Skip to main content

ทันทีที่ออกจากด่านลาวบาว รถทัวร์ปุเรงมาบนถนนหมายเลข1 นักท่องเที่ยวจะต้องนั่งรถเพื่อเข้าไปยังมหานครเว้อีกราวๆ 160 กิโลเมตร (หลังจากที่ตื่นๆ หลับๆ มาแล้วราว 250 กม. บนทางหลวงหมายเลข9) รวมระยะทางจากมุกดาหาร-เว้ ประมาณ 410 กิโลเมตร

นักท่องเที่ยวบางคนพักที่ด่าน ซึ่งมีเกสต์เฮาส์เล็กๆ สบายๆ และเป็นที่ขึ้นชื่อว่า ตลาดเช้าลาวบาวช่างน่ารักน่าชังนัก

เรื่องของเรื่อง คือ เราควรจะถึงเว้ไม่เกิน 18.00 น. ตามเวลาในตั๋ว

ระหว่างเส้นทางจะต้องผ่านเมืองใหญ่ 2 เมือง คือ เมืองเคเซนและเมืองดองฮา ทั้ง 2 เมือง คือ จุดยุทธศาสตร์ที่ถูกโจมตีอย่างหนักในสงครามเวียดนาม โดยเฉพาะเมืองดองฮาหรือเรียกชื่อย่อว่า DMZ นั้น เป็นแหล่งหลักฐานแห่งอดีตอันแสนเศร้า

จากข้อมูล DMZ ในอดีตเป็นเขตปลอดทหาร โดยมีแม่น้ำเบนไห่ทอดขวาง มีสะพานเหียนเลือง ยาว 8 กิโลเมตร แบ่ง2 ฝั่งของแม่น้ำ จุดแบ่งเวียดนามเหนือใต้ออกจากกันและอุโมงก์หวิงห์ม็อกซึ่งเป็นอุโมงก์หลบภัยใต้ดินของชาวบ้านทั้ง 2 หมู่บ้าน ภายในอุโมงก์เจาะเป็นห้อง มีความยาวรวมมากกว่า 2,000 เมตร แบ่งเป็น 3 ชั้น เจาะประตูเข้าออก 13 ทาง ชาวบ้านอยู่อาศัยยาวนานกว่า 5 ปี ปัจจุบัน เป็นแหล่งท่องเที่ยวบอกเล่าพิษภัยของสงครามเวียดนาม

วีไอพีสีฟ้าเลยสะพานเหียนเลืองมาได้ราวชั่วโมงเศษ ยางรถทางด้านหลังเกิดไหม้ควันท่วมแต่ยังไม่ถึงขั้นลุกเป็นเปลวไฟ จนคุณลุงคนขับต้องหยุดเพื่อซ่อมแซมถึง 2 ครั้ง เล่นเอาคนบนรถใจฝ่อเล็กๆ แอบอธิษฐานเอาใจช่วยให้รอดปลอดภัยด้วยเถิ๊ดดดด!

คุณลุงพาเราเข้าเว้ 20.00 นาฬิกา
ฟ้ามืดแต่มหานครแห่งนี้กลับคึกคักด้วยแสงสี

ในทุกวิกฤตล้วนแล้วประกอบขึ้นด้วยโอกาส ควันที่ลุกท่วมล้อหลังทำให้นักท่องเที่ยวอย่างเราผูกพันกันภายใต้คนที่ประสบชะตากรรมเดียวกัน (มักเห็นอกเห็นใจกัน)

นักท่องเที่ยวคนไทยกลุ่มใหญ่ 8 คน ลุง-หลานแบ็กแพ็กเกอร์ ผมกับยาดา รวมหนึ่งโหลตัดสินใจพักโรงแรมเดียวกัน จากการชักชวนของลุงป้าในกลุ่มซึ่งเป็นชาวเวียดนามที่มาอยู่เมืองไทยนานปีเป็นไกด์

ยามเช้าของเว้สีขาวเหมือนดอกมะลิ แม้ออกจะโกลาหลไปบ้างด้วยเสียงบีบแตร รถจักรยานและการแทะเม็ดก๋วยจี๊ เสียงแตรรถของเวียดนามเป็นเหมือนความคุ้นเคยที่อาจจะทำให้คนขวัญอ่อนสะดุ้งเฮือกได้ง่ายๆ รถวิ่งฝั่งขวา จักรยานจะถูกรถมอเตอร์ไซค์บีบแตรให้ชิดขวาอย่างมิดชิด ขณะรถเก๋งสี่ล้อก็จะบีบให้มอเตอร์ไซค์ชิดขวาอย่างมิดชิดอีกต่อ

