Skip to main content

20080208 ภาพทุ่งหญ้าสีเขียว

เขาอยู่ด้วยกันสามคน  คนผอมบอบบางสูบยาสูบแทบตลอดเวลา  นั่งซึม

เหม่อกับที่ได้คราวละนานๆ  กวาดสายตามองเลื่อนลอย เรื่อยเปื่อย  คนร่างมะขามข้อเดียว ดูแข็งแรงอยู่บนความเฉื่อยเนือย  เคลื่อนไหวเชื่องช้า  คนสุดท้ายร่างสันทัด  ดูแคล่วคล่องว่องไวที่สุด รู้จักงาน  ขยันทำงาน  เคลื่อนไหวไปมาแทบไม่หยุดหย่อน

ทั้งสามคนมาจากเมืองผาอาน  ข้ามน้ำสาละวินมาถึงป่าสาละวิน  ออกเดินลัดป่า
เขา  รับจ้างไปตามหมู่บ้าน  ตามแต่ใครจะมีงานให้ทำ จนมาถึงป่าแม่น้ำเงา
นักรบยามหนีทัพ  ก็ดูไม่ต่างไปจากชาวบ้านปกติทั่วไป

เขามาถึงป่าแม่เงาอย่างไม่คาดคิด   การเดินทางทำให้เกิดการพบปะพูดคุย  คนเร่ร่อนตามป่าเขาพร้อมจะไปที่ไหนก็ได้  เรื่องอาหาร ที่หลับที่นอนเป็นเรื่องไม่ต้องพูดถึง  ขอเพียงให้ปลอดภัย  รอดพ้นจากมือไม้เจ้าหน้าที่  

พวกเขาจะได้ไม่ต้องไปติดคุก  หรือถูกส่งเข้าศูนย์อพยพในลำดับต่อไป

วันที่ผมไปพบพวกเขา  เป็นช่วงเวลาเพาะปลูกข้าว  นาข้าวลงจอบกันอย่างเดียว  ไม่มีรถจักรไถนา  หรือแรงงานสัตว์   จอบต่อจอบพลิกหน้าดิน  แล้วหย่อนเมล็ดข้าวลงไป

เราแปลกหน้าต่อกันในช่วงแรก   ผมรู้ชื่อพวกเขาในเวลาต่อมา  ล้วนเป็นชื่อของสัตว์ 
คนผอมสูงชื่อโถ่(นก)  คนมะขามข้อเดียวชื่อกะชอ(ช้าง)  คนสุดท้ายชื่อซอมีญอ(แมว) 
สีหน้าแววตาพวกเขาคล้ายๆกัน  แววตาบาดเจ็บ  เพียงแต่รอยยิ้มเจื่อนๆเท่านั้น  ทำให้พวกเขาดูมีชีวิตชีวาขึ้นมาบ้าง  พร้อมเริ่มต้นชีวิตใหม่ได้ทุกเมื่อ

นักรบ ไม่คิดถึงการรบแล้วคิดถึงอื่นใด   ผมอยากรู้ความรู้สึกพวกเขา  ซอมีญอพูดภาษาไทยได้บ้าง เป็นคนตอบว่า ไม่ได้คิดอะไร  อยู่ไปเรื่อยๆ  ไม่ได้กลับไปแล้วมั้ง   

20080208 ภาพตะวันตกดิน


ผมถามต่อว่า  พวกเขาไม่มีความหวังแล้วหรือ
"รบไปก็เท่านั้น  ไม่รู้จะจบกันเมื่อไหร่"
"มาทำงานอย่างนี้  มาเพื่อจะกลับไปอีกครั้งมั้ย"
ผมถาม
"อยู่อย่างนี้  ไม่ต้องคิดอะไร  มีงานก็ทำไป ไม่มีก็ไม่ต้องทำ" ซอมีญอพูดแล้วเป่าควันยาสูบแรงๆ

