Skip to main content

ความมืดกลับมาทำหน้าที่อีกครั้ง เช่นเดียวกับไม้เกี๊ยะที่มาจากแกนไม้สนสองใบต้องถูกเผาเพื่อผลิตแสงสว่างในครัวบ้านปวาเก่อญออีกครั้ง กาต้มน้ำที่ดำสนิทด้วยคราบเขม่าควันไฟถูกตั้งบนเหล่อฉอโข่อีกครั้ง กลิ่นชาป่าขั้วหอมทำให้โสตประสาทกระปรี่กระเปร่าขึ้นมาพร้อมเข้าสู่บรรยากาศการเรียนรู้ภายในบ้านไม้ไผ่หลังเดิม

เตหน่ากู คืออุปกรณ์การเรียนรู้ถูกเตรียมไว้เพื่อใช้ในการเรียนรู้ ของพ่อซึ่งเป็นผู้สอนหนึ่งตัว ของลูกซึ่งเป็นผู้เรียนหนึ่งตัว รูปร่างลักษณะเตหน่ากูแม้ไม่เหมือนกันทั้งหมด แต่ก็มีรูปทรงที่คล้ายๆกัน  มีตัวท่อนไม้ใหญ่ และมีกิ่งไม้ที่โค้งงอ

เมื่อพ่อเห็นว่าลูกชายพร้อมที่จะเริ่มการรับความรู้แล้ว  พ่อเริ่มขับขานบทเพลงและดีดเตหน่ากูไปพร้อมๆกัน  นิ้วมือ ข้อมือและเสียงร้องทำงานประสานกันอย่างกลมกลืน  ลูกชายมองที่มือของพ่อและฟังเสียงพ่ออย่างตั้งอกตั้งใจ พ่อร้องจนจบเพลง

“ร้องตามและเล่นตามพ่อทีละท่อนนะ” พ่อหันมาบอกลูกศิษย์ของตนเอง
“ได้เล้ย! เริ่มกันเลย!” ลูกศิษย์พร้อมปฏิบัติตามที่ครูสั่งอย่างเต็มใจ

พ่อร้องนำหนึ่งท่อนลูกร้องตามหนึ่งท่อน  พ่อดีดนำหนึ่งทีลูกดีดตามหนึ่งที  พ่อดีดมือหนึ่งลูกดีดมือเดียวกัน  พ่อดีดสองมือลูกก็ดีดตามสองมือ  ลูกพยามร้องและเล่นให้เหมือนกับที่พ่อได้ทำให้ดู  ดูเหมือนเสียงเพลงที่ร้องตามจะไปได้ด้วยดี  แต่มือที่ดีดเตหน่ากูและเสียงเตหน่ากูที่เล่นตามนั้นเกิดอะไรขึ้นกับลูกศิษย์

“เดี่ยว! เดี่ยว! เดี่ยว! หยุดก่อน ทำไมเสียงเตหน่ากูไม่ตรงกัน” ผู้เรียนร้องทักครู ทำให้ครูผู้สอนวางเตหน่ากูลงแล้วหัวเราะขำกลิ้งไปพักใหญ่ ส่วนผู้เป็นศิษย์มองพ่อหัวเราะด้วยความมึนงง??

“มันเป็นอย่างงัยครับ? มันเกิดอะไรขึ้น? พ่อแกล้งผมหรือเปล่า?” ลูกศิษย์ชักไม่แน่ใจในตัวตรู

“ไม่ได้แกล้ง! ก็ลูกยังไม่ได้เทียบเสียงสายเตหน่ากู ให้เท่ากับของพ่อ แล้วเสียงมันจะตรงกันได้งัย?” พ่อตอบเชิงแนะนำให้กับลูกชาย

“เทียบสายเตหน่ากูให้เท่ากันก่อน ให้มีเสียงเท่ากันทุกสายนะ” พ่อพูดจบพร้อมกับยื่นเตหน่าให้ลูกเทีบยสาย และก็หยิบมวนบุหรี่ขี้โยจิ้มกับถ่านแดงในเตาไฟ พ่อนำมวนยาดูดอย่างแรงจนแก้มปากสองข้างบุ๋มลึกแล้วคายควันออกมาทางปากและจมูกนั้น ขณะเดียวกันพ่อก็อมยิ้มมองลูกชายเทีบยสายเตหน่ากูอยู่