เอ่อ แต่ดูเหมือนจะไม่มีใครสนใจเพราะแม้เสียงแตรจะดังแค่ไหน หนุ่มสาวชาวเวียดยังปั่นจักรยานซ้อน 4 คัน คุยกันบนถนนอย่างมีรอยยิ้ม

เราเปิดฉากการเที่ยวด้วยการเช่าจักรยานฝ่าความโกลาหลของมหานครแห่งนี้ ปั่นข้ามสะพานก่าวหยาโก่ยสู่ย่านตลาดดองบา ตลาดสดและค้าส่งที่ใครมาเที่ยวต่างต้องมาช็อปปิ้ง ประเดิมกาเฝ่ร้อน(ตามสำนวนคนเวียด)ในตลาด ราคาไม่ควรจะเกิน 5,000-10,000 ดอง

เด็กชายคนหนึ่งรูปร่างผอมเกร็งในเสื้อยืด(มากๆ)มอมแมม กางเกงขาสั้น เดินเข้ามาหายาดาอย่างคุ้นเคย แกใช้มือแตะกระเป๋าก่อนแบมือพร้อมทำหน้าน่าสงสารมา ถัดไปรถมอเตอร์ไซค์คันหนึ่งวิ่งผ่าตลาดเกี่ยวเอาลังเบียร์ของร้านค้าร้านหนึ่ง แม่ค้ายืนเท้าสะเอวด่าเป็นภาษาเวียดนามออกสำเนียงจีนนิดๆ

เราตัดสินใจไม่ให้เงินเด็กชาย แกเดินหงอยๆ กลับกลุ่ม

เสียงเพื่อนบางคนลอยแว่วมาว่า “หากนายให้คนนึงนะ อีกหลายคนจะยกโขยงมาแบมือขอนายเลยเชียวแหละ”

แดดสายระยิบระยับ แม้แดดจะแรงแต่ในอากาศยังคงเปียกชื้นและสดใส แม่ค้ากลุ่มใหญ่จับกลุ่มพูดคุยกันริมฟุตบาธ ผมยกเทเลซูมขึ้นจ่อเพื่อจับอากัปกิริยาของพวกเธอ หนึ่งในนั้นยกมือป้องใบหน้าก่อนส่งเสียง (แม้จะฟังไม่รู้เรื่อง) ’หยุด ชั้นไม่อนุญาตให้ถ่ายรูป’

เว้ เป็นเมืองตอนกลางของประเทศ เชื่อมโยงพื้นที่อุดมสมบูรณ์ของสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขงและแม่น้ำแดง มีแม่น้ำหอมไหลผ่านเมืองและเคยเป็นทั้งเมืองหลวงเก่า และเป็นเมืองแห่งประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมในปัจจุบัน กลิ่นอายแห่งความรุ่งโรจน์แห่งอดีตของพระราชวัง สุสานและนครแห่งจักรพรรดิ ค่าเข้าชม คือ 55,000 ดอง/คน แพ็กเกจนี้ชมได้ทั้งตัวพระนครต้องห้าม

จักรยาน 2 ล้อปั่น กลางเก่ากลางใหม่ซอกซอยไปตามถนนต่างๆ มุ่งหน้าไปยังนครแห่งจักรพรรดิ ริมน้ำหอม ความงดงามของสถาปัตยกรรมตามแบบราชวงศ์เหงียนที่ถูกสร้างขึ้นในแบบแผนความเชื่อของจีน ที่ได้รับการออกแบบให้มีกำแพงล้อมรอบถึง 3 ชั้น ผ่านกิงห์แทงห์หรือกำแพงชั้นนอกเข้าไปจะเจอกับป้อมปืนใหญ่ 9 เทพ (5 แทนโลหะน้ำไม้ไฟดิน 4 แทนฤดูกาลทั้ง 4)

ถัดมาเป็นกำแพงเหลืองหรือกำแพงชั้นกลางที่ล้อมรอบนครแห่งจักพรรดิ มี 4 ประตู หากเดินผ่านประตูโหงะโมน ข้ามสะพานน้ำทองจะเป็นพระราชวังไทเฮาและสำนักราชวังสำหรับต้อนรับบุคคลสำคัญและเป็นโรงละคร ปัจจุบันจะมีการแสดงดนตรีพื้นบ้านเวียดนามให้นักท่องเที่ยวได้ชมและมีชุดกษัตริย์ ขุนนาง ในราชสำนักได้ลองสวมใส่

ในอัตราเริ่มต้นที่ 50,000-100,000 ดอง ตามความสำคัญของแต่ละชุด
ทุกอย่างเป็นเงินเป็นทองครับ!