งานในนาเพาะปลูก อยู่กับการหว่านเมล็ด  สับๆขุดๆทั้งวัน  มือเคยจับปืนมาจับจอบ  เท้าเคยเดินระแวงระวังไปตามแนวรบ  มาย่ำบนดินเพาะปลูก   ไม่ต้องห่วงว่าศัตรูจะจู่โจมเข้ามาตอนไหน หนทางนักรบหนีทัพดูขี้ขลาด ไม่กล้าสู้  แต่หนทางของคนเพาะปลูกไม่อธิบายเช่นนั้นอย่างแน่นอน

การปลูกเต็มไปด้วยการดิ้นรนต่อสู้  หนักเหนื่อย  สู่หนทางสงบ สันติ ร่มเย็น  พวกเขาได้รับสัมผัสเช่นนี้อยู่ตลอดเวลา  ที่นากลางป่าลึก  มีเถียงนาเพียงหลังเดียว  สร้างขึ้นมาเพื่อกันแดดกันฝนในช่วงเพาะปลูก

ส่วนพวกเขา  สร้างเพิงพักขึ้นมาอีกหลังหนึ่ง  ตั้งอยู่โดดเดี่ยวริมขอบป่า ท้ายแปลงนา   เป็นทั้งที่กิน ที่นอน  ในเพิงพักไม่มีอื่นใดเลย  นอกจากหม้อหุงข้าว  กองไฟ  ถ้วยชามสังกะสีสามสี่ใบ  ช้อน มีด ..

กระบอกไม้ไผ่ตั้งวางเรียงแถว  ทั้งกระบอกน้ำ  และกระบอกเก็บถนอมอาหาร

ผมร่วมปลูกข้าวกับพวกเขาด้วย  มันเป็นการทำงานที่น่าแปลกใจอีกครั้งหนึ่ง  ที่ดูเหมือนว่า  เราต่างหนีอะไรบางอย่าง  มาอยู่ในดินแดนอันไกลแสนไกล  ผมไม่รู้ว่าพวกเขาคิดอะไร  แต่สำหรับผม  ผมเห็นวิกฤติชีวิตบางอย่าง  เห็นการเดินทางแสวงหาบางอย่าง

พวกเขาหนีสงคราม  หนีการสู้รบ  หนีทัพ  ไม่อยากรบ  แล้วผมหนีอะไรมาหรือ?
ดินแดนที่น่าอยู่ต้องเดินทางไกลถึงเพียงนี้หรือ?  

สุดท้ายมาพบกันที่เมล็ดข้าวเปลือก  รอบๆตัวเต็มไปด้วยไข้ป่าเชื้อไข้มาลาเรีย
พวกเขาไม่นอนกางมุ้ง  มีเพียงกองไฟที่สว่างอยู่ค่อนคืน  
หลังเวลาทำงาน  พวกเขาก็ง่วนอยู่กับการทำอาหารกินเอง  ผักหญ้าที่หาได้ตามป่า  จากริมฝั่งแม่น้ำเงา  แต่วิชาเอาตัวรอดในป่า  ดูเหมือนพวกเขาชำนาญเหลือเกิน

เช้าวันหนึ่ง  พวกเขาเทบางอย่างออกมาจากกระบอกไม้ไผ่  กลิ่นเปรี้ยวๆ สีเหลืองๆ น้ำข้นๆ  อยู่ในหม้อพร้อมยกขึ้นบนเตาไฟ
"เห็ดหมัก" ซอมีญอบอก "ใส่กบลงไป ใส่น้ำข้าว ใส่เกลือ หมักไว้"
มันเป็นอาหารป่าที่ดูมีขั้นตอนการทำ  สอดคล้องกับความเป็นจริงใกล้ตัว  พะเลอโดะบอกว่า  นี่เป็นวิธีการถนอมอาหารที่ใช้กันตามป่าทั่วไป  ไม่มีตู้เย็น  ก็ต้องเก็บหมักเอาไว้ หรือไม่ก็ตากแห้ง  

ผมร่วมลิ้มชิมรสเห็ดหมักกบกับน้ำซาวข้าวด้วย   กลิ่นหมักข้ามคืน  พอใส่เครื่องเทศลงไป  กลับกลายเป็นอีกกลิ่น  ไม่มีกลิ่นเหม็นเปรี้ยวเหลืออยู่เลย