“ได้หรือยัง?”  พ่อถาม
“คิดว่านะ... แต่พ่อลองดูก่อน” ลูกหยิบเตหน่ากูให้พ่อเล่น เมื่อพ่อเห็นว่าเสียงเตหน่ากูเท่ากันแล้ว จึงเริ่มถ่ายทอดความรู้ให้ลูกชายต่อ

พ่อบรรจงเล่นทีละสาย  บรรจงร้องทีละท่อน เพื่อให้ลูกสามารถตามได้ทัน  การถ่ายทอดเรียนรู้ค่อยๆเป็นค่อยๆไปทีละนิด จนลูกชายเริ่มเล่นตามแบบมั่นใจขึ้นมามากขึ้น  กระทั่งสักพัก

“เอ๊ะ! ฟังเหมือนสายของผมจะไม่ตรงกับของพ่ออีกแล้วน่ะ!??” ลุกชายเริ่มลังเลอีกครั้ง
“ดีดแรงไป ทำให้สายเพี้ยน” ผู้เป็นพ่อบอกกับลูกและยังเตือนลูกอีกว่า หากเล่นเบาเกินเสียงจะเบาไปต้องควบคุมระดับความแรงให้พอดี

“พ่อ...ตั้งสายใหม่ให้หน่อย” ลูกชายยื่นเตหน่ากูให้พ่อ แต่พ่อไม่รับเตหน่ากูจากลูก
“พ่อคิดว่า ก่อนอื่นลูกต้องรู้จักวิธีตั้งสายก่อนนะ” ผู้เป็นพ่อแนะลูก   และบอกให้ลูกฟังอีกว่า แม้ว่าจะเล่นเตหน่ากูเป็นแล้ว แต่หากตั้งสายไม่เป็นมันจะลำบาก หากสายผิดเพี้ยนขึ้นมาก็ต้องอาศัยอื่นคอยตั้งให้ตลอด แต่หากเราตั้งสายเป็น เราก็ตั้งเองได้และสามารถตั้งเสียงสูงเสียงต่ำตามความต้องการของเราได้เอง

“การตั้งสายเตหน่ากูมีทั้งหมดกี่อย่างครับ? แต่ละอย่างตั้งอย่างไร?” ลูกชายใจร้อนถามพ่อ
“ใจเย็นๆ ซิ! เดี๋ยวค่อยๆ เรียนรู้ด้วยกัน” ผู้เป็นพ่ออมยิ้มบอกคำลูกชาย

การตั้งสายของเตหน่ากูนั้นมีหลากหลายรูปแบบ  ขึ้นอยู่กับความถนัดของคนเล่นและการเปลี่ยนตำแหน่งของสาย แต่หากอธิบายให้เข้าใจกันง่ายๆอาจสามารถแยกแยะได้เป็นสองรูปแบบหลักๆ

“เอายั่งงี้ พ่อจะอธิบายตามความเข้าใจของพ่ออย่างง่ายๆคือ มีการตั้งสายสองรูปแบบหรือสองแนว แบบแรกคือแบบ ไมเนอร์ (Minor) แบบที่สองคือ แบบเมเจอร์ (Major)” ขณะที่พ่อพูดยังไม่ทันจบ

“ไมเนอร์ เมเจอร์ มันคืออะไรครับ??” ลูกชายถามแทรกมา
“พ่อเองก็ไม่ค่อยรู้เหมือนกัน แต่เห็นเพื่อนนักดนตรีเค้าเรียกกันอย่างนี้พ่อก็เรียกตามงั้นๆแหละ!” ผู้สอนออกตัวในความรู้ด้านทฤษฎีดนตรี