หน้านครแห่งจักรพรรดิจะมีสถานีบริการรับฝากรถ เราออกมาเอารถที่ฝากเอาไว้กับเจ้าหน้าที่ ขาเข้าเจ้าหน้าที่คนหนึ่งในชุดซาฟารีบอกเราว่า ราคาค่าจอด 1,000 ดอง ขาออก เจ้าหน้าที่หน้าเดิมยกมือขึ้นกางนิ้วทั้ง 5 ออกอย่างกว้าง ให้เราเห็นว่าขอ 5,000 ดอง

เราอึ้งไปสักนิดก่อนจะโวยวายไปตามธรรมเนียม
คิดจะมากินกันง่ายๆ อย่างนี้หรือไง!

บรรยากาศริมน้ำหอม ยามเย็น พ่อแม่จะพาเด็กๆ มาออกกำลังกาย วิ่งเล่น ถัดไปเป็นแม่ค้าขายปลาหมึกย่างและผลไม้รถเข็น ต่างกับประเทศไทยตรงที่ไม่มีรถเข็น ตั้งวางอยู่ในถาดและย่างบนเตาไฟอั้งโล่กันเห็นๆ แม่ค้าขายขนมหวาน ตักน้ำหวานสีแดงใสใส่ถ้วยให้ลูกค้า หนุ่มสาวนั่งคุยกันอย่างสดชื่นไปกับบรรยากาศและสีสันของแสงไฟบนราวสะพานตรังติงข้ามแม่น้ำหอม

* หมายเหตุ นักท่องเที่ยวในเวียดนามจะถูกชาร์ตราคาเป็น 2-5 เท่า ของราคาสินค้าจริง ไม่ว่าจะซื้อสินค้าชนิดใด จะกินข้าวราดแกงข้างทางหรือในร้านอาหารหรู นอกจากว่า จะมองหาร้านที่มีป้ายราคาในเมนู ฉะนั้น แนะนำว่า ให้กินข้าวกินปลากันในร้านดีกว่าริมฟุตบาธแต่หากพอใจหรือจะเอาบรรยากาศก็ไม่ว่ากัน

เรือล่องแม่น้ำหอมจอดเรียงรายรอลูกค้าในราคาไม่ควรจะเกิน 70,000 ดอง/เที่ยว
บริการถ่ายรูป บริเวณสวนสาธารณะอยู่ในอัตรา 5,000 ดอง/แช๊ะ
mineral water คือ โซดา หากต้องการน้ำเปล่าให้บอกยี่ห้อ เช่น watamin หรือ lavy waterราคาน้ำไม่ควรจะเกิน 5,000-10,000 ดอง (หากโชคดีอาจจะซื้อได้ในราคาไม่เกิน 3,000 ดอง)
ราคาข้าวไม่ควรจะเกิน 20,000 ดอง/จาน

นอกเหนือจากนี้ใช้ความสามารถ ‘อ้อนวอน’ กันเองแระกันคับ!

 

20080605 นครจักรพรรดิ
นครจักรพรรดิ มองจากภายในกำแพงจะเห็นธงชาติเวียดนามขนาดยักษ์

20080605 ผ่านกำแพงชั้นนอก
ผ่านกำแพงชั้นนอกเข้าไปถึงป้อมปืน 9 เทพ

20080605 เล็บมังกร
เล็บมังกร สัญลักษณ์สำคัญที่คนเวียดนามนับถือ

20080605 สีสันแห่งโรงละคร
สีสันแห่งโรงละครภายในนครจักรพรรดิ

20080605 ยามเช้าในเว้
ยามเช้าในเว้ สีขาวเหมือนดอกมะลิ

20080605 แม่ค้าขายโคมไฟ
แม่ค้าขายโคมไฟ ภายในนครต้องห้าม (พระราชวังไทเฮา)

