“ผมมีเพื่อนปกาเกอะญอมาด้วยคนหนึ่ง” ผมบอกกับคนดู
ผมได้ไปพบ และได้ไปฟัง เพลงที่เขาร้อง ณ ริมฝั่งสาละวิน ทำให้ผมเกิดความประทับใจในท่วงทำนองและความหมายของบทเพลงรวมทั้งตัวเขาด้วย
ผมทราบมาว่าตอนนี้เขาอยู่ที่เมืองเชียงใหม่ ผมจึงไม่พลาดโอกาสทีจะชักชวนเขามาร่วม บอกเล่าเรื่องราวของชนเผ่า ผ่านบทเพลงที่ผมประทับใจ ซึ่งแรก ๆ นั้น เขาแบ่งรับ แบ่งสู้ ที่จะตอบรับการชักชวนชองผม แต่ผมก็ชักแม่น้ำทั้งห้า จนเขาหมดหนทางปฏิเสธ
“ผมไม่คุ้นเคยกับการร้องเพลงต่อหน้าคนมาก ๆ นะ” เขาออกตัวกับผมก่อนวันงาน แต่เมื่อถึงวันงานเขาก็ไม่ทำให้ผมผิดหวัง เขาเดินออกมาแบบเกร็งๆ และประหม่าอย่างเห็นได้ชัด เขาจะยืนตรงก็ไม่ใช่ จะยืนเท้าเอวก็ไม่เชิง
“ตอนขึ้นต้นช่วยร้องนำให้หน่อยนะ ผมไม่มั่นใจ ผมกลัวขึ้นไม่ถูก” เขากระซิบข้างผมก่อนจะร้องเพลง ผมพยักหน้าตอบและยิ้ม ๆ เพื่อให้เขารู้สึกอุ่นใจขึ้น ผมบีบแขนเขา เพื่อให้เขาหายเกร็ง เขาหันกลับมายิ้มแบบเกร็ง ๆ อยู่เหมือนเดิม
เมื่อผมเริ่มบรรเลงเตหน่า เขาเริ่มทำหน้าเครียดทันที เขาพยายามฟังเตหน่าของผม และพยายามดูหน้าของผม เผื่อผมจะส่งสัญญาณให้ขึ้นต้นร้องเพลง และแล้วเขาก็เริ่มต้นร้องพลาดจนได้ แต่ผมส่งสัญญาณให้เขาเดินหน้าร้องต่อไป เขาไม่ลังเลอีกแล้ว เขาเปล่งเสียงร้องต่อแบบสั่น ๆ นิดหน่อย
ฤดูกาลแห่งความร้อนแล้ง ได้สิ้นสุดลงแล้ว
ฤดูกาลแห่งสายฝนจะเริ่มต้นแล้ว
ลมฝน เริ่มมาทักทายยอดใบไม้ของต้นไม้สูง
ไข่ในรังนกเริ่มแตกและออกลูก
ฝูงเขียดร้องระงมไปทั่วทุ่งนาในยามค่ำคืน
เชือกเริ่มมาร้อยที่จมูก
ฤดูกาลแห่งการทำงานได้เริ่มต้นอีกครา
กลางแดด กลางฝน ต้องตามเชือกที่เขาจูง
เมื่อยขา เล็บแตก ก็ต้องทน
ท้องหิว แต่งานยังไม่เสร็จก็ต้องทน
อยากจะบอกความต้องการให้เขารู้แต่พูดไม่ได้
เกิดมาชาตินี้มีแต่กรรม
ต้องทนทุกข์เข็ญทรมาน
ทั้งดิน ทั้งโคลน ต้องลากดึง
เพื่อคนอื่นได้มีกิน เราต้องทำ
ฤดูกาลแห่งการเก็บเกี่ยวสิ้นสุดลงแล้ว
ฤดูกาลแห่งการดื่มกินฉลองได้เริ่มต้น
ลมหนาวได้พัดมาหนาวเย็นถึงกระดูก
ต้องเข้าป่าเพื่อหญ้าลำพังตามประสา
ลืมแล้วผู้ไถคราดยามต้นฤดู
ชาติหน้าเรามาสลับเปลี่ยนสภาพกันบ้าง
แล้วจะเข้าใจว่ามันเป็นอย่างไร?