แต่ก็อธิบายให้ลูกฟังเพื่อเข่าใจง่ายๆว่า แบบไมเนอร์ จะเป็นแนวออกคล้ายๆ ดนตรีลุกทุ่ง หมอลำหรือเพลงพื้นบ้านต่างๆ แถวๆ บ้านเรา  ส่วนเมเจอร์ส่วนใหญ่จะเป็นพวกเพลงสตริง แต่ทั้งนี้ก็ไม่ได้จำกัดตัวว่าต้องเป็นแบบนี้เสมอไป  เพลงสตริงก็มีลายไมเนอร์ขณะเดียวเพลงลูกทุ่งหรือเพลงพื้นบ้านในบ้านเราบางครั้งก็มีเมเจอร์ด้วยเช่นกัน

หากมองเมเจอร์ กับไมเนอร์ในประเด็นของเสียงจะมีความแตกต่างตรงที่มีขั้นของคู่เสียงที่ต่างกัน  และหากมองในด้านอารมณ์ เมเจอร์มักจะให้อารมณ์ที่สดใสสว่างไสว  ขณะที่ไมเนอร์จะให้อารมณ์ที่โศกเศร้า อาลัยมากกว่า

“เอายั่งงี้เดี๋ยวพ่อจะสอนวิธีการตั้งสายให้ทั้งสองแบบเลย แต่ต้องไปทีละอย่างนะ” พ่อพูดจบ มือหยิบเกลือใส่ก๊อกน้ำไม้ไผ่แล้วเทน้ำจากกาเหล็กดำรินใส่ก๊อกแล้วดื่มเพื่อพักยกการถ่ายทอดเรียนรู้เตหน่ากูชั่วครู่