20080605 สาวๆ เวียดนามในชุดอ๋าวได๋
สาวๆ เวียดนามในชุดอ๋าวได๋

20080605 เรือหัวมังกรล่องน้ำหอม
เรือหัวมังกรล่องน้ำหอม

20080605 ริมน้ำหอมยามค่ำ
ริมน้ำหอมยามค่ำ

20080605 สะพานตรังตริง
สะพานตรังตริงข้ามแม่น้ำหอม ยามค่ำติดแสงไฟสีสันสวยงาม

บล็อกของ กฤนกรรณ สุวรรณกาญจน์

กฤนกรรณ สุวรรณกาญจน์
หากไม่เชื่อ ลองถามคนรุ่นพ่อรุ่นแม่ปู่ย่าตาทวด ก็ได้ว่า “ท่านเกิดมาจากน้ำมือของใคร”ร้อยทั้งร้อย ตอบได้อย่างเต็มปากเต็มคำว่า “หมอตำแย”ยายคำ อายุ 77 ปี เป็นชาวไทใหญ่ แกเป็นหมอตำแยมาตั้งแต่รุ่นสาวหรือที่เรียกกันว่า ‘แม่เก็บ’ ในภาษาไทใหญ่ ปัจจุบัน ยายคำอาศัยอยู่ที่ ต.แม่สามแลบ อ.สบเมย จ.แม่ฮ่องสอน แข็งแรงและมีรอยยิ้มอยู่เสมอ...ยายคำเป็นหญิงชราที่ดูอารมณ์ดีที่สุดในโลก แววตาอ่อนโยน ไม่แข็งกร้าวแต่จัดเจนและเข้าใจชีวิต ผม
กดำและพูดจาฉะฉาน ไม่หลงๆลืมๆ เหมือนกับคนเฒ่าในวัยเดียวกันชวนให้คิดถึงคำพูดที่ว่า หนุ่มแก่อยู่ข้างในหัวใจหลังการแต่งงาน ยายคำกับสามีชื่อนายหม่องคนกะเหรี่ยง…
กฤนกรรณ สุวรรณกาญจน์
         
