Skip to main content

yy

 

นอกจากที่ขนส่งสาธารณะในพื้นที่ชนบทจะช่วยให้ผู้ที่ไม่ขับขี่รถสามารถเดินทางสะดวก เพิ่มโอกาสในการเข้าถึงหน้าที่การงานมากขึ้น เข้าถึงบริการสาธารณสุขได้สะดวกขึ้น ฯลฯ สมาคมขนส่งสาธารณะสหรัฐอเมริกา (APTA) ยังชี้ให้เห็นถึงปัจจัยสำคัญอื่น ๆ ที่ทำให้คนชนบทในสหรัฐฯใช้บริการรถสาธารณะมากขึ้น

รายงานระบุว่าคนในชนบทก็เหมือนคนทุกที่ซึ่งต้องเดินทางไปทำงาน ไปโรงเรียน สถานพยาบาล ไปซื้อของ ไปพักผ่อนหย่อนใจ ไปร่วมกิจกรรมทางสังคม หรือไปใช้บริการอื่น ๆ ของรัฐหรือเอกชน แม้กระทั่งสำหรับวัยรุ่นที่มึนเมาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ (แน่นอนว่าเมาแล้วขับเป็นสิ่งที่ไม่ดี แต่การเสียชีวิตจากเมาแล้วขับก็ยังคงเป็นปัญหาที่แก้ไม่ตก เช่น เจ็ดวันอันตรายปีใหม่ 62 แม้อุบัติเหตุลดลงบ้าง แต่เสียชีวิตเพิ่มขึ้นถึง 40 ราย เมาแล้วขับเป็นเหตุ 40.39% https://bit.ly/2t5oexH และนั่นหมายความว่า อีกประมาณ 60% ไม่ได้เมา!)

โดยจำนวนหน่วยงานด้านขนส่งสาธารณะในสหรัฐฯได้เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ในช่วงสองทศวรรษที่ผ่านมา ปี 2014 มีหน่วยงานด้านขนส่งสาธารณะใน ‘ชนบทและเมืองเล็กๆ’ ประมาณ 1,400 หน่วยงาน

ช่วงปี 2007 - 2015 แม้ว่าจำนวนประชากรในชนบทของสหรัฐฯจะลดลง แต่จำนวนผู้ใช้บริการกลับเพิ่มขึ้น ซึ่งเมื่อคำนวณจำนวนผู้ใช้บริการต่อจำนวนประชากรในชนบท เท่ากับว่าเพิ่มขึ้น 8.6% ในช่วง 8 ปีดังกล่าว (หากนับเฉพาะจำนวน = เพิ่มขึ้น 7.8%) ขณะที่ผู้ใช้บริการขนส่งสาธารณะในพื้นที่เมืองในช่วงเวลาเดียวกัน เพิ่มขึ้นเพียง 2.3%

ลักษณะของประชากรมีความสัมพันธ์กับการใช้ขนส่งสาธารณะในชนบท กล่าวคือ ในชนบทของสหรัฐฯ จำนวน ‘ผู้สูงอายุ’ กินสัดส่วน 17% ของประชากรชนบท ซึ่งผู้สูงอายุในเมืองกินสัดส่วน 13% ของประชากรในเมือง

ผู้พิการพึ่งพาขนส่งสาธารณะมากกว่าผู้ที่ไม่พิการ โดยผู้พิการในชนบทมีสัดส่วนการเดินทางด้วยขนส่งสาธารณะมากกว่าผู้ไม่พิการประมาณ 50%

ขนส่งสาธารณะสามารถลดความเสี่ยงจากอุบัติเหตุทางถนนได้ ผู้คนในชนบทสหรัฐฯเดินทางมากกว่าคนในเมืองถึง 33% แม้ว่าประชากรในชนบทจะมีสัดส่วนเพียง 19% ของประชากรทั้งหมดในสหรัฐฯ แต่สัดส่วนของจำนวนคนชนบทที่เสียชีวิตทางถนนกลับสูงถึง 49% ของทั้งประเทศ

ในทุกพื้นที่ อัตราส่วนความยากจนในชนบทของสหรัฐฯ สูงกว่าอัตราความยากจนในเมือง - ทำให้ขนส่งสาธารณะในชนบทช่วยลดค่าใช้จ่ายในการเดินทางของพวกเขา เช่น ค่าใช้จ่ายด้านเชื้อเพลิง และค่าบำรุงรักษาอื่นๆ (maintenance) สำหรับยานพาหนะส่วนบุคคล ทั้งนี้ ครัวเรือนในชนบทของสหรัฐฯ มีค่าใช้จ่ายสำหรับการเดินทางสูงกว่าครัวเรือนในเมือง 7%