บล็อกของ ชิ สุวิชาน

ชิ สุวิชาน
สิบกว่าปีผ่านไป ภายในบ้านของครูดอยผู้ช้ำใจจากการนำดนตรีปกาเกอะญอไปเล่นในโบสถ์ เขารู้สึกดีใจมากที่ลูกชายของเขามาขอเรียนดนตรีพื้นบ้านของคนปกาเกอะญอ ทั้งๆที่เด็กรุ่นราวคราวเดียวกันต่างมุ่งหน้าเดินตามดนตรีตามกระแสนิยมกันหมดแล้ว นี่เป็นสิ่งที่เขาเฝ้าคอยและหวังมาโดยตลอดที่จะมีคนมาสืบทอดลายเพลงของชนเผ่า ไม่ว่าจะเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขแท้ๆ ของเขาหรือคนอื่นที่เป็นคนชนเผ่าเดียวกันก็ตาม ทำให้ฝันของเขาเริ่มเป็นจริงว่าทางเพลงแห่งวัฒนธรรมปกาเกอะญอจะไม่สิ้นสุดในยุคของเขา แต่เขารู้สึกตกใจ เมื่อลูกชายบอกเขาว่า จะนำเตหน่ากู ไปเล่นในคืนคริสตมาสปีนี้ที่โบสถ์ในชุมชน “ลูกแน่ใจนะ ว่าจะเล่นในโบสถ์”…
ชิ สุวิชาน
ในขณะที่อีกฝากหนึ่งของชุมชนปกาเกอะญอที่เปลี่ยนมานับถือศาสนาคริสต์แล้ว บทเพลง ธา ทุกหมวด กลายเป็นบทเพลงที่ถูกลืมเลือน ถูกทิ้งร้างจนเหมือนกลายเป็นบทเพลงแห่งอดีตที่ไม่มีค่าแก่คนยุคปัจจุบัน โมะโชะหมดความหมาย เมื่อคนปกาเกอะญอเริ่มเรียนรู้การคอนดัก (Conduct) เพลงแบบในโบสถ์แบบฝรั่ง เพลงธา ไร้คุณค่า เมื่อมีเพลงนมัสการที่เอาทำนองจากโบสถ์ฝรั่งมา เครื่องดนตรีปกาเกอะญอถูกมองข้ามเมื่อมีคนดนตรีจากตะวันตก เช่น กีตาร์ กลองชุด แอคคอร์เดียน เมาท์ออร์แกน ฯลฯ เข้ามา “โด โซ โซ มี โด มี โซ ready… sing ซะหวิ” ประโยคนี้มักจะเป็นประโยคเริ่มต้นของคนที่เป็นผู้นำวงร้องประสานเสียงพูดนำก่อนร้องเพลง…
ชิ สุวิชาน
หลัง ธาหมวด แป่โป่ แปซวย แล้ว ก็จะต่อด้วย ธาหมวดโข่เส่ คะมอ ตามด้วย หมวดโดยมีเด็กชายนำการเดินวนอยู่เหมือนวันแรก  และหมวด ธาปลือลอ ได้เริ่มถูกขับขานต่อจาก หมวดโข่ เส่ คะมอ ต่อด้วย หมวด เชอเกปลือ  หมวดฉ่อลอ หมวดแกวะเก  หมวดธาชอเต่อแล จากนั้น หมวดธาเดาะธ่อ จึงเริ่มขึ้นอีกครั้งพร้อมกับการกลับมาอย่างแน่นขนัดของหนุ่มสาวเช่นเดิม เมื่อธาเดาะธ่อหรือเริ่มต้นมาแล้ว ก็จะมีหมวดธา เดาะแฮ, หมวด ธาเดาะเหน่,หมวด ธาลอบะ ,หมวด ธา ลอกล่อ ซึ่งล้วนแต่เป็น ธา หน่อ เดอ จ๊อหรือธา หนุ่มสาว ซึ่งตั้งแต่ ธา หมวด เดาะธ่อ เป็นต้นไป ถือว่าเป็น เพลงธา ที่สามารถขับขานเป็นปกติได้ทุกโอกาส ทุกสถานที่…
ชิ สุวิชาน
เมื่อได้ยินหมวด ธา ธาชอเต่อแล หนุ่มสาวต่างขยับเข้ามาในวงเพลงธามากขึ้น เพื่อเริ่มงานของหนุ่มสาว ธาชอเต่อแลจึงเปรียบเสมือน หมวดที่เชื้อเชิญหนุ่มสาวเข้าสู่การขับขานเพื่อต่อเพลงธากัน โดยมีโมะโชะฝ่ายหญิงแลโมะโชะฝ่ายชายเป็นหัวหน้าทีมของแต่ละฝ่าย เวทีการดวลภูมิรู้เรื่องธาที่ขุนเพลงธาโปรดปรานได้เกิดขึ้นอีกครั้งในคืนงานศพ หมวดแห่งการดวลเพลงธา เริ่มที่หมวดธาเดาะธ่อ ซึ่งแปลว่า ธาเริ่มต้น ส่วนใหญ่เป็นธาที่ว่าด้วยความรัก ความสามัคคี ความร่วมไม้ร่วมมือ เพื่อให้คนที่มาร่วมงานตระหนักและสำนึกเสมอว่า เป็นคนในชุมชนเดียวกัน ชนเผ่าเดียวกัน สังคมเดียวกัน และโลกใบเดียวกัน ดังตัวอย่างธาที่ว่า   เก่อ…
