Skip to main content

นานหลายเดือนที่ผมกับยาดาวางแผนการเดินทางไปเวียดนาม ความจริงก็คือ เรามาเร่งหาข้อมูลเอาโค้งสุดท้ายก่อนจะถึงกำหนดเดินทางเพียงอาทิตย์เดียว ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับเส้นทางเข้าสู่เวียดนามมาจากหลายทาง ทั้งจากเพื่อนที่เคยไปและไม่เคยไป (แต่มีคนรู้จักหรือมีเพื่อนเคยไป) ทั้งจากหนังสือและเว็บไซต์ ศูนย์ข้อมูลการท่องเที่ยวทั้งไทยและเทศรวมถึงโลนลี่ พลาเน็ต ฉบับเวียดนาม ที่ลงทุนไปหาซื้อมาตั้งแต่ 6 เดือน ก่อนวันออกเดินทาง (16 วัน ระหว่างวันที่ 3-18 เมษายน 51)

ทำไมถึงเวียดนาม อย่างไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย คือ อยากไปว่ะ!

ผมและเธอ ตัดสินใจใช้เส้นทางมุกดาหาร สะหวันเขต-ด่านลาวบาว-เว้ ด้วยเหตุผลที่ว่า เส้นทางรถโดยสารจะทำให้เรามองเห็นทัศนียภาพ 2 ข้างทางได้ถนัดตามากกว่าโดยสารเครื่องบิน สำหรับเส้นทางนี้ เอาไปเล่าให้ใครฟังแล้วต่างส่ายหน้าก่อนจะบ่นๆ ทำนองว่า “แหม ช่างอึดอดทนกันซะจริงนะยะ” หรือ “ไปเหอะ ช่วงนี้เข่าไม่ดีว่ะเพื่อน” ก่อนจะตบบ่าเราเบาๆ หรือ “เพื่อน เราแก่แล้วอ่ะ” และอื่นๆ อีกสารพัด

ผมจองตั๋วไปมุกดาหารที่สถานีขนส่งหมอชิต ตามสูตรแล้ว ผมควรใช้บริการบริษัทสหพันธ์ร้อยเอ็ด ทัวร์ ที่ได้รับการการันตีจากแหล่งข้อมูลแต่ดูเหมือนโชคชะตาจะมีเหตุผลบางอย่าง เจ้าหน้าที่ซึ่งรับจองตัวของบริษัทไม่อยู่ที่ห้องจองตั๋ว สอบถามได้ความว่า
“พวกเธอไปรับเงินเดือน รออีกสักครู่นะครับ” ชายหนุ่มยื่นหน้ามาบอก

ผมรออยู่ชั่วอึดใจแต่เวลาเหมือนจะเชื่องช้า สายตาจับไปยังห้องที่ว่างเปล่าของบริษัท ก่อนตัดใจ ”จองตั๋วไปมุกดาหาร 2 ที่ครับ” ผมบอกกับเจ้าหน้าที่ของบริษัทเชิดชัยทัวร์หลังจากเช็ควันเวลาในตั๋วเรียบร้อย โดยไม่ได้ตั้งใจ ผมหันไปมองที่ห้องบริษัทสหพันธ์ร้อยเอ็ดทัวร์อีกครั้ง

เอ่อ พวกเธอกลับมานั่งประจำที่เรียบร้อย !

เวลา 18.30 น. ของวันที่ 3 เมษายน เรามาถึงหมอชิตก่อนเวลารถออกครึ่งชั่วโมง ผมรอคอยการเดินทางนัดนี้อย่างใจจดจ่อ ดังนั้น ผมจึงไม่อยากให้มีความผิดพลาดใดใดเกิดขึ้น อากาศครึ้มทั้งที่เป็นฤดูร้อน ข่าวคราวของเวียดนามผ่านเข้าหูหลายเรื่อง ภาคเหนือของประเทศ (ช่วงนั้น) กำลังประสบภาวะหนาวจัด ไปเวียดนามหากไม่ถูกโกง โก่ง ราคา เรียกว่าไปไม่ถึง คนเวียดไม่พูดภาษาอังกฤษ หากซื้อสินค้าต้องต่อราคามากกว่า 80% และสาวเวียดผิวเนียนมั่กๆ ฯลฯ