กฤนกรรณ สุวรรณกาญจน์
  
กฤนกรรณ สุวรรณกาญจน์
ใครเคย เล่น (อี) มอญซ่อนผ้าบ้าง ..? หากเจอคำถามนี้แล้วคุณยกมือ แสดงว่า อายุของคุณไม่ควรจะต่ำกว่า 35 UP … ha H a a a a,ย้อนความจำกันนิด การละเล่นชนิดนี้ใช้ผู้เล่นกี่คนก็ได้แล้วแต่ถนัดและจำนวนของกลุ่มเพื่อน เลือกผู้เล่นขึ้นมาเพื่อเป็นตัววิ่ง 1 คน (อันนี้จะด้วยวิธีการใดใดก็ได้ รุ่นผมใช้โอน้อยออก) ตัววิ่งจะกุมผ้าเช็ดหน้าเอาไว้ในมือให้มิดชิด ก่อนจะเดินรอบวง เมื่อเดินพอหอบ ตัววิ่งจะอาศัยช่วงจังหวะเวลาและโอกาสเข้าทำ ด้วยการแอบทิ้งผ้าไว้ข้างหลังผู้เล่นคนใดคนหนึ่ง ซึ่งระหว่างที่ตัววิ่งเดินรอบวง ผู้เล่นภายในวงจะร้องเป็นทำนองว่า  “(อี) มอญซ่อนผ้า ตุ๊กตาอยู่ข้างหลัง ใครนั่งไม่ระวัง ฉันจะตีก้นเธอ”…
กฤนกรรณ สุวรรณกาญจน์
ฆูณุงจไร เป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์ที่ชาวไทยใหม่ เชื่อว่า เป็นถิ่นฐานบ้านเกิดของเผ่าพันธุ์ตน กล่าวกันว่า ถึงแม้ ชาวอูรักลาโว้ยจะเดินทางท่องไปในทะเลกว้าง จากอันดามันจรดช่องแคบมะละกา ไม่มีหลักแหล่งแห่งที่ที่แน่นอน แต่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ฆูณุงจไรได้เชื่อมเอาดวงวิญญาณแห่งความถวิลถึงกันและกันเอาไว้ ฆูณุงจไร ในความหมายนี้ คือ ยอดเขาบนเกาะแห่งหนึ่งในรัฐเคดาห์หรือเมืองไทรบุรี ประเทศมาเลเซีย ซึ่งมองเห็นได้ในระยะไกลจากท้องทะเล ก่อนจะอพยพมาตั้งถิ่นฐานบนดินแห้งในแถบอันดามัน หลังการแผ่ขยายอิทธิพลของศาสนาอิสลาม...โดยเฉพาะบนเกาะลันตาที่เคยได้ชื่อว่า เมืองหลวงของชาวน้ำน้ำทะเลแหวกเป็นสายเมื่อ Speed Boat ขนาดบรรทุก…
กฤนกรรณ สุวรรณกาญจน์
เชื่อกันว่า ช่วงเวลาระหว่าง 200-500 ปี ชาวไทยใหม่อูรักลาโว้ยหรือโอรังละอุตจากดินแดนฆูณุงจไร เดินทางมาตั้งถิ่นฐานบนเกาะลันตา จนหลายสิบปีต่อมา เมื่อคนจากแผ่นดินใหญ่หลั่งไหลมาถึง พร้อมเปิดศักราชใหม่ของการท่องเที่ยว เกาะลันตาที่เคยสงบสันโดษกลับกลายเป็นดินแดนแห่งสีสัน...เฉดสีต่างๆ ถูกละเลงโดยนักแสวงสุขมากหน้า...ท้องฟ้าสีฟ้าเบื้องหน้าหัวเรือข้ามเกาะดูเจิดจ้า จากท่าเรือคลองจิหลาด จ.กระบี่ ข้ามไปเกาะลันตาถึงท่าศาลาด่านใช้เวลาเกือบ 2 ชั่วโมง ในอัตรา 350 บาท/หัว ภายใต้ท้องฟ้าและผืนน้ำสีเขียวคราม หลายคนรวมทั้งผมและเพื่อนนับสิบ ตัดสินใจไปละเลงชีวิตช่วงปีใหม่ที่เกาะลันตา...…
กฤนกรรณ สุวรรณกาญจน์
คนมาจากไหน ?8 พ.ย. 50 คนมากกว่า เก้าพันสามร้อยสามสิบเจ็ดคน เดินขึ้นภูกระดึง ภายในวันเดียวอะไรทำให้คนมากมายมาภูกระดึง นโยบายสนับสนุนการท่องเที่ยวของรัฐบาล ,แรงประชาสัมพันธ์ของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ,หนังสืออสท. ,ปากต่อปากถึงมนต์ขลังที่มิอาจจะปฏิเสธ ,ความยากลำบากของการเป็นหนึ่งในผู้พิชิต ,หรืออาการเริ่มแรกของโรคเบื่อการเมืองผมไม่รู้และไม่คิดอยากจะรู้ เพียงแต่การจัดอันดับ 10 อุทยานยอดนิยมของหนังสือท่องเที่ยว Trip ปลายปี 50 ภูกระดึงเป็นอุทยานที่มีนักท่องเที่ยวนิยมไปเที่ยวมากที่สุดเป็นอันดับหนึ่ง...ว่ากันว่า 300 ล้านปีก่อน พื้นที่บริเวณโดยรอบภูกระดึงเคยเป็นทะเลมาก่อน จน 250 ล้านปีต่อมา…
กฤนกรรณ สุวรรณกาญจน์