ชิ สุวิชาน
หมวด ธาปลือลอ ได้เริ่มถูกขับขาน ซึ่งเป็นหมวดที่ว่าด้วย การจากไปสู่ปรโลก ซึ่งปกติแล้วก่อนที่คนจะตายมักมีลางสังหรณ์ปรากฎแก่คนใกล้ชิดหรือคนรอบข้างเสมอ นั่นหมายความว่าถึงเวลาของผู้ตายแล้ว เวลาแห่งความตายนั้นย่อมมาถึงทุกคน เพราะฉะนั้นก่อนตายควรทำความดีหรือทำคุณประโยชน์ให้เกิดแก่แผ่นดินถิ่นเกิดที่เราอาศัยอยู่ตอนมีชีวิตให้มากที่สุด เมื่อลางสังหรณ์มาถึงเราจะได้จากอย่างหมดทุกข์หมดห่วง ตัวอย่าง ธา หมวดนี้เริ่มต้นดังนี้ มี หม่อ เคลอ ฮะ เหน่ อะ เด                 มีหม่อ คอ ฮะ เหน่ อะ เด เต่อ เหม่ เคลอ ฮะ เหน่ อะเด      …
ชิ สุวิชาน
“โมะโชะมาแล้ว” ชายหนุ่มคนหนึ่งกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ตื่นเต้น เมื่อเห็นร่างชายวัยปลายกลางคนเดินเข้ามา สายตาทุกดวงจึงมองไปที่ โมะโชะ เขาคือผู้นำในการขับขานเพลงธา เขาต้องเรียนรู้และพิสูจน์ตัวเองมาหลายปีกว่าเขาจะได้รับตำแหน่งนี้ หน้าที่รับผิดชอบสำหรับตำแหน่งนี้คือการเป็นผู้นำในการขับขานธาในพิธีกรรมต่างๆ ที่เกิดขึ้นในชุมชนเช่น งานแต่ง หรืองานตาย บางชุมชนทั้งหมู่บ้านไม่มีโมะโชะเลย เวลามีงานต้องไปยืมหรือเชื้อเชิญโมะโชะจากชุมชนอื่นที่อยู่ใกล้ ว่ากันว่าชุมชนที่สมบูรณ์นอกจากต้องมีผู้นำชุมชนตามประเพณีที่เรียกว่า ฮี่โข่ ต้องมีจำนวนหลังคาในชุมชนมากกว่า 30 หลังคาเรือนแล้ว…
ชิ สุวิชาน
ช่วงเย็นหลังจากที่ทำงานในไร่ และกำลังจะนั่งกินข้าวร่วมครอบครัว “ลุงเร็ว ปู่ วาโข่ หายใจขึ้นอย่างเดียว ไม่ได้หายใจลงแล้ว” หลานชายมาวงข่าวเกี่ยวกับพือวาโข่ซึ่งเป็นพ่อของเขา เขาละจากวงทานข้าวของครอบครัว แล้ววิ่งไปหาพ่อทันที พือวาโข่ เป็นฉายาที่เด็กๆ ในหมู่บ้านและหลานๆเ รียกชื่อผู้เฒ่าผู้ชายที่อาวุโส จนผมหงอกทั้งหัว พือหมายถึงพ่อเฒ่า วาโข่หมายถึง ผมขาว หากเป็นผู้หญิงจะเรียกว่า พีวาโข่ พีแปลว่าแม่เฒ่า นั่นเอง คนรุ่นนี้จะเป็นที่รักใคร่ของลูกหลานทั้งในครอบครัวและในชุมชน เพราะถือเป็นทรัพยากรบุคคลของชุมชนทีมีค่า หากมีปัญหาเกิดขึ้นในชุมชนที่คนรุ่นใหม่ไม่สามารถหาทางออกได้…
ชิ สุวิชาน
  บรรยากาศในบ้านเริ่มคึกคักมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อมีเสียงเตหน่าบรรเลงในบ้านไม่เว้นแต่ละคืน  บางคืนเป็นเสียงเตหน่า ลายเดิมที่ผู้เป็นพ่อเป็นคนถ่ายทอด  แต่บางคืนมีเสียงเตหน่าลายแปลกออกมาจนผู้เป็นพ่ออดไม่ได้จนต้องเงี่ยหูฟัง  นานแล้วที่เจ้าของเสียงเตหน่ากูห่างหายไปจากการร่ำเรียนวิชาจากพ่อ  แต่วันนี้เขากลับมาหาครูผู้สอนเตหน่ากูของเขาอีกครั้ง แน่นอนมันต้องมีอะไรบางอย่างสงสัยจึงต้องมา"พ่อผมจะไปล้มไม้มาทำเตหน่ากู ควรจะหาไม้อย่างไรดี" ประโยคแรกที่เขามาถามพ่อ"จริงๆ แล้วไม้อะไรก็ได้ทั้งนั้น ขอให้เป็นไม้ที่โค้งงอ แต่คนสมัยก่อนเขานิยมใช้ไม้เก่อมา หรือภาษาไทยเรียกว่าไม้ซ้อ…