ระหว่างรอเวลารถออก หนุ่มใหญ่ในชุดกางเกงยีนส์ เสื้อเชิ้ตลายทางสีเขียวซีดๆ นายหนึ่ง กุมนิตยสารแนวก็อสซิปดาราแนบอก เดินขึ้นมาบนรถอย่างคนคุ้นเคย(เพราะทำมาหากินอยู่แถวนี้) “ดูฟรีจ้า ดูฟรี” แกตะโกน ตามองไปหลังรถทัวร์คันยาว จับจุดอยู่ที่ผนังห้องน้ำสีครีม มือหยิบนิตยสารส่งให้ผู้โดยสารซ้าย-ขวา บางคนรับ-บางคนไม่รับ เราส่ายหน้า เพราะไม่คิดว่าการอ่าน    ก็อดซิปดาราระหว่างนั่งรถโดยสารจะเป็นการฆ่าเวลาที่ดีนัก

หนุ่มใหญ่เดินแจกนิตยสารสุดความยาวของตัวรถ จรดห้องน้ำสีครีม ก่อนจะเดินกุมนิตยสารที่เหลือกลับมา เขาหยุดยืนหน้าผู้โดยสารวัยรุ่น 2 คน ที่รับนิตยสารของเขาไปดู ยื่นมือออกไปพร้อมกับพูดว่า “20 บาท น้อง”

ผมลอบมองใบหน้าเหวอๆ ของวัยรุ่นทั้ง 2 คน อย่างไม่มีเจตนาทำร้ายพวกเขามากไปกว่านี้ ”เออ เยี่ยม นี่ยังไม่ถึงเวียดนามเลยนะเนี๊ยะ” ผมกระซิบ

รถทัวร์มาถึงมุกดาหาร ตี 5 ครึ่งจนได้ หลังจากที่หยุดแวะเช็คยางระหว่างทางเสียมากกว่า 3 ชั่วโมง ก่อความกังวลให้ผู้โดยสารบางจำนวนซึ่งทำได้เพียงแค่หัวเราะขื่นไปตามสถานการณ์ ขนส่งจังหวัดมุกดาหารใหญ่โตกว้างขวาง ภายในตัวอาคารที่พักผู้โดยสารจะเห็นลูกศรสีเหลืองอันขนาดย่อมชี้ไปยังข้อความว่า “เส้นทางสู่สะหวัน”

สำหรับผู้โดยสารที่ต่อรถไปยังแขวงสะหวันเขตให้ขึ้นสกายแล็ป (คล้ายรถตุ๊กๆ ในกรุงเทพฯแต่คันใหญ่กว่ามีที่นั่งและหลังคาคลุมทางตอนหลัง) ตรงจุดนี้ได้เลย รถจะพาไปส่งยังสะพานมิตรภาพไทย-ลาว ในราคา 50 บาท/หัว หากมีสัมภาระต่อรองเหมาจ่ายกันไปตามราคา

สำหรับคนที่จะไปเว้ สามารถซื้อตั๋วได้ที่สถานีขนส่งเหมือนกัน ต้องซื้อตั๋ว 2 ใบ มุกดาหาร-สะหวันเขต ในราคา 45 บาท และ จองตั๋วสะหวันเขต-เว้ ในราคา 99.000 กีบ (ราคานี้เป็นราคาวีไอพี มีประกันอุบัติเหตุเรียบร้อย)

รถไปเว้จะออกจากแขวงสะหวันเขต เวลา 10.00 น.-18.00 น. รถประจำทางสายนี้มีเพียงเที่ยวเดียว วิ่งทุกวันจันทร์ พุธ ศุกร์ พักเว้ 1 คืน แล้วรับคนกลับในวันอังคาร พฤหัส เสาร์ (วันอาทิตย์คาดว่าจะเป็นวันหยุด) หากไปไม่ตรงตามวันเวลาดังกล่าวจะต้องนั่งรถ 2 ต่อ พักที่ด่านลาวบาว 1 คืน ก่อนจะต่อรถเข้าไปเว้ในวันถัดไป เลือกได้ตามความถนัด

