Skip to main content

 

เคยติดต่อซื้อกรมธรรม์ประกันอิสรภาพให้มิตรสหายท่านหนึ่ง วงเงินประกันแค่แสนเดียว ฟังดูสิวๆสำหรับคนเงินหนา แต่ถ้าสำหรับคนตัวเล็กตัวน้อยมันเป็นปัญหาใหญ่สำหรับเขา

ติดต่อถามซื้อประก้นกับ จนท.บริษัท เธอเสนอมาราคา 15% ของวงเงินประกันตัว 15,000 บาท ที่ต้องถือว่าทิ้งมันไปเลยไม่ได้คืน เรตนี้สำหรับในชั้นอุทธรณ์ ทนายบอกว่าใช้เวลาประมาณหกเดือนไม่เกินหนึ่งปี

ผลตอบแทนต่อปี 15% เหนาะๆ เงินงอกได้ งอกงาม! ดีงาม!!!

หลายคนอาจเถียงว่ามันมีค่าความเสี่ยงเข้ามาเป็นปัจจัย ผู้ต้องขังอาจหลบหนี ไม่มาตามนัดของศาลเงินประกันอาจถูกยึดเข้าหลวง ก็อยากบอกว่ายังครับ ยังไม่จบ โปรดฟังต่อ...

ออปชั่นเสริมในการซื้อกรมธรรม์สำหรับกรณีนี้มีอีกสองข้อคือ ต้องมีคนค้ำประกันอีกห้าคน หนึ่งในนั้นต้องเป็นคนที่มีเงินเดือนประจำ และอีกหนึ่งในนั้นต้องเป็นคนที่มีชื่อเป็นเจ้าบ้าน สัญญาค้ำประกันที่ทั้งห้าคนทำกำหนดให้แต่ละคนรับผิดชอบเงินในวงเงินหนึ่งแสนทั้งหมด

หากผิดสัญญา บริษัทประกันมีสิทธิไล่เบี้ยเอากับคนค้ำคนไหนก็ได้ตามแต่ต้องการ ทั้งห้าคนกลายเป็นไก่ถูกขังในเข่งให้เขาเลือกจับไปเชือด

ยังไม่พอ! เงื่อนไขข้อสุดท้ายก็คือบริษัทขอเรียกเก็บเงินมัดจำสำหรับการซื้อกรมธรรม์ฉบับนี้อีกสองหมื่นบาท (20%ของเงินประกัน ตอนแรกบอกว่าขอ 30%หรือสามหมื่นบาท แต่ขอต่อรองลงมา ) เงินจำนวนนี้ ถ้าหนีถูกยึด ถ้าไม่หนีก็จะได้คืนเมื่อคดีสิ้นสุด

ระหว่างพิจารณาคดี บริษัทประกันก็ได้เงินไปหมุนฟรีๆอีกก้อ ไม่รวยก็ไม่รู้จะว่าอย่างไรแล้ว

สรุปคือฝ่ายผู้ต้องขังต้องมีเงินสดในมือ 35,000 บาท และมีคนที่พร้อมจะรับสภาพหนี้ 100,000 บาท อีก 5 คน ถึงจะได้วงเงินประกัน 100,000 บาท ถึงจะทำให้อีกหนึ่งชีวิตจะไดือิสรภาพชั่วคราวตามสิทธิที่เคยมีแต่ทั้งนี้ต้องอยู่ใต้ความเมตตาของศาล

โชคดีที่คดีนี้มีผู้ที่เข้ามาช่วยเหลือเยอะนะครับ ทั้งเงินที่บริจาคเข้าบัญชีของผู้ต้องขัง แล้วก็มีผู้ใหญ่น้ำใจงามมีเมตตาเจรจากับบริษัทประกันให้ลดหย่อนเงื่อนไข ลดเบี้ยประกันเหลือหมื่นต้นๆ ไม่เรียกเงินค้ำประกัน(สองหมื่นบาท) และลดจำนวนนายประกันลงเหลือแค่สามคน (เหลือไก่ในเข่งสามตัว)

ไม่อย่างนั้นเพื่อนๆของผู้ต้องขังคงจะเหนื่อยรากเลือดกว่านี้

 

ที่มา: https://www.facebook.com/sarayut.tangprasert/posts/1002713223106162?notif_t=like

 

บล็อกของ gadfly

gadfly
เห็นมีเรื่อง พ่อ-ลูก ซึ้งบ้างไม่ซึ้งบ้าง ฮาบ้างไม่ฮาบ้าง คิดถึงคนที่ไม่มีพ่อ หรือคนที่พ่อไม่ค่อยมีดีอะไรให้อวดนัก แล้วเลยไพล่ไปนึกถึงพี่สุรพล จึงขออนุญาตรำลึกถึงความสัมพันธ์ของพ่อลูกคู่หนึ่งที่ผมสามารถทำได้เพียงเฝ้ามอง
gadfly
จากกรณีของ อ.สายพิณ จนถึงกรณีของ อ.ลลิตา รวมแล้วน่าจะประมาณกว่าสองทศวรรษ เวลาสองทศวรรษสำหรับบ้านเมืองอื่น ผมเชื่อว่าสถานการณ์ การรับรู้ ทัศนะคติ หรือโครงสร้างทางการเมือง-วัฒนธรรม ของพวกเขาน่าจะเปลี่ยนไปเยอะแล้ว แต่สำหรับบ้านเมืองของเรา ผมเชื่อว่ารูปแบบความขัดแย้ง ปรากฎการณ์อาจเปลี่ยนไปบ้าง แต่โดยแก่นแท้แล้วยังคงเหมือนเดิม