เขาร้องเพลงจบ เขาหันมายิ้มให้ผมพร้อมเหงื่อบนใบหน้า
“ขอเป็นกำลังใจด้วยเสียงตบมือให้เพื่อนผมหน่อยครับ” ผมพูดจบ เสียงตบมือดังลั่นห้อง เขาก้มหัวแทนคำขอบคุณและเดินลงไปอย่างเงียบๆ
ผมยังคงต้องทำหน้าที่ต่อ ณ ที่ว่างข้างหน้าแห่งนั้น โดยยังคงมีผู้ช่วยของผมและเพื่อนนักดนตรีจากออสเตรเลียร่วมทำหน้าที่
แบแล บทเพลงที่ให้พลิกฟื้นแผ่นดินถิ่นเกิด เขามีข้าวกิน เราก็มีข้าวกิน อร่อยแน่ๆ หากได้อยู่ได้กินได้ทำในถิ่นกำเนิด แม่ผู้ยังคงทำหน้าที่ผลิตวัฒนธรรมสู่ลูกหลานให้กลับมาสู่เหย้า และการกลับมาของฟักสีเขียวกับไก่สีขาวบนขันตกเดียวกัน โลกต้องการการปลอบประโลมให้หยุดร้องไห้
“ผมมีพีชายอีกคนหนึ่ง ซึ่งเดินทางมาจากริมทะเลสาบสงขลา จนมาพบเจอเรื่องราวของธรรมชาติและคนบนภูเขา วันนี้อยากให้เขามาเล่าเรื่องราวอีกมุมหนึ่งในการเดินทางให้พวกเราฟัง” ผมพูดจบทุกสายตาต่างมองไปที่ผู้ชายร่างโย่งที่กำลังลุกขึ้นมาเก้งก้างกว่าคนใต้ทั่วไป
เขาเดินขึ้นมานิ่งๆ ช้าๆ แต่มั่นคงในจังหวะเดิน ยิ้มนิ่มๆ พูดเบาๆ
“เพลงสัตว์ป่านะ” เขาหันมาถามผมเพื่อความแน่ใจ
เขาเคยบอกกับผมว่าเพลงนี้เขาเขียนร่วมกับอาจารย์ลีซะ ขุนพลเพลงปกาเกอะญอรุ่นใหญ่อีกคนหนึ่ง
“แม้เนื้อเพลงจะพูดถึงสัตว์ป่า แต่มันทำให้เห็นมนุษย์อยู่ในนั้น การล่ากันในสังคมมนุษย์ มันเกิดขึ้นจริง อยากบอกว่าหยุดได้แล้ว” เขาเคยบอกผม แล้วมันก็ติดอยู่ในหัวของผมตลอดเรื่อยมา ซึ่งก็เป็นเหตุผลหนึ่งที่ผมนำเพลงนี้มาขับร้องร่วมกับเขาในครั้งนี้และต่อไปอีกหลายๆ ครั้ง (ถ้าเขายินยอมเล่นด้วย)
*อีเก้ง ร้องในลำห้วย หวลให้นึกถึงโลกป่า
โด เก่อ โอ(นกฮูก) ร้องยามค่ำคืน
อย่าไปล่า อย่าฆ่ามันเลย
....................................
ปล่อยให้มันเป็นอยู่อย่างนั้น
มันจะได้ใช้ชีวิตในโลกป่าเขา
* บางส่วนของเพลงสัตว์ป่า จากอัลบั้ม คนภูดอย / ศิลปินลีซะและสุวิชานนท์