เส้นทางหมายเลข 9 (มุกดาหาร-สะหวันเขต-ลาวบาว-เว้) เป็นถนนสายเดียวสำหรับรถประจำทางที่เปิดใช้อยู่ในปัจจุบัน กว่าจะหลุดรอดออกจากแขวงสะหวันเขต เราเจอด่านตรวจคนเข้าเมืองถี่ยิบ ผู้โดยสารส่วนใหญ่เป็นชาวลาว ชาวเวียดนามที่ข้ามมาทำงานในประเทศไทย รวมถึงนักท่องเที่ยวที่มีให้เห็นประปราย ต้องขึ้นลงสแตมป์พาสปอร์ต กรอกเอกสาร จ่ายค่าธรรมเนียมกันเป็นที่สนุกสนาน

ด่านไทย-สะหวันเขต 40 บาท (รับเงินไทย)
ด่านสะหวันเขต-ลาวบาว 40 บาท (รับเงินไทย)
ด่านลาวบาว-เว้ 10.000 ดอง (รับเงินดองหรือดอลลาร์)


คนขับรถวีไอพีสีฟ้าอ่อนเป็นชายวัยกลางคน ผอมผิวคล้ำน้ำตาลออกแดงเป็นคนในแขวงสะหวันเขต สื่อสารกับคนไทยอย่างเราได้เข้าใจ บนรถมีผู้โดยสารชาวไทยกลุ่มใหญ่กลุ่มหนึ่งและคุณลุงกับหลานคู่หนึ่งที่มาเที่ยวแบบแบ็กแพ็กสไตล์เพื่อหาประสบการณ์แปลกใหม่ เราทำความรู้จักกันพอหอมปากหอมคอ ก่อนจะเพลิดเพลินพินิจทิวทัศน์ระหว่างเส้นทาง

ที่น่าสนใจ คือ บ้านเรือนแทบทุกหลังจะมีธงชาติ(ลาว)ประดับเอาไว้ที่หน้าต่างหรือตามรั้วบ้าน รวมทั้งค่ายกองทัพประชาชน บ่งบอกความรู้สึกถึงความเป็นชาติของคนลาวอย่างลึกซึ้ง เราได้ลิ้มชิมรสอาหารเวียดนามมื้อแรก ระหว่างรถแวะพักเที่ยง ข้าวเม็ดกลมโต อัดอยู่ในถ้วยก้นลึกกับตะเกียบปลายเรียว กับข้าวมีให้เลือกหลายอย่าง ส่วนใหญ่จะเป็นผัก ทั้งผัดกวางตุ้ง แกงเผ็ดเห็ด กับเนื้อหรือหมูและไก่ ในราคา 50 บาท/ข้าวราด 3 อย่าง

แดดจัดจ้านขึ้นตามลำดับเวลา ต่อเมื่อเรามาถึงด่านตรวจคนเข้าเมืองลาวบาว ซึ่งเป็นด่านสุดท้ายก่อนจะเข้าสู่ประเทศเวียดนาม จะมองเห็นประตูโค้งขนาดมหึมา “ลาวบาว อินเตอร์เนชั่นแนล บอร์เดอร์ เกท” ฝนจึงเริ่มโปรยเม็ด