ผมไม่เห็นว่าพวกเขาจะหลุดพ้นไปจากวิถีนักรบ  เพียงแต่อาวุธในมือเขาเปลี่ยนไปเท่านั้นเอง  จากปืนเป็นเมล็ดข้าว  จากสนามเพลาะเป็นสนามชีวิตตามนาไร่

ซอมีญอเล่าว่า  เขาไม่มีโอกาสได้ใช้ชีวิตตามปกติ เหมือนชาวบ้านคนอื่นๆ  พอโตจับปืนได้  เขาก็ออกมาฝึกยิงปืน  เขาไปเป็นกองกำลังติดอาวุธ  เขารู้แต่เพียงว่า  ต้องออกไปล่าคนฆ่าพ่อเขาให้ได้  มีทางเดียวเท่านั้น  จึงเป็นทหารในกองทัพ
20080208 ภาพลำธาร



นั่นเป็นเส้นทางกรำศึกอันยาวนาน  ผมไม่รู้ว่านั่นเป็นอุดมการกู้ชาติหรือไม่  เพียงแต่เขาเกิดมาสู่ดินแดนล่า  ก็ต้องเอาตัวรอดต่อไปให้ได้  และการเอาตัวรอดของเด็กหนุ่ม  ก็ไม่พ้นเรื่องการจับปืนยืนขึ้นป้องกันตัวเอง  

โถ่ดูจะเป็นคนเงียบที่สุด  เฉื่อยเนือยที่สุด  ดูเขาเบื่อๆกับชีวิตที่เป็นไปเหลือเกิน  
กะชอเป็นช้างสมชื่อ  เขาเป็นแรงงานสำคัญ  ทั้งงานในนาและงานออกหาอาหาร  ส่วนซอมีญอดูราวกับผู้บังคับกองร้อย  ขรึมและมีบุคลิกสั่งการ  ทำโน่นหยิบนี่ในงานที่ออกแรงกันจริงๆจังๆเท่านั้น  เว้นแต่ช่วงทำอาหาร  เขาก่อไฟขลุกอยู่ข้างกองไฟจนแทบไม่ห่าง

เสร็จจากปลูกข้าวก็ลงถั่วเหลือง  ลงพริก  ทำรั้วกันวัวควาย  เป็นแปลงเพาะปลูกที่ดูสวยงามอีกแห่งหนึ่งตั้งแต่ผมผ่านมายังป่าแม่เงา   ดูราวหน่วยจรยุทธขนาดย่อม ที่อยู่ระหว่างการเก็บสะสมสะเบียง เพื่อมุ่งสู่สงครามใหญ่อีกครั้งหนึ่ง

ชีวิตตามป่าเขา  หลบลี้หนีสายตาใครต่อไครได้ง่ายดาย  ที่สำคัญนั้น  เป็นดินแดนยืดหยุ่นต่อการมีชีวิตอยู่   ให้อยู่กันต่อไปได้  ไม่แตกหักสืบค้นไล่ตามกันอย่างเข้มข้น  ตามป่าเขายังเต็มไปด้วยคนยากลำบาก  ไม่รู้หัวนอน  ไม่รู้จะเอาอย่างไรกับชีวิต  

แต่ถึงที่สุดพวกเขาก็อยู่ด้วยกันได้  หากเสียงเรือดังใกล้เข้ามาครั้งใด  พวกเขาจะหยุดงานทุกอย่าง  ฟังพร้อมกัน  จนกว่าเสียงเรือจะหายไป  พวกเขาก็เริ่มกุมด้ามจอบทำงานต่อไป การใช้ชีวิตอย่างระแวดระวัง และพร้อมจะหนี  นั่น  เป็นศิลปะการอยู่รอดที่สั่งสมกันมานานปี

เพียงแต่วันนี้  พวกเขาไม่อยู่ในสนามรบ  ถึงอย่างไร ที่แห่งนี้ก็ใช่จะอยู่ไกลจากวิถีกระสุนปืน  การเตรียมตัวให้พร้อมหนี  เป็นสิ่งที่อยู่ในความรู้สึกนักรบพลัดถิ่น