ชิ สุวิชาน
มีบทธา ซึ่งเป็นบทกวีหรือสุภาษิตสองลูกสอนหลานของคนปกาเกอะญอมากมาย ที่กล่าวถึงเตหน่ากูเครื่องดนตรีดั้งเดิมของคนปกาเกอะญอ แต่ในตรงนี้จะยกมาเพียงส่วนหนึ่งเพื่อเป็นตัวอย่างเบื้องต้นของ ธา ที่กล่าวถึงเตหน่ากู 1. เตหน่า อะ ปลี เลอ จอ ชึ             เด เต่อ มึ เด ซึ เด ซึ2.เตหน่า เลอ จอ แว พอ ฮือ            เต่อ บะ จอ จึ แซ เต่อ มึ3.เตหน่า ปวา แกวะ ออ เลอ เฌอ      เด บะ เก อะ หล่อ เลอ เปลอ4.เตหน่า ปวา เจาะ เลอ เก่อ มา     …
ชิ สุวิชาน
ลูกชายหายหน้าไปจากการเรียนรู้การเล่นเตหน่ากูกับพ่อเป็นหลายสิบ จนผู้เป็นแม่ที่คอยหุงอาหารให้หมูในตอนหัวค่ำเกิดคำถามต่อผู้เป็นพ่อ “ไอ้ตัวเล็กมันเล่นเป็นแล้วเหรอ? มันถึงไม่มาฝึกเพิ่ม” แม่ถามพ่อซึ่งนั่งอยู่ตรงข้ามกะบะไฟดินในบ้าน “มันบอก มันจะฝึกเอง มันคงไปฝึกที่บ้านผู้สาวมั้ง?” พ่อตอบแม่พร้อมกับสันนิษฐานพฤติกรรมของลูกชาย “มันก็ธรรมดาแหละ วัวตัวผู้พอมันเริ่มเป็นหนุ่ม มันก็เริ่มแตกฝูงไปหาตัวเมียในฝูงอื่น ก็เหมือนพ่อตอนเป็นหนุ่มนั่นแหละ อยู่บ้านอยู่ช่องซะที่ไหน กลางค่ำกลางคืนดึกแล้วไล่กลับบ้านก็ไม่ยอมกลับ ค่ำไหนค่ำนั้น มาหาทุกคืน” แม่เปรียบเทียบให้พ่อฟัง
ชิ สุวิชาน
“วิธีการเล่นล่ะ? แตกต่างกันมั้ย?” ลูกชายถามพ่อ “ถ้าเล่นอย่างไดอย่างหนึ่งได้นะ ก็เล่นอีกอย่างได้เองแหละ ขอให้เข้าใจวิธีการตั้งสายเถอะ อย่าตั้งสายเพี้ยนละกัน” พ่อบอกและย้ำกับลูกชาย “งั้นพ่อสอนเพลงอีกซักเพลงที่เล่นแบบเมเจอร์สเกลนะ” ลูกขอวิชาจากพ่อ “เอาซิ! เดี๋ยวพ่อจะสอนเพลงพื้นบ้านง่ายๆที่ผู้เฒ่าผู้แก่ชอบร้อง ชอบเล่นกับเตหน่ากูบ่อยๆ อีกเพลง ร้องตามนะ” พ่อเริ่มร้องนำ ลูกจึงเริ่มร้องตาม
ชิ สุวิชาน
สองสามคืนผ่านไป ลูกชายไม่ได้มายุ่งกับพ่อ แต่คืนนี้ภายในบ้านไม้ไผ่ หลังคาตองตึงทรงปวาเก่อญอหลังเดิม ลูกชายถือเตหน่ากูมาอยู่ข้างพ่ออีกครั้ง “ลองฟังดูนะ ใช้ได้หรือยัง?” ลูกชายพูดจบเริ่มดีดเตหน่าและเปล่งเสียงร้องเพลงแบบไมเนอร์สเกลให้พ่อฟัง แต่ด้วยความตั้งใจมากไปหน่อยทำให้การเล่นบางครั้งมีสะดุดเป็นช่วงๆ แต่ลูกชายไม่ยอมแพ้และไม่ยอมหยุด เล่นและร้องให้พ่อซึ่งเป็นครูสอนเตหน่ากูให้เขาจนจบเพลง “ฮึ ฮึ ก็ดี เริ่มต้นได้ขนาดนี้ก็ไช้ได้” พ่อตอบเขาแบบยิ้มๆ “แล้วพ่อจะสอนอีกแบบหนึ่งได้หรือยัง?” เขามองหน้าพ่อ “อ๋อ ที่มาเล่นให้ฟังนี้ก็เพื่อให้รู้ว่าเล่นไมเนอร์ได้แล้ว จะขอเรียนแบบเมเจอร์ต่อว่างั้นเถอะ”…