Skip to main content

                         

 

ไม่ได้กลับบ้านนานไปหน่อย มาใช้ชีวิตยืดยาดอยู่รัชดานาน เมื่อวานกลับไปช่วงกลางวันสังเกตเห็นตึกแถวช่วงหนึ่งติดป้ายประท้วงเรียงๆ กัน ไม่เคยรู้เรื่องความขัดแย้งนี้กับเขาหรอก อ่านแล้วจับใจความเอาได้ว่าตึกแถวริมถนนช่วงหนึ่งแถวสามเสนซอย3ซอย5 คงกำลังจะถูกเวนคืนไปสร้างรถไฟฟ้าใต้ดิน สถานีบางขุนพรม

ไม่รู้ว่าการสร้างรถใต้ดินทีนึงตึกแถวเก่าๆ สองชั้นเหล่านี้จะต้องหายไปกี่หลัง (คงจะไม่มาก) แต่เห็นขึ้นป้ายกันเพียบ เรียกร้องประมาณว่าให้ไปใช้ลานจอดรถของแบงค์ชาติแทน อย่ามาใช้ที่ของพวกกู

ถึงจะไม่ได้อินกับความเก่าแก่และความเป็นชุมชนของคนแถวนี้มากนัก เพราะ10ปีให้หลังมานี้ย่านนี้เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว โรงแรม ร้านเหล้า ร้านเค้ก ขยายตัวมาจากข้าวสารอย่างน่าตกใจ แต่เนื่องจากใกล้บ้านมากและวิ่งเล่นเห็นตึกแถวนี้มาแต่เด็กๆ ก็รู้สึกคันๆ ใจ อีกนิดเดียวมันก็บ้านเราจริงๆ

หากกฎหมายเวณคืนที่ดิน เขียนว่าเมื่อไรที่รัฐนึกจะเวณคืนที่ตรงไหนไปทำกิจการอะไร ก็สามารถเวณคืนได้เลย แล้วจ่ายค่าชดเชยเอา เรื่องแบบนี้ก็ไม่รู้จะเกิดขึ้นกับบ้านเราเองเมื่อไร ซึ่งที่ดินย่านเมืองเก่าละแวกนี้ สมัยนี้ประเมินค่าไม่ได้ เคยคุยกับพ่อแม่ไว้นานแล้วว่ายังไงก็จะไม่ขาย ต่อให้ไม่มีทรัพย์สินแล้วก็ขอเหลือบ้านหลังตรงนี้เอาไว้เป็นแหล่งสุดท้ายของชีวิต 

... คิดๆ ไปก็เข้าใจพวกเขาขึ้นมามาก

ในฐานะที่ออกไปวิ่งเล่นเรียนรู้ประเด็นการต่อสู้ของชุมชนอื่นๆ ในประเทศไทยมาไม่น้อย ก็เคยเรียกร้องว่าเวลารัฐจะพัฒนาโดยสร้างเขื่อน, เหมือง, โรงไฟฟ้า ฯลฯ แล้วกระทบคนที่อยู่มาก่อน คนที่ได้ประโยชน์จากการพัฒนานั่นแหละควรจะเข้าใจและเป็นปากเป็นเสียงให้กับคนที่เสียประโยชน์บ้าง คนเมืองที่ใช้ไฟฟ้า กล้าพูดหน่อยไหมว่าไม่เอาเขื่อนก็ได้ถ้าไฟฟ้าจะขาดบ้างก็ไม่เป็นไร เพื่อการเฉลี่ยทุกข์เฉลี่ยสุขกันในสังคม จะได้ไม่มีใครต้องเดือดร้อนเกินไปเพื่อให้ใครอีกคนต้องสุขสบาย

ในฐานะผู้รอรับประโยชน์ที่นั่งฝันเฝ้ารอรถใต้ดินบางขุนพรมมาหลายปี หวังว่าจะเดินจากบ้านไปขึ้นรถไฟฟ้าได้เหมือนเขาบ้าง ก็คิดว่ายอมนั่งมอไซค์ 80 บาทไปขึ้นใต้ดินหัวลำโพงเหมือนที่ผ่านมาก็ได้ ดีกว่าไปบังคับเอาบ้านใครมาทำ

 

                                         

                                        

 