ผมไม่รู้ว่า  พวกเขาต้องหนีกันอีกนานเท่าไหร่  หรือต้องหนีกันชั่วชีวิต  ไม่มีใครรับผิดชอบดูแลพวกเขาได้ทุกช่วงจังหวะเวลา  พวกเขามีสัญชาตญาณหลบหนีอยู่เต็มเปี่ยม

พวกเขาผ่านทางมาปลูกข้าว  มีรายได้เล็กๆน้อยๆ  แลกกับชีวิตความเป็นอยู่ไปวันๆ
        

บล็อกของ ชนกลุ่มน้อย

ชนกลุ่มน้อย
เสียงเธอดังขึ้นในความเงียบ ผมบอกให้เธอรู้อีกครั้ง ใช่ๆ ใช่มันจริงๆ อีแร้งหรือไม่ก็นกยักษ์ มันนั่งยองๆ อยู่บนรั้วบ้าน อย่างกับทิ้งน้ำหนักนับพันๆกิโลกดทับลงบนกำแพงคอนกรีตอันบอบบาง ถ้ามันนั่งนานกว่านี้ เมืองทั้งเมืองจะเทลาดมาทางนี้ มันเชิดหน้าเฉยเมย ประกาศความใหญ่โตหนาหนัก ผมยืนมองมันด้วยความรู้สึกแขนขาอ่อน เนื้อตัวเย็นเฉียบ อย่าคิดมากเลย คำพูดผมเบาเป็นนุ่น เธอไม่เชื่อในสิ่งที่ผมเห็นมากับตา เธอต้องลงไปดู ไม่ แต่พี่เห็นมัน มันคงมาเล่นงานเราอีก คราวนี้พี่อย่ายอมมันนะ ไอ้นกป่วยนั่นนำโชคร้ายมาให้ มันควรไปเกาะที่อื่น ไปในที่ๆไม่ใช่ขอบรั้วบ้านมนุษย์ยิ่งดี…
ชนกลุ่มน้อย
ด็อกเตอร์สมบัติ เครือทอง ครูการเขียนคนแรกของผม ย้ายจากมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี มาสอนอยู่ที่มหาวิทยาลัยนเรศวร พิษณุโลก นานหลายปีมาแล้ว แต่ผมได้พบครูสอนเขียนเพียงครั้งสองครั้งเท่านั้น วันที่ครูมาร่วมงานสัมมนาทางวิชาการในมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เมื่อสัปดาห์ก่อนนี่เอง ผมไม่พลาดโอกาสที่จะพบหน้าครูให้ได้ เราพบกันในร้านกาแฟบนถนนนิมนานเหมินทร์ ย่านร้านรวงธุรกิจบริการกาแฟผุดขึ้นเป็นดอกเห็ด จัดแต่งร้านพร้อมนำเสนอเครื่องดื่มชวนดื่มชิมรส รมณียสถานคราคร่ำด้วยผู้คนทั้งกลางวันกลางคืน พบกันคราวนี้ ผมมีเรื่องเก่าย้อนถาม “จดหมายจากสวนยางถึงสวนลุกซองบูร์ยังมีอยู่มั้ยครับ…
ชนกลุ่มน้อย
เปิดตัวหนังสืออีกแล้วหรือพี่..!??!” เครื่องหมายประหลาดใจตามมาด้วยความตกใจ ประมาณว่าไม่เข็ดหลาบจำเสียทีนะพี่ หนังสือเล่มไหนเล่มใหม่หรือพี่ ออกมาเมื่อไหร่ ไม่เห็นหน้าเห็นตาเลย “นั่นสิ มันหลบอยู่ตรงไหน กลายเป็นของหายากไปได้อย่างไร หลบหน้าหลบตาคนอ่าน” ทีเล่นหรือทีจริงก็ตาม สุดท้ายผมก็บอกไปว่า