รายงานนี้ชี้ว่าเป็นเรื่องท้าทายสำหรับคนชนบทถ้าจะไปไหนไกล ๆ ด้วยทางเลือกในการเดินทางที่น้อยกว่าในเมือง โดยเฉพาะคนที่ไม่สามารถขับรถได้ ซึ่งหลายครั้งเวลาพูดถึงขนส่งสาธารณะจะเป็นการเน้นเฉพาะในเมืองใหญ่อย่างการแก้ปัญหารถติด นอกจากนั้นยังมีประเด็นด้านเศรษฐกิจที่การจ้างงานในชนบทของสหรัฐฯ ถูกแทนที่ด้วยเครื่องจักรและโปรแกรมคอมพิวเตอร์ ทำให้ตำแหน่งงานมีน้อยลง ผู้คนต้องย้ายเข้าไปทำงานในเมืองใหญ่ ประชากรชนบทจึงค่อย ๆ ลดลง

แต่ชนบทที่ประชากรลดลงก็มีการปรับตัวด้วยการเพิ่มความหลากหลายให้กับเศรษฐกิจในพื้นที่ของพวกเขา โดยจากตั้งแต่ปี 2000-2010 ในสหรัฐอเมริกามีเขตการปกครองในชนบทที่ได้กลายเป็นจุดหมายของผู้ที่เกษียณจากการทำงานแล้วไม่ว่าจะเป็นการไปซื้อบ้านอยู่หรือไปเช่าอยู่สถานที่พักผู้สูงอายุ (retiree destinations) เพิ่มขึ้น 277 เขต ทำให้พื้นที่ชนบทเหล่านั้นมีประชากรเพิ่มขึ้นโดยเฉลี่ย 13% และยังมีเขตในชนบทที่ได้กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวหรือสังสรรค์นันทนาการ (recreational destinations) เพิ่มขึ้น 299 เขต แล้วพื้นที่ชนบทเหล่านั้นก็มีประชากรเพิ่มขึ้นโดยเฉลี่ย 11% ซึ่งรถโดยสารสาธารณะเป็นตัวกลางในการไปรับ-ส่งนักท่องเที่ยว หรือส่งพนักงานไปที่ทำงาน-กลับบ้าน รวมถึงผู้คนที่ไม่ขับรถ เช่น เยาวชน ผู้สูงอายุ หรือผู้มีรายได้น้อย

 

อ้างอิงเนื้อหาและภาพ
American Public Transportation Association : Public Transportation’s Impact on Rural and Small Towns 2017

 

อ่านเรื่องอื่น ๆ เกี่ยวกับขนส่งสาธารณะและความปลอดภัยทางถนนได้ที่ LIMIT 4 LIFE

บล็อกของ ฐานันดร ชมภูศรี

ฐานันดร ชมภูศรี
“โง่ จน เจ็บ” จะจริงหรือไม่นั้น มีการศึกษาที่ชี้ว่า ‘ความยากจนสูบพลังงานออกจากสมองอย่างมาก’ จากงานวิจัยปี 2013 ของทีมวิจัยจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดและม.พรินซ์ตันในสหรัฐฯ, ม.บริติชโคลัมเบียในแคนาดา, และม.วอร์วิคในอังกฤษ พบว่าความกังวลจากปัญหาทางการเงินของคนยากจนส่งผลให้ IQ ลดลงเฉลี่ย 13 หน่วย (เช่น
ฐานันดร ชมภูศรี
มีงานศึกษาของสหรัฐอเมริกา จาก 50 มลรัฐ + วอชิงตันดี.ซี.
ฐานันดร ชมภูศรี
ปี 2006 'ราชอาณาจักรนอร์เวย์' ได้ทำการ 'ปฏิรูปภาษี' โดยการเก็บภาษีจากกำไรของบริษัทสูงสุดไม่เกิน 28% เท่าเดิม เหมือนก่อนปฏิรูป แต่ที่เพิ่มเติมคือ ภาษีที่เก็บจากเงินปันผลที่ผู้ถือหุ้นได้รับ นั่นคืออัตราภาษีสูงสุด 'หลัง' ปฏิรูปที่ 'เจ้าของบริษัท' ต้องจ่ายคือไม่เกิน 48.16% จาก 'รายได้ของบริษัท' ไม่เก