ก่อนจะเข้าด่าน วีไอพีสีฟ้าจะหยุดให้ผู้โดยสารทั้งที่เป็นนักท่องเที่ยวลงไปตรวจหลักฐาน จุดนี้ค่อนข้างเข้มงวดและใช้เวลาตรวจครู่ใหญ่ทีเดียว ระหว่างนี้ นักท่องเที่ยวจะได้พบกับนักค้าเงิน(รายย่อย)ระดับชาวบ้าน พวกเธอจะรอลูกค้าอยู่ที่ด่าน ระหว่างที่นักท่องเที่ยวลงไปตรวจหลักฐาน เธอจะรีบขึ้นมาบนรถเพื่อเสนอแลกเปลี่ยนเงินในอัตรา 1บาท/490 ดอง หากใครแลกเงินมาแล้วเธอจะเสนอขายซิมเวียดนามสำหรับโทรศัพท์เป็นลำดับต่อไป

เรื่องอัตราการแลกเปลี่ยนเงินเป็นอีกเรื่องที่ต้องหาข้อมูลศึกษาให้ดี เราใช้วิธีแลกเงินบาทเป็นดอลลาร์แล้วนำไปแลกเงินดองซึ่งจะได้ค่าส่วนต่างมากกว่า ช่วงนั้นเงินดอลลาร์อ่อนค่ากว่าเงินบาท ดังนั้น เราจึงสามารถแลกเงินได้ในอัตราเหรียญละ 512 ดอง (อัตรานี้แลกกับธนาคารเวียดนาม) คิดส่วนต่างได้ +704 ดอง อัตรานี้ = 31.4 บาท/1เหรียญ

คนที่นั่นสนใจเงินดอลลาร์มากกว่าเงินบาท เพราะฉะนั้น หากไม่จำเป็นห้ามแลกเงินกับนักค้าเงินรายทางแต่ให้ตรวจสอบอัตราแลกเปลี่ยนกับธนาคารในเมืองใหญ่ก่อนตัดสินใจ

ตามสูตรนี้นะครับ
31.4 บาท / 1$ / 512 Dong (ธนาคาร)
1$ / 15.000 Dong หรือ 1 บาท / 490 Dong (รายทาง)
คิดส่วนต่าง 704 Dong / $
ดังนั้น จากพ็อกเก็ต 30.000 บาท / 2 คน เราได้กำไรจากส่วนต่าง 672.600 ดอง
(ทั้งหมดนี้ขึ้นอยู่กับค่าเงินดอลลาร์ในขณะนั้น)


การเข้าถึง ‘ข้อมูล’ จำเป็นสำหรับคนทุกคนครับ!

20080529 1
วีไอพีสีฟ้าจากแขวงสะหวันเขต

20080529 2
ลุงหลานหัวใจหนุ่มครับ

20080529 3
อาหารรสเวียดนาม มื้อแรก

20080529 4
นักค้าเงินรายย่อย

 

20080529 5

20080529 6
ชาวเวียดนามที่มารับจ้างแบกของบริเวณด่านชายแดน

20080529 7
เอ่อ เด็กสาวชาวเวียดคนแรกที่เจอ

20080529 8
รอยยิ้มพิมพ์ใจ ระหว่างทาง เด็กๆ เหมือนกันทุกที่ในโลก เมื่อยกกล้องขึ้น แกจะเขิน

20080529 9
ด่านลาวบาว ใหญ่มะครับ

บล็อกของ กฤนกรรณ สุวรรณกาญจน์

กฤนกรรณ สุวรรณกาญจน์
หากไม่เชื่อ ลองถามคนรุ่นพ่อรุ่นแม่ปู่ย่าตาทวด ก็ได้ว่า “ท่านเกิดมาจากน้ำมือของใคร”ร้อยทั้งร้อย ตอบได้อย่างเต็มปากเต็มคำว่า “หมอตำแย”ยายคำ อายุ 77 ปี เป็นชาวไทใหญ่ แกเป็นหมอตำแยมาตั้งแต่รุ่นสาวหรือที่เรียกกันว่า ‘แม่เก็บ’ ในภาษาไทใหญ่ ปัจจุบัน ยายคำอาศัยอยู่ที่ ต.แม่สามแลบ อ.สบเมย จ.แม่ฮ่องสอน แข็งแรงและมีรอยยิ้มอยู่เสมอ...ยายคำเป็นหญิงชราที่ดูอารมณ์ดีที่สุดในโลก แววตาอ่อนโยน ไม่แข็งกร้าวแต่จัดเจนและเข้าใจชีวิต ผม
กดำและพูดจาฉะฉาน ไม่หลงๆลืมๆ เหมือนกับคนเฒ่าในวัยเดียวกันชวนให้คิดถึงคำพูดที่ว่า หนุ่มแก่อยู่ข้างในหัวใจหลังการแต่งงาน ยายคำกับสามีชื่อนายหม่องคนกะเหรี่ยง…
กฤนกรรณ สุวรรณกาญจน์
         