สงสัยแผงเขาไม่ว่างวางของหนัก หรือไม่ก็เขาเก็บออกไปจากแผงเสียแล้วมั้ง แล้วเขาก็ถามต่ออีกว่า แล้วพี่จะมาเปิดตัวหนังสืออีกทำไม สำนักพิมพ์ที่พิมพ์งานของพี่รวยเหรอ ผมรีบออกตัวว่า เปล่า อาจจะจนก็ได้มั้ง พอศอของข้าวแพงไข่ไก่แพง บนหนทางที่ไม่ได้ปลูกข้าวกินเอง และไม่ได้เลี้ยงไก่ไว้กินไข่…
ชนกลุ่มน้อย
ผมไปตามวันเวลาหมอนัดอีกครั้ง หลังจากพลาดนัดครั้งแรก ถ้าผมไม่ไปตรงเวลา ผมจะต้องคอยนานอีกอย่างน้อยสองเดือน คนจัดการรับเรื่องนัดหมายพยายามแจกแจงให้เห็นความจำเป็นของการคอย เพราะคนป่วยอันเนื่องมาจากฟัน มีเป็นจำนวนมาก เหมือนกับต่างคนต่างรู้ช่องทางทำฟันราคาถูก “ไปคลีนิกไม่ต้องนัดนานเป็นเดือนนะลูก” ป้าคนนั่งกุมแก้มขวาบวมเป่ง ผมถามป้าว่ามาทำอะไร “ถอนฟัน” .. ห่างออกไปราวสิบห้าเมตร มือเหล็กยักษ์กำลังขุดคุ้ยโคนรากไม้ เสียงเครื่องยนต์ครางกระหึ่มตลอดเวลา เส้นเชือกขีดคั่นปักแดนล้อมเอาไว้ แต่แค่บอกอาณาบริเวณห้ามคนผ่านเข้าไปเท่านั้น คนเดินผ่านไปมาก็ยังต้องหันไปมองมัน…
ชนกลุ่มน้อย
พอพ่อลูกเดินไปถึงสถานีขนส่งช้างเผือก คนก็มองจ้องราวกับกำลังจะมีฉากถ่ายหนังในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า เขากองสัมภาระไว้ข้างเก้าอี้ ลูกชายนั่งเฝ้า เขาเดินไปซื้อตั๋ว คนมองลูกชายพลางมองพ่อไปมา บางคนแอบกระซิบยิ้มหัวขณะสายตามองไปยังลูกชาย “เชียงดาวสองที่นั่ง” คนเป็นพ่อมองหญิงวัย 40 กว่าๆ ดูสีหน้าแววตาขี้เล่น ใบหน้าลงเครื่องแป้งหนาลบวัยจริง เป็นใบหน้าคอยถามตอบต้อนรับผู้โดยสาร “ลงที่ไหนจ้าว..วว์” เสียงหวานถามกลับเป็นสำเนียงคำเมืองยืดหางเสียง คนเป็นพ่อนิ่งคิด ชั่วอึดใจนั้น คนขายตั๋วก็มีสถานที่นำเสนอให้ลง “สถานีตำรวจมั้ยจ้าว” น้ำเสียงนั้นเจือยิ้มหัวเป็นกันเอง…
ชนกลุ่มน้อย
คุณไปยืนอยู่ใต้ต้นพลัมตอนย่ำค่ำ มันขึ้นปะปนอยู่กับป่าผลไม้อื่นๆ อย่างพลับ ท้อ บ้วย สาลี่ อโวคาโด ขนุน กล้วย นับรวมหลายสิบชนิด เพียงต่อพลัมกำลังให้ลูกสุกเต็มต้น เช้าวันต่อมา คุณกลายร่างเป็นนกป่าเข้าสวนตั้งแต่เช้า ดวงอาทิตย์สว่างมาจากแนวป่าสนลอดผ่านพุ่มใบไม้เป็นลำแสงสีเงินสีทอง งามสงบจนคุณไม่อยากจะเดินย่างไปไหน   แต่นกหิวลืมตัว ปลิดเข้าปากกินสดๆ อย่างไม่รู้จักอิ่ม “ลูกนี้สุกแล้ว ลองดูๆพันธุ์ลูกแดง พันธุ์ลูกเหลืองก็มี เดินไปดูต้นโน้น” เจ้าของสวนชวนชิม “กินเลยๆ ปล่อยให้มันร่วงไปอย่างนั้น นกมานกก็กินกัน”