อุทยานแห่งชาติ ไม่ได้หมายถึง แหล่งนันทนาการเพื่อการพักผ่อนหย่อนใจเท่านั้นการท่องเที่ยวอุทยาน คือ การสัมผัสถึงการมีอยู่ของแต่ละชีวิตในธรรมชาติ เผ่าพันธ์ร่วมโลก เพื่อทำความรู้จัก เข้าถึงและอยู่ร่วมกันโดยเบียดเบียนกันให้น้อยที่สุดภูกระดึง จึงกลายเป็นเงื่อนไขหนึ่งที่ไม่ต้องการยานพาหนะและกระเช้าไฟฟ้า แม้ว่าจะพอมีร้านเช่า Mountain bike สนองอารมณ์นักแคมป์ปิงในอัตราวันละ 350 บาท ก็ตามเพราะฉะนั้น สำหรับภูกระดึง การเดินด้วยเท้าจึงเป็นเรื่องง่ายและดีที่สุด... ยามเช้า อากาศสดใส แดดหน้าหนาวตกกระทบลงบนกิ่งสน เกิดเป็นแฉกฉูดฉาด อาบไล้ ปลุกเร้าให้นักแคมป์ปิงออกมาค้นหาเรื่องราวตามจุดท่องเที่ยวต่างๆ กวางตัวใหญ่…
กฤนกรรณ สุวรรณกาญจน์
ผมไม่ได้ปีนภูกระดึงในฐานะผู้พิชิต !หากเป็นเรื่องของข้างในที่เรียกร้องผัสสะดิบเถื่อนในธรรมชาติและการมองโลกในมุม 180 องศา การเดินด้วย 2 เท้าและเรียกร้องให้เหงื่อออกจากรูขุมขน,ตอกย้ำความคิดที่ว่า จริงๆ เราเป็นเพียงละอองธุลีของจักรวาลอิอิ“แหวะ เว่อร์ร์ร์ร์ร์ หวะ เพ่” รุ่นน้องคนหนึ่งลากเสียงยาว..หากใครคิดว่า การเดินขึ้นภูกระดึง ถึงหลังแปแล้วจะได้ผ่อนลมหายใจ ละลายความเหนื่อยเมื่อยล้าแล้วละก็ เป็นอันว่าคุณคิดผิดถนัด เพราะจากหลังแปนักเดินทนผู้พยายามพิชิตภูกระดึงจะต้องเดินเท้าต่อไปอีกร่วม 3 กิโลเมตร ทันทีที่คุณเข้าสู่เขตศูนย์บริการวังกวาง (เมื่อก่อนพื้นที่เหล่านี้เป็นที่อยู่อาศัยของนานาสัตว์…
กฤนกรรณ สุวรรณกาญจน์
ดูเหมือนว่า ภูกระดึงจะเป็นอีกหนึ่งสถานที่ที่ใครๆ หลายคน คิดว่าอยากจะไปเยือนสักครั้งการเดินทาง เป็นเรื่องของการตัดใจ หากทำได้เพียงแต่คิด ทุกสิ่งคงเป็นได้เพียงแค่หมอกควันของอารมณ์ชั่วคราวที่ค่อยๆ บรรเทาเบาบางก่อนจะจางหายไปในที่สุดแต่นั่นแหละกล่าวกันว่า การอ่านเป็นการเดินทางที่ง่ายและถูกที่สุดอย่างน้อยผมก็เชื่อเช่นนั้น…จากหมอชิตเดินทางถึงผานกเค้าในเช้าวันใหม่ ท้องฟ้าเริ่มสาง ไม่ต้องเป็นกังวลหรือหวาดหวั่น เราจะได้พบเพื่อนร่วมทางมากมาย กลุ่มนักศึกษากลุ่มใหญ่ เจี๊ยวจ๊าวเต็มคันรถ บันทึกถ่ายทำวีดีโอไปตลอดการเดินทาง กระทั่งพนักงานต้อนรับคนงามต้องบอกว่า“…
กฤนกรรณ สุวรรณกาญจน์
วันหยุดยาวปีใหม่ เรียกร้องให้คนส่วนใหญ่ ออกเดินทาง ,ท่องเที่ยว ละเลงความมันส์ออกมาจนหยดสุดท้ายหรือกลับไปอยู่กับครอบครัวอันอบอุ่น ..คำอวยพร ..การ์ดและกล่องของขวัญ ,ทั้งเด็กๆ และผู้ใหญ่ๆ ต่างใจจดจ่ออยากจะได้รับ .....เราต่างรอคอย ,ความหวัง
กฤนกรรณ สุวรรณกาญจน์
..ผมพยายาม ถ่ายภาพ Panorama ,2 เฟรม 3 เฟรม ..ก่อนอื่นตั้งโจทย์ในใจว่าจะเก็บมุมใดบ้าง ,ด้วยการมองวิวนานกว่า 5 นาที ...ภาพวิว ดูแล้วเหมือนกับภาพที่หาได้ทั่วไป ..ซ้ำๆ แต่เหมาะสำหรับฝึกฝนการถ่ายภาพ(อย่างน้อย ใครคนหนึ่ง ว่าเอาไว้อย่างนั้น)การถ่าย panor ต้องเริ่มด้วยการจัดองค์ประกอบภาพ ..ให้ได้ทุกอย่างครบตามที่คิด..คะเนเอาตามประสบการณ์ ว่าจะต้องถ่ายกี่ช็อต ..หามุมให้ลงตัวกับการเหลื่อมซ้อนของภาพ ก่อนนำมาปะติดปะต่อ ..จุดสำคัญต้องได้แสงสีที่กลมกลืนกันพอดีดังนั้น จึงต้องมีพื้นฐานของการตั้งค่าแสง อย่างสมเหตุผล ..กล่าวกันว่า การถ่ายภาพ panor ไม่มีสูตรตายตัว…