กฤนกรรณ สุวรรณกาญจน์
  
กฤนกรรณ สุวรรณกาญจน์
ใครเคย เล่น (อี) มอญซ่อนผ้าบ้าง ..? หากเจอคำถามนี้แล้วคุณยกมือ แสดงว่า อายุของคุณไม่ควรจะต่ำกว่า 35 UP … ha H a a a a,ย้อนความจำกันนิด การละเล่นชนิดนี้ใช้ผู้เล่นกี่คนก็ได้แล้วแต่ถนัดและจำนวนของกลุ่มเพื่อน เลือกผู้เล่นขึ้นมาเพื่อเป็นตัววิ่ง 1 คน (อันนี้จะด้วยวิธีการใดใดก็ได้ รุ่นผมใช้โอน้อยออก) ตัววิ่งจะกุมผ้าเช็ดหน้าเอาไว้ในมือให้มิดชิด ก่อนจะเดินรอบวง เมื่อเดินพอหอบ ตัววิ่งจะอาศัยช่วงจังหวะเวลาและโอกาสเข้าทำ ด้วยการแอบทิ้งผ้าไว้ข้างหลังผู้เล่นคนใดคนหนึ่ง ซึ่งระหว่างที่ตัววิ่งเดินรอบวง ผู้เล่นภายในวงจะร้องเป็นทำนองว่า  “(อี) มอญซ่อนผ้า ตุ๊กตาอยู่ข้างหลัง ใครนั่งไม่ระวัง ฉันจะตีก้นเธอ”…
กฤนกรรณ สุวรรณกาญจน์
ฆูณุงจไร เป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์ที่ชาวไทยใหม่ เชื่อว่า เป็นถิ่นฐานบ้านเกิดของเผ่าพันธุ์ตน กล่าวกันว่า ถึงแม้ ชาวอูรักลาโว้ยจะเดินทางท่องไปในทะเลกว้าง จากอันดามันจรดช่องแคบมะละกา ไม่มีหลักแหล่งแห่งที่ที่แน่นอน แต่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ฆูณุงจไรได้เชื่อมเอาดวงวิญญาณแห่งความถวิลถึงกันและกันเอาไว้ ฆูณุงจไร ในความหมายนี้ คือ ยอดเขาบนเกาะแห่งหนึ่งในรัฐเคดาห์หรือเมืองไทรบุรี ประเทศมาเลเซีย ซึ่งมองเห็นได้ในระยะไกลจากท้องทะเล ก่อนจะอพยพมาตั้งถิ่นฐานบนดินแห้งในแถบอันดามัน หลังการแผ่ขยายอิทธิพลของศาสนาอิสลาม...โดยเฉพาะบนเกาะลันตาที่เคยได้ชื่อว่า เมืองหลวงของชาวน้ำน้ำทะเลแหวกเป็นสายเมื่อ Speed Boat ขนาดบรรทุก…
กฤนกรรณ สุวรรณกาญจน์
เชื่อกันว่า ช่วงเวลาระหว่าง 200-500 ปี ชาวไทยใหม่อูรักลาโว้ยหรือโอรังละอุตจากดินแดนฆูณุงจไร เดินทางมาตั้งถิ่นฐานบนเกาะลันตา จนหลายสิบปีต่อมา เมื่อคนจากแผ่นดินใหญ่หลั่งไหลมาถึง พร้อมเปิดศักราชใหม่ของการท่องเที่ยว เกาะลันตาที่เคยสงบสันโดษกลับกลายเป็นดินแดนแห่งสีสัน...เฉดสีต่างๆ ถูกละเลงโดยนักแสวงสุขมากหน้า...ท้องฟ้าสีฟ้าเบื้องหน้าหัวเรือข้ามเกาะดูเจิดจ้า จากท่าเรือคลองจิหลาด จ.กระบี่ ข้ามไปเกาะลันตาถึงท่าศาลาด่านใช้เวลาเกือบ 2 ชั่วโมง ในอัตรา 350 บาท/หัว ภายใต้ท้องฟ้าและผืนน้ำสีเขียวคราม หลายคนรวมทั้งผมและเพื่อนนับสิบ ตัดสินใจไปละเลงชีวิตช่วงปีใหม่ที่เกาะลันตา...…