ชนกลุ่มน้อย
ผมตกปากรับคำนั่งซ้อนหลังอานรถของเขาอย่างไม่มีข้อสงสัยใดๆ ทั้งนี้ไม่ได้หมายความว่าผมจะวางใจในฝีไม้ลายมือของเขา รู้ทั้งรู้ว่าเป็นเส้นทางที่เขาขับขี่ไปมาอยู่ทุกวัน ผมควรประหยัดคำพูดที่จะถามเรื่องคุ้นเคยเส้นทาง อีกทั้งมอเตอร์ไซค์คู่ชีพเขา ก็ตั้งวางให้เห็นความแข็งแรงพร้อมลุย โคลนคลุกตามตัวรถเหมือนบอกว่าไปทางไหนไม่หวั่น “ไกลมั้ย” ผมจะถามถึงระยะทาง “หลังเขาลูกนั้น” เขาชี้มือไปยังเนินเขาไกลๆอยู่ม่านหมอกฝน เขามาอาสาเป็นธุระรับส่งไปสวนป่า ผมอยากไปเห็นกับตา ว่าป่าธรรมชาติกับคนทำสวนในป่านั้น จะอยู่ร่วมกันได้อย่างไร ความเข้าใจคนทั่วไปนั้น ป่าก็อยู่ส่วนป่า คนก็อยู่ส่วนคน…
ชนกลุ่มน้อย
31 สิงหาคม 2540 13.30 น. ไกลลิบ ถนนโค้งพุ่งผิดรูปหายไปในพงหญ้าสูงท่วมศีรษะ คนหนึ่งเหมือนหลักกิโลเมตรเคลือบสีดำ เห็นมาแต่ไกล เพียงแต่เสาหินเคลื่อนที่ได้ ช้าเหมือนมด พอรถวิ่งไปใกล้ จึงเห็นผืนผ้าขาวเขียนตัวหนังสือด้วยหมึกดำ เคียงคู่ไปกับเสาหิน เหมือนไม่รู้สุขรู้เศร้า เสาหินสวมหมวกเก่าๆ รองเท้ายางหุ้มส้น ในใจผมคิดว่า แกคงเดินเรียกร้องบางสิ่งบางอย่าง พอรถแล่นผ่านตัวแก โค้งถนนเป็นเส้นตรงอีกครั้ง ความจริงก็ปรากฏ ขบวนแห่ศพ!!.. รถผมเชื่องช้าเป็นไส้เดือน เหมือนว่าล้อรถหุ้มด้วยหนังงูเหลือม ลมตีเข้ามาทางหน้าต่าง ไม่ใช่ลมดอกไม้สด แต่เป็นลมมีกลิ่นธูป…
ชนกลุ่มน้อย
30 สิงหาคม 254008.35 น. รถจิ๊ปสีดำส่งเสียงอยู่หน้าบ้าน เสียงนั้นเพิ่งกลับมาจากทำงาน เธออดนอนมาค่อนคืน ชั่วอึดใจหนึ่งนั้น เสียงเหล็กปะทะของแข็ง ผมผละจากหน้าเครื่องพิมพ์ดีดโอ เสาบ้าน กันชนแตกเป็นรอยร้าวเธอมองหน้าผม ผมพยายามจะเข้าใจ “อะไรๆ ก็เกิดขึ้นได้ ไม่ว่าชีวิตจริงจะมีกันชนหรือไม่ก็ตาม”หนังสือ “ลมหายใจสงคราม” ของอา ‘รงค์ วงษ์สวรรค์ ยังวางอยู่บนโต๊ะ ผมเปิดอ่านอีกครั้ง “..ผมเสียใจ! ระยำ! ผมไม่เคยมีความรู้สึกนี้บ่อยนัก แต่มันเป็นไปไม่ได้เลยที่ผมจะแนะนำให้คุณเข้าป่า ในป่ามันก็มีสงครามระหว่างแมลงกับใบไม้ และดอกไม้เป็นพิเศษ บัดซบ! คุณไม่รักสงคราม แต่คุณก็ไม่เกลียดมัน คุณกลัวมันเท่านั้น…
