ยาดาถูกส่งไปอำเภอบันดักชาน จังหวัดฟายซาบัด ,เมืองทางตอนเหนือติดกับทาจิกิสถาน ปากีสถานและมณฑลซินเจียง ประเทศจีน ที่ตั้งของชนกลุ่มน้อยชาวมุสลิมอูยกูที่เพิ่งเป็นข่าวดังไปทั่วโลกถึงปมขัดแย้งระหว่างเชื้อชาติกับชาวฮั่น
ชาวบันดักชานส่วนใหญ่สืบเชื้อสายทาจิก ผมสีน้ำตาล ดวงตาสีฟ้าอ่อน ผิวขาวเหมือนชาวยุโรปตะวันออก จมูกโด่ง ผู้ชายนิยมไว้หนวดเครา ส่วนล่ามของยาดามีผมสีบลอนด์
‘หากเป็นเด็กๆ มองเห็นเส้นเลือดเต็มหน้า’ ยาดาทำตาโต
ทีมงานต่างบอกว่า เธอโชคดีที่ได้ไปเมืองที่สวยงาม
มองออกนอกหน้าต่างเครื่องบิน ทิวเขาแบบภูมิประเทศแถบเหนือเหยียดยาว ปกคลุมด้วยหิมะและสลับซับซ้อนในสายหมอก เมฆก้อนสีขาวลอยเด่นเหนือยอดแหลมของเนินลูกใหญ่ ลึกลงไปเป็นหุบเขาและร่องน้ำสีเงินกลางแสงแดดอุ่นๆ
คุณลุงชาวเนปาล ทีมเมทบอกเธอว่าแม้แต่เขาเองยังรู้สึกทึ่ง
.....
ก่อนการเดินทาง มิชชั่นบันดักชานต้องเลื่อนไฟลท์บินด้วยเหตุผลทางด้านความปลอดภัย อันเนื่องมาจาก Suicide Bomb กลางเมืองคาบูล เครื่องบินเล็กของ USSAID องค์กรที่ให้ความช่วยเหลือทางด้านมนุษยธรรมและการพัฒนาของสหรัฐอเมริกา (ที่กำลังจะให้เงินรัฐบาลไทยฟื้นฟูประชาธิไตยในรัฐบาลประชาธิปัตย์) ทั้งร้อนและสั่นตามสภาพ
กว่าจะได้ออกจากคาบูล เครื่องไปบันดักชานติดอยู่ในรันเวย์ราวๆ 1 ชั่วโมงเพราะต้องรอเครื่องจากหน่วยงานสหประชาชาติ เครื่องบินทหารขึ้นลงคึกคัก
จากคาบูลถึงบันดักชานใช้เวลาบิน 1 ชั่วโมงเศษ
.....
ฟายซาบัดมีประชากรราวๆ 1.2 ล้านคน
สมัยสงครามกับสหภาพโซเวียต เมืองแห่งนี้เป็นฐานที่มั่นและจุดยุทธศาสตร์หลักของกองกำลังปลดแอกประเทศในนามมูจาฮีดีน
ที่น่าสนใจมากกว่านั้น ฟายซาบัดเป็นเมืองที่ไม่ถูกตาลีบันยึดครองจากความเข้มแข็งของพันธมิตรฝ่ายเหนือในนามนักรบพื้นเมืองที่ศรัทธาแนวทางของนายพลมาห์ซูด
กับความแตกต่างระหว่างเชื้อชาติทาจิก ขณะที่กลุ่มตาลิบันส่วนใหญ่เป็นกลุ่มชนพาชทูน
กับสภาพภูมิประเทศที่เป็นต่อทางด้านการศึกที่มูจาฮีดีนเคยเอาชนะกองทัพอันเกรียงไกรของสหภาพโซเวียต
คนที่นั่น ภาคภูมิที่ทำให้กองทัพโซเวียตพ่ายแพ้ทั้งที่มียุทโธปกรณ์เหนือกว่า ด้วยความเจนจัดทางด้านภูมิประเทศ
“ทุกครั้งที่พวกเขามองดูซากรถถัง เค้ามองเห็นถึงอิสรภาพ” ยาดาบอกว่าความรู้สึกนี้มันสะท้อนออกมาจากดวงตาของพวกเขา
ขณะเดียวกัน คนภายนอกอย่างเช่น ยาดา (ผู้ไม่เคยผ่านสงคราม) กลับรู้สึกถึงหายนะอันเกิดจากสงคราม เป็นกฏเกณฑ์พื้นฐานทางด้านความแตกต่างของประสบการณ์ที่ทำให้คนเราต่างมีความคิดเห็นที่แตกต่างกันออกไป
‘คงไม่มีใครผิดหรือถูก’ อย่างน้อยเธอก็คิดเช่นนั้น
“ซากเหล่านี้ อยู่ที่นี่ มามากกว่า 20 ปีแล้ว” ล่ามผมบลอนด์บอกเธอ
“โอ้โห ยังมองเห็นรูปร่าง โครงสร้างชัดเจน” ยาดาทึ่ง
“ใช่ รถถังโซเวียตแข็งแกร่งกว่ารถถังอเมริกันเยอะ” ล่ามแอบกระซิบ
!!!
....
ฟายซาบัดสวย สงบและปลอดภัย สมกับเป็นเมืองตากอากาศทางเหนือ ท่ามกลางแสงแดดอุ่นกลางลมหนาว ไม่มีไฟฟ้า แม้แต่ในโรงแรมที่ทันสมัยที่สุดของเมืองยังต้องปั่นไฟได้เพียง 4 ชั่วโมง
ซิเคียวริตี้ ทีม บอกว่า ไม่มีอะไรน่าห่วง พวกเขาเตรียมพร้อมและเซอร์เวย์เรียบร้อยแล้ว
นอกจากนี้ เรายังมีทีมการ์ดพร้อมอาวุธครบมือถึง 9 คน เสื้อเกราะ หมวกและรถกันกระสุน 1 คัน ขณะที่เมืองอื่นๆ ต้องมีทีมการ์ด 13 คน พร้อมรถติดตามอีก 3 คัน
“แค่นี้ก็สะท้อนแล้วว่าปลอดภัย” ยาดายิ้มเห็นลิ้น
....
วิวจากเครื่องบินระหว่างทางจากคาบูลไปบันดักชาน
สนามบินคาบูลระหว่างเครื่องทะยานขึ้น มองเห็นคอปเตอร์แบล็ค ฮอว์ค จอดเรียงรายด้านล่าง
มุมหนึ่งของจังหวัดฟายซาบัด มองเห็นท้องทุ่งไร่นาเขียวขจี (คลิ๊กที่รูปเพื่อดูรูปใหญ่)
ตลาดในเมืองบันดักชาน (คลิ๊กที่รูปเพื่อดูรูปใหญ่)
พ่อค้าขายผลไม้ในตลาดบันดักชานส่งยิ้มหวาน
ยานพาหนะที่แตกต่าง
ผ้าเป็นสินค้าสำคัญของบันดักชาน หญิงสาวนำไปตัดชุดสวมใส่ สีสันงดงามใต้เบอร์ก้าสีฟ้า
ชายพเนจรขี่ม้าตามเส้นทาง
สุสานรถถังรัสเซีย อายุมากกว่า 20 ปี ว่ากันว่า ทนทานกว่ารถถังอเมริกัน
ว่าวเคยเป็นสิ่งต้องห้ามในยุคของตาลีบัน