กฤนกรรณ สุวรรณกาญจน์
คนมาจากไหน ?8 พ.ย. 50 คนมากกว่า เก้าพันสามร้อยสามสิบเจ็ดคน เดินขึ้นภูกระดึง ภายในวันเดียวอะไรทำให้คนมากมายมาภูกระดึง นโยบายสนับสนุนการท่องเที่ยวของรัฐบาล ,แรงประชาสัมพันธ์ของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ,หนังสืออสท. ,ปากต่อปากถึงมนต์ขลังที่มิอาจจะปฏิเสธ ,ความยากลำบากของการเป็นหนึ่งในผู้พิชิต ,หรืออาการเริ่มแรกของโรคเบื่อการเมืองผมไม่รู้และไม่คิดอยากจะรู้ เพียงแต่การจัดอันดับ 10 อุทยานยอดนิยมของหนังสือท่องเที่ยว Trip ปลายปี 50 ภูกระดึงเป็นอุทยานที่มีนักท่องเที่ยวนิยมไปเที่ยวมากที่สุดเป็นอันดับหนึ่ง...ว่ากันว่า 300 ล้านปีก่อน พื้นที่บริเวณโดยรอบภูกระดึงเคยเป็นทะเลมาก่อน จน 250 ล้านปีต่อมา…
กฤนกรรณ สุวรรณกาญจน์
อุทยานแห่งชาติ ไม่ได้หมายถึง แหล่งนันทนาการเพื่อการพักผ่อนหย่อนใจเท่านั้นการท่องเที่ยวอุทยาน คือ การสัมผัสถึงการมีอยู่ของแต่ละชีวิตในธรรมชาติ เผ่าพันธ์ร่วมโลก เพื่อทำความรู้จัก เข้าถึงและอยู่ร่วมกันโดยเบียดเบียนกันให้น้อยที่สุดภูกระดึง จึงกลายเป็นเงื่อนไขหนึ่งที่ไม่ต้องการยานพาหนะและกระเช้าไฟฟ้า แม้ว่าจะพอมีร้านเช่า Mountain bike สนองอารมณ์นักแคมป์ปิงในอัตราวันละ 350 บาท ก็ตามเพราะฉะนั้น สำหรับภูกระดึง การเดินด้วยเท้าจึงเป็นเรื่องง่ายและดีที่สุด... ยามเช้า อากาศสดใส แดดหน้าหนาวตกกระทบลงบนกิ่งสน เกิดเป็นแฉกฉูดฉาด อาบไล้ ปลุกเร้าให้นักแคมป์ปิงออกมาค้นหาเรื่องราวตามจุดท่องเที่ยวต่างๆ กวางตัวใหญ่…
กฤนกรรณ สุวรรณกาญจน์
ผมไม่ได้ปีนภูกระดึงในฐานะผู้พิชิต !หากเป็นเรื่องของข้างในที่เรียกร้องผัสสะดิบเถื่อนในธรรมชาติและการมองโลกในมุม 180 องศา การเดินด้วย 2 เท้าและเรียกร้องให้เหงื่อออกจากรูขุมขน,ตอกย้ำความคิดที่ว่า จริงๆ เราเป็นเพียงละอองธุลีของจักรวาลอิอิ“แหวะ เว่อร์ร์ร์ร์ร์ หวะ เพ่” รุ่นน้องคนหนึ่งลากเสียงยาว..หากใครคิดว่า การเดินขึ้นภูกระดึง ถึงหลังแปแล้วจะได้ผ่อนลมหายใจ ละลายความเหนื่อยเมื่อยล้าแล้วละก็ เป็นอันว่าคุณคิดผิดถนัด เพราะจากหลังแปนักเดินทนผู้พยายามพิชิตภูกระดึงจะต้องเดินเท้าต่อไปอีกร่วม 3 กิโลเมตร ทันทีที่คุณเข้าสู่เขตศูนย์บริการวังกวาง (เมื่อก่อนพื้นที่เหล่านี้เป็นที่อยู่อาศัยของนานาสัตว์…
กฤนกรรณ สุวรรณกาญจน์
ดูเหมือนว่า ภูกระดึงจะเป็นอีกหนึ่งสถานที่ที่ใครๆ หลายคน คิดว่าอยากจะไปเยือนสักครั้งการเดินทาง เป็นเรื่องของการตัดใจ หากทำได้เพียงแต่คิด ทุกสิ่งคงเป็นได้เพียงแค่หมอกควันของอารมณ์ชั่วคราวที่ค่อยๆ บรรเทาเบาบางก่อนจะจางหายไปในที่สุดแต่นั่นแหละกล่าวกันว่า การอ่านเป็นการเดินทางที่ง่ายและถูกที่สุดอย่างน้อยผมก็เชื่อเช่นนั้น…จากหมอชิตเดินทางถึงผานกเค้าในเช้าวันใหม่ ท้องฟ้าเริ่มสาง ไม่ต้องเป็นกังวลหรือหวาดหวั่น เราจะได้พบเพื่อนร่วมทางมากมาย กลุ่มนักศึกษากลุ่มใหญ่ เจี๊ยวจ๊าวเต็มคันรถ บันทึกถ่ายทำวีดีโอไปตลอดการเดินทาง กระทั่งพนักงานต้อนรับคนงามต้องบอกว่า“…
กฤนกรรณ สุวรรณกาญจน์
วันหยุดยาวปีใหม่ เรียกร้องให้คนส่วนใหญ่ ออกเดินทาง ,ท่องเที่ยว ละเลงความมันส์ออกมาจนหยดสุดท้ายหรือกลับไปอยู่กับครอบครัวอันอบอุ่น ..คำอวยพร ..การ์ดและกล่องของขวัญ ,ทั้งเด็กๆ และผู้ใหญ่ๆ ต่างใจจดจ่ออยากจะได้รับ .....เราต่างรอคอย ,ความหวัง
กฤนกรรณ สุวรรณกาญจน์
..ผมพยายาม ถ่ายภาพ Panorama ,2 เฟรม 3 เฟรม ..ก่อนอื่นตั้งโจทย์ในใจว่าจะเก็บมุมใดบ้าง ,ด้วยการมองวิวนานกว่า 5 นาที ...ภาพวิว ดูแล้วเหมือนกับภาพที่หาได้ทั่วไป ..ซ้ำๆ แต่เหมาะสำหรับฝึกฝนการถ่ายภาพ(อย่างน้อย ใครคนหนึ่ง ว่าเอาไว้อย่างนั้น)การถ่าย panor ต้องเริ่มด้วยการจัดองค์ประกอบภาพ ..ให้ได้ทุกอย่างครบตามที่คิด..คะเนเอาตามประสบการณ์ ว่าจะต้องถ่ายกี่ช็อต ..หามุมให้ลงตัวกับการเหลื่อมซ้อนของภาพ ก่อนนำมาปะติดปะต่อ ..จุดสำคัญต้องได้แสงสีที่กลมกลืนกันพอดีดังนั้น จึงต้องมีพื้นฐานของการตั้งค่าแสง อย่างสมเหตุผล ..กล่าวกันว่า การถ่ายภาพ panor ไม่มีสูตรตายตัว…