ชนกลุ่มน้อย
ไม่มีเหตุผลที่ผมจะมุ่งไปยังเถียงนาหลังนั้น เพียงแต่อยากเดินเข้าไปในโพรงจมูกของเทือกอินทนนท์สักครั้งหนึ่ง วันที่แดดแรงปลายฤดูร้อน นาข้าวขั้นบันไดสุดหูสุดตาเหลือแต่ตอ มองไปทางไหนก็เห็นแต่ร่องรอยเก็บเกี่ยว โล่งลิบ ใบข้าวกองเกลื่อน ร่องรอยตีข้าวมีฟางข้าว ตอซังข้าวเป็นตุ่มตาเรียงรายบนพื้นผิวไหล่เขา ผมยืนอยู่บนไหล่เขาแล้วมองออกไปทางราบลุ่ม ภาพที่เห็นอย่างกับการปรากฏตัวของชิ้นส่วนวัตถุประหลาดผุดขึ้นมาจากพื้นดินผมนึกไม่ออกว่า เถียงนาลุงเหน่วอเป็นอย่างไร คนนำทางก็ไม่ได้บอกว่า เถียงนาหลังนั้นซุกซ่อนเรื่องราวใดไว้บ้าง หรือมีส่วนปลีกย่อยอื่นใด ทำให้เกิดความหมายน่าสนใจขึ้นมากกว่าเถียงนาหลังอื่นๆ…
ชนกลุ่มน้อย
“ถ้าน่องมนุษย์ตั้งท้องได้ คนทุกคนจะเป็นพี่น้องกัน” ถึงเวลาหยิบปลาแห้ง กุ้งแห้ง กะปิ สะตอใส่กล่องลังเสียที ช่วงเวลาตากอากาศบ้านเกิดหมดลงอีกครั้ง ผมได้ย้อนกลับไปบนเส้นทางเก่าๆที่เคยไป สถานที่ที่ข้องเกี่ยวกับวัยเด็ก คนที่ผูกพันใจ รวมไปถึงพืชพันธุ์ต้นไม้ที่อยู่ในใจ กลับไปสู่ต้นสายปลายเหตุของตัวเอง และเดินทางต่อไป อย่างที่บอกแต่ต้น ผมพกหนังสือไปหลายเล่ม แต่ไม่ได้อ่านครบทุกเล่ม อย่างเล่ม แผ่นดินอื่น รวมเรื่องสั้นของ กนกพงศ์ สงสมพันธุ์ ผมเปิดอ่านผ่านๆอีกรอบ แต่ผมก็มีโอกาสไปเดิน บนถนนโคลีเซียม เรื่องสั้นเรื่องหนึ่งของเขา วันเวลาได้กลืนกินฉากเก่าๆไปแทบหมดสิ้น…
ชนกลุ่มน้อย
 ยืนอยู่บนท่าเรือปากพะยูน  มองเห็นเกาะสี่เกาะห้าที่อยู่ของรังนกนางแอ่นชัดเจน  ราวกับภาพวาดในม่านฝน  เบลอๆหมองๆ มองได้นานๆ  ผมกลับบ้านทุกครั้ง  ต้องไปให้ถึง ณ จุดนั้นให้ได้  ที่ซึ่งระเบียงยื่นออกไปในน้ำ   ยังมีร้านกาแฟ  ชาผงชงถุงแบบโบราณ  โต๊ะเก้าอี้ตั้งวางแบบเปิดโล่ง  ตกเย็นถุงกาแฟบนรถเข็นยกขึ้นลงไม่ขาดมือ  ชงหวานชงขม  ใส่นมข้นหวาน  น้ำตาลกับโกปี้  โต๊ะต่อโต๊ะ  เก้าอี้ต่อเก้าอี้ตั้งพื้นไม่มีหลังคา  รับลมพัดมาแรงๆ  มองออกไปยังเห็นพื้นน้ำเขียวกว้าง  …