต่อแลจึงเปรียบเสมือน หมวดที่เชื้อเชิญหนุ่มสาวเข้าสู่การขับขานเพื่อต่อเพลงธากัน โดยมีโมะโชะฝ่ายหญิงแลโมะโชะฝ่ายชายเป็นหัวหน้าทีมของแต่ละฝ่าย เวทีการดวลภูมิรู้เรื่องธาที่ขุนเพลงธาโปรดปรานได้เกิดขึ้นอีกครั้งในคืนงานศพ หมวดแห่งการดวลเพลงธา เริ่มที่หมวดธาเดาะธ่อ ซึ่งแปลว่า ธาเริ่มต้น ส่วนใหญ่เป็นธาที่ว่าด้วยความรัก ความสามัคคี ความร่วมไม้ร่วมมือ เพื่อให้คนที่มาร่วมงานตระหนักและสำนึกเสมอว่า เป็นคนในชุมชนเดียวกัน ชนเผ่าเดียวกัน สังคมเดียวกัน และโลกใบเดียวกัน ดังตัวอย่างธาที่ว่า   เก่อ…
ชิ สุวิชาน
หมวด ธาปลือลอ ได้เริ่มถูกขับขาน ซึ่งเป็นหมวดที่ว่าด้วย การจากไปสู่ปรโลก ซึ่งปกติแล้วก่อนที่คนจะตายมักมีลางสังหรณ์ปรากฎแก่คนใกล้ชิดหรือคนรอบข้างเสมอ นั่นหมายความว่าถึงเวลาของผู้ตายแล้ว เวลาแห่งความตายนั้นย่อมมาถึงทุกคน เพราะฉะนั้นก่อนตายควรทำความดีหรือทำคุณประโยชน์ให้เกิดแก่แผ่นดินถิ่นเกิดที่เราอาศัยอยู่ตอนมีชีวิตให้มากที่สุด เมื่อลางสังหรณ์มาถึงเราจะได้จากอย่างหมดทุกข์หมดห่วง ตัวอย่าง ธา หมวดนี้เริ่มต้นดังนี้ มี หม่อ เคลอ ฮะ เหน่ อะ เด                 มีหม่อ คอ ฮะ เหน่ อะ เด เต่อ เหม่ เคลอ ฮะ เหน่ อะเด      …
ชิ สุวิชาน
“โมะโชะมาแล้ว” ชายหนุ่มคนหนึ่งกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ตื่นเต้น เมื่อเห็นร่างชายวัยปลายกลางคนเดินเข้ามา สายตาทุกดวงจึงมองไปที่ โมะโชะ เขาคือผู้นำในการขับขานเพลงธา เขาต้องเรียนรู้และพิสูจน์ตัวเองมาหลายปีกว่าเขาจะได้รับตำแหน่งนี้ หน้าที่รับผิดชอบสำหรับตำแหน่งนี้คือการเป็นผู้นำในการขับขานธาในพิธีกรรมต่างๆ ที่เกิดขึ้นในชุมชนเช่น งานแต่ง หรืองานตาย บางชุมชนทั้งหมู่บ้านไม่มีโมะโชะเลย เวลามีงานต้องไปยืมหรือเชื้อเชิญโมะโชะจากชุมชนอื่นที่อยู่ใกล้ ว่ากันว่าชุมชนที่สมบูรณ์นอกจากต้องมีผู้นำชุมชนตามประเพณีที่เรียกว่า ฮี่โข่ ต้องมีจำนวนหลังคาในชุมชนมากกว่า 30 หลังคาเรือนแล้ว…
ชิ สุวิชาน
ช่วงเย็นหลังจากที่ทำงานในไร่ และกำลังจะนั่งกินข้าวร่วมครอบครัว “ลุงเร็ว ปู่ วาโข่ หายใจขึ้นอย่างเดียว ไม่ได้หายใจลงแล้ว” หลานชายมาวงข่าวเกี่ยวกับพือวาโข่ซึ่งเป็นพ่อของเขา เขาละจากวงทานข้าวของครอบครัว แล้ววิ่งไปหาพ่อทันที พือวาโข่ เป็นฉายาที่เด็กๆ ในหมู่บ้านและหลานๆเ รียกชื่อผู้เฒ่าผู้ชายที่อาวุโส จนผมหงอกทั้งหัว พือหมายถึงพ่อเฒ่า วาโข่หมายถึง ผมขาว หากเป็นผู้หญิงจะเรียกว่า พีวาโข่ พีแปลว่าแม่เฒ่า นั่นเอง คนรุ่นนี้จะเป็นที่รักใคร่ของลูกหลานทั้งในครอบครัวและในชุมชน เพราะถือเป็นทรัพยากรบุคคลของชุมชนทีมีค่า หากมีปัญหาเกิดขึ้นในชุมชนที่คนรุ่นใหม่ไม่สามารถหาทางออกได้…
ชิ สุวิชาน