 

บล็อกของ นายกรุ้มกริ่ม

นายกรุ้มกริ่ม
  นาทีที่ผมยืนอยู่ข้างเวที ห่างจากจุดที่แสงไฟสารพัดจะสาดส่องเป็นระยะหนึ่งก้าวเต็มๆ ผ้าม่านสีดำผืนบางๆ เท่านั้นที่ทำหน้าที่กั้นระหว่างริมฝีปากของผมกับแสงไฟด้านนอก บริเวณที่ยืนอยู่นั้นปิดมืดหมด มืดสนิทจนมองไม่เห็นแม้แต่คนที่ยืนข้างๆ และความคิดความฝันของตัวเอง ระหว่
นายกรุ้มกริ่ม
  
นายกรุ้มกริ่ม
 ชั้น 10 ของอพาร์ทเม้นต์แห่งหนึ่ง เด็กหนุ่มอายุ 18 ปี นั่งเล่นคอมพิวเตอร์อยู่คนเดียวบนชั้นนั้นเด็กหนุ่มเพิ่งเข้าเรียนปี 1 ที่มหาวิทยาลัยเอกชนชื่อดัง แต่วันนี้เขาขี้เกียจไปเรียน จึงนั่งเล่นคอม แชทคุยกับสาวๆ อยู่ที่บ้าน
นายกรุ้มกริ่ม
เห็นด้วยกับไอเดียคสช.
นายกรุ้มกริ่ม
 พร่างพรายแสง ดวงดาวน้อยสกาวส่องฟากฟ้าเด่นพราวไกลแสนไกล 22 พฤษภาคม 2558 วันคร
นายกรุ้มกริ่ม
ผมไม่เคยได้ยินชื่อของ “คฑาวุธ” มาก่อนเลย จนกระทั่งวันที่ 10 มิถุนายน 2557  ในเช้าวันที่กำลังยุ่งเหยิงอยู่กับจำนวนคนถูกเรียกและถูกจับโดยคสช.
นายกรุ้มกริ่ม
 ยุคสมัยแห่งความหวาดกลัวการรัฐประหารในประเทศไทยเมื่อ 22 พฤษภาคม 2557 เป็นการยึดอำนาจท่ามกลางบรรยากาศที่ประชาชนตื่นตัวทางการเมืองอย่างสูงสุด จึงคาดหมายได้ว่าแรงต้านจากประชาชนฝ่ายป
นายกรุ้มกริ่ม
17 เมษายน 2557 เป็นวันสุดท้ายที่มีบุคคลอ้างว่าว่าพบเห็นนาย “บิลลี่” หรือพอละจี รักจงเจริญ แกนนำชาวกะเหรี่ยงบ้านบางกลอย ที่เคลื่อนไหวต่อสู้เรื่องสิทธิที่ทำกินในเขตอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน หรือบางคนนิยามว่าเขาคือ “นักต่อสู้เพื่อสิทธิมนุษยชน” การหายตัวไปของคนคนหนึ่งที่ตั้งตัวเป็นฝ่
นายกรุ้มกริ่ม
ผมได้ยินชื่อลุงครั้งแรกตามสื่อ ได้อ่านเรื่องราวผ่านๆ ดูคลิปของลุง แต่ไม่ได้ตั้งใจดูนัก ผมได้ยินว่าลุงเป็นนักแปล และเป็นนักเขียนด้วย โดนคดี 112 แต่ไม่รู้ว่าลุงทำอะไร ผมได้ยินคนตั้งฉายาลุงว่า "กึ่งบ้ากึ่งอัจฉริยะ" ผม
นายกรุ้มกริ่ม
 มาเยือนเมือง “สตูล สะอาด สงบ” เป็นครั้งที่สอง หลังจากเมื่อปีกว่าๆ ที่แล้วติดสอยห้อยตามเพื่อน NGO มาดูกิจกรรม “สัญญาประชาคม” ที่คนสตูลร่วมกันแสดงพลังคัดค้านการก่อสร้างท่าเรือน้ำลึกที่ปากบารา แต่ครั้งนี้สดใสกว่าเดิม มาร่วมเป็นพี่เลี้ยงในกิจกรรมที่อาจารย์พานักศึกษาจากม.ทักษิณ มาลง