  บรรยากาศในบ้านเริ่มคึกคักมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อมีเสียงเตหน่าบรรเลงในบ้านไม่เว้นแต่ละคืน  บางคืนเป็นเสียงเตหน่า ลายเดิมที่ผู้เป็นพ่อเป็นคนถ่ายทอด  แต่บางคืนมีเสียงเตหน่าลายแปลกออกมาจนผู้เป็นพ่ออดไม่ได้จนต้องเงี่ยหูฟัง  นานแล้วที่เจ้าของเสียงเตหน่ากูห่างหายไปจากการร่ำเรียนวิชาจากพ่อ  แต่วันนี้เขากลับมาหาครูผู้สอนเตหน่ากูของเขาอีกครั้ง แน่นอนมันต้องมีอะไรบางอย่างสงสัยจึงต้องมา"พ่อผมจะไปล้มไม้มาทำเตหน่ากู ควรจะหาไม้อย่างไรดี" ประโยคแรกที่เขามาถามพ่อ"จริงๆ แล้วไม้อะไรก็ได้ทั้งนั้น ขอให้เป็นไม้ที่โค้งงอ แต่คนสมัยก่อนเขานิยมใช้ไม้เก่อมา หรือภาษาไทยเรียกว่าไม้ซ้อ…
ชิ สุวิชาน
มีบทธา ซึ่งเป็นบทกวีหรือสุภาษิตสองลูกสอนหลานของคนปกาเกอะญอมากมาย ที่กล่าวถึงเตหน่ากูเครื่องดนตรีดั้งเดิมของคนปกาเกอะญอ แต่ในตรงนี้จะยกมาเพียงส่วนหนึ่งเพื่อเป็นตัวอย่างเบื้องต้นของ ธา ที่กล่าวถึงเตหน่ากู 1. เตหน่า อะ ปลี เลอ จอ ชึ             เด เต่อ มึ เด ซึ เด ซึ2.เตหน่า เลอ จอ แว พอ ฮือ            เต่อ บะ จอ จึ แซ เต่อ มึ3.เตหน่า ปวา แกวะ ออ เลอ เฌอ      เด บะ เก อะ หล่อ เลอ เปลอ4.เตหน่า ปวา เจาะ เลอ เก่อ มา     …
ชิ สุวิชาน
ลูกชายหายหน้าไปจากการเรียนรู้การเล่นเตหน่ากูกับพ่อเป็นหลายสิบ จนผู้เป็นแม่ที่คอยหุงอาหารให้หมูในตอนหัวค่ำเกิดคำถามต่อผู้เป็นพ่อ “ไอ้ตัวเล็กมันเล่นเป็นแล้วเหรอ? มันถึงไม่มาฝึกเพิ่ม” แม่ถามพ่อซึ่งนั่งอยู่ตรงข้ามกะบะไฟดินในบ้าน “มันบอก มันจะฝึกเอง มันคงไปฝึกที่บ้านผู้สาวมั้ง?” พ่อตอบแม่พร้อมกับสันนิษฐานพฤติกรรมของลูกชาย “มันก็ธรรมดาแหละ วัวตัวผู้พอมันเริ่มเป็นหนุ่ม มันก็เริ่มแตกฝูงไปหาตัวเมียในฝูงอื่น ก็เหมือนพ่อตอนเป็นหนุ่มนั่นแหละ อยู่บ้านอยู่ช่องซะที่ไหน กลางค่ำกลางคืนดึกแล้วไล่กลับบ้านก็ไม่ยอมกลับ ค่ำไหนค่ำนั้น มาหาทุกคืน” แม่เปรียบเทียบให้พ่อฟัง
ชิ สุวิชาน
“วิธีการเล่นล่ะ? แตกต่างกันมั้ย?” ลูกชายถามพ่อ “ถ้าเล่นอย่างไดอย่างหนึ่งได้นะ ก็เล่นอีกอย่างได้เองแหละ ขอให้เข้าใจวิธีการตั้งสายเถอะ อย่าตั้งสายเพี้ยนละกัน” พ่อบอกและย้ำกับลูกชาย “งั้นพ่อสอนเพลงอีกซักเพลงที่เล่นแบบเมเจอร์สเกลนะ” ลูกขอวิชาจากพ่อ “เอาซิ! เดี๋ยวพ่อจะสอนเพลงพื้นบ้านง่ายๆที่ผู้เฒ่าผู้แก่ชอบร้อง ชอบเล่นกับเตหน่ากูบ่อยๆ อีกเพลง ร้องตามนะ” พ่อเริ่มร้องนำ ลูกจึงเริ่มร้องตาม
ชิ สุวิชาน
สองสามคืนผ่านไป ลูกชายไม่ได้มายุ่งกับพ่อ แต่คืนนี้ภายในบ้านไม้ไผ่ หลังคาตองตึงทรงปวาเก่อญอหลังเดิม ลูกชายถือเตหน่ากูมาอยู่ข้างพ่ออีกครั้ง “ลองฟังดูนะ ใช้ได้หรือยัง?” ลูกชายพูดจบเริ่มดีดเตหน่าและเปล่งเสียงร้องเพลงแบบไมเนอร์สเกลให้พ่อฟัง แต่ด้วยความตั้งใจมากไปหน่อยทำให้การเล่นบางครั้งมีสะดุดเป็นช่วงๆ แต่ลูกชายไม่ยอมแพ้และไม่ยอมหยุด เล่นและร้องให้พ่อซึ่งเป็นครูสอนเตหน่ากูให้เขาจนจบเพลง “ฮึ ฮึ ก็ดี เริ่มต้นได้ขนาดนี้ก็ไช้ได้” พ่อตอบเขาแบบยิ้มๆ “แล้วพ่อจะสอนอีกแบบหนึ่งได้หรือยัง?” เขามองหน้าพ่อ “อ๋อ ที่มาเล่นให้ฟังนี้ก็เพื่อให้รู้ว่าเล่นไมเนอร์ได้แล้ว จะขอเรียนแบบเมเจอร์ต่อว่างั้